นับแต่"พ่อหลวง"จากไป ผมร้องไห้ทุกวัน ถึงรู้ว่าต้องทำใจ แต่ผมก็บอกกับหัวใจตัวเองว่าขอเถอะนะขอให้ผมได้ร้องไห้จนกว่าผมจะพอใจเถอะนะอย่าห้ามผมเลย คนรอบข้างเริ่มเป็นห่วงกลัวว่าผมจะเป็นโรคซึมเศร้า แต่ผมไม่พูดอะไรเพราะผมรู้ตัวเองดี จนวันที่ผมได้ไป"กราบพ่อหลวง"ผมบอกกับตัวเองว่า"พอได้แล้วนะสำหรับนำ้ตาแห่งความเสียใจ พ่อหลวงท่านจะยังคงอยู่ในหัวใจของเราเสมอ ถ้าเราเดินตามคำสอนของพ่อ พ่อท่านก็จะอยู่กับเราตลอดไป" "ตามรอยพ่อ" แอ๊ด คาราบาว Cr : baggioh oh
สวัสดียามดึกครับ วันนี้ นั่่งฟังลูกสาวเปิดเพลงสมัยใหม่ เลยถามว่า ลูกฟังเพลงอะไรของลูก ลูกบอกว่าเพลง "หล่อเลย" (พลพล) Covered by เบลล่า ไรวินทร์ Cr : B-Star Music แต่พอลงมาข้างล่าง เห็นหลานชายฝาแฝดสองคนนั่งดูทีวีอยู่ เลยถามว่า ดูอะไรกันอยู่ หลานบอกว่า ดูมิวสิคเพลง "จดหมายลาจิ๋ม" แจ๊ค ธนพล อาร์ สยาม Cr : RsiamMusic พอเดินเข้าไปในห้องแม่ พบว่าแม่กำลังดูมิวสิคเพลงนี้อยู่ "กะเทยหน้าฮ้าน" แมน มณีวรรณ อาร์ สยาม Cr : RsiamMusic : อาร์สยาม อืมอันนี้เข้าท่าเลยนั่งดูกับแม่จนจบ
สวัสดียามดึกครับ ใกล้ปีใหม่แล้ว พี่มะนาว เป็นอย่างไรบ้างครับ สบายดีหรือเปล่า คอมพิวเตอร์ซ่อมเสร็จหรือยัง ปีใหม่นี้ ผมจะต้องไปธุระที่ลำปางไปเยี่ยมญาติครับ ตอนแรกว่าจะนั่งรถไฟไปแต่ลูกกับหลานๆอยากไปด้วย เลยว่าจะเช่ารถขับไปเองพอเสร็จธุระที่ลำปางผมจะพาเด็กๆไปเที่ยวเชียงใหม่กัน อยากไปดอยอินทนนท์กับดอยสุเทพ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมไม่เคยไปมาก่อนในชีวิตเลย เคยขับรถไปไกลสุดก็แค่"ขอนแก่น" ยังหวั่นๆเลยว่าจะไหวรึเปล่า บ้านญาติที่ลำปางก็ไม่เคยไปมีแต่แผนที่ที่พี่ชาย(ลูกพี่ลูกน้อง)เขียนให้ แถมรถที่เช่าก็เป็นเกียร์ออโต้อีก เกิดมาผมก็ไม่เคยขับคงได้ฝึกตอนนี้แหละ กังวลแต่ตอนขึ้นลงเขา ไม่รู้จะเป็นอย่างไร ที่พักก็ยังไม่รู้ว่าจะไปพักที่ไหนเลยเห็นเขาบอกกันว่าต้องจองไม่อย่างนั้นจะลำบาก ผมก็จองไม่เป็น กะว่าเสี่ยงไปเอาตามมีตามเกิด "ล่องแม่ปิง" สุนทรี เวชานนท์ Cr : baifern1985
สวัสดียามดึกครับ..... วันนี้แย่เลยทำเงินหายห้าร้อยบาท ไม่กล้าบอกภรรยาด้วย คงต้องอดมื้อเย็นแบบไม่ให้ใครรู้ไปอีกหลายวัน ความรักที่ผ่านไป ไม่เคยลืม ทุกเรื่องราวล้วนอยู่ในใจเสมอ เวลาอาจผ่านไปแล้วเนิ่นนาน แต่ยังคงจำความรู้สึกในครั้งนั้นได้เสมอ และจะคิดถึงทุกครั้งที่ทำได้ เพื่อที่เราจะได้ไม่ลืม ด้วยความปรารถนาดี เอ๊ะ จิรากร Cr : GMM GRAMMY OFFICIAL เพราะกลัวต้องเสียใจเลยไม่กล้าบอกรักเธอ แต่สุดท้ายกลับเสียใจยิ่งกว่าที่ไม่มีโอกาสได้บอกเธออีกแล้ว ตอนนี้คงทำได้แค่หลับแล้วฝันไปว่าเนิ่นนานครั้งนั้นฉันได้บอกรักเธอ
สวัสดียามสายครับ "เมื่อการจากลาเป็นธรรมดาที่ต้องเข้าใจ ให้รักที่พ่อฝากไว้สถิตแนบในดวงใจนิรันดร์" (บางส่วนจากเพลง"สืบดินคู่ฟ้า) "สืบดินคู่ฟ้า" ขับร้องคีตธรรม : ปาน ธนพร แวกประยูร คำประพันธ์ : ฐิตวํโสภิกขุ วัดปทุมวนาราม ทำนอง : เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์ เรียบเรียง : เจษฎา สุขทรามร มิวสิกวิดีโอ : ภัทธิ บัณฑุวนิช Cr : Bua loy
สวัสดียามสายครับ ไม่รู้ว่าเธอหมดรักเราไปเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าเธอมีรักใหม่แล้ว ไม่รู้อันใดเลยสักอย่าง วิญญาณ Version พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ Cr : Non Watta รู้ตัวเองอีกที นี่เราตายไปแล้วหรือนี่
สวัสดียามดึกครับ จากกันเนิ่นนาน เฝ้าคิดถึงอยู่เสมอ "แค่ได้คิดถึง" ญารินดา Cr : warunee pokampa มิคาดว่าเมื่อได้กลับมาเจอ เธอถึงเป็นเธอ แต่มิใช่เธอ
คืนนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ขนหัวลุกที่เคยประสบมาให้ฟัง "กลัวผี" ไวพจน์ เพชรสุพรรณ Cr : boonliengja เรื่อง"ผีขัน" ตอนผมเป็นเด็ก ตอนนั้นได้มาอยู่รวมกับญาติๆทั้งหมด ทำให้มีเด็กแยอะมาก อยู่มาวันหนึ่งพี่สาว(ลูกพี่ลูกน้อง) มาชวนบอกให้เล่น"ผีขัน"กัน ผมก็เคยได้ยินแต่ผีถ้วยแก้วมีผีขันด้วยหรือ หลังจากฟังเรื่องพีธีกรรมเสร็จ ก็ตัดสินใจไปเล่นกัน พีธีมีอยู่ว่าผู้เล่นผีขัน(ตอนนั้นมีอยู่ห้าคน)ต้องเข้าไปในห้องน้ำที่ปิดไฟมืด ข้างในจะมีผู้ทำพิธี(พี่สาว)รออยู่โดยจะถือขันกับเทียนเอาไว้ พอเราเข้าไปแล้วก็จะไปยืนล้อมกันหลังจากนั้นพี่สาวก็ร่ายคาถา พอจบเธอก็ดับเทียน ตอนนี้มีกฏว่าพวกเราต้องหลับตาห้ามลืมตาเด็ดขาดมิฉนั้นจะพบเจอกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน หลังจากนั้นให้เอามือไปลูบที่ก้นขันที่ละคน แล้วอธิฐานในสิ่งที่อยากได้หลังจากนั้นให้เอามือมาลูบหน้าสามที แล้วรอให้คนอื่นทำ พอครบทุกคน พี่สาวก็บอกว่าให้เดินเกาะกันออกมาแต่ห้ามลืมตา จนกว่าจะไปถึงที่เหมาะสมเธอจะบอกให้ลืมตา เดินเกาะกันมาได้สักพัก พี่สาวก็บอกให้ลืมตาได้ พอผมลืมตาขึ้นมาก็พบว่ามาอยู่ที่ตลาดหน้าปากซอย แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น คนเดินผ่านไปมามองดูพวกเราแปลกๆ พอหันมามองหน้ากันเองก็พบว่า หน้าดำกันทุกคน "โธ่พี่สาวเอาถ่านทาไว้ใต้ขัน"
สวัสดียามดึกครับ "นาคอนาถา" สัญญา พรณารายณ์ Cr : จารุณี ใจแก้ว วันก่อนได้พบเพื่อนเก่าคนหนึ่ง เพื่อนคนนี้ไร้พ่อแม่ญาติพี่น้องอาศัยข้าววัดกินแต่เขาติดกาวตั้งแต่วัยรุ่น ตอนหลังพยายามเลิกเพราะอยากบวช ตอนนั้นผมถามว่า"ใครจะบวชให้มึงวะ" เขาบอกว่า"หลวงพ่อบอกท่านจะบวชให้ถ้ากูเลิกกาวได้" ผมยินดีด้วยแต่สุดท้ายถึงเขาเลิกได้ คนแถวนั้นก็ไม่ยอมรับให้บวช ด้วยเหตุผลต่างๆนาๆที่สรรหามาอ้าง เพื่อนเสียใจอยู่พักหนึ่งแต่เขาก็ไม่ได้กลับไปดมกาวอีก วัันก่อนแวะเข้ามาหาผม บอก"กูไปตามหาเมียกับลูกกูที่หนีไปมา" (เมียเขาพาลูกหนีไปเกือบยี่สิบปีแล้ว) ผมถาม"แล้วมึงเจอหรือเปล่า" เขาบอกว่า"กูไม่เจอเมียแต่กูเจอลูกมันโตเป็นหนุ่มแล้ว กูเข้าไปคุยแต่กูไม่ได้บอกว่ากูเป็นพ่อ ก่อนกลับกูบอกว่าไปถามแม่ดูว่าเราเป็นใคร" ผมถามว่า"ทำไมมึงไม่บอกไปวะว่ามึงเป็นพ่อมัน" เขาบอกว่า"กูไม่กล้า ให้แม่มันเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะบอกไหมเพราะกูคงไม่กล้าไปยุ่งเกีี่ยวกับพวกเขาอีกแล้ว พวกเขาอยู่สุขสบายดี กูคงเป็นได้แค่เด็กวัดไปจนตาย" "เราเลือกที่จะทิ้งเพื่อนใจคนเดียวที่มี เพื่อไปอยู่กับเพื่อนรอบกายที่มีมากมาย" "ผัวเก่า" ศร สินชัย Cr : ad orton "ตอนนี้รู้แล้วว่าเลือกผิด แต่ก็ไม่คิดจะกลับไป เพราะละอายแก่ใจตัวเอง"
สวัสดียามดึกครับ พี่มะนาว ช่วงนี้เพื่อนเก่าๆเข้ามาหาบ่อย(ผมไม่มีโทรศัพท์)เพราะใกล้วันงานคล้ายวันสถาปนาโรงเรียนซึ่งผมก็ไม่เคยไปแต่เพื่อนๆก็ต้องมาตามทุกที ปีนี้พวกเพื่อนๆไปขุดหาเพื่อนซี้ผมสมัยปีหนึ่งมาได้อย่างไรไม่รู้ ต่อสายให้คุยกันเสร็จสรรพ แถมเพื่อนซี้ยังปล่อยหมัดเด็ด บอกกับผมว่า "กูคิดถึงมึงมากนะโว้ย พอรู้ว่ามีงานเลี้ยงศิษย์เก่า คนที่กูคิดถึงและอยากเจอเป็นคนแรกเลยคือมึง" ฟังแล้วผมนิ่งเลย คิดในใจปีนี้คงต้องพยายามไป เลยพยายามขออนุญาตภรรยาอยู่หลายครั้ง ชักแม่น้ำมาไม่รู้กี่สายเธอก็ยังไม่ยอมให้ไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร "คิดถึง" ป๋อง ณ ปะเหลียน Cr : carahuana "บางครั้งความสุขที่ได้จากการคิดถึงกันนั้นยังมากกว่าความสุขยามที่เราได้พบกันเสียอีก"
สวัสดีปีใหม่ครับ พี่มะนาวและเพื่อนๆ (ช้าไปหรือเปล่า) "ช้าไปหรือเปล่า" The Must Cr : tatar HK อีกสักพักผมต้องออกเดินทางไป"เชียงใหม่"ต่อคงต้องขอลาหยุดสักอาทิตย์ แล้วจะเก็บภาพสวยๆมาฝาก (ปีที่แล้วพี่มะนาวไปมาแล้วปีนี้ผมเลยอยากไปบ้าง ความจริงไปเยี่ยมญาติที่"ลำปาง"นะครับเลยถือโอกาสเลยไปเที่ยวต่อ) "ล่องแม่ปิง" สุนทรี เวชานนท์ Cr : nodemx "ม้าอยู่เหนือ เสืออยู่ใต้ ของดีอยู่ใกล้ น้ำไหลทรายมูล"
สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้"วันครู" "รางวัลของครู" ปาน ธนพร Cr : Knic สห ถม ดิน สมัยเรียนชั้นประถมสิ่งหนึ่งที่เป็นอุปสรรคในการเรียนคือความหิว เงินในกระเป๋าไม่เพียงพอให้ซื้ออะไรได้สักอย่าง อาศัยน้ำก็อกของโรงเรียนเพื่อประทังความหิว ตอนนั้นมีหลายคนบอกว่ากินน้ำก็อกมากๆระวังจะเป็นนิ่วนะ ผมไม่รู้ว่า นิ่ว คืออะไรรู้แต่ว่ามันช่วยให้เราหายหิวได้ จนกระทั่งมี"โครงการอาหารกลางวัน"กับ"โครงการนมถั่วเหลือง"(อันนี้ทางโรงเรียนได้เครื่องทำมาแต่ต้องให้นักเรียนจัดกลุ่มลงไปช่วยทำ สักช่วงบ่ายๆก็จะได้นมถั่วเหลืองแจกกันคนละแก้วแล้ว) สองโครงการนี้ทำให้ผมและเพื่อนๆอีกหลายคนที่เป็นคนมีฐานะ (ยากจน) ไม่ต้องอดๆอยากๆอีกต่อไป ปล.นานๆที จะมีรถมาแจก ไมโล โอวัลติน เย็นๆสักที ได้คนละแก้วอร่อยมากๆ ผมดีใจมากเลยถ้ารู้ว่าเขามาเพราะไม่ได้กินแน่ๆถ้าเขาไม่มาแจก
ผมขอเอารูปที่ไป"เชียงใหม่"มาแขวนไว้ใน"บ้านพยับหมอก"นะครับ"พี่มะนาว" ออกเดินทางจากบ้านตอนหัวค่ำ ขับไปทาง อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี นครสรรค์ กำแพงเพชร ตาก ลำพูน เช้าที่ ลำพูน แวะ "พระธาตุหริภุญชัย" เป็นวัดประจำปีเกิดของลูกสาว"ปีระกา"
หลังจากนั้นออกเดินทางไปต่อ จุดหมายคือ"ดอยอินทนนท์" แต่กว่าจะออกจาก เมืองหริภุญชัย ได้ หลง เหมือนเคย หลงแล้วหลงเล่า จนกระทั่งได้พบกับ บุรุษไปรษณีย์ เขาก็ชี้ทางให้ไปต่อได้ ขับมาตามทางที่เขาบอกเรื่อยๆจนกระทั่ง หลง อีกแล้ว ลงไปถามแม่ค้าส้มตำข้างทาง ในที่สุดก็ไปต่อได้อีก และในที่สุดก็สมหวัง ด่านตรวจที่หนึ่ง"ดอยอินทนนท์" หลังจากจ่ายค่าผ่านด่านเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าขึ้นดอยทันที แต่พอเห็นทางขึ้น ผมก็อุทานในใจทันที "กูจะขึ้นไหวไหมเนี้ย" แต่ด้วยความเสียดายค่าที่พักที่โอนไปเรียบร้อยแล้ว ยังไงก็ต้องขึ้นไปแบบใจสั่นๆ
บอกตามตรงตั้งแต่เกิดมาพี่ไม่เคยขับรถขึ้นเขาเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ในชีวิต เดี๋ยวจะเล่าต่อไปว่ารอดกลับมาได้อย่างไร
หลังจากที่ขับรถมาถึงที่ทำการ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ แบบเหงื่อแตกพลัก ก็เข้ายื่นหลักฐานการจอง ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ที่พักต้องขับย้อนกลับลงไปอีกนิด(หนึ่งใจสั่น) พอได้ฟังคำอธิบายพร้อมกุญแจ ก็ขับไปที่พักทันทีเพราะเหนื่อยมากอยากอาบน้ำนอน มาถึงจุดกางเต็นท์และบ้านพัก แต่บ้านพักต้องขึ้นเขาไปอีกนิด มาถึงบ้านพัก เด็กๆชอบกันใหญ่แต่ที่ไม่ค่อยชอบคือต้องจอดรถเอียงๆอยู่ตรงถนน มองไปเห็นหินก้อนใหญ่สี่ก้อน คิดในใจว่าเขาคงเอาไว้ให้รองล้อแน่เลย บ้านพักมีสองห้องนอน ผมบอกว่า ขอนอนสักงีบนะช่วยกันจัดของเองแล้วกัน ในห้องมีสี่เตียง สองห้องก็นอนได้แปดคน ตื่นมาช่วงเย็นพอดีเลยพากันเดินลงมาหาข้าวกินกัน ผ่านป้อมตรวจ เลยถามเขาว่ามีรถเช่าขึ้นไปยอดดอยไหม เขาบอกมี ผมคิดว่าดีละพรุ่งนี้เช่ารถขึ้นไปดีกว่า ขณะที่กินช้าวกันอยู่ก็เหมือนพื้นมันสั่นๆเหมือนรถสิบล้อวิ่งผ่านแต่ถนนก็โล่งชาวบ้านบอกว่าแผ่นดินไหวอีกแล้ว อาทิตย์นี้ไหวบ่อย "โอ้ลำพังขับรถขึ้นดอยก็ตื่นเต้นพอแล้วนี่ยังมีแผ่นดินไหวอีกลืมไม่ลงจริงๆ" เดินกลับขึ้นมาที่พัก ก็มืดแล้วผมสังเกตุว่าเด็กๆคอยเดินตามผมตลอด ลูกสาวบอกว่าพี่เขากลัวผีกัน ไม่กล้าอยู่ในห้องกันเอง ตกลงคืนนั้นต้องนอนในห้องเดียวกันดีที่ผมเตรียมเครื่องนอนชุดใหญ่ไปด้วยเลยปูนอนกันที่พื้นสบาย (ในกลุ่มมีผมกับภรรยาที่เป็นผู้ใหญ่ที่เหลืออีกห้าคนอายุไม่เกินสิบห้าเลย) ก่อนนอนบอกกับหลานๆว่าพรุ่งนี้อาจะเช่ารถขึ้นไปยอดดอยกันตอนตีสี่รีบนอนเอาแรงกันนะ แต่กว่าจะหลับได้ก็มีพ่อแม่พี่น้องญาติสนิทมิตรสหายอีกหลายคนโทรเข้ามาถามความเป็นไปอีกหลายคนกว่าจะได้นอน นี่หลานสาววัยสิบสามปีมือกล้องของการเดินทางครั้งนี้ ทุกรูปที่ได้เป็นฝีมือของเธอ ราตรีสวัสดิ์ครับ
ถ้าจำไม่ผิด ผมเคยไปอินทนนท์ 2 ครั้งได้มั้ง แต่ยังไม่เคยไปพักเลย ... ขึ้นแล้วก้อลงเลย ครั้งนึง (หรือสองครั้งหว่า) กับ ขึ้นไม่ถึงยอดอินทนนท์ ไปพักที่แม่วาง ครั้งนึง ..
สวัสดียามบ่ายครับ "ภูเขา" คาราวาน Cr : BlackCapricorn13 "และการเดินทางในวันต่อมา" ด้วยความตั้งใจแต่เดิมทีว่าจะต้องขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดดอยอินทนนท์ให้ได้ บอกกับหลานๆรีบนอนให้ไวพรุ่งนี้ตีสี่ตื่น แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่คิด ตื่นมาคนแรกหกโมงแล้วไม่มีใครเรียกไม่มีใครตื่น รีบบอกหลานๆให้เตรียมตัว แล้วเดินลงมาที่ป้อมด่านล่างพบกับเจ้าหน้าที่สาว(น่ารักมาก) เธอพยายามติดต่อหารถขึ้นยอดดอยให้แต่สุดท้ายก็ไม่มีเนื่องจากขึ้นไปกันหมดแล้ว พาลูกกับหลานๆนั่งเล่นอยู่แถวนั้นแบบผิดหวัง ประมาณครึ่งชัวโมง เจ้าหน้าที่คนเดิมก็เดินมาบอกว่าติดต่อรถให้ได้แล้วนะกำลังจะมา หลานๆเฮกันใหญ่ นั่งรอสักพักรถก็มา แต่เนื่องจากเวลาจำกัด(ต้องออกจากบ้านพักก่อนสิบเอ็ดโมง)จึงตัดสินใจไปยอดดอยอย่างเดียว ทางโหดมาก ผมนั่งมองเขาขับกับถามเทคนิด (เตรียมไว้ตอนขับลง) ทำให้เข้าใจและมั่นใจขึ้น และก็มาถึงด่านตรวจที่สอง
ขับมาตามทางที่แสนจะชันและโค้งในที่สุดก็มาถึงยอดดอยอินทนนท์ หลังจากเก็บภาพตามจุดต่างแล้วก็กลับลงมาที่พักกัน (วันนั้นยอดดอย 5 องศา) กลับมาก็เก็บของเตรียมลงดอยไปพบกับญาติที่ตามมาจากกรุงเทพอีกกลุ่มหนึ่ง จุดนัดพบคือ "พระธาตุศรีจอมทอง" หลังจากเรียนเทคนิคมาแล้วขาลงเลยไม่ลำบากสบายๆหันไปคุยกับภรรยาว่า"ไม่ต้องห่วงฉันมั่นใจแล้วคราวนี้พร้อมไปทุกดอย" (คุยไปโดยหารู้ไม่ว่ายังมีดอยที่โหดกว่านี้อีก ) นี้เป็นรถสองแถวที่วิ่งอยู่แถวนั้น เราจะนั่งแบบรถโดยสารคิดตามค่าหัวก็ได้(แต่คนต้องเต็มก่อนถึงจะออก) หรือ จะเหมาทั้งคันเลยก็ได้ไปทุกทีบนดอย ส่วนราคาอยู่ที่ความสามารถกับโอกาสของเรา
สวัสดียามดึกครับ "กำลังใจที่เธอไม่รู้" เสถียร ทำมือ Cr : Ya Vittaya "จุดหมายต่อไป พระธาตุศรีจอมทอง " หลังจากคืนกุญแจให้ทาง อุทยาน และรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็ถึงคราวลองวิชา(การขับรถ) ออกตัวได้ใส่เกียร์สองตลอดทาง พอรอบขึ้นสูงก็แตะเบรค ในที่สุดก็ลงมาแบบสบายๆ(โดยที่ยังไม่รู้ว่ายังมีดอยที่โหดกว่านี้รออยู่) ปัญหาต่อมาก็คือ"พระธาตุศรีจอมทอง"อยู่ไหน ถามคนมาเรื่อยจนชักเริ่มไม่แน่ใจ แต่ก็มาถึงจนได้ ขณะที่กำลังไหว้พระกันอยู่ ก็มีเจ้าหน้าที่ มาบอกว่าด้านหลังมีวัตถุโบราณที่ทำจากทองคำให้ชมกัน เลยเดินเข้าไปดูกัน เจ้าหน้าที่บอกว่าทุกชิ้นทำจากทองคำทั้งนั้น และกำลังสร้างสถานที่เก็บใหม่อยู่ หลังจากไหว้พระเสร็จก็ออกมารอทีมที่สองที่ตามมาอีกแปดคน ในที่สุดก็มากันครบทีม โดยพี่ชาย(ลูกพี่ลูกน้อง)บอกว่าเดี๋ยวเราไปเช็คอินที่โรงแรมกันก่อนแล้วตอนเย็นไปถนนคนเดินกัน ใครเกิดปีชง ทางวัดแนะนำให้ เอาฟักทองไปถวายพระในโบสถ์
สวัสดียามสายครับ "รักแท้ไม่ได้แปลว่าโง่" ไผ่ พงศธร Cr : GRAMMY GOLD OFFICIAL หลังจากเข้าที่พักกันแล้ว ก็เดินทางไป ถนน คนเดินกัน โดยไปจอดรถที่ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ด้านในโบสถ์ มีจิตกรรมฝาผนัง ฝั่งขวาวาดโดยคนไทยเป็นเรื่อง"สังข์ทอง" ฝั่งซ้ายวาดโดยคนจีนเป็นเรื่อง"สุพรรณหงส์" โดยวาดพร้อมกัน เราแทบดูไม่ออกเลยว่าฝั่งไหนใครวาดถ้าไม่มีคนบอก (ผมไม่รู้หรอกครับพอดีวันนั้นคุณครูเขาพานักศึกษามาเที่ยวเลยได้ฟังไปด้วย) หลังจากนั้นก็ไป"ถนนคนเดิน"กันต่อโดยอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัด เดินจนปวดขายังไม่ทั่วเลยตัดสินใจกลับกัน รองท้องด้วย"ไข่ปาม" ก่อนกลับ (ผมคนเดียวห้าไม้)
คืนที่สองใน"เชียงใหม่" คืนนี้ฝ่ายภรรยากับหลานๆผู้หญิงนอนกันที่โรงแรม ส่วนผมกับหลานๆผู้ชายนอน"ในรถ" หลังจากขนของเขาที่พักให้ภรรยาเสร็จ ผมกับหลานชายก็ขับรถตระเวนหาปั๊มน้ำมันเหมาะๆสักที่ จนเจอห่างจากโรงแรมนิดหน่อย พอจอดเข้าที่เข้าทางทายากันยุงเรียบร้อยก็ต่าวคนต่างนอนเลือกเอาอยากจะนอนอย่างไร (เนื่องจากจองห้องพักไม่ทันและต้องออกเดินทางต่อตอนเช้ามืดเลยตัดสินใจนอนปั๊มนี่แหละประหยัดดี) "ม่อนแจ่ม" หลังจากพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วก็ออกเดินทางผมบอกให้พี่ชายขับนำไปเลยไปเจอกันที่ยอดดอยเลย ไม่ต้องห่วงผมขึ้น"ดอยอินทนนท์"มาแล้ว พอขับขึ้นดอยได้สักพัก ชักเริ่มไม่แน่ใจ จนมาถึงจุดหนึ่งผมอุทาน "เฮ้ยนี่มันโหดกว่าดอยอินทนนท์อีกนะนี่" ความมั่นใจเริ่มทดถอย จอดรถเข้าที่พักรถข้างทาง ถานคนแถวนั้นว่า "พี่ครับนี่ใช้ยอดดอยหรือยังครับ" เขาตอบกลับมา "ยังจ๊ะต้องไปอีกนิด" ผมเดินมามองทาง "นี่มันมีรถธรรมดาขึ้นไปได้จริงๆหรือวะเนี๊ย" กลับมารวบรวมพลังใจขับต่อไป ลากเกียร์สองตลอดสุดท้ายก็ขึ้นมาถึงจนได้ ดีใจมากๆ เห็นพี่ชายกลับญาติๆรอกันเป็นแถว(ลูกพี่ลูกน้องผมเขาเคยมาหลายรอบแล้วแต่ผมเพิ่งเคยมาครั้งแรก) บนนี้เขาทำไร่สตอเบอรรี่กัน (ภรรยากะว่าต้องสดต้องถูกแน่ๆซื้อไปหลายกิโล แต่สุดท้ายยิ่งลงจากดอยยิ่งถูก ตอนนี้ซื้อในกรุงเทพกินโลละร้อยกว่า) รถเลื่อน ของเล่นท้าทายความกล้า (ผมคนหนึ่งละไม่ขอลอง) ขาขับลงนี่ก็โหดพอๆกันแต่เริ่มชิน จุดหมายต่อไป "วัดเจดีย์เจ็ดยอด" วัดประจำปีเกิดปีมะเส็ง" (พลาดไม่ได้)
สวัสดียามดึกครับ วันนี้เหนื่อยมากเลย ทำฝ้าห้องน้ำ ภรรยาบอกให้จ้างช่าง แต่ผมไม่ยอมเสียชื่อ"เด็กช่างก่อสร้าง"หมด สุดท้ายได้เรื่องตอกตะปูผิด(อีกแล้ว) คราวนี้ดีกว่าครั้งก่อน(ที่นิ้วหัก)แค่ช้ำๆ แต่ที่เจ็บมากน่าจะเป็นที่"หู" เนื่องจาก"มนุษย์เมีย"ด่าไม่เลิก "คนส่วนใหญ่รู้ หลายคนเข้าใจ" "ตราบลมหายใจสุดท้าย" ปาน ธนพร Cr : Bua loy "แต่สุดท้ายเรากลับ ยอม ติดบ่วงใยของตนเอง"
สวัสดียามสายครับ เมื่อวานนี้ดีใจมากเลยได้ข่าวจากพี่สาว(ลูกพี่ลูกน้อง)ที่ไม่ได้พบกันหลายปีมากๆ เขาบอกว่าปีนี้จะไป"เช็งเม้ง"ด้วย (เธอมีสามีเป็นคนอิตาลี) เธอบอกว่าอยากให้ผมเจอสามีเธอมากเลยเพราะเล่าเรื่องของผมไว้หลายอย่าง ปีนี้ท่าทางคนจะแยอะ ปีที่แล้วโหรงเหรงดูแล้วใจหายเหมือนใกล้จะถึงคิวเราอย่างไรไม่รู้ "เคยคิดเสมอว่าเวลาจะรักษาได้ทุกสิ่ง เคยคิดว่าหัวใจที่แตกสลายดวงนี้สักวันจะกลับมาดีเหมือนเดิม" "หัวใจสลาย" เดอะฮอทเปปเปอร์ Cr : BeeGeesTrio999 "เวลายังคงผ่านไปแล้วก็ผ่านไป หัวใจที่แตกสลายก็ยังคงแตกสลายเหมือนเดิม สุดท้ายถึงรู้ไม่ใช่เวลาที่จะรักษาทุกสิ่ง แต่เป็นใจเรากับตัวเราที่จะรักษาตัวเอง"
นานๆจะเข้าสักหน วันนี้มีเรื่องมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆได้รับรู้ ภาพอาจจะมีน้อย ตัวอักษรค่อนข้างมาก แต่อยากให้ทุกท่านอ่านจนจบ อันจินเผิง หนึ่งเหรียญทองที่สร้างขึ้นจากความรักคุณแม่ ในปี 1997 กันยายนวันที่ 28 ที่เทียนสิน นักเรียนมัธยมปีที่ 6 อันจินเผิง ได้รับเหรียญทองชนะเลิศ ในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิคครั้งที่ 38 ณ.ประเทศอาร์เจนติน่า นับเป็นผู้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่เมืองเทียนสิน เบื้องหลังความสำเร็จของอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์วัย 19 ปีคนนี้ แฝงไว้ด้วยเรื่องราวของความรักที่ยิ่งใหญ่ของแม่ ที่ทำให้ทุกผู้คนต้องซาบซึ้งจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ปี 1997 กันยายน วันที่ 5 เป็นวันที่ผมจากบ้านไปรายงานตัวที่คณะคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ควันจากเตาหุงข้าวในยามเช้าตรู่ ที่ลอยจากบ้านไร่หลังเก่าอันชำรุดทรุดโทรมของผม คุณแม่ที่ขากระเผลกกำลังทำหมี่ให้ผม เป็นแป้งหมี่ที่คุณแม่ใช้ไข่ไก่ 5 ฟองแลกมากจากเพื่อนบ้าน ขาแม่ที่แพลงนั้นเป็นเพราะวันก่อนท่านคิดจะหาเงินค่าเล่าเรียนให้แก่ผม แล้วพลิกจนขัดยอก ในยามที่กำลังเข็นผักเต็มคันรถเพื่อไปขายในเมือง ยามที่ยกชามขึ้น ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ผมวางตะเกียบลง แล้วคุกเข่าลงบนพื้นลูบคลำเท้าของแม่ที่บวมเป่งใหญ่กว่าหมั่นโถวอยู่นาน หยาดน้ำตาที่ละหยด ๆ ไหลกลิ้งลงสู่พื้น บ้านของผมอยู่ที่หมู่บ้านต้าอิ้วไต้ อำเภออู่ เมืองเทียนสิน ผมมีแม่ที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง ชื่อของท่านเรียกว่า หลี่ เอี้ยน เสีย บ้านของผมจนมาก ๆ ตอนที่ผมเกิดมา คุณย่าก็ล้มป่วยอยู่บนเตียง ในปีที่อายุ 4 ขวบ คุณปู่ก็ป่วยเป็นโรคหืดหอบ เป็นอัมพฤกษ์ครึ่งตัว พอ 7 ขวบ ผมก็เข้าโรงเรียน ค่าเล่าเรียนก็เป็นคุณแม่ไปหยิบยืมจากผู้อื่น ผมมักจะเก็บเอาดินสอที่เพื่อนนักเรียนโยนทิ้งแล้วกลับมา คุณแม่ปวดใจมาก บางครั้งแม้แต่เงินที่จะซื้อดินสอกับสมุดยังต้องหยิบยืมจากผู้อื่น แต่ทว่าคุณแม่ก็ยังมีช่วงเวลาที่ดีใจอยู่ ไม่ว่าการสอบไล่หรือสอบซ่อม ผมมักจะสอบได้ที่ 1 เสมอ ยิ่งวิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนเต็มมาตลอด ภายใต้กำลังใจจากแม่ ผมยิ่งเรียนก็ยิ่งมีความสุข ผมนึกว่าไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังจะมีเรื่องที่เป็นสุขมากไปกว่าการเรียนหนังสือ ผมยังไม่ทันเข้าเรียนประถมก็เรียนรู้พื้นฐานการคิดเลข บวก ลบ คูณ หาร เศษส่วน ทศนิยมแล้ว พอขึ้นประถมก็เรียนรู้ด้วยตนเอง ทำความเข้าใจต่อวิชาคณิตฟิสิกส์ เคมี ของชั้นมัธยมต้น พฤษภาคม ปี 1994 เมืองเทียนสินได้จัดให้มีการแข่งขันวิชาฟิสิกส์ในระดับมัธยมต้น ผมเป็นเด็กชายลูกชาวนาเพียงคนเดียวที่สอบติด 3 ลำดับต้นจากนักเรียนที่มาจาก 5 อำเภอชานเมือง มิถุนายนของในปีนั้น ผมได้รับเลือกสรรเป็นกรณีพิเศษจากโรงเรียนมัธยมต้นอี้จงของเทียนสิน ผมวิ่งกลับบ้านด้วยความดีใจ เหมือนดั่งคนเสียสติ แต่คิดไม่ถึง เมื่อบอกข่าวดีให้กับคนทางบ้านฟัง บนใบหน้าของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า คุณย่าเสียชีวิตไปไม่ถึงครึ่งปี ชีวิตคุณปู่ก็อยู่ในช่วงอันตราย ที่บ้านติดหนี้เขาหมื่นกว่าหยวนแล้ว ผมค่อย ๆ เดินกลับเข้าห้องอย่างสงบพร้อมทั้งร้องไห้ตลอดทั้งวัน คืนนั้น ก็ได้ยินเสียงโต้เถียงกันที่นอกบ้าน ที่แท้คุณแม่คิดจะเอาลาในบ้านไปขายเพื่อให้ผมได้เรียนต่อ แต่คุณพ่อคัดค้านไม่เห็นด้วยเด็ดขาด คำพูดที่โต้เถียงกันของพวกท่านได้ยินไปถึงคุณปู่ที่ป่วยหนัก พอคุณปู่กระวนกระวายใจ ท่านก็จึงลาโลกนี้ไปตลอดกาล ผมก็ไม่พูดถึงเรื่องเรียนต่ออีก นำเอา"ใบแจ้งผลการคัดเลือก" พับอย่างดีแล้วยัดเข้าไปในปลอกหมอน แล้วช่วยคุณแม่ทำงานเลี้ยงชีพไปวัน ๆ ผ่านไป 2 วัน ผมและคุณพ่อได้รับรู้พร้อมกันว่า“ลาหนุ่มหายไปแล้ว“ คุณพ่อต่อว่าคุณแม่ด้วยใบหน้าที่ขมึงทึงว่า"เธอขายลาหนุ่มไป เธอบ้าแล้วหรือ วันข้างหน้าการเพาะปลูกของครอบครัว การขายผลผลิต เธอจะใช้มือไปเข็น ใช้ไหล่ไปแบกหรือ ?" เธอขายลาหนุ่มได้เงินแค่ไม่กี่ร้อยหยวน พอให้จินเผิงได้เรียนก็แค่ 1-2 เทอมเท่านั้น ?? วันนั้นคุณแม่ร้องไห้ ท่านใช้น้ำเสียงที่ดุมากตะโกนใส่พ่อว่า"ลูกจะเรียนหนังสือผิดตรงไหน? จินเผิงสอบเข้ามัธยมอี้จงในเมืองได้ นับเป็นคนเดียวในอู่ชิงที่สอบได้ พวกเราอย่าให้คำว่ายากจน ทำให้อนาคตของลูกต้องสะดุดลง ถึงแม้จะต้องใช้สองมือนี้ไปเข็น ใช้ไหล่ไปแบกก็จะให้เขาได้เรียนต่อไป" โดยอาศัยเงิน 600 หยวนที่แม่ขายลาหนุ่มนี้ ผมนับว่าอยากคุกเข่าโขกศีรษะคำนับแม่จริง ๆ ผมรักการเรียนมาก แต่ถ้าเรียนต่อไปคุณแม่จะต้องลำบากอีกแค่ไหน ต้องทุกข์ยากอีกเท่าไหร่ ? ฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น ผมกลับมาบ้านเอาเสื้อหนาว พบว่าใบหน้าของพ่อเหลืองซีด ตัวผอมจนหนังแห้งหุ้มกระดูกนอนอยู่บนเตียง คุณแม่บอกกับผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า"ไม่มีอะไร เป็นไข้หวัดใหญ่ใกล้จะหายแล้ว" ใครรู้ได้ วันรุ่งขึ้นผมเอาขวดยาขึ้นมาดูเห็นฉลากภาษาอังกฤษ จึงรู้ว่ายาพวกนี้เป็นยาระงับเซลล์มะเร็ง ผมลากคุณแม่ออกไปนอกห้อง ร้องไห้ไปถามแม่ไปว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ คุณแม่ก็บอกว่า ตั้งแต่ผมไปเรียนมัธยมอี้จง คุณพ่อก็เริ่มถ่ายเป็นเลือด อาการหนักขึ้นทุกวันๆ คุณแม่ขอยืมเงินมาได้หกพันหยวน พาไปตรวจทั้งที่เทียนสิน ปักกิ่ง สุดท้ายตรวจพบเป็นเนื้องอกในลำไส้ หมอต้องการให้พ่อผ่าตัดโดยเร็ว คุณแม่ก็เตรียมจะไปขอยืมเงินมารักษา แต่คุณพ่อไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับปาก ท่านกล่าวว่า ยืมญาติมิตรเพื่อนฝูงจนทั่วแล้วมีแต่ยืมแต่ยังมิได้จ่ายคืน ใครเขาจะให้ยืมอีก! วันนั้น เพื่อนบ้านยังบอกกับผมว่า แม่ใช้วิธีการดั้งเดิมในการเก็บเกี่ยวซึ่งน่าเศร้ามาก! แม่ไม่มีแรงพอที่หาบข้าวสาลีไปที่ลาดเพื่อนวดข้าวและก็ไม่มีเงินที่จะจ้างคนมาช่วย ท่านได้แต่รอข้าวสุกแปลงหนึ่งจากนั้นเอาใส่กระดานลากกลับบ้าน ตกเย็นก็ปูผ้าพลาสติกที่ลานใช้สองมือกำข้าวสาลีกำใหญ่เหวี่ยงฟาดกับก้อนหินเพื่อนวดข้าว.. ข้าวสาลี 3 ไร่จีน ( 1 ไร่จีน เท่ากับ 600 ตารางฟุต) ล้วนอาศัยแม่ทำคนเดียว แม่เหนื่อยจนยืนเกี่ยวไม่ไหวจึงคุกเข่าเกี่ยว หัวเข่าถูกสีจนเลือดออก เวลาเดินก็สั่นเทาไปหมด ผมไม่รอให้เพื่อนบ้านพูดจบ ก็รีบวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็วปานเหินบินร้องไห้เสียงดังพูดว่า"แม่ แม่ ผมไม่สามารถเรียนต่อไปอีกแล้ว" ในที่สุด แม่ก็ไล่ให้ผมกลับไปเรียน ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนของผมอยู่ที่ 60 ถึง 80 หยวน ถ้าจะเปรียบกับเพื่อนนักเรียนที่ใช้จ่าย 200-240 หยวนแล้ว นับว่าน้อยจนน่าสงสาร
อันจินเผิง(ต่อ) มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้ว่า เพื่อเงินจำนวนน้อยนิดนี้ แต่ต้องเก็บสะสมอย่างประหยัดตั้งแต่ต้นเดือน ทีละหยวน ๆ จากการขายไข่ไก่ ขายผักจริง ๆ แล้วยามที่รวบรวมไม่ครบยังต้องไปขอยืมอีก 20 หรือ 30 หยวน พ่อ น้องชาย แทบจะไม่เคยได้กินผักเลย ถึงจะมีผักบ้างก็ไม่ใช้น้ำมันหมูคลุก เพียงตักน้ำผักดองมาคลุกกิน หรือทำอาหารกิน แม่ไม่เคยปล่อยให้ผมต้องหิวโหย ทุกเดือนท่านจะเดินสิบกว่าลี้ เพื่อซื้อหมี่สำเร็จรูปส่งไปให้ผม ทุกสิ้นเดือนแม่มักจะแบกถุงใบใหญ่ เหนื่อยยากลำบาก มาดูผมที่เทียนสิน ภายในถุงนอกจากเศษหมี่สำเร็จรูปแล้ว ยังมีกระดาษที่พิมพ์เสียของโรงพิมพ์ที่ห่างบ้าน 6 ลี้กว่า (นั่นเอาไว้ให้ผมใช้เป็นกระดาษทดเลข) กับเต้าเจี้ยวเผ็ด 1 ขวดใหญ่ ผักกาดเขียวเค็มหั่นเป็นเส้น และเครื่องมือตัดผม 1 อัน (ค่าตัดผมที่ถูกที่สุดในเทียนสินก็ต้อง 5 หยวน) แม่ต้องการให้ผมประหยัดจะได้ซื้อหมั่นโถวไว้กินอีกหลายใบ ผมเป็นนักเรียนคนเดียวของมัธยมอี้จง ของเทียนสิน ที่แม้แต่ผักในโรงอาหารก็ยังไม่สามารถซื้อกิน ได้แต่เพียงแค่ซื้อหมั่นโถว 2 ใบ กลับมาที่หอพัก ชงเศษหมี่สำเร็จรูปแล้วใส่เต้าเจี้ยวเผ็ดกับผักกาดเค็มกิน ผมก็เป็นนักเรียนคนเดียวที่ไม่สามารถใช้กระดาษต้นฉบับ (แบบฟอร์ม) มาเขียน ได้แต่ใช้กระดาษที่พิมพ์เสียจากโรงพิมพ์มาเขียนต้นฉบับ ผมยังเป็นนักเรียนคนเดียวที่ไม่เคยใช้สบู่ เวลาซักเสื้อก็ไปที่โรงอาหารเอากรดโซเดียมจากหมี่ที่เสียแล้วมาใช้แทนสบู่ แต่ผมไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจมาก่อน ผมรู้สึกว่าคุณแม่นับเป็นวีรสตรีที่ต่อสู้กับความยากลำบากและความโชคร้าย ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างไม่อาจเปรียบอีกแล้ว เมื่อเริ่มเข้ามัธยมอี้จงของเทียนสิน คอร์สแรกของภาษาอังกฤษทำให้ผมฟังจนงงไปหมด ตอนที่แม่มาหาผม ผมได้บอกถึงความวิตกกังวลกลัวว่าภาษาอังกฤษจะเรียนไม่ทันเพื่อน ใครจะรู้ได้ ใบหน้าของแม่กลับเปี่ยมด้วยรอยยิ้มแล้วตอบว่า "แม่เพียงรู้ว่าเจ้าเป็นเด็กที่ทนความลำบากที่สุด แม่ไม่ชอบฟังเจ้าพูดว่ายากลำบาก เพราะขอเพียงทนลำบากได้ ก็ไม่ยากอีกแล้ว"ผมจำคำของแม่คำนี้ไว้แล้ว ผมมีอาการติดอ่างเล็กน้อย มีคนบอกกับผมว่าจะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ดีอันดับแรกต้องให้ลิ้นฟังคำสั่งตัวเอง ดังนั้น ผมมักจะเก็บก้อนหินก้อนหนึ่งอมไว้ในปาก จากนั้นก็ขยันท่องภาษาอังกฤษอย่างเอาเป็นเอาตาย ลิ้นเมื่อได้เสียดสีกับก้อนหินบางครั้งที่มีเลือดไหลออกมาทางมุมปาก แต่ผมก็กัดฟันยืนหยัดอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ครึ่งปีผ่านไป ก้อนหินเล็ก ๆ ถูกสีจนกลม ลิ้นของผมก็ถูกสีจนเรียบ ผลการเรียนภาษาอังกฤษขยับขึ้นเป็น 3 ลำดับต้นของห้อง ผมต้องขอบคุณแม่เป็นอย่างยิ่ง คำพูดของท่าน ทำให้เกิดปาฏิหารย์ในการก้าวข้ามอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ของการฝึกฝนของผม ปี 1996 ผมได้เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกวิชาการที่จัดขึ้นทั่วประเทศในเขตเทียนสินเป็นครั้งแรก ได้รับรางวัลที่ 1 ในวิชาฟิสิกส์ และรางวัลที่ 2 ในวิชาคณิตศาสตร์ ได้เป็นตัวแทนของเทียนสินไปหังโจวเพื่อร่วมแข่งขันโอลิมปิกฟิสิกส์จากทั่วประเทศ "ผมเอารางวัลที่ 1 ของประเทศมามอบให้แม่ จากนั้นก็ไปแข่งขันโอลิมปิกฟิสิกส์ระดับโลก" ผมคุมความตื่นเต้นในใจไว้ไม่อยู่ เอาข่าวดีและความมุ่งหวังเขียนใส่จดหมายส่งไปบอกแม่ สุดท้ายผมได้แค่ที่ 2 ผมล้มแผ่ลงบนเตียง ไม่ดื่มไม่กินอะไร แม้ว่าจะเป็นผลงานที่ดีที่สุดในบรรดาผู้แข่งขันของเทียนสิน แต่หากจะทดแทนความเหนื่อยยากลำบากของแม่แล้ว นับว่ายังไม่เพียงพอจริงๆ กลับถึงโรงเรียน กลุ่มคุณครูช่วยผมวิเคราะห์ถึงสาเหตุของความพ่ายแพ้ ฉันมักจะคิดให้คณิตศาสตร ์ฟิสิกส ์และเคมีล้วนได้ดี วิชาเอกที่เลือกมากไป ทำให้ความมุ่งมั่นไม่เป็นหนึ่งเดียว หากว่าตอนนี้ผมมุ่งเรียนคณิตศาสตร์อย่างเดียวต้องสำเร็จแน่ มกราคม ปี 1997 ในที่สุดในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกทั่วประเทศ ผมก็ชนะเลิศที่ 1 ด้วยคะแนนเต็ม ได้เข้าร่วมกลุ่มฝึกซ้อมระดับประเทศอย่างราบรื่นและในการทดสอบทั้งสิบครั้งนั้นก็ช่วงชิงจนได้เป็นตัวแทนไปแข่งขัน แต่ตามกฎกำหนดไว้ว่าค่าใช้จ่ายในการไปร่วมการแข่งขันที่อาเจนติน่าต้องจัดการเอง จ่ายค่าสมัครเรียบร้อยแล้ว ผมเอาหนังสือที่ต้องเตรียม และเต้าเจี้ยวเผ็ดที่แม่ทำให้ห่อไว้อย่างดี งานที่ต้องเตรียมก็เสร็จสิ้นลง หัวหน้าภาควิชากับอาจารย์คณิตศาสตร์เห็นผมยังคงใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นสงเคราะห์ให้ทั้งสีสัน ขนาดของเสื้อผ้าไม่สมกับตัว เมื่อเปิดตู้เก็บของ ชี้ไปที่แขนเสื้อที่ต่อมาสองครั้ง ชายเสื้อหนาวที่ต่อยาวอีก 3 นิ้ว กับชุดชั้นในที่มีรอยปะแล้วพูดว่า "จินเผิง นี่เป็นเสื้อผ้าทั้งหมดของเธอหรือ ฉันไม่รู้จะจัดการอย่างไร" ผมจึงรีบตอบว่า ครูครับ ผมไม่กลัวขายหน้าคุณแม่บอกกับผมเสมอว่า"ในตัวถ้ามีภูมิความรู้ ก็จะมีความสง่าเอง ถึงผมต้องใส่เสื้อพวกนี้ไปอเมริกาพบกับคลินตัน ผมก็ไม่กลัว" 27 กรกฎาคม 1997 โอลิมปิกวิชาการเริ่มขึ้น พวกเรานั่งทำข้อสอบตั้งแต่แปดโมงครึ่งถึงบ่ายสองโมง รวมเวลาในการทำข้อสอบห้าชั่วโมงครึ่ง วันที่สองเป็นวันประกาศผล ก่อนอื่นเป็นการประกาศรางวัลเหรียญทองแดง ผมไม่หวังจะได้ยินชื่อของตัวเอง ถัดจากนั้นก็เป็นรางวัลเหรียญเงิน สุดท้ายประกาศเหรียญทอง คนที่หนึ่ง คนที่สอง คนที่สามก็คือผม ผมดีใจจนร้องไห้เรียกพึมพำอยู่ในใจว่า“แม่ครับลูกแม่ทำได้สำเร็จแล้ว”ข่าวการชนะเลิศได้เหรียญทองเหรียญของผมกับเพื่อนอีกคนในการแข่งขันโอลิมปิคคณิตศาสตร์ของการแข่งขันโอลิมปิควิชาการครั้งที่ 38 นี้ ได้ถูกแพร่กระจายเสียงและแพร่ภาพโดยสถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีโทรทัศน์แห่งชาติในคืนนั้น 1 สิงหาคม ยามที่พวกเรานำเอาเกียรติยศกลับสู่ประเทศนั้น สมาคมวิทยาศาสตร์และสมาคมคณิตศาสตร์แห่งประเทศจีนได้จัดพิธีต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ในยามนี้ ผมคิดจะกลับบ้าน ผมคิดอยากพบหน้าแม่ให้เร็วที่สุด ผมจะนำเอาเหรียญทองที่แวววับจับตานี้แขวนไว้ที่คอของท่าน สี่ทุ่มกว่าของคืนวันนั้น ผมฝ่าความมืดจนกลับถึงบ้านที่ฉันคิดถึงทุกเช้าเย็น พ่อเป็นคนมาเปิดประตู แต่ว่าผู้ที่โอบผมไว้ในอ้อมอกอย่างแนบแน่นก็คือแม่ที่ปราณีของผม ใต้แสงดาวอันแจ่มจรัส แม่กอดผมอย่างแน่นหนา ผมล้วงเหรียญทองออกมาแล้วแขวนไว้ที่บนคอของแม่ แล้วร้องไห้ด้วยจิตใจที่โปร่งโล่ง 12 สิงหาคม 1997 ที่นั่งในห้องประชุมโรงเรียนไม่มีว่างเลย แม่กับเหล่าข้าราชการของกรมสามัญศึกษาและเหล่าศาสตราจารย์วิชาคณิตศาสตร์ได้ร่วมกันนั่งเป็นประธานบนเวที ในวันนั้น ฉันได้พูดไว้ในงานช่วงหนึ่งว่า"ผมจะใช้ชั่วชีวิตของผมสำนึกขอบพระคุณคนคนหนึ่งนั่นคือแม่ที่อบรมเลี้ยงผมจนเติบใหญ่ ท่านเป็นหญิงชาวนาธรรมดาคนหนึ่ง แต่ท่านสอนผมให้รู้จักหลักธรรมในการเป็นคน ทั้งยังคอยกระตุ้นให้กำลังใจผมมาตลอดชีวิต" ปีที่อยู่มัธยมปีที่ 4 ผมคิดจะซื้อหนังสือ "พจนานุกรม จีน - อังกฤษ" เพื่อฝึกภาษาอังกฤษ ในกระเป๋าเสื้อของแม่ไม่มีเงินเลย แต่แม่ก็รับปากว่าจะหาให้ หลังอาหารเช้าแม่ยืมรถลากคันหนึ่งขนผักกาดขาวเต็มรถแล้วลากไปพร้อมกับผม เพื่อนำไปขายในเมืองที่ไกลถึงสี่สิบลี้ เมื่อถึงตัวอำเภอ ก็เกือบเที่ยงแล้ว ตอนเช้าผมกับแม่ ดื่มเพียงน้ำซุปข้าวต้มใส่มันเทศกับข้าวโพดแค่ 2 ชาม ในยามที่ท้องหิวจนร้องจ๊อกๆ แค้นจนอยากให้มีคนมาเหมาซื้อผักไปทันที แต่แม่ยังคงอดทนต่อรองราคากับผู้ซื้อ สุดท้ายตกลงกันในราคาชั่งละ 10 เซ็นต์ ผักกาดขาว 210 ชั่ง ควรเป็นเงิน 21 หยวน แต่ผู้ซื้อให้เพียง 20 หยวน เมื่อมีเงินผมคิดจะกินข้าวก่อน แต่แม่บอกให้ซื้อหนังสือก่อนเพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญของวันนี้ พวกเราไปที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งถามราคาหนังสือต้องใช้เงิน 18.25 หยวน ซื้อหนังสือ เสร็จแล้วยังคงเหลืออยู่ 1.75 หยวน แต่แม่ให้ผม 75 เซ็นต์เพื่อไปซื้อขนมเปี๊ยะ 2 ชิ้น แม้จะกินขนมเปี๊ยะไป 2 ชิ้น แต่รอจนพวกเราแม่ลูกเดินจนเกือบจะถึงบ้านเป็นระยะทาง 40 กว่าลี้ ผมก็หิวจนหน้ามืดตาลาย ในยามนี้นึกขึ้นได้ว่าผมลืมแบ่งขนมเปี๊ยะ 1 ชิ้นให้กับแม่ แม่หิวทั้งวัน ยังลากรถเป็นระยะทาง 80 ลี้เพื่อผม ผมรู้สึกละอายจนคิดที่จะตบหน้าตนเอง แต่แม่กลับพูดว่า“แม่ไม่มีความรู้เท่าไร แต่แม่นึกถึงตอนเด็กที่คุณครูเคยให้ท่องคำพูดหนึ่ง ของกอร์จีว่า ความยากจนข้นแค้นเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง หากว่าเธอสามารถที่จะผ่านด่านมหาวิทยาลัยนี้ไปได้ ไฉนต้องกลัวว่าเป็นมหาวิทยาลัยเทียนสิน แม้แต่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เธอก็สอบเข้าไปได้ดั่งใจหวังอยู่" ตอนที่แม่พูดคำ ๆ นั้น แม่ไม่มองหน้าผม แม่มองหนทางที่ทอดยาวไกลออกไป เหมือนดั่งว่าทางเส้นนั้นสามารถเชื่อมไปถึงเมืองเทียนสินเชื่อมไปถึงเมืองปักกิ่งไม่มีผิด "ผมฟังแล้วก็ไม่รู้สึกว่าท้องหิวอีกแล้ว ขาก็ไม่เมื่อยอีกแล้ว หากกล่าวว่า ความยากจนข้นแค้นเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ผมก็จะพูดว่า"แม่ที่เป็นหญิงชาวนาของผม เป็นครูผู้นำพาที่ดีที่สุดของชีวิตผม" ที่ด้านล่างเวที ไม่รู้มีตากี่คู่ที่คลอด้วยน้ำตา ผมหมุนตัวกลับมาหันไปหาคุณแม่ที่จอนผมเริ่มหงอกขาว แล้วคำนับท่านด้วยใจอันลึกล้ำครั้งหนึ่ง
ข้างบน ^^ เป็นเรื่องจริงที่ไอพวกมาร์กซิสจอมปลอมในเว็บเราสมควรอ่าน พวกมันระลึกถึงแต่ความคับแค้น เสียดสีเหยียดหยามความรวยทั้งๆที่พวกมันไม่มีสิทธิ์ เวลาพวกมันด่าทอคนรวย เสียดสีประชดประชันและกระแนะกระแหนว่าความรวยคือหายนะที่พวกมันต้องขยะแขยง อยากบอกพวกมันสั้นๆว่า "หากแกรจนแล้วคับแค้น ก็จงตายแล้วไปเกิดใหม่ซะ เผื่อจะเลือกเกิดได้อย่างใจอยาก" ชีวิตที่ประสบความสำเร็จของคนที่เขาสำเร็จนั้น เพราะเขาไม่เสียดสีคนอื่นและไม่ใช่มัวมาพะวงกับปมด้อยของตนเอง แต่เพราะเขา "สู้" แบบแม่ลูกคู่นี้ตะหาก และสำหรับคนพิมพ์คอมเมนท์นี้ก็ "สู้" มาตลอด และถือคติว่า ..ไม่มีคำว่ายอมแพ้ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ เป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่สู้ ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่าน
ซึ้งมากกับคำนี้""หากแกรจนแล้วคับแค้น ก็จงตายแล้วไปเกิดใหม่ซะ เผื่อจะเลือกเกิดได้อย่างใจอยาก" ตกลงคำที่ขีดเส้นใต้อ่านว่า"แก้" หรืออ่านว่า"แก" กันแน่ ซอยบอกแน
ในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จพระราชดำเนินนมัสการพระพุทธสิหิงค์ชลบุรี พร้อมทั้งทรงเยี่ยม ราษฎรชาวจังหวัดชลบุรี บริเวณถนนวชิรปราการและในวันเดียวกันนี้ เสด็จพระราชดำเนินไปประทับยืนหน้ามุขศาลากลางจังหวัดชลบุรี (เทศบาลเมืองชลบุรี) ให้ประชาชนเข้าเฝ้า ถวายพระพร เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ.2509
ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเยี่ยมราษฎรบริเวณถนนวชิรปราการ ต.บางปลาสร้อย อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ.2509
ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงสายสูตรเททองหล่อพระพุทธสิหิงค์ ณ ศาลากลางจังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ.2509
ทรงประทับยืนที่หน้ามุขศาลากลางจังหวัดชลบุรี(ปัจจุบันเป็นสำนักงานเทศบาลเมืองชลบุรี) ให้ประชาชนเฝ้าถวายพระพร เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ.2509
สวัสดียามสายครับ ในที่สุดก็มีวันว่างๆสักที วันก่อนผมไปเที่ยว"เขาใหญ่" มา หลังจากที่เคยไปมาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน สมัยนั้นโบกรถไปตลอดทาง แต่ครั้งนี้ขับรถขึ้นไปเอง ดีที่ผมมีประสบการณ์จากเที่ยวเหนือมาแล้ว เลยไม่ค่อยกังวล หลายอย่างเปลี่ยนไปมาก ตรงจุดที่ผมเคยกางเต็นท์นอนเคยเป็นป่าเดี๋ยวนี้กลายเป็น "อาคาร" แต่เส้นทางยังคงเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือ"สายฝน" ฝนตกตลอดทางเลยครับ ตกจนไม่สามารถลงไปเล่นน้ำตกได้(เหวสุวัต) แถมรถน้องสาวดันลืมเติมน้ำมันมาอีก เลยตัดสินใจลงทางฝังปราจีน (ผมขึ้นทางฝังโคราช) ระหว่างทางพบ รถประสบอุบัติเหตุ ทำให้คนในรถชักเริ่มใจเสีย (คุณแม่ผมเองนะครับ) "เขาใหญ่" พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ Cr : Tiger Retro ผมได้มีโอกาส คิดถึง ช่วงเวลาหนึ่ง ที่เก็บไว้ในความทรงจำเนิ่นนาน นำ้ตาไหลออกมาภายในใจ ขุนเขา ป่าไม้ สายน้ำ ทุกอย่างยังคงเดิม มีแต่คนที่โรยรา ไม่เท่าเดิมและไม่เหมือนเดิม ผมถามตัวเองว่า ทำไมเราถึงต้องมองไปในอดีตด้วยถ้ามันทำให้เราเศร้า ทำไมเราไม่อยู่กับปัจจุบันที่มีความสุข นั้นอาจเป็นเพราะ ผมไม่อาจทิ้งตัวตนของตัวเองไปได้
สวัสดียามบ่าย วันที่ฝนยังตกพรำ่ๆ ครับ ช่วงนี้ชีพจรลงเท้าตลอด ไม่ได้อยู่บ้านเลย วันนี้อยู่บ้านซักผ้าแต่ก็ไม่มีที่จะตาก จากกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มเหมือนจะกลายเป็นกลิ่นอับซะแล้ว "เคยถามตัวเองว่าทำไมเราต้องรอ รอคนที่ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ไม่กล้าที่จะเริ่มต้นใหม่กับใคร เพราะกลัวว่าถ้าเธอกลับมาแล้วจะไม่มีใคร" "สายเกินไป" พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ Cr : Rung Areewong "นั้นคงเป็นเพราะเรามีความสุขที่จะรอ และเสียใจถ้าไม่ได้รอ"
สวัสดียามค่ำในช่วงเวลาที่ฝนตกพร่ำๆ ครับ ผมมีโอกาสไปเที่ยว"ชัยภูมิ"มาเลยเก็บภาพมาฝาก "อุทยานแห่งชาติภูแลนคา" "ดอกอะไรเอ่ย" "มอหินขาว"
สวัสดียามเย็นครับ สวัสดีครับ"พี่มะนาว" สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะครับพี่ ปีนี้ก็ สิบเจ็ด แล้วนะครับพี่ ถ้าเป็นเด็กนักเรียนก็ใกล้จบ ม ปลายแล้ว คงต้องเริ่มวางแผนแล้วว่าจะไปต่อมหาวิทยาลัยไหนดี ผมขอบารมีของคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้พี่พบแต่ความสุขความเจริญ สมหวังและสำเร็จผลทั้งในทางโลกและทางธรรม มีสุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งใดขอให้สมปรารถนานะครับพี่ ฝากเพลงซึ้งๆไว้สักเพลงเพื่อพี่จะเข้ามาฟังบ้าง "กาสะลอง" ไม้เมือง Cr : ไม่เมา ไม่เลิกลา ด้วยความเคารพและคิดถึง แสงธูป ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๐
สวัสดียามค่ำครับ "ชีวิตฉันขาดเธอไม่ได้" ลินจง บุนนากรินทร์ Cr : Aphirakchuchai78 กว่าจะได้กลับมาบ้านอย่างแท้จริง ยังคงคิดถึงเพื่อนๆทุกคน และ "บ้าน" ของพวกเราเสมอ
เราสามารถเลือกที่จะ"รักใครก็ได้"แต่มิอาจเลือก"ให้เขามารักเราได้" "คนที่ไร้ค่า" Ost.ชาติพยัคฆ์ | เจนนิเฟอร์ คิ้ม Cr : Ch3Thailand Music หากแม้เขามองไม่เห็นความรักของเรา แต่อย่างน้อยยังมีคนหนึ่งที่มองเห็นนั้นคือ"ตัวเราเอง"
สวัสดียามค่ำครับ เข้าหน้าหนาวแล้วเพื่อนๆไปเที่ยวไหนกันหรือเปล่าครับ ทางบ้านผมเข้าวางแผนไปเที่ยวเหนือกันอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมคงไม่ได้ไปเพราะไม่มีงบแถมติดลบอีกต่างหาก "มนต์เมืองเหนือ" ทูล ทองใจ Cr : Metro Records อดไปเจอ "เสือหนาว" เลย
สวัสดียามดึกครับ ช่วงนี้ผมแย่เลย เครื่องมือเครื่องใช้พร้อมใจกันพัง คิดถึงตอนมีโน่นมีนี่ใหม่ๆเราก็ดีใจ แต่พอถึงเวลามันเสียแล้วเซ็งเลย ภรรยาบอกไม่อยากให้ของพังก็ไม่ต้องซื้อมาแต่แรก แหมว่าจะขอเงินซื้อใหม่แต่เล่นพูดแบบนี้คงไม่ให้ แน่นอน รู้ทั้งรู้ว่าเธอไม่ได้รัก แต่ก็ยังหวังว่าสักวัน เขาจากเธอไปเธอจะเลือกรักเรา "รักสำรอง" ธานินทร์ อินทรเทพ Cr : ลอดช่องไทย แต่สุดท้ายแม้เธอไม่มีเขา เธอก็ยังคงไม่รักเรา