คุณทราบได้อย่างไรว่าเขาคือคนโกง รัฐบาลโกง? ในเมื่อฝ่ายเขาก็คิดว่าพรรคที่คุณเลือกคือคนโกง รัฐบาลโกง อย่างที่ผมบอก คุณเอาสิ่งที่คุณชอบ ยึดเอาเป็นความดี และสิ่งที่ตรงข้ามกับคุณคือความชั่ว ฝั่งตรงข้ามคุณเขาก็คิดแบบคุณเหมือนกันครับ
ถ้าไม่ชนะจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นโยบาย สิ่งที่อยากทำ ความหวังของคนที่เลือกจะได้ใช้ไหม มันก็ได้แค่ เป็นฝ่านค้านได้แค่ เห่าๆหอนๆ ไป พอเห่าจนเบื่อก็ เป่านกหวีดเรียกทหาร
สันดานออก ด่าพ่อไม่พอล่อลูก อย่างน้อย ผมก็ทำให้คุณเข้ามาแสดงสันดานได้ แสดงแบบนี้ต่อไปเมื่อเสียหน้าต่อไปนะ เผื่อสบายใจเวลาโดนสวน
เอาอีกแล้ว มโนว่าเป่านกหวีดเรียกทหาร ถามควายแดงไปหลายตัวไม่เคยแสดงหลักฐานได้เลยว่า สุเทพเคยเรียกร้องรัฐประหารหรือไม่
ผมด่าแล้วเหรอ แค่นี้ก็บอกถึงความบกพร่องในการอ่านการวิเคราะห์แล้ว ผมไม่ต้องบอกนะ สันดานคุณออกตั้งนานแล้วว่าเป็นโรคหลงตัวเอง ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกก ใครเสียหน้าเหรอ ไม่เคยรู้สึก คิดไปเองอีกแล้ว ครับเกาหลีเขากินเนื้อครับ ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก โดนสวนทุกทีเนอะ เผื่อสบายใจนอนหลับเวลา หลักฐานถูกตัดเวลาขึ้นศาล ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกก
โรค Narcissistic Personality Disorder (`นาร์เซอะ'ซิสติก `เพอร์เซอะ'แนลิตี้ ดิส'ออร์เดอร์) หรือที่มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า โรคคลั่งตัวเอง (เรียกย่อๆ ว่า NPD หรือ ภาวะ Narcissism) เป็นภาวะบกพร่องด้านบุคลิกภาพอันเนื่องมาจากอาการหลงตัวเองมากเกินไป ชื่อโรคนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายกรีกที่ว่า มีชายหนุ่มรูปโฉมงดงามชื่อ Narcissus เป็นที่ต้องตาต้องใจของทั้งสาวและหนุ่มทั้งหลาย (วัฒนธรรมกรีกและโรมันให้ความสำคัญกับความรักในเพศเดียวกันเท่าเทียมกับความ รักต่างเพศ) แต่เขาก็มิได้หมายปองใครจริงจัง กลับหักอกคนที่รักครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งสุดท้ายเขาโดนสาปโดยเทพเจ้าว่า เขาจะต้องตายเพราะหลงไหลในรูปโฉมของตัวเอง วาระสุดท้ายของเขามาถึง เมื่อเขาก้มลงดื่มน้ำในทะเลสาบแล้วเห็นใบหน้าของตัวเองในน้ำ เขาจึงตกหลุมรักตัวเองทันที เขากระโดดหมายจะคว้าเงาเอาไว้ทำให้ตกน้ำตาย สมกับคำสาบที่เทพเจ้าได้สาปเอาไว้นั่นเอง อาการของผู้ป่วยโรคนี้จะคล้ายคลึงกับนาร์ซีซัสตามเทพนิยายทุก ประการ กล่าวคือ เขาคลั่งไคล้ตัวเองมากเกินกว่าปกติ จนก่อให้เกิดความบกพร่องทางบุคลิกภาพขึ้นมาได้ จากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการ 9 อย่างดังต่อไปนี้ (เรียบเรียงบางส่วนจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Narcissistic_personality_disorder) 1. ฉันเป็นมือหนึ่งในปฐพี: สำคัญตัวเองผิด ผู้ป่วยมักเข้าใจไปเองว่าตัวเองเป็นบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือคนอื่นทั้งปวงในโลกนี้ 2. ฉันทำอะไรก็เทพหมด: คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในทุกด้านอย่างไม่มีขีดจำกัด เลิศเลอ perfect ไปทุกอย่าง 3. ไม่มีใครเข้าใจฉันนอกจากขั้นเทพด้วยกัน: เข้าใจว่าตัวเองเป็นบุคคลพิเศษ ซึ่งก็จะมีแต่บุคคลพิเศษด้วยกันเท่านั้นที่จะเข้าใจตัวเขาได้ 4. ฉันเท่ห์ที่สุดในโลก: ต้องการการชื่นชมสนใจจากคนอื่นมากเกินไป 5. ก็ฉันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ใครจะทำอะไรฉันได้: มีความรู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ถูกต้องไปหมดทุกอย่าง จึงไม่มีความรู้สึกผิดเวลาที่ทำอะไรผิดพลาด 6. ทำนู่นทำนี่ให้ฉันที: ชอบใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือเพื่อทำประโยชน์บางอย่างแก่ตัวเองอยู่เสมอ 7. คนอื่นจะเป็นยังไงฉันไม่สน: จิตใจกระด้างเย็นชา ไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง 8. นี่แม่งทำอะไรก็เทพหมด / คนอื่นๆ อิจฉาฉันเพราะฉันเก่งกว่าพวกนั้นทุกคน: อิจฉาริษยาคนรอบข้าง และ/หรือ มีความเชื่อว่าคนอื่นๆ รอบตัวกำลังอิจฉาตัวเขาอยู่ 9. อะไรๆ ที่ไม่ถูกใจถือว่างี่เง่าหมดสำหรับฉัน: แสดงความหยิ่ง ยะโส โอหัง ออกมาทั้งทางพฤติกรรม คำพูด และทัศนคติ [Disclaimer: ท่านผู้อ่านไม่ต้องตกใจถ้าพบว่าท่านหรือผู้ใกล้ชิดของท่านมีอาการเหล่านี้ การวินิจฉัยภาวะโรค NPD ต้องกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งไม่มีอคติต่อผู้ป่วยก่อนการวินิจฉัยเสมอ ตัวท่านผู้อ่านเองอาจมีทัศนคติบางอย่างซ่อนอยู่ก่อนการวินิจฉัย ผลการวิเคราะห์ด้วยตัวท่านเองจึงอาจไม่สมบูรณ์ 100%] ที่ผม hilight ไว้ด้วยสีแดงนี้คือคำจำกัดความที่ผมคิดขึ้นเพื่อให้ท่านผู้อ่านสามารถ จินตนาการภาพอาการของผู้ป่วยจากคำพูดติดปากของเขาได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคนี้อาจไม่แสดงอาการครบทั้ง 9 อย่างนี้ก็ได้ การแสดงออกอาการเพียง 4-5 อย่างก็ถือว่าเข้าข่ายการเป็นโรคนี้แล้ว โรคนี้จะเกิดขึ้นกับน้อยกว่า 1% ของประชากรโดยรวม และพบเพียง 2-16% ของผู้ป่วยจิตเภทด้วยซ้ำ ผู้ป่วยโรคนี้จึงพบได้ยากในสังคมทั่วไป ผู้ป่วยมักทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมกับเพื่อนร่วมงานและบุคคลรอบข้างเสียไป เพราะสังคมไม่ยอมรับในตัวของเขา โรคนี้พัฒนาขึ้นในช่วงผู้ใหญ่ตอนต้น ต้นตอของโรคเกิดจากปมด้อยอันน่าอับอายของผู้ป่วยที่คิดว่าสังคมทั่วไปไม่ยอม รับ ทำให้เขาสร้างเกราะขึ้นมาปกป้องจิตใจอันบอบบางจากการปฏิเสธและการโดดเดี่ยว จากสังคม ผู้ป่วยจึงสร้างความคลั่งไคล้ในตัวเองขึ้นมาเพื่อชดเชยกับการขาดการยอมรับ เหล่านั้น ความเชื่อดังกล่าวจะฝังอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกทำให้ยากต่อการรักษาด้วย จิตแพทย์ เพราะแม้แต่ผู้ป่วยเองก็ยังกลัวที่จะเปิดเผยความลับในระดับจิตใต้สำนึกเช่น เดียวกัน ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการซาดิสต์ร่วมด้วย โดยผู้ป่วยมักจะทำร้ายจิตใจของผู้อื่นด้วยการดูถูกถากถางอย่างจงใจ (intentional insult) เพื่อทำให้เหยื่อเกิดความบาดเจ็บทางจิตใจ เป็นการชดเชยกับประสบการณ์ร้ายที่ตนเคยประสบมาในอดีต ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ยังเกลียดการเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง จึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการทำให้เขาเสียหน้า เพราะจะเป็นการกระแทกเข้าที่ปมด้อยในด้านสังคมของผู้ป่วยอย่างรุนแรง ผู้ป่วยอาจสร้างเกราะในจิตใจเพิ่มขึ้นทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้นได้ หรือหากเป็นการละเมิดหน้าอย่างร้ายแรง ผู้ป่วยอาจขาดความยับยั้งชั่งใจและกระทำการต่างๆ เพื่อปกป้องหน้าของเขาได้ เช่น การทำร้ายร่างกาย หรือแม้แต่การฆ่า เคยมีกรณีศึกษาเกิดขึ้นในอังกฤษมาแล้วว่า ผู้ป่วยโรคคลั่งตัวเองคิดว่าตัวเองเป็นนักเทนนิสระดับโลกและร่ำรวยมหาศาล เขาแอบนำบัตรเครดิตของพ่อไปซื้อตั๋วเครื่องบินพาแฟนสาว (ซึ่งเขาก็หลอกเธอว่าเป็นนักเทนนิสระดับโลกเช่นกัน) ไปชมการแข่งขันเทนนิสที่นิวยอร์ค พ่อและแม่ของเขาจับได้จึงตำหนิเขาอย่างรุนแรง เขารู้สึกเสียหน้าอย่างมากจึงใช้ฆ้อนฆ่าพ่อและแม่ของเขาอย่างทารุณ เขายังคงไปเที่ยวกับแฟนสาวตามปกติ โดยทิ้งศพของพ่อแม่ไว้ในบ้านถึง 2 อาทิตย์ เมื่อเขากลับมา เขายังแบกศพของพ่อแม่ออกมาทิ้งหน้าบ้านอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ตำรวจจับเขาในข้อหาฆาตกรรมพ่อแม่ตัวเอง เขาแสดงอาการหยิ่งยะโสต่อหน้าตำรวจ ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าเขาฉลาดกว่าตำรวจทุกคน (ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย) สุดท้ายเขารับสารภาพว่าเขาฆ่าพ่อแม่ของเขาเอง เขาถูกฟ้องข้อหาฆาตกรรม อย่างไรก็ตาม คดีนี้ถูกยกฟ้องเนื่องจากศาลอังกฤษพิจารณาว่าเขาเป็นโรคคลั่งตัวเอง จึงไม่ต้องรับโทษทางอาญา ถึงกระนั้นทุกวันนี้เขายังคงถูกจองจำในสถานบำบัด ผู้ป่วยโรคจิต (asylum) อยู่ดี ต้นตอที่ทำให้เขาเป็นโรคคลั่งตัวเองก็เพราะว่า แม่ของเขาเลี้ยงเขาอย่างเข้มงวดเกินไป แม่ไม่ยอมให้เขาไปเล่นกับเด็กคนอื่น แม่ยังคงอาบน้ำให้เขาแม้ว่าเขาจะอายุ 18 แล้ว แม่บงการชีวิตของเขาทุกอย่างแม้แต่กับเสื้อผ้าหน้าผม เขาเก็บความรู้สึกอับอายเอาไว้ภายในจิตใต้สำนึก จนทำให้เขากลายเป็นโรคคลั่งตัวเองไปทีละน้อยนั่นเอง โรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้แม้ว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวว่าเป็นโรค นี้ก็ตาม เช่นเดียวกับที่คนติดบุหรี่ไม่อาจเลิกบุหรี่ได้แม้ว่าจะรู้ตัวว่าติดบุหรี่ นอกจากว่าจะมีกำลังใจจะเลิกบุหรี่ด้วยตนเอง ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษา โรคคลั่งตัวเองอย่างเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม จิตแพทย์บางท่าน เช่น James F. Masterson เริ่มเสนอวิธีการรักษาโรคนี้แล้ว () ถึงกระนั้น บุคคลรอบข้างก็อาจต้องปรับตัวให้ยอมรับอาการของผู้ป่วยบ้าง เพื่อไม่ให้อาการของเขาเพิ่มมากขึ้นไปกว่าเดิม เอามาให้อ่านเป็นความรู้ครับ เผื่อคน(บางคน)แถวนี้กำลังเป็นโรคนี้อยู่
คนเรียนโรงเรียนวัดบ้านนอกก็อย่างนี้เเหล่ะทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง ไม่เคยไปแบมือขอเพื่อนกิน นักเรียนโรงเรียนคริสต์ที่ดีที่สุดในจังหวัดมีหรือจะเข้าใจ
โถๆๆ ไร้เดียวสาจังงัง ถ้าบอกว่า ออกไปแล้วให้ทหารรัฐประหาร จะมีพวกนกหวีดโลกสวย ออกไปเซลพี่กันเหรอ " สุเทพคุยกับประยุทธ์ “ตั้งแต่ 2553” การเจรจาลับมุ่งเป้าระบอบทักษิณ รายงานโดย เนาวรัตน์ สำราญสุข ... นายสุเทพ ยอมรับเป็นครั้งแรกว่าเขาได้หารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำการรัฐประหาร เกี่ยวกับยุทธวิธีในการกำจัดอิทธิพลของ อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคพวก ตั้งแต่เหตุความรุนแรงทางการเมืองในปี 2553 โดยนายสุเทพยอมเปิดปากในงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อระดมทุนที่แปซิฟิก คลับ ในกรุงเทพฯ เขากล่าว โดยอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีส่วนแข็งขันในการวางแผนที่จะโค่นล้ม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมถึงช่วงเวลาก่อนหน้าที่จะนำไปสู่การรัฐประหาร ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วย ผู้นำการเคลื่อนไหวมวลชนกล่าวต่อหน้ากลุ่มผู้สนับสนุนกลุ่ม กปปส. กว่า 100 คน ในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ใช้ชื่อว่า “กินข้าวกับลุงกำนัน” ถึงแรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจของกองทัพ เขาเปิดเผยด้วยว่า เขาคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ และทีมงานผ่านแอปพลิเคชันสนทนา ไลน์ “ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศกฎอัยการศึก พล.อ.ประยุทธ์ บอกกับผมว่า ‘คุณสุเทพ คุณกับมวลมหาประชาชน กปปส. เหนื่อยมามากแล้ว จากนี้เป็นหน้าที่ของกองทัพบกในการเข้ามาดูแลแทนเอง’ ” นายสุเทพกล่าว เขาบอกด้วยว่า เขาได้ปรึกษาหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่เหตุความไม่สงบทางการเมืองในปี 2553 ในการจัดการ “ระบอบทักษิณ” และจับมือร่วมกันปฏิรูปประเทศ ต่อสู้กับการคอร์รัปชัน และดำเนินการสลายสีเสื้อทางการเมืองที่แบ่งแยกคนไทย" เมื่อ สุเทพออก สักพัก ประยุทธ ก็มา ประจักต์พยานแล้วล้อมแบบนี้ คนเค้ามีสิทธิสงสัย แต่ไม่มีหลักฐาน แต่เมื่อ พูดออกมาเอง... จะให้มโนเป็นอะไรเหรอ
แล้วคนเรียนโรงเรียนบ้านนอก เมื่อไรจะเรียกสติกลับมา จะได้เลิกมโนว่า ผมเป็นคนที่คุณรู้จัก การทีคุณทึกทักเอาว่าผมเป็นใคร มันทำให้คุณเสียเปรียบอย่างมากในโต้แย้ง ไม่รู้หรือ ผมกำลังสอนพวกคุณว่า การที่คุณชอบทึกทักเอา ว่า คนนี้ต้องแบบนั้น โดยดูแต่เปลือก มันทำให้คุณประเมินสถานการณ์ผิดพลาด
เอ่อ แล้วเขานัดเหรอ ว่าจะรัฐประหาร ตรงไหนที่สุเทพพูด มีแต่ประโยคที่ว่า โดยกล่าวอ้างว่า สรุปต้องอาศัยการมโนใช่มั้ย หาความจริงไม่ต้อง นี่แหละคือหลักฐานนะ ไปอ่านกระทู้เก่าๆบ้างนะ มียกมาแล้ว ไม่คิดเลยจะไร้เดียงสาขนาดนี้ มิน่า โอ้ย จะเอาฮาไปไหน ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อยากเป็น"อาจารย์ใหญ่" ใช่มั้ยล่ะ ถ้าผมทึกทักว่าคุณเป็นใครผมเสียเปรียบในการโต้แย้งคุณตรงไหนครับ? ไอ้ที่ผมกำลังโต้ตอบกับคุณนี่ ผมไม่คิดว่าเป็นการโต้แย้ง เพราะมันไม่ได้พูดถึงเหตุและผล ผมไม่ได้ทึกทักว่าคุณเป็นใคร แต่ทุกความคิดของคุณที่ผ่านตัวอักษรมันกลับบอกว่าคุณคือใคร
ผมก็ไม่ได้บอกว่าเป็นการโต้แย้ง ผมกำลังให้ความรู้คุณอยู่ไง เอางี้ ควายแดงคุง ถามจริงๆ ไอ้ที่คุณมโนไว้นะ ผมถ้าไม่ใช่ LeoMan แล้ว จะเป็นใคร อ้าว ช่วยตอบให้ ... ใครๆก็รู้
เป็นคนดีขนาดที่ว่า คว่ำคดีทุจริตสองหมื่นกว่าคดีให้สลายไปภายในคืนเดียว หรือเป็นคนดีในแบบที่เสียงปืนแตกเมื่อไร เดินนำคนเข้ากรุงเทพ ตอนนี้รอจนน้ำแตกหลายรอบแล้วก็ยังอยู่ดูไบ ถ้าศาลตัดสินให้ใครสักคนในพรรค ปชป ติดคุก เขาก็คงต้องติด ไม่ใช่พอบอกติดคุกแล้วแก้กฎหมายให้ตัวเองรอด ความดีคือการกระทำทุกอย่างโดยอยู่ใต้ถูกต้อง ไม่ใช่พยายามอยู่เหนือสิ่งที่ถูกต้องครับ