สมัยยิ่งลักษณ์ สื่อสารมวลชนโดนแทรกแซง ไม่แพ้ยุค คสช. แต่ แทรกแซงโดยการเอาเงินยัดปาก จึงไม่ค่อยมีเสียงร้องโหยหวนสักเท่าไหร่ ในยุค คสช. ก็โดนแทรกแซง (เฉพาะสื่อที่ไม่ได้เป็นมืออาชีพ) แต่แทรกแซงโดยเอารองเท้าบูทยัดปาก เลยมีเสียงร้องโหยหวน เสียงดัง เนื่องจากเจ็บและไม่ได้ตังค์ ทุกคนต้องทราบว่า สื่อมวลชน ในบ้านเราเต็มไปด้วยผลประโยชน์ แต่ ตัดขาดจากผลประโยชน์ไม่ได้ เพราะเป็นธุรกิจ ดังนั้น การปฏิรูปสื่อให้เป็นมืออาชีพนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ด้วยการควบคุมกันเอง แต่จะต้องมีกฎหมายคุ้มครองผลกระทบที่เกิดจากการรายงานข่าวเท็จ ข่าวปลุกระดม ข่าวที่ให้ร้าย ข่าวที่หวังผลทางการตลาดโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ข่าวที่ส่งผลต่อสวัสดิภาพของปัจเจกบุคคล ประชาชนทั่วไปควรมีสิทธิอย่างเต็มที่ในการฟ้องร้องการทำหน้าที่ของสื่อที่ไม่เป็นธรรม และ ได้รับผลกระทบนั้น รวมถึงหน่วยงานราชการด้วย อยากให้มีกฎหมายสักฉบับที่ เขียนขึ้นมาเป็นการเฉพาะ สำหรับผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการทำข่าวของสื่อ เพื่อให้สิทธิผู้เสียหายในการฟ้องร้องทั้งทางแพ่งและทางอาญา อยากให้มีกฎหมายสักฉบับที่ ควบคุมการแบ่งปันผลประโยชน์ของสื่อในการทำทำงานร่วมกับหน่วยงานราชการ หรือ บริษัทเอกชน เช่นการรับรายได้ และ หารายได้ของธุรกิจสื่อ ว่าควรรับงานจากหน่วยงานราชการ และ บริษัทเอกชนประเภทต่างๆ ในสัดส่วนเท่าใด ไม่จะเป็นต้องออกกฎหมายควบคุมสื่อ แต่ ออกกฏหมายคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากการทำงานของสื่อ และ กฎหมายที่ควบคุมการทำธุรกิจของสื่อกับหน่วยราชการหรือบริิษัทเอกชน เพื่อไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ หรือ การเข้าควบคุมเพื่อชี้นำข่าวสารในสังคม ผมว่าแค่นี้ ประชาชนคนไทย จะได้บริโภคข่าวสารที่ไม่เป็นพิษ ในอนาคต
ต่อไปผู้สื่อข่าวตามสื่อแขนงต่างๆ จะต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเหมือนอาชีพสำคัญอื่นๆ หรือเปล่า ถ้าเสนอข่าวเท็จ ทำให้ผู้เสียหายได้รับผลกระทบ หรือผู้สื่อข่าวกระทำตนเสื่อมเสียผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ ก็พักหรือยกเลิกใบอนุญาตไป แล้วแต่กรณี ??
สื่อบางคนที่ชอบอ้างว่า... "สื่อมวลชนมีหน้าที่และเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารต่อประชาชน ตามหลักการสากลว่าด้วยจริยธรรมทางวิชาชีพของสื่อมวลชน (International Principles of Professional Ethics in Journalism) ในการให้ประชาชนรู้ความจริง ทำงานอย่างซื่อสัตย์เพื่อรักษาและรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมผ่านการเผยแพร่ข่าวสารในสังคม" ไม่กระดากปากเวลาพูดถึงเรื่องจริยธรรม ซื่อสัตย์ รับผิดชอบต่อสังคมบ้างหรอเนี่ย... ไม่อายบ้างหรือไงนะ... ทุกวันนี้ข่าวสารที่บิดเบือน แหล่งข่าวโซเชี่ยลที่ไม่น่าเชื่อถือ การใส่สี ความเห็นลงในข่าวเพื่อสร้างกระแสความแตกแยก การคุกคามสิทธิส่วนบุคคลเพื่อทำข่าว เช่น ดารา สื่อบางรายเอาแต่อ้างว่าคนนู้นคนนี้คุกคาม แตะต้องไม่ได้ คงไม่ได้ส่องกระจกดูตัวเองเลย ว่าตัวเองนั่นแหล่ะที่แตะต้องไม่ได้ โดนตำหนิ ดิเตียนไม่ได้ ทนรับไม่ได้ถ้าจะบอกว่าตัวเองไร้จรรยาบรรณ ไร้จริยธรรม เอาแต่ใช้คำว่า "เสรีภาพของสื่อ" เป็นเกราะกำบังตัวเองเพื่อให้พ้นผิด พ้นจากคำตำหนิต่างๆนานา ไม่ต่างจากคนบางกลุ่มที่ใช้คำว่า "ประชาธิปไตย" บังหน้าการคอร์รัปชั่น ปกปิดความชั่วที่ทำ
คัดออกดีกว่า มีให้เลือกเยอะ เหมือนเพาะพันธ์หมา ไม่ดีก็ขายทิ้งถูกๆ เยอะนักก็แจกๆฟรีไป ตักหางปล่อยวัดไป สมัยนี้ใครเค้าจะมาเสียเวลาฝึกฝนกัน ใช้ระบบขี้ข้า ดีที่ซู๊ด ทักษิณก็ทำแบบเนี้ย ใครไม่ช่วยพากลับบ้านก็คัดออก มีคนแย่งกันทำเยอะ
ข่าวผิดๆ หรือบิดเบือนจากสื่อนี่มีผลกระทบต่อคนหมู่มากนะครับ... ทุกวันนี้สื่อรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน หรือแค่ลงคอลัมน์เล็กๆแล้วก็จบ แล้วอ้างว่าเสรีภาพในการนำเสนอ... ไม่มีทั้งจริยธรรม ไม่มีทั้งคุณธรรม ไม่มีทั้งความรับผิดชอบ ไม่มีทั้งความละอาย ไม่มีทั้งความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ (ปล. สื่อบางคน บางกลุ่มนะครับ)
ท่านนายกบอกว่าจะไม่มีการผ่อนปรนใดๆ ทั้งสิ้นและกำลังจะเชิญสื่อไปคุยนี่ครับ งานนี้สื่อขายตัวได้ร้องกันมั่งล่ะ แล้วก็สื่อสมัยนี้ไม่ได้โบราณอะไรขนาดที่จะมีแต่สื่อมวลชนที่สามารถหาข่าวได้นะ หลายๆ ข่าวทางเนตยังไวกว่าและถูกต้องกว่า เพราะงั้นสื่อมวลชนไม่น่าอ้างเสรีภาพสื่อได้อีกแล้วถ้าสื่อมวลชนยังเสนอแต่ข่าวด้านเดียว เพราะในเนตมีข้อมูลหลักฐานที่หักล้างข้อมูลด้านเดียวของสื่อมวลชนได้ เพราะงั้นถ้าจะปฎิรูปล่ะก็ขอแค่ให้ฟ้องร้องสื่อมวลชนได้หากว่าเสนอข่าวโดยไม่มีหลักฐานหรือเสนอข่าวพาดพิงให้เสียหายโดยไม่มีหลักฐาน มันหมดเวลาของการใช้ปลายปากกาชี้นำสังคมแล้วครับ เพราะโลกโซเชียลมันไปไกลกว่านั้นเยอะแล้ว ประชาชนตาสว่างก็เพราะข่าวในโลกออนไลน์นี่แหละไม่ได้มาจากสื่อมวลชนเลยซักนิด