เปิดผลสอบคดีทุจริตจัดซื้อโครงการใน ส.เลขาธิการสภาฯ 2 โครงการ มี อดีตเลขาฯสภาฯ ร่วมกระทำผิด พร้อมข้าราชการนับ 10 ราย คณะกรรมการตรวจสอบฯ สั่งลงโทษ-ยื่นฟ้องดำเนินคดีอาญา-ส่ง ป.ป.ช.ให้เอาผิด พร้อมเผย 7 โครงการที่อยู่ระหว่างตรวจสอบ-3โครงการถูกยื่นให้ตรวจสอบ ผู้สื่อข่าวรายงานถึงรายละเอียดการตรวจสอบการใช้งบประมาณของรัฐสภา ในโครงการจัดซื้อจัดจ้างและโครงการที่ถูกร้องเรียนว่าพบทุจริต ว่า กรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบการใช้งบประมาณรายหนึ่งเปิดเผยว่า ในโครงการปรับปรุงระบบนาฬิกาจากระบบอนาล็อค ไปเป็นระบบดิจิตอล วงเงิน 15 ล้านบาทนั้น พบการทุจริตจริง และมีข้าราชการในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มีส่วนเกี่ยวข้องและพบความผิด 10 ราย ได้แก่ นายสุวิจักขณ์ หรือนายวัชระชัย นาควัชระชัย อดีตเลขาธิการสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ที่พบความผิดในระดับคดีอาญา ซึ่งผลการตรวจสอบได้ส่งไปยังสำนักงานเลขาธิการสำนักนายกฯ ฐานะเป็นหน่วยราชการต้นสังกัด เนื่องจากขณะนี้นายสุวิจักขณ์ หรือนายวัชระชัยนั้น ถูกคำสั่ง คสช. ให้ย้ายไปช่วยราชการที่หน่วยงานดังกล่าว ให้ดำเนินการตรวจสอบวินัย เบื้องต้นทราบว่าได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัย ที่มีนายธงทอง จันทรางศุ ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานตรวจสอบแล้ว และข้าราชการอีก 9 คน แบ่งเป็น ข้าราชการระดับ 10 จำนวน 1 คน ซึ่งได้รับการลงโทษคือลดอัตราเงินเดือน ลง 4 เปอร์เซ็นต์ และข้าราชการระดับ 5-9 จำนวน 8 คน ซึ่งได้รับการลโทษให้ลดอัตราเงินเดือนลง 2 เปอร์เซ็นต์ 4 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ข้าราชการทั้ง 10 คนดังกล่าว สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้แจ้งความเพื่อดำเนินคดี ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่ สน.ดุสิต และล่าสุด สน.ดุสิตได้ดำเนินการตามกระบวนการและส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว ส่วนกรณีทุจริตที่เกิดขึ้นและมีมูลค่าความเสียหายในโครงการ คณะตรวจสอบฯ ยังไม่ได้สรุปเป็นมูลค่าที่ชัดเจน เนื่องจากต้องรอให้กระบวนการตรวจสอบจากหน่วยงานที่มีหน้าที่ดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อน รายงานจากคณะกรรมการตรวจสอบ แจ้งด้วยว่า ขณะที่โครงการปรับปรุงลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 7 วงเงิน 13.9 ล้านบาท ตรวจสอบเสร็จแล้ว พบความผิดและมีข้าราชการที่ร่วมกระทำผิด จำนวน 9 คน โดยมีข้าราชการ ระดับ 6 จำนวน 3 คน ที่ผิดวินัยไม่ร้ายแรง และมีข้าราชการระดับ 5-11 จำนวน 7 คนที่ผิดวินัยร้ายแรง และยังมีพนักงานราชการที่ผิดร่วมด้วย จำนวน 1 คน โดยผู้ที่กระทำความผิดทั้งหมดนั้น สำนักงานเลขาธิการสภาฯ แจ้งความไว้ที่ สน.ดุสิต ฐานความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานภาครัฐและความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. ในฐานความผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และแจ้งสตง.รับทราบได้ รวมถึงแจ้งไปยัง คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ให้รับทราบแล้วด้วยรายงานแจ้งด้วยว่าสำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ มีทั้งสิ้น 7 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการปรับปรุงฐานและพื้นที่ฐานของพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 วงเงิน 1.1 ล้านบาท, 2.โครงการจัดจ้างบริการกำจัดขยะบริเวณภายในรัฐสภา วงเงิน 2.3 ล้านบาท, 3.โครงการจัดจ้างกำจัดปลวก ยุง มด แมลงสาบ หนู บริเวณพื้นที่รัฐสภาและอาคารสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ประดิพัทธ์ วงเงิน 6.1 ล้านบาท, 4.โครงการปรับปรุงห้องออกกำลังกาย พร้อมอุปกรณ์ ที่สโมสรรัฐสภา , ห้องฝึกอบรมข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ประดิพัทธ์ และปรับปรุงห้องสื่อมวลชนรัฐสภา วงเงิน 27.5 ล้านบาท, 5.โครงการปรับปรุงห้องน้ำอาคารสโมสรรัฐสภา และสโมสรเล็ก , ปรับปรุงห้องสุขา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ประดิพัทธ์ วงเงิน 16.8 ล้านบาท 6.โครงการจัดสร้างห้องจำหน่ายสินค้าที่ระลึกของรัฐสภา และห้องรับเรื่องร้องทุกข์ วงเงิน 3.8 ล้านบาท 7.โครงการปรับปรุงพื้นถนน ท่อระบายน้ำ และสร้างอาคารเก็บขยะ วงเงิน 1ล้านบาท และยังมีโครงการที่เสนอให้ตรวจสอบ จำนวน 3 โครงการได้แก่ 1.โครงการปรับปรุงห้องพิจารณางบประมาณ อาคารรัฐสภา 3 ชั้น 3 วงเงิน 36 ล้านบาท 2.โครงการจัดสร้างห้องยุทธศาสตร์ วงเงิน 25 ล้านบาท 3.โครงการจัดสร้างห้องจำหน่ายตั๋ว 2.6 ล้านบาท http://www.nationtv.tv/main/content/politics/378468567/ **********************************************
อยากแนะนำให้เพิ่มงบสำหรับจัดการคอรัปชั่น นับตั้งแต่คดีเกิดจนสั่งฟ้องไม่ควรเกิน3เดือน นับจากคดีขึ้นศาลจนจบคดีไม่ควรเกิน2ปี และต้องปรับ10เท่าของวงเงินที่โกง แถมห้ารอลงอาญา คุกสถานเดียวเท่านั้น ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น มันคุ้มมาก ถ้าจะทำให้พวกที่คิดจะโกงไม่กล้าโกง เพราะรู้ว่าจับได้แน่ๆ อย่างถ้าเคยโกงกันปีละ3แสนล้าน ปปช.เจ๋งๆคดีเดินเร็ว คนกลัวกันมากไม่กล้าโกงประหยัดไปแสนล้านก็คุ้มเกินคุ้มแล้ว ทุกวันนี้กลัวกันที่ไหน อย่างไอ้ ผอ.พศ.ภาคใต้ มันโกงวัดไปเป็นล้านๆตอนอายุ58 กว่ากรรมการจะให้ออกจากราชการ มันก็เกษียรไปก่อนแล้ว กว่าคดีที่คาศาลจะจบ สงสัยแม่งตายห่าไปก่อนอีก แถมคดีจบแล้วก็แค่คืนเงินที่โกงไป โทษจำคุกก็รอลงอาญา ต่อให้ศาลตัดสินให้ติดจริงกว่าคดีจะจบมันก็จะ80 เผลอๆศาลเมตา ออกจากคุกมาก่อนอีก (เหมือนได้ตำรวจคดีอุ้มฆ่าที่ไอ้ออกจากคุกเพราะแก่)
ความจริงเรื่องย้ายไปช่วยราชการไม่น่ามีในสาระบบ ทำไมต้องช่วยราชการทำไม่ไม่พักงานทำไมไม่ให้ออกจากราชการไว้ก่อนสอบเสร็จค่อยว่ากันต่อส่วนคนที่โดนคดีที่คิดว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้งก็สามารถอุทรเพื่อเป็นการพิสูจน์ช่วยตัวเองอีกทางหนึ่งได้ คนที่โดนคดีฉ้อราษฎ์บังหลวงอย่างแรกที่จะต้องทำคือการยึดทรัพย์ทั้งหมดแล้วให้เจ้าเอาหลักฐานไปพิสูจน์ความเป็นเจ้าของเอง คดีคอรัปชั่นต้องมีโทษร้ายแรงรองลงมาจากการจารกรรมเพราะทำให้ประเทศต้องสูญเสียทรัพย์ของแผ่นดินโกงเงินแผ่นดินถ้าเป็นคนไทยมันต้องชั่วสุดขีดถึงจะกล้าทำเงินของแผ่นดินยังกล้าโกงได้ชีวิตจะเหลืออะไรให้ชั่วได้กว่านี้อีกมันชั่วยิ่งกว่าโจรปล้นทรัพย์ทั่วๆไปร้อยเท่าพันเท่า แต่ทุกวันนี้การเป็นคดีความคนที่กระทำผิดมันมีลุ้นถ้าพลาดโดนจับได้ก็พยายามทำให้โทษหนักเป็นโทษเบาจะด้วยวิธีการต่างๆนาๆ วิ่งหานายขอความเมตรา ลอบบี้กรรมการตรวจสอบ พยายามทำหลักฐานให้อ่อนหรือใช้อำนาจที่สูงกว่ามากดดันคนตรวจสอบให้ถอดใจ
ยาแรงเริ่มออกฤทธิ์ อิอิอิ... ถ้ายังเดินหน้าไปตามโรดแมพนี้ อีกห้าปีข้างหน้าเมื่อเราประสพความสำเร็จในการทำให้ระบบราชการทุกระดับปลอดการทุจริตอย่างสิ้นเชิง ขนาดเศรษฐกิจของประเทศจะโต 684% ถึงประมาณ 686% และจะทำให้ระดับผลตอบแทนที่เป็นเงินเดือนของข้าราชการไทยอยู่ในระดับเดียวกันกับข้าราชการสิงคโปร์ และถ้ายังสามารถรักษาระดับมาตรฐานนั้นใว้ได้ต่อไป อีก 10 ปีข้างหน้า ไทยจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากจีน ถึงตอนนั้นงบประมาณจัดซื้อเรือดำน้ำชั้นดีทีเดียว 4 ฝูง 16 ลำ สองแสนล้านคงเป็นเรื่องกระจิ้ดริ้ดเดียว จากงบประมาณบริหารราชการแผ่นดินปีละร่วมๆ 2 - 3 หมื่นล้านล้าน สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ก็คือ ต้องช่วยกันกำจัดคอรรัปชั่นให้สิ้นครับ http://www.dailynews.co.th/politics/285069