กฏหมาย หรือ รธน ใหม่ พวกมันเข้ามาเมื่อไหร่ แก้แน่นอน พวกมันเงินทุนเหลือเฟือ แค่โกงจากจำนำข้าว สะสมมานับแสนล้าน เอาไว้ซื้อเสียง และ จ้างเสื้อแดงป่วนได้อีกนานแสนนาน รัฐประหารก็ต้องเสียของอีกครั้ง เพราะไม่ได้กำจัดความชั่วให้หมดไป ทางที่ดี รธน ฉนับใหม่นี้ ควรมีมาตราหนึ่งเขียนไว้ว่า ห้ามแก้ไข รธน ฉนับนี้ใดๆ ถ้าใช้ยังไม่ครบ 20 ป่ี อาจจะช่วยได้บ้างนิดหน่อย
ทุกวันนี้แกนนำแดงทั้งหลายก็พยายามป่วนอยู่แล้ว แต่บู๊ตไม่ขึ้นเพราะไม่กล้านำเงินออกมาจ้างชาวบ้าน แม้แต่การที่ยิ่งลักษณ์ถูกถอดถอนก็กลายเป็นแกนนำชุมชนพอใจ ในความเห็นผม ปัญหาของฝ่ายแม้วคือ ประชาชนให้ความสำคัญกับการรับจ้างชุมนุมแบบเก่าลดลง ที่ผ่านมาก็มีแต่โดนปฏิเสธ ยกตัวอย่างง่ายๆ วินมอร์เตอร์ไซด์รับจ้างที่เคยร่วมเป็นร่วมสมัย นปช เผาเมือง ในการชุมนุม กปปส กลุ่ม นปช นัดชุมนุมใหญ่ ก็ไม่ไป กลุ่มแท๊กซี่ที่เคยแดงซะมากมาย ทุกวันนี้กลายเป็นคุยได้ไม่รุนแรง ถามว่าเพราะเงินอย่างเดียวใช่ไหม คำตอบคือส่วนหนึ่ง แต่ส่วนสำคัญคือความจริงที่ปรากฏ การอ้างกฏอัยการศึกแค่ข้ออ้างของฝ่ายปฏิปักษ์ เพื่อแก้ตัว วันนี้เหล่าบรรดาแกนนำแดงทั้งหลายทุกระดับรู้ดี ผมละขำ แกนนำแดงพิมลราชอดีตอัยการแถวบ้านผม เดิมเคยกร่าง ทุกวันนี้เหนียมแต่ยังฝืนเชิดคอเพื่อไม่ให้เสียหน้า คาดว่าคงมีการย้ายบ้านหนีเร็ว ๆ นี้ 55555
กะลังจะตั้งกระทู้คล้ายๆกันอยู่พอดี เลยขออนุญาตร่วมแจมด้วยดีกว่า "ก่อนคมช.ลงจากอำนาจ ควรยกเครื่องระบบยุติธรรมเสียก่อนจะดีไหม?" เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ตามที่ท่านจขกท.ตั้งกระทู้ โละขี้ข้าที่แฝงตัวอยู่ให้หมดก่อน ไม่งั้นมีโอกาส กลับไปเละเหมือนเดิม http://www.thairath.co.th/content/476765
กี่ครั้งแล้ว ไม่อายมั่งนะ ทีมการเมือง ข่มขู่ อวดอ้าง ปากดี พูดเหมือนนักเลงมากกว่า ทีมงานการเมือง ไปติดมโนแบบครึ่งเลียครึ่งกร่าง มาได้ไงหว่า ไม่เหมือน ทีมการเมืองยุคก่อน(มีเสื้อแดง) ยุคนั้นผมนับถือสายข่าวจริงๆ ใครก่อหวอด ใต้ดินนะใต้ดินประเทศไหน ยังไงมันก็รอเลือกตั้ง ซึ่งก็ไม่มียิ่งลักษณ์ ซึ่งไม่เหลือเครือข่ายบริวารทหาร ตำรวจ ราชการ รัฐวิสาฯ ซึ่งก็ดีที่จะให้กลับมาเป็นรัฐบาล เงียบไว้ยังไงก็ได้เป็นรัฐบาลเร็วกว่าสู้ แล้วไง มาสิ เป็นไปสิรัฐบาล เลือกเมื่อไรก็ชนะ ยินดีเรยเชิญมาเรย อยากให้เลือกชนะอยู่แล้วด้วย เท่ากับหยุดบทบาทเสื้อแดงในฐานะ นปช. แล้วยังมีคนสำคัญหลายคนเป็น ตัวประกันรอคดีอาญา อีกหลายคดี เอาเฮอะ มาเฮอะ จะกู้เงินอะไรอีกก็เอามา อยู่ในกติกาก็แล้วกัน ไม่เข็ดไม่จำก็ลอง
ที่อยากรู้คือถ้าสลิ่มไม่ไปสู้กับเสื้อแดง เสื้อแดงมันจะสู้กับใคร ถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล มันไม่มาสู้กับสลิ่มแน่ครับ มันมาแค่อักษะ...............
ถ้าการปฏิรูปครั้งนี้ รวมเอาการแก้ไขปัญหา"ความเหลื่อมล้ำของรายได้ รวยกระจุก จนกระจาย" พวกเจ้าสัวที่เป็นทุนนิยมสามาลย์(คงไม่ต้องบอกว่ามีใครบ้าง) ต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน พวกนี้จะหนุนแม้วลับๆ ให้ล้มกติกาใหม่หรือเปล่า http://www.positioningmag.com/content/ความเหลื่อมล้ำของรายได้อุปสรรคต่อความยั่งยืนของการพัฒนาประเทศ http://www.thairath.co.th/content/439681
“ผมไม่ได้กำลังเสนอให้ใครไปชุมนุมหรือเดินขบวนที่ไหน แต่เสียงของประชาชนก็ยังมีความหมายเสมอ และหากประชาชนเห็นปัญหาร่วมกันมากขึ้นๆ เสียงของประชาชนก็ย่อมมีพลังพอที่จะช่วยกันหยุดยั้งหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ได้ เห็นผู้ที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญและปฏิรูปประเทศเขาบอกว่า ยินดีรับฟังความเห็นประชาชนไม่ใช่หรือ” นายจาตุรนต์กล่าว ด้านนายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีเดียวกัน ว่า เมื่อมีมติออกมาแล้วก็เป็นหน้าที่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในการสู้คดีที่เหลืออยู่ ส่วนที่มีความกังวลว่าพรรคเพื่อไทย และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะมีการเคลื่อนไหวหลังจากมีมติดังกล่าวนั้น เราจะไม่เคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เพราะจะกลายเป็นตัวป่วนขาดความชอบธรรม แต่จะรอสัญญาตามโรดแมปที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ไว้ว่าจะมีการเลือกตั้ง เรารอได้
ผมว่า รฐน ใหม่น่าจะวางให้แก้ยากแล้วนะ ประมาณโครงสร้าง 3 อำนาจน่าจะแก้ยากขึ้น ถ้าแก้ต้องทำประชาพิจารณ์ หรือต้องมีการรณรงค์จาก ปชช. มาก่อน ส่วนพรรคนี้ ตายตรง จำนำข้าวไปละ ถ้ายังกลับมาอีกก็คงวัดระดับคนได้ ทุจริตกุไม่สน คนพวกนี้ยังมีเหลืออยู่อีกเยอะใหม ถ้าจะให้ คสชใจัดการอะไร พรบ โซเชี่ยลกะลังออกน่าจะกำจัดพวกเพ้อเจ้อผ่าน FB ทวิต ได้เยอะ
ขอสนับสนุนข้อเสนอของประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) คุณชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานคตง. http://www.oknation.net/blog/black/2015/01/16/entry-1 โดย สุทธิชัย หยุ่น ข้อเสนอของประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) คุณชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ให้กรมสรรพากรใช้อำนาจทางกฎหมายตรวจสอบการเสียภาษีของนักการเมืองและข้าราชการที่ “ร่ำรวยผิดปกติ” เป็นเรื่องน่าสนใจและน่าจะนำมาปฏิบัติเพื่อเป็นอีกมาตรการหนึ่งในการปราบคอร์รัปชั่นของประเทศให้ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น รัฐมนตรีคลังสมหมาย ภาษีบอกนักข่าวว่า “อยากให้ สตง. ส่งหนังสือมาโดยเร็ว เพราะคลังจะไม่เพิกเฉย จนถูกถอนออกจากตำแหน่ง” เว็บไซท์ THAIPUBLICA รายงานเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ที่ผ่านมามีการนำเสนอข่าวสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการใช้จ่ายเงินของภาครัฐ ทั้งในระดับกระทรวง ทบวง กรม รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่ยังไม่มีกรณี สตง. ตรวจสอบหน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดเก็บรายได้ เช่น กรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทั้งที่กฎหมายให้อำนาจ สตง. ดำเนินการได้ หลังจากคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ชุดใหม่ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2557 นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธาน คตง. มอบนโยบายเจ้าหน้าที่ สตง. ตรวจสอบหน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดเก็บรายได้ให้กับรัฐบาล ซึ่งนอกจากจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มและลดการขาดดุลงบประมาณแล้ว ยังเป็นมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันที่มีประสิทธิภาพสูงด้วย ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2558 นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธาน คตง. กล่าวว่าเร็วๆนี้สตง. จะทำหนังสือถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.), นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ใช้อำนาจตามมาตรา 49 แห่งประมวลรัษฎากร ประเมินภาษีนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงที่ร่ำรวยผิดปกติ โดยนำรายการบัญชีทรัพย์สินที่รายงานต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาตรวจสอบยันกับแบบแสดงรายการของผู้เสียภาษี ทั้ง ภ.ง.ด.90-91 หากตรวจพบรายการใดยังไม่ได้เสียภาษี ก็ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 49 ประเมินและจัดเก็บภาษีเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน ทั้งนี้ สตง. จะให้เวลากรมสรรพากร 1 ปี ดำเนินการจัดเก็บภาษีให้ถูกต้อง หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและอธิบดีกรมสรรพากรไม่ปฏิบัติตามนโยบาย คตง. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 ถือว่ามีความผิดทางวินัย ซึ่งมาตรา 64 มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ สตง. จะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 157 “มาตรการดังกล่าวนี้ ผมต้องเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมก่อน คสช. จะให้มีการเลือกตั้ง เพราะถ้ามาตรการชุดนี้บังคับใช้หลังเลือกตั้งได้รัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนฯ มาแล้ว คงไม่มีอธิบดีกรมสรรพากรคนไหนกล้าเก็บภาษีนักการเมืองและพรรคพวก แต่ถ้าทำได้ก่อนเลือกตั้ง นอกจากจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มแล้ว ยังช่วยสกัดกั้นไม่ให้นักการเมืองและข้าราชการที่คอร์รัปชันเข้าสู่สนามการเลือกตั้งได้ เพราะมีความผิดทางอาญาฐานโกงภาษี ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. ก่อนลงสมัครเลือกตั้ง”นายชัยสิทธิ์กล่าว นายชัยสิทธิ์กล่าวต่อว่าในสมัยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ยึดอำนาจการปกครองจาก พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ดำเนินการยึดทรัพย์นักการเมืองหลายท่าน ถึงแม้ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นการยึดอายัดทรัพย์สินไม่ถูกต้อง แต่รัฐบาลขณะนั้นได้ให้กรมสรรพากรดำเนินการจัดเก็บภาษี โดยใช้มาตรา 49 แห่งประมวลรัษฎากร ปรากฏว่ามีนักการเมืองหลายคนยอมจ่ายภาษีให้สรราพากรแต่ไม่เป็นข่าว อย่างเช่น ที่จังหวัดสุพรรณบุรีเสียภาษีให้กรมสรรพากรเกือบ 1,000 ล้านบาท ต่อมาในสมัย พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ทำการรัฐประหาร มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ทำการยึดทรัพย์นักการเมือง แต่กรมสรรพากรไม่ใช้อำนาจตามมาตรา 49 เก็บภาษีนักการเมือง มาถึงสมัย คสช. ก็ยังไม่มีการใช้อำนาจตามมาตรา 49 ดำเนินการจัดเก็บภาษีกับนักการเมือง ข้าราชการ ที่ร่ำรวยผิดปกติอีก ทาง คตง. จึงต้องทำเรื่องเสนอรัฐบาลให้กระทรวงการคลังและกรมสรรพากรดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เมื่อกระทรวงการคลังพร้อมจะดำเนินเรื่องนี้อย่างจริงจัง จึงเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่จะต้องเดินหน้าประเมินทรัพย์สินของนักการเมืองและข้าราชการอย่างเคร่งครัด เอาจริงเอาจังเพื่อพิสูจน์ว่าคนที่อาสามาทำหน้าที่รับใช้ชาติไม่อาจจะหลบลี้ความรับผิดชอบเรื่องการเสียภาษีได้ เพราะชาวบ้านตาดำ ๆ ไม่มีทางหลีกหนีการเสียภาษี ที่หลบหลักกฎหมายได้ก็คืออภิสิทธิชนอย่างนักการเมืองและข้าราชการบางกลุ่มบางคนนั่นแหละ
เชื่อเหอะ คสช.ไม่ยอมไปหรอก จนกว่าจะมั่นใจแร้วจิง ๆ ว่า ระบอบทักษิณไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี แร้วจิง ๆ
ทำให้เห็นเป็นบรรทัดฐาน ว่า การกระทำแบบเสื้อแดงในอดีต เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ผิดกฏหมาย ผิดศีลธรรม และปลูกฝัง ค่านิยม๑๒ประการ ให้เป็นค่านิยมที่ยั่งยืนต่อคนไทย มีศีลธรรม เคารพกฏหมาย รู้ดีรู้ชั่ว จะเป็นภูมิคุ้มกันระบบทุนนิยมสามานย์ ของคนไทยไปได้อีกนาน
ก่อนนั้นแม้วใช้บริการ cnn พักหลังมาใช้บริการ bcc เพื่ออ้างสื่อนอก ที่ผ่านมาก็เหมือนแมงหวี่ทำให้รำคาญ ถ้าใช้ไม่ได้ผลเดี๋ยวก็เลิกเอง ผมคิดว่ากลุ่มอำนาจเก่าฝ่ายแม้วพยายามป่วนให้คนวงนอกประเทศสับสน อาจจะเพราะทาง จนท สหรัฐจะเดินทางมาเยือนไทยก็ได้ แต่ก็รู้ว่าเมื่อสหรัฐมาความจริงจะปรากฏขึ้น
แปะอีกนิดนุง ปชช. พอใจบ้านเมืองสงบ หลัง คสช.ยึดอำนาจ โดย ไทยรัฐออนไลน์ 25 ม.ค. 2558 11:32 ปชช. พอใจบ้านเมืองสงบ-ราคานํ้ามันลด หลัง คสช. ยึดอำนาจ 87.24 % มองของแพงค่าครองชีพสูง-จำกัดเสรีภาพแสดงความเห็น วันที่ 25 ม.ค. สวนดุสิตโพล ได้ทำการสำรวจความเห็นของประชาชนทั้วประเทศ กรณี 22 พ.ค. 2557 มีการทำรัฐประหารโดยคณะ คสช. ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สถานการณ์ในภาพรวมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์บ้านเมือง การปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ ต่างเป็นที่จับตามองของสังคมและกลุ่มที่เกี่ยวข้องต่างๆ ว่าจะมีเรื่องอะไรบ้างที่จะดีขึ้นหรือจะแย่ลงไปกว่าเดิม เพื่อเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 1,317 คน ระหว่างวันที่ 20-24 มกราคม 2558 สรุปผลได้ ดังนี้ 1. สิ่งที่ประชาชนคิดว่า “ดีขึ้น” หลังจากรัฐประหาร คือ อันดับ 1 บ้านเมืองไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวาย ไม่มีการชุมนุมประท้วง 84.97% อันดับ 2 ราคาน้ำมันลดลง มีการปรับขึ้นเงินเดือนราชการ 83.83% อันดับ 3 ประชาชนมีความสุข สบายใจ ใช้ชีวิตเป็นปกติ 79.50% อันดับ 4 การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน 78.82% อันดับ 5 การจัดระเบียบต่างๆ เช่น รถตู้ วินมอเตอร์ไซค์ ทางเท้า ชายหาด ฯลฯ 75.91% 2. สิ่งที่ประชาชนคิดว่า “แย่ลง” หลังจากรัฐประหาร คือ อันดับ 1 ของแพง ค่าครองชีพสูง พ่อค้าแม่ค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า 87.24% อันดับ 2 การจำกัดสิทธิเสรีภาพ การแสดงความคิดเห็น 80.18% อันดับ 3 ภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาต่างชาติ 76.08% อันดับ 4 ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ การส่งออกยังไม่ดี 65.15% อันดับ 5 การแก้ไขปัญหาไฟใต้ 64.01% 3. “ประชาชน” ได้อะไรบ้าง? จากการรัฐประหารในครั้งนี้ อันดับ 1 บ้านเมืองสงบสุข ทำให้สบายใจ ไม่กังวล ไม่เครียด 77.90% อันดับ 2 รัฐบาลใส่ใจปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมากขึ้น 76.99% อันดับ 3 ของขวัญปีใหม่ กิจกรรมคืนความสุขให้กับประชาชน 71.98% อันดับ 4 บทเรียนในการอยู่ร่วมกันในสังคม ควรรักและสามัคคีกัน 68.34% อันดับ 5 ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองมากขึ้น ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง 66.51% 4. “ประเทศไทย” ได้อะไรบ้าง? จากการรัฐประหารในครั้งนี้ อันดับ 1 กลับคืนสู่สภาวะปกติ บ้านเมืองสงบเรียบร้อย 82.23% อันดับ 2 มีการตรวจสอบและดำเนินการกับผู้ที่กระทำผิดทุจริตคอร์รัปชันอย่างเป็นรูปธรรม 79.73% อันดับ 3 ฟื้นฟูและพัฒนาประเทศทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมให้เป็นระบบมากขึ้น 74.94% อันดับ 4 ผู้นำที่เป็นทหาร มีความเด็ดขาด จริงจัง 73.58% อันดับ 5 สังคมมีระเบียบ ประชาชนให้ความร่วมมือ 67.88%. ที่มา http://www.thairath.co.th/content/476937
มั่นใจตามนี้มากเลย ส่วนแกนนอน อาจนอนยาว คัยจะรู้ ขวานไชยังบอกว่าถูกบล็อก จิงน่าจะมีโทรไปขอความเห็นมากกว่า ที่สำคัญกำลังทุนไม่มา กำลังแรงก้อไม่มี ขนาดคู่กัดตึกแดงยังเปลี่ยนเป็นตึกเขียว เอาว่าขนาดกำลังเงินพร้อม แรงฮึดสูง พร้อมบอกว่ามานำหน้า หรือว่ามีคนอาสาว่าจะนำเข้า ประกาศว่าเวลาเพลาเผพรบจะเข้ามา หลับไป 8ปี แมร่งยังเร่ร่อนอยู่เลย ไหนยังมีข่าวถูกยุบพรรคอีก เหนื่อยหว่ะ!!
ตอนนี้มีแต่แนวร่วมระดับบนเท่านั้นที่ยังหลับหูหลับตาเชียร์ นักวิชาการ เชื่อ ชินวัตร-เพื่อไทย กลับมาผงาดใหม่หลังเลือกตั้ง ชี้เป็นผลดีจากการถอดถอน ประชาชนเห็นใจ นายอดิศร เนาวนนท์ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้ออกมากล่าวถึงกรณีที่ สนช. มีมติถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า การถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีโดย สนช. จะส่งผลดีต่อพรรคเพื่อไทยที่รอวันเลือกตั้งครั้งใหม่ ได้รับความเห็นใจจากประชาชน ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารในเชิงลึก เพราะข้อมูลที่รับรู้ได้ในขณะนี้คือนางสาวยิ่งลักษณ์ได้ต่อสู้ในเรื่องของนโยบาย โดยเฉพาะเรื่องการจำนำข้าวที่จะเป็นการช่วยเหลือชาวนา ทำให้เห็นว่าชาวนาได้รับผลประโยชน์จริง แต่ชาวนาไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ว่าประเทศชาติจะเสียหายอย่างไร ขณะที่นายพอล เชมเบอร์ส ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา จ.เชียงใหม่ ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องดังกล่าวผ่านทางมติชนออนไลน์ ว่า การถอดถอนตระกูลชินวัตรเป็นผลพวงมาจากการทำรัฐประหารที่คณะทหารกับกลุ่มชนชั้นสูงมีการวางแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้า ซึ่งผลจากตัดสิทธิทางการเมืองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในครั้งนี้อาจจะทำให้เราไม่เห็นภาพของตระกูลชินวัตร ดำเนินกิจกรรมทางเมืองไปอีก 5 ปี แต่ในระยะยาว ตระกูลชินวัตรจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง หากทหารไม่สามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้ ประชาชนจะรู้สึกเห็นใจตระกูลชินวัตรจนทำให้กลับมาสู่การครองอำนาจอีกครั้ง แต่ไม่แน่ว่า ทักษิณ ชินวัตร ผู้อยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อไทยตัวจริง อาจส่งตัวแทนลงรับสมัครเลือกตั้งแทนยิ่งลักษณ์ คาดว่าจะเป็นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่มา http://news.mthai.com/headline-news/415083.html มาดูภูมิหลัง นายคนนี้กันครับ ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - อาจารย์-นศ. ม.ราชภัฏโคราชฮือแต่งดำประท้วง ค้านมติสภามหาวิทยาลัยฯ เลือกอธิการบดีคนใหม่ กก.สภาฯ 3 คน สุดทนยื่นลาออก พร้อมชูป้ายประณาม “สภาอัปยศ ไม่ฟังเสียงประชาคม” ชี้ทุกขั้นตอนผ่านการกลั่นกรองมาอย่างหนัก แต่สุดท้ายสภาฯ กลับเลือกเอาคนได้คะแนนแพ้รวดทุกยกเป็นอธิการฯ โดยไม่สนความเหมาะสมตามที่คนส่วนใหญ่เลือกมา วันนี้ (18 พ.ค.) ที่บริเวณด้านหน้าอาคารสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา กลุ่มคณาจารย์และนักศึกษา จำนวนกว่า 30 คน นำโดย ผศ.ธวัช ตราชู ประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้รวมตัวกันแต่งชุดสีดำแสดงพลังคัดค้านมติสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ที่ได้ลงมติเลือก รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาคนใหม่ ในการประชุมเมื่อวานนี้ (17 พ.ค.) พร้อมกันนี้ ผู้ชุมนุมได้ชูป้ายประท้วงข้อความต่างๆ เช่น “ไม่เอาวิเชียร” “มหาลัยจะอยู่อย่างไรถ้า สภาไม่ยอมรับฟังเสียงประชาคม” และ “สภาอัปยศ ไม่ฟังเสียงประชาคม” จากนั้น ผศ.ธวัช ตราชู กับพวกได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยฯ เพื่อคัดค้านการสรรหาอธิการบดีคนใหม่ โดยมี ผศ.คมกฤช ตรีสินธุรส รักษาการรองอธิการบดี เป็นตัวแทนรับหนังสือ พร้อมอ่านแถลงการณ์ ก่อนเดินขบวนไปรอบมหาวิทยาลัยฯ ผศ.ธวัช ตราชู ประธานสภาคณาจารย์ และข้าราชการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเปิดเผยว่า สภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้ดำเนินการสรรหาอธิการบดีแทนตำแหน่งที่ว่างลง เนื่องจากอธิการบดีคนปัจจุบัน ผศ.ดร.เศาวนิต เศาณานนท์ ครบวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี โดยสภามหาวิทยาลัยฯ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาอธิการบดีขึ้นมา จำนวน 9 คน ภายใต้ข้อบังคับของมหาวิทยาลัยฯ และ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 ซึ่งในมาตรา 28 อธิการบดีนั้นจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยคำแนะนำของสภามหาวิทยาลัย จากผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 29 ต่อมา คณะกรรมการสรรหาฯ ได้ดำเนินการให้หน่วยงานในมหาวิทยาลัย จำนวน 14 หน่วยงาน เสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดี หน่วยงานละ 1 รายชื่อ ปรากฏว่ามีผู้ได้รับการเสนอชื่อจากหน่วยงานทั้งสิ้น 5 คน เรียงลำดับตามจำนวนหน่วยงาน คือ อันดับ 1 ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ จำนวน 6 หน่วยงาน อันดับ 2 รศ.ดร.นภัทร์ น้อยน้ำ จำนวน 3 หน่วยงาน และอันดับ 3 รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล จำนวน 2 หน่วยงาน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ไม่ได้ถูกเสนอชื่อสมัครเข้ารับการสรรหาอีก 3 คน ร่วมเป็นผู้เข้ารับการสรรหาทั้งสิ้น 8 คน จากนั้น คณะกรรมการสรรหาฯ ได้จัดให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ต่อหน้าประชาคม มีการสัมภาษณ์ กลั่นกรอง พิจารณาคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ และให้คะแนนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อเลือกให้เหลือ 3 คน เพื่อนำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยฯ ปรากฏว่า ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ มาเป็นอันดับ 1 ได้คะแนน 87.36 อันดับ 2 รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล ได้คะแนน 77.41 และอันดับ 3 ดร.สุนทรี ศิริอังกูร ได้คะแนน 72.30 ล่าสุด เมื่อวานนี้ (17 พ.ค.) คณะกรรมการสรรหาฯ ได้นำรายชื่อทั้ง 3 คน ดังกล่าว เสนอต่อสภามหาวิทยาลัยฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2556 แต่ผลปรากฏว่า สภามหาวิทยาลัยฯ ได้ลงมติ 11 เสียง เลือก รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล และ 9 เสียงเลือก ศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ ทั้งที่ได้รับการเสนอชื่อจากหน่วยงานมหาวิทยาลัยมากที่สุดถึง 6 หน่วย ซึ่งแสดงถึงการยอมรับของบุคลากรในมหาวิทยาลัยมากกว่า รศ.ดร.วิเชียร ที่ได้รับการเสนอจากหน่วยงานเพียง 2 หน่วยงาน อยู่ในอันดับที่ 3 นอกจากนี้ คะแนนในส่วนของคณะกรรมการสรรหาฯ ยังได้มาเป็นอันดับ 1 จำนวน 87.36 มากกว่า รศ.ดร.วิเชียร ซึ่งได้มาเป็นอันดับ 2 จำนวน 77.41 อย่างเห็นได้ชัดเจน แต่สภามหาวิทยาลัยฯ กลับมีมติที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 มาตรา 28 ฉะนั้น วันนี้พวกเราในฐานะกรรมการสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วย ประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการ ตัวแทนผู้บริหาร และผู้แทนคณาจารย์เห็นว่า มติของสภามหาวิทยาลัยฯ ดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ได้คำนึงถึงบทบัญญัติใน พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเสียงสะท้อนของประชาคมในมหาวิทยาลัย และไม่ได้รักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมองค์กรที่ยึดถือกันมาโดยตลอดอย่างยาวนาน จึงขอคัดค้านมติสภามหาวิทยาลัยดังกล่าว ทั้งนี้ เพราะเป็นมติที่ทำลายวัฒนธรรมองค์กร ก่อให้เกิดความแตกแยกในองค์กร และขอแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากการเป็นสภาคณาจารย์ และข้าราชการ และการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยฯ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป “ผม พร้อมด้วย รศ.พรณีย์ ตะกรุดทอง และ อ.ศักดิ์ดา นาสองสี ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยฯ เพราะกระบวนการสรรหาแต่ละขั้นตอนเราต้องระดมความคิดเห็นอย่างสาหัสจนมั่นใจว่าจะได้ผู้นำที่เหมาะสมแล้วจึงนำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยฯ ที่เต็มไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ และทรงเกียรติ เพื่อจะได้พิจารณาอย่างสมเหตุสมผล แต่สุดท้าย การสรรหาที่กลั่นกรองไว้ด้วยหลักการ และเต็มไปด้วยความยุติธรรม กลับไม่ได้ถูกนำมาอ้างอิง แต่มติที่ออกมากลับเป็นการเลือกข้าง เพื่อพรรคพวกตัวเองอย่างชัดเจน” ผศ.ธวัช กล่าว ผู้สื่อข่าวรายเพิ่มเติมว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ปัจจุบัน มีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นนายกสภามหาวิทยาลัย ซึ่งผูกขาดในตำแหน่งนี้มาตลอดเป็นเวลานานกว่า 18 ปี และมักถูกมองว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงในการสรรหาอธิการบดีคนใหม่มาทุกยุคสมัย เช่นเดียวกับครั้งนี้ ที่ นายสุวัจน์ เดินทางมาเป็นประธานประชุมสภามหาวิทยาลัยฯ คุมเกมเลือกอธิการบดีคนใหม่ด้วยตัวเอง และร่วมลงคะแนนเสียงด้วย ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000059750
วันก่อนที่ไอ้"โอ๊ค" ออกมา"พร้อมไหมพร้อม" ก็มีปฏิกริยาตอบกลับ นอกจาก"เจียม หงอก" แล้ว ก็ยังมีขาประจำในเวบของ"ลาวอพยพ" ที่สนับสนุนพวกแดงที่เคลื่อนไหวในต่างประเทศ ออกมาแสดงความเห็นกันกระหึ่ม ถ้าควบคุมเกมส์ให้ดี ผมว่าโอกาสที่ควายแดงออกมาป่วนคงจะยากขึ้น
กระพ๊มเชื่อว่าตราบใดที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ใช้สติปัญญา ลดราวาศอกหรือละเลิกสันดานเดิมๆ มักง่าย เอาแต่ได้ อ้างแต่สิทธิแบบที่จอดรถในตลาด, ชุมชนเอาป้ายไปขวาง หรือประกาศศักดา... ที่กรู... ใครอื่นจอดไม่เจ็บ รถก็พัง หรือใช้ถนน, จราจรร่วมกัน แต่วิ่งย้อนศร ไปทางที่ป้ายจราจรเค้าห้ามไม่ให้ไป... แต่กรูจะไป... พอมีอันใดชิหายขึ้นมา... กรูไม่รู้, กรูลูกใคร?, สู้ไม่ได้ก็ร้องเป็นหมาถูกน้ำร้อน... เห็นแก่ศีลธรรม มโนทำ สัตว์จะทำเถิด... ... อย่าว่าแต่ คสช. คนอีกพวกหากไม่ตายห่านกันไปเสียก่อน... แม่มก็ต้องออกมา... เรียกร้องสิทธิๆๆๆๆๆ กันต่อไปเรื่อยๆ... พระศาสดาตรัสแล้ว... ยุคพระองค์เป็นต้นไปเป็นยุคความเสื่อมของมนุษย์ (กราฟขาลง) สิ่งเดียวที่ค้ำจุนสังคมให้สันติสุขได้คือ "ศีลธรรม" ... หากปล่อยให้การกระทำเยี่ยงเดรัจฉาน กรูหิวกรูล่า กรูแข็งแรงกว่า กรูอยู่... แล้วอ้างว่ามันคือ "สิทธิ" ... นั่นแลความเสื่อม เสื่อมลงเรื่อยๆเยี่ยงที่เห็นได้อย่างกว้างขวางทุกวันนี้มันจะบังเกิดลุกลามไปเรื่อยๆจนถึงยุค... มนุษย์ฆ่ากันตลอดทั้งโลกตลอดเจ็ดวัน ศีลธรรม ความเคารพ นอบน้อมแบบญาติพี่น้อง บิดร มารดาจะหมดไป... พ่อ แม่ พี่ น้องจะสมสู่กันเอง... และเข่นฆ่ากันเองราวเห็นเป็นผักปลา...
ถึง....คนที่สงสัยว่า ใครจะเป็นนายทุน ให้เสื้อแดงอีก หน้าเหลี่ยมรวยจริง แต่งก มันคงไม่ออกเงิน แต่มันฉลาด รัฐบาลหุ่นที่ผ่านมา หน้าเหลี่ยมคงสั่งให้ รมต ต้องแบ่งเอาเงินส่วนหนึ่งที่งาบมา เข้า *กองกลาง* แค่โครงการรับจำนำข้าว *เงินกองกลาง* น่าจะได้เป็นแสนล้าน ซึ่งเพียงพอสำหรับการซื้อเสียง และ จ้าง โจรแดงป่วนเมืองอีกนับหลายสิบปี ฉะนั้น เรื่องเงินทุนของพรรคหน้าเหลี่ยมหายห่วง ไม่มีวันหมด เพราะวันใดพวกมันมีอำนาจ มันก็จะโกงสะสมอีกไปเรื่อยๆ
ผมคิดว่าพลเอกประยุทธ ต้องมีภาพไว้ในใจแล้ว ว่าสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในสภาพไหนถึงจะถอนตัวออกไป เพราะบทเรียนของ คมช ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นแล้วว่า ทำแบบให้จบๆไปน้ัน ไม่ทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้ในระยะยาว แต่ผมก็มองไม่ออกเหมือนกัน ว่าทาง คสช ต้องทำอะไรบ้าง ถึงจะมั่นใจว่า บ้านเมืองจะเดินหน้าต่อไปได้ ไม่มีการประท้วง หรือละเมิดกฏหมายบ้านเมืองให้ปั่นป่วนอีกครั้ง ถ้าให้ผมเดา ผมเชื่อว่าต้องทำให้เศรษฐกิจกลับมาดีเสียก่อน อย่างน้อยการเจิรญเติบโตทางเศรษฐกิจต้องอยู่นเกณฑ์ดี 5-6% เป็นอย่างน้อย ให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพที่กำลังเดินหน้าไปด้วยดีภายใต้การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ต่อจากนั้นต้องวางกฏหมาย รธน ให้รัดกุม ให้ทุกฝ่ายยอมรับ( อันนี้ออกจะหวังลมๆแล้งๆหน่อย ) คลื่นใต้น้ำต้องไม่มี แล้วค่อยลงจากอำนาจ อีกอย่างที่น่าจะต้องทำอย่างรวดเร็วและให้สำเร็จคือ กวาดล้างคนของทักษิณในระบบราชการให้หมดไป โดยเฉพาะพวกที่ใช้เส้นสายขึ้นมามีตำแหน่งใหญ่ๆในทุกกระทรวง เพราะพวกนี้แหละที่สำคัญพอๆกับหัวคะแนนตอนเลือกตั้งเลย ยิ่งพวก ทหารทุกเหล่าทัพ และตำรวจ( อันนี้ยากหน่อย ) ต้องวางตัวไว้ให้ดีๆ ไม่ให้พวกนั้นเอามาใช้เป็นมือไม้ในการละเมิดกฏหมายได้เมื่อมีอำนาจ ลึกๆแล้ว ผมเชื่อว่าถ้าทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้ดี ประยุทธ อาจจะอยู่ยาวอย่างพลเอกเปรมเลยก็ได้ครับ ส่วนพวกเสื้อแดงนั้น ถ้าเราสามารถทำให้คนในสังคมมองว่าน่ารังเกียจ ขัดขวางการทำมาหากินได้ ก็จะเป็นกลุ่มคนเชยๆทีน่ารำคาญ ไม่น่ากลัวอะไรหรอกครับ สิ่งสำคัญคือ ต้องทำให้เศรษฐกิจดี ให้คนส่วนมากไม่เห็นความจำเป็นของการชุมนุม เพราะไม่มีเงื่อนไขที่จำเป็นแต่อย่างได
สมุนบริวารไอ้เหลี่ยมที่มันผลักดันให้ขึ้นมามีอำนาจ ผมเชื่อว่าล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริตทั้งสิ้น ไม่ว่าจะ อธิโกงมหาลัยต่าง ๆ หลายแห่งทั้งที่เป็นข่าวดังและกำลังสอบสวนกันอยู่ เอาการปราบปรามทุจริตมาปราม เครือข่าวไอ้เหลี่ยม ถือว่าเป็นยาถูกโรค ไล่ไปเถอะไม่ว่าจะเป็น ข้าราชโกง นักการเมืองท้องถิ่น เหมือนเอากฏหมายภาษีมาปราบเจ้าพ่อ มันแพ้ทางกัน
ถ้าผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีภูมิคุ้มกันที่ดีมากกว่านี้ และนักการเมืองมีความรับผิดชอบแบบสากลจริงๆ ไม่ใช่ดัดจริตอ้างสากลตอนเลือกตั้ง ยังไงระบอบทุนสามานย์ก็จะไม่ได้ผุดได้เกิด และเผด็จการทหารก็หาข้ออ้างยึดอำนาจไม่ได้อีก