Thassanan Srirungrojana พ่อครับ!!จำผมได้ไหม หนุ่มใหญ่ชาวศรีสะเกษดวงเฮง ถูกรางวัลที่ 1 ได้ 18 ล้าน อำน้ำเกลี้ยง
"คุณไสยแพ้ ....สามประโยคสั้นๆ" สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) วัดระฆังโฆสิตาราม เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ท่านบอกเล่า.. อาตมาได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ด้วยตัวอาตมาเอง ในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร ในสมัยนั้นเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูตผีวิญญาณ ตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้น อาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนต์คาถาอาคมใดๆเลย นอกจากคำว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ซึ่งมีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใดก็จะกล่าวเพียงแค่นี้ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมา อาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้น มีหมู่บ้านที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น อาตมาอาศัยอยู่ที่นั่นมาเป็นระยะเวลาหลายปี และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์.. มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้น อาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายผล นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทมนต์คาถาอาคม เล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทมนต์คาถาอาคมกับพระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ เขาเล่าให้อาตมาฟังว่าเขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายจนเป็นบาปเป็นกรรมให้ถึงตาย เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้นจะมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยของเขาได้หรือไม่ นายผลได้ทำคุณไสยใส่อาตมาถึง 7 วัน เต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบ ตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา แต่ปรากฏว่าสิ่งที่ปล่อยมานั้นไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา อาตมาจึงได้บอกนายผลว่า ตัวอาตมาเองนั้นไม่ได้ศึกษาพระเวทมนต์คาถาหรือคุณไสยใดๆ นายผลก็ไม่ยอมเชื่อ หาว่าอาตมาโกหก ถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมา จึงย้อนกลับมายังเขาซึ่งเป็นผู้กระทำ ไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้ อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่าอาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริงๆ ทำให้นายผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมาจึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนต์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้าย อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ จนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย แล้วอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ นายผลเมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกกับอาตมาว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในคืนนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัด จงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนจะได้หรือไม่ ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่าการสวดมนต์ของท่านเช่นนี้ จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยแก่ท่าน หรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนต์คาถาในภูตผีปิศาจของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าขอรับรองว่า จะไม่ทำอันตรายแก่ท่านอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการที่จะทดสอบให้รู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไป ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ อาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้ปฏิบัติเป็นปรกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป อาตมามารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียงกุกกัก กุกกัก ดังขึ้น จึงได้จุดเทียน และพบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวของอาตมามาก อาตมาตกใจถึงกับหน้าถอดสี และด้วยสัญชาตญาณจึงกล่าวคำสวดมนต์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่ง เป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนตามปกติ ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมา และกล่าวว่า เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักพำนักอยู่ อาตมาตอบว่าอาตมาได้ตื่นมาและตกใจ จึงได้สวดมนต์ภาวนา แล้วตะขาบตัวนั้น ก็อันตรธานหายไป นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนต์คาถา และคุณไสยใดๆของข้าพเจ้า มิอาจทำร้ายท่านได้ ก็เพราะอำนาจการสวดมนต์ภาวนาของท่านคือเกราะที่คุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ได้ ที่อาตมาได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน เพื่อให้เป็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ว่า เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนต์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้ ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสยที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน ท่านเจ้าพระยา และอุบาสก อุบาสิกา ในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้ว ต่างก็ยกมือขึ้นสาธุว่า อานิสงส์ของการสวดมนต์มีคุณค่าสูงส่งยิ่งนัก “ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์ ” เทศนาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) นี้ ปรากฏในงานของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโต มาเทศน์ที่บ้านในตอนพลบค่ำ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตพร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวัดระฆังมายังบ้านของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี ซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกา นั่งพับเพียบเรียบร้อยกันเป็นจำนวนมากด้วยต้องการสดับตรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยา เจ้าประคุณสมเด็จโตได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อย จากนั้นจึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้ว ท่านจึงเทศน์ “ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์ ” ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้กล่าวว่ายังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามาก หรือฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมายเพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยเจ้ามีคุณเช่นไร ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั้นคือ จะทำให้ท่านเกิดผลจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ที่อาตมากล่าวเช่นนี้มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกันคือ • เมื่อฟังธรรม • เมื่อแสดงธรรม • เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์ • เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น • เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่พุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนา ....บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเป็น 2 เวลา นั่นคือ ตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อฟังธรรม ตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อฟังธรรม การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจที่เศร้าหมองให้หมดไปเพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน การสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 3 นั่นคือ • กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม • ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย • วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการขอขมาในความผิดพลาดหากมี และกล่าวคำสักการะเทิดทูนสิ่งที่สูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศลซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดทีเดียว อาตมาภาพขอรับรองกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน การสวดมนต์นี้ ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดังพอสมควร ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตตน และประโยชน์แก่จิตคนอื่น *ที่ว่าประโยชน์แก่จิตตน คือ เสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนจิต ก็จะทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้นๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญาเข้ามาในจิตใจของผู้สวด *ที่ว่าประโยชน์แก่จิตอื่น คือ ผู้ใดที่ได้ยิน ได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอยเกิดความรู้ เกิดปัญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วย โดยการให้ทานโดยทางเสียง เหล่าพรหมเทพที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์นั้นมีอยู่จำนวนมาก ก็จะพากันมาชุมนุมฟังอย่างมากมาย เมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้ามาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้น ภัยอันตรายต่างๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถกล้ำกลายผู้สวดมนต์ไปได้ ตลอดจนอาณาเขตและบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์ ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดาทั้งหลายที่มาคุ้มครองภัยอันตรายได้อย่างดีเยี่ยม ดูก่อน.. ท่านเจ้าพระยาและอุบาสก อุบาสิกาในที่นี้ การสวดมนต์เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เมื่อจิตมีที่พึ่งคือคุณพระรัตนตรัยแล้ว .. ความกลัวก็ดี ความสะดุ้งกลัวก็ดี และความขนพองสยองเกล้าก็ดี ภัยอันตรายใดๆ ก็ดี จะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั้นแล. ที่มา plus.google.com
ขึ้นนะคะ .. เป็นพระคาถาของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต เก โร นะ ทะ ตะ มัง นะ อะ อะ วะ หะ ยะ กิ ปิ มะ อะ อะ อุ กะ ปิ เส ปุ โร เส เม อะ วะ เช สิง สะ มุ อะ ( ๓๒ ) สวดบูชาประจำเช้า ๓ จบ เย็น ๓ จบ ปลอดภัยทั้งปวง และสำเร็จผลในสิ่งปรารถนา
มาทำสาคูเปียก - กะทิธัญพืชสดๆกันดีกว่า ได้ทานของหวานอย่างใจ แต่ปลอดภัยไร้พิษ อิอิ อิอิ ขั้นแรกตั้งน้ำ ต้มให้เดือดนะทุกท่าน เทเม็ดสาคูดิบลงในน้ำเดือดนั้น ต้มจนสาคูใส จากนั้นดับไฟ เติมสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล ชิมรสหวานตามชอบ ใช้กะทิธัญพืชเคี่ยวจนข้น เติมเกลือเล็กน้อย ชิมให้ออกรสเค็มอ่อนๆ เก็บพักไว้ราดหน้า นี่คือตัวสาคูและหน้ากะทิที่ทำเสร็จแล้ว - วางคู่กัน ลองซักถ้วย มามะ มามะ หมายเหตุ :- ถ้าจะใส่มะพร้าวอ่อน ข้าวโพด ลำไย หรือขนุน ลงไปในเนื้อสาคูด้วยก็ไม่ผิดกติกาแต่ประการใด แต่ขอแนะนำลูกเดือย หรือธัญพืชอื่นที่ต้มเปื่อยแล้วลงไปด้วย เช่นถั่วแดง แปะก๊วย ก็จะมีประโยชน์มากกว่านะคะ
ติดใจ อิอิ ทำอีก ..แบบใส่เม็ดธัญพืช ใส่สาคูลงไป แล้วต้มๆๆๆ จนแป้งสาคูเม็ดใส จากนั้นเติมสารให้ความหวาน (วันนี้ใส่น้ำลำใยลงไปด้วย เพื่อเพิ่มกลิ่น) วันนี้ใส่ธัญพืชต่างๆเช่นลูกเดือย แปะก๊วย ถั่วแดง ลงไปด้วย
เพิ่งเปิดตัว !! ไปสดๆร้อนในงานMWC 2017 กับการกลับมาของโนเกีย 3310 ที่คนทั่วโลกตั้งตารอคอย โนเกีย 3310 โฉมใหม่ 2017 ยังคงยึดความถึก ทนทาน ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่นเอาไว้ด้วย อายุการใช้งานแบบเปิดเครื่อง Stand-by ไว้ที่ 31 วัน (1 เดือนเลยนะ !!) หรือว่าถ้าเป็นการสนทนาโทรศัพท์ต่อเนื่องก็ทำได้ที่ 22 ชั่วโมง (คุยกันให้ตายไปข้างนึงเลย) ส่วนในเรื่องของสเปกอื่นๆ ระบบ Nokia's Series 30+ และจอสี 2.4" ความละเอียด QVGA และกล้อง 2 ล้านพิกเซล และใส่ MicroSD Card สูงสุด32 GB และที่ขาดไม่ได้สำหรับ โนเกีย 3310 ถือว่าใครที่เคยใช้จะต้องนึกถึง เกมงู ในรุ่นนี้ก็มีมาให้ ส่วนตัวเครื่องมีให้เลือกถึง 4 สี ได้แก่สีแดง สีเหลือง สีเทา และสีดำด้าน พร้อมราคาเปิดตัวประมาณ 50 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,800 บาท
ยืนตามศาลชั้นต้น สั่งประหาร 2 เมียนมา ฆ่า 2 ชาวอังกฤษที่เกาะเต่า หลักฐานชี้ทำผิดจริงไร้ข้อกังขา วันที่ 1 มีนาคม 2560 - 15:04 น. เมื่อเวลา 09.00 น. เมื่อวันที่ 1 มี.ค. เวลา ที่ศาลจังหวัดเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ผู้พิพากษาศาลจังหวัดเกาะสมุย ขึ้นนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ภาค 8 คดีฆาตกรรมสองนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า โดยมีนายธีระวุฒิ พราหมหันต์ รองอัยการจังหวัดเกาะสมุย ฝ่ายโจทก์รับฟังคำตัดสินแทนผู้เสียหาย โดยคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ภาค 8 ยืนตามศาลชั้นต้น ว่าส่วนอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง โดยมีนายซอลิน แรงงานชาวเมียนมา เป็นจำเลยที่ 1 และนายเวพิว เป็นจำเลยที่ 2 ที่อ้างว่าโจทก์ไม่มีเอกสารและภาพถ่ายในขั้นตอนการจัดเก็บวัตถุพยาน การบรรจุปิดผนึก การส่งและรับวัตถุพยาน และการตรวจสอบวัตถุพยานบางขั้นตอนมาเป็นพยานนั้น เห็นว่าในการปฎิบัติหน้าที่เกี่ยวกับคดีนี้ นับแต่พนักงานสอบสวนรับแจ้งเหตุเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานไปจนถึงการตรวจพิสูจน์เสร็จสิ้น ผู้ตรวจพิสูจน์ออกรายงานส่งให้พนักงานสอบสวน มีเหตุการณ์ขั้นตอนที่ต้องดำเนินการหลายขึ้นตอน การทำเอกสาร ถ่ายภาพเหตุการณ์และชั้นตอนต่างๆทั้งหมดเพื่อเก็บไว้ย่อมเป็นไปไม่ได้ การที่โจทก์ไม่ได้เอกสารหรือภาพถ่ายของเหตุการณ์บางขั้นตอน เช่น ไม่ส่งภาพขณะที่ตรวจเก็บวัตถุพยานจากช่องคลอด ทวารหนัก และหัวนมของผู้ตายที่ 2 มาเป็นพยาน จึงไม่เป็นข้อพิรุธที่จะระแวงว่าเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ปฎิบัติงานในขั้นตอนในการตรวจเก็บนั้น เพราะสิ่งที่ทำให้ศาลเชื่อหรือไม่เชื่อพยานหลักฐานของโจทก์นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาพถ่ายภาพหนึ่งภาพใด หรือเอกสารฉบับหนึ่งฉบับใดของเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง หรือขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งเท่านั้น แต่ศาลเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งปวงที่โจทก์นำสืบมาทั้งหมดว่ามีเหตุผลเชื่อมโยง มั่นคงหนักแน่น จนแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำความผิดนั้นโดยปราศจากความสงสัยใดๆ ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สำหรับเหตุผลอื่นๆตามอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยทั้งสองไม่เป็นสาระ และไม่ทำให้ผลแห่งคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลอุทธรณ์ ภาค 8 เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ผู้พิพากษาศาลจังหวัดเกาะสมุย จึงได้อ่านคำตัดสินศาลอุทธรณ์ที่พิจารณาตามศาลชั้นต้นคือให้ประหารชีวิต นายซอลิน จำเลยที่ 1 และนายเวพิว จำเลยที่ 2 แรงงานชาวเมียนมาดังกล่าว ที่ในขณะนี้จำเลยทั้งสองถูกควบคุมอยู่ที่เรือนจำบางขวาง สำหรับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2557 เวลาประมาณหลังเที่ยงคืน จำเลยทั้ง 2 มีเจตนาฆ่านายเดวิด วิลเลียม มิลเลอร์ อายุ 24 ปี โดยการใช้ด้ามจอบตีจนถึงแก่ความตาย และน.ส.ฮานนาห์ วิคตอเรีย วิทเธอริดจ์ อายุ 24 ปี ถูกจำเลยทั้งสองข่มชืน และใช้จอบตีทำร้ายจนเสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณโขดหิน หาดทรายรี ม.1 ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี จากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมนายซอลิน ผู้ต้องหาได้ที่เกาะเต่า ส่วนนายเวพิว ผู้ต้องหาอีกรายได้หลบหนีไป และถูกจับกุมได้ที่ท่าเทียบเรือนอนในตัวเมือง จ.สุราษฎร์ธานี จากนั้นวันที่ 24 ธ.ค. 2558 ศาลจังหวัดเกาะสมุยได้อ่านคำพิพากษาว่า นายซอลิน จำเลยที่ 1 และนายเวพิว จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 289 (7), 276 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 และจำเลยที่ 2 ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) วรรคแรก และพ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 12 (1), 18 วรรคสอง, 62 วรรคหนึ่ง อีกกระทงหนึ่ง การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดต่อไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 1 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 2 เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง และในวันเดียวกันทนายความของจำเลยทั้ง 2 ได้ยื่นอุทธรณ์ https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_237137
Pictures in this gallery came alive: By Skullmappinghttps://goo.gl/PccWjC Toom Visualizer shared DeMilked's video.
การตักบาตร ผู้คนจะมุ่งมั่นนำของที่ดีที่สุดเสมอมาถวายพระ จะจัดเตรียมทานที่ดีที่สุดตามกำลังที่หาได้ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อพิเศษเล็กน้อยเกี่ยวกับทานที่ให้ เช่น ข้าวที่ถวายพระนั้นควรจะเป็นข้าวที่หุงสุกใหม่ๆ ร้อนๆ ยิ่งข้าวร้อนเท่าไหร่บุญกุศลจะยิ่งแรงมากขึ้นเท่านั้น, ถวายน้ำตาลหรือของหวานแก่พระเพื่อที่จะส่งผลให้ชีวิตคู่มีความหวานสดชื่นดั่งน้ำตาล เป็นต้น นอกจากอาหารแล้ว ผู้ที่ตักบาตรสามารถนำของใช้ต่างๆที่พระสงฆ์จำเป็นแก่การดำรงชีพมาถวายพระได้ด้วย เช่น เครื่องเขียน, สบู่, ยาสีฟัน, แปรงสีฟัน, น้ำยาสระผม ซึ่งน้ำยาสระผมมีผู้คนไม่น้อยที่เข้าใจว่าพระสงฆ์ไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ความจริงแล้วน้ำยาสระผมมีความจำเป็นต่อพระสงฆ์ในการทำความสะอาดหนังศีรษะ ของใส่บาตรต้องเป็นสิ่งของที่เรียกว่ากับปิยะ เช่น เป็นอาหารเพื่อให้พระฉันได้ทันทีโดยมิต้องไปหุงหา เช่น ข้าวสุก (คำว่า บาตร แปลว่าข้าวตก) กับข้าวที่ปรุงสุกแล้ว จุดประสงค์ในการบิณฑบาตรคือต้องการอาหารมายังให้ร่างกายมีชีวิตให้อยู่ได้เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อนำมาบริโภคตามใจ (กิเลส) ปรารถนา จึงไม่ควรใส่มากจนเหลือเฟือ อาหารที่ใส่ควรเป็นอาหารที่มีประโชน์ต่อร่างกาย ตามหลักของศาสนานั้นไม่อนุญาตที่จะให้พระภิกษุประกอบอาหาร และข้าวปลาอาหารที่บิณฑบาตรมาได้นั้นไม่ให้เก็บไว้ค้างคืน ผู้คนที่นำของมาตักบาตรจะยืนรออยู่ตรงทางที่พระภิกษุจะเดินผ่าน โดยก่อนที่พระภิกษุเดินทางมาถึงจะมีการนำถ้วยข้าวจบที่ศีรษะแล้วอธิษฐาน เมื่อพระภิกษุเดินทางมาถึง พระภิกษุจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนที่จะตักบาตรแล้วเปิดฝาบาตร ก่อนที่จะตักบาตรคนที่ตักบาตรต้องถอดรองเท้าก่อน จากนั้นคนที่ตักบาตรจะนำทานที่ตนมี ..ถวายพระ เมื่อทำเสร็จแล้วพระจะให้พรกับคนที่ตักบาตรซึ่งประนมมือรับพร มีการกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรและผู้ที่ล่วงลับ (การกรวดน้ำนั้นอาจจะทำขณะที่พระให้พรหรือหลังจากการตักบาตรเสร็จสิ้นแล้วก็ได้) หลังจากที่พระภิกษุให้พรแล้วเป็นอันเสร็จพิธี บทกรวดน้ำแบบสั้น อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ขอบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าเถิด ขอญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าจงมีความสุขกาย สุขใจเถิดฯ บทกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการใส่บาตร(หรือเจริญภาวนา)ครั้งนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ท่านจะอยู่ภพใดหรือภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ แล้วโปรดอโหสิกรรม และอนุโมทนาบุญแก่ข้าพเจ้าด้วยอำนาจบุญนี้ด้วยเทอญ https://hilight.kapook.com/view/86939 ขอบคุณบทกรวดน้ำ https://th.wikipedia.org/wiki/การตักบาตร
Toom Visualizer advert.ge added a new video: OPPO - Guliver. January 16 · The Magic Journey of The Lilliput Director: Eli Sverdlov Production Company: Red horse film Editor: Noam Weissman Post Production: Gravity Music & consultation : Tomer Biran Audio Artists UK Released: January 2017
หากันจนเจอ - Gob Saovanit Living The Dream Concert & Bangkok Symphony Orchestra Grammy Big บ่อยครั้งที่ชีวิตคนเรานี้ก็แปลก บางอย่าง เราอยากลืม แต่ก็จำติดสมองไม่เคยลืม บางอย่างไม่คิดว่าฟ้าลิขิตให้เป็นได้ แต่ก็เป็นไป บางคนที่เราเจอทุกวันก็เป็นเหมือนเสาไฟที่เราไม่เห็นค่า แต่มาวันหนึ่งที่จะขาดเขาไป ....มันจะไม่เหมือนเดิมอีกเลย นับจากวันนี้ เติมใจให้กัน - ก้อง สหรัถ applewho1987
สวัสดียามเย็นครับ "คิดถึงเพื่อนเสมอนะครับ" "จากหยดน้ำบนใบไม้ กลายเป็นเมฆบนท้องฟ้า สุดท้ายกลายเป็นฝนร่วงหล่นลงมา" "เฝ้ามองดูเธอป่ายปีนขึ้นไปบนเส้นทางแห่งความฝัน คอยรองรับยามที่เธอร่วงหล่นลงมา รู้ว่าเธอเจ็บแต่เธอรู้ไหมว่าฉันเจ็บกว่า อยากจะเดินจากไปแต่ก็กลัวเธอจะไม่เหลือใคร" "นิทานใบไม้" ไม้เมือง Cr : จักรพงค์ สมสอน "หวังเพียงใช้น้ำตาของเธอหล่อเลี้ยงรากของฉัน แต่สุดท้ายถ้ามันมากเกินไป ฉันคงยืนต้นตาย เพราะนอกจากน้ำตาของเธอแล้วมันยังมีน้ำตาของฉันรวมอยู่ด้วย"
แชร์เก็บไว้เลย! ฝึก 8 อย่าง จะได้ไม่ “ทุกข์” โอวาทสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( 1แชร์ เท่ากับ 1 ธรรมทาน ) สาธุ..! ฝึก 8 อย่าง จะได้ไม่ “ทุกข์” โอวาทสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์!!( 1แชร์ เท่ากับ 1 ธรรมทาน ) เรียกว่าเป็นวิธีการฝึกจิตใจของตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่าน ให้มีสมาธิและสติอยู่ตลอดเวลา โดยเป็นโอวาทสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ประยุทธ์ อารยางกูร ที่ได้ชี้แนะให้ประชาชนได้ลองฝึกควบคุมจิตใจของตัวเอง และเมื่อทำได้ก็จะเป็นผลดีต่อตัวเองจิตใจเราจะได้สงบและไม่เป็นทุกข์ วันนี้ไข่เจียวจะพาไปดูวิธีการฝึกกันค่ะ 1. ฝึกมองตัวเองให้เล็กเข้าไว้ หมายความว่า จงเป็นคนตัวเล็ก อย่าเป็นคนตัวใหญ่ จงเป็นคนธรรมดา อย่าเป็นคนสำคัญ เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา อย่าไปให้ความสำคัญกับตัวเองมากไป 2. ฝึกให้ตัวเองเป็นนักไม่สะสม หมายความว่า การสะสมอะไรสักอย่างนั้นเป็นภาระ ไม่มีอะไรที่เราสะสมแล้วไม่เป็นภาระยกเว้นความดี นอกนั้นล้วนเป็นภาระทั้งหมดไม่มากก็น้อย 3. ฝึกให้ตนเองเป็นคนสบายๆ หมายความว่า อย่าไปบ้ากับความสมบูรณ์แบบ เพราะความสมบูรณ์แบบมันไม่มีจริง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองว่า ความสมบูรณ์แบบมีจริง 4. ฝึกให้ตัวเองเป็นคนนิ่งๆ หรือไม่ก็พูดในสิ่งที่ดีๆ หมายความว่า ถ้าอะไรไม่ดีก็อย่าไปพูดมากไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด แต่ถ้ามันไม่ดี เป็นไปได้ก็ไม่ต้องพูด เพราะการพูด หรือวิจารณ์ในทางเสียหายนั้น มีแต่ทำให้จิตใจตนเองตกต่ำ และขุ่นมัว 5. ฝึกให้ตัวเองรู้ธรรมชาติว่า อะไรๆ ก็ผ่านไปเสมอ หมายความว่า เวลามีความสุข ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความสุขมันก็ผ่านไป เวลามีความทุกข์ ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความทุกข์ก็ผ่านไป เวลามีสถานการณ์แย่ๆ เกิดขึ้น ก็ให้รู้ทันว่า เรื่องราวเหล่านี้ มันไม่ได้อยู่กับเราจนวันตาย 6. ฝึกให้ตัวเองเข้าใจเรื่อง ของการนินทา หมายความว่า เราเกิดมาก็ต้องรู้ตัวว่า เราต้องถูกนินทาแน่นอน ดังนั้น เมื่อถูกนินทาขอให้รู้ว่า “เรามาถูกทางแล้ว” แปลว่า เรายังมีตัวตนอยู่บนโลก คนที่ชอบเต้นแร้งเต้นกา กับคำนินทาก็คือคนไม่รู้เท่าทันโลก แม้แต่คนเป็นพ่อแม่ก็ยังนินทาลูก คนเป็นลูกก็ยังนินทาพ่อแม่ นับประสาอะไรกับคนอื่น ถ้าเราห้ามตัวเองไม่ให้นินทาคนอื่นได้เมื่อไหร่ ค่อยมาคิดว่า เราจะไม่ถูกนินทา 7. ฝึกให้ตัวเองพ้นไปจาก ความเป็นขี้ข้าของเงิน หมายความว่า เราต้องหัดพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ รถยนต์ใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน นาฬิกาใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน เสื้อผ้าใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน การที่คนเราจะเลิกเป็นขี้ข้าเงินได้ ต้องเริ่มจากการรู้จักเพียงพอก่อน เมื่อรู้จักพอแล้ว ก็ไม่ต้องหาเงินมาก เมื่อไม่ต้องหาเงินมาก ชีวิตก็มีโอกาสทำอะไรที่มากกว่าการหาเงิน 8. ฝึกให้ตัวเองเสียสละ และยอมเสียเปรียบ หมายความว่า การที่คนๆ หนึ่งยอมเสียเปรียบผู้อื่นบ้าง เป็นเรื่องจำเป็น ใครก็ตามที่บ้าความถูกต้อง บ้าเหตุบ้าผล ไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลย ไม่ช้า คนๆ นั้นก็จะเป็นบ้าสติแตก กลายเป็นคนที่ถูกทุกอย่างแต่ไม่มีความสุข เพราะต้องสู้รบกับคนรอบข้างเต็มไปหมดเพื่อความถูกต้องที่ตนเองยึดมั่นถือมั่น ลองฝึกกันดูนะค่ะ เพื่อทางแห่งการพ้นทุกข์ ไม่อยากทุกข์นี่แหละคือกรดับทุกด้วยตัวเอง https://www.nookna.com/?p=5407
และอย่าทำบุญด้วยความขาดสติ และควรเลือกที่เลือกทางที่จะไปทำบุญด้วยครับ อย่าตกเป็นเครื่องมืิอของอลัชชีที่แอบอ้างศาสนาพุทธมาทำผิด
การสวดมนต์ก่อนนอน นับเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เรามีความสุขขึ้นได้ โดยที่ในแต่ละวันเราต้องพบเจอกับเรื่องราวมากมาย ทั้งเรื่องที่ทำให้ชีวิตเป็นสุข ไปจนถึงเรื่องราวแย่ๆ ที่ทำให้ชีวิตวุ่นวาย เมื่อกลับถึงบ้านเราต่างก็ต้องการเวลาพักผ่อน อยากนอนหลับสบายเพื่อลืมเรื่องราวแย่ๆนั้น การท่องบทสวดมนต์ก่อนนอนจะช่วยให้เรามีสมาธิ จิตใจสงบ ผ่องใส อีกทั้งยังเป็นการแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้ทำมาในแต่ละวันให้กับเพื่อนมนุษย์ หรือสรรพสัตว์ต่างๆบนโลก เมื่อเรามีสมาธิ จิตใจเย็นลง จะทำให้เรานอนหลับสบาย ตื่นเช้ามาจะรู้สึกสดใส พร้อมที่จะไปสู้กับงานได้อย่างมีความสุข ซึ่งในบทสวดมนต์นั้นไม่ว่าจะเป็นบทใดก็ตามล้วนแล้วแต่มีอานุภาพในตัวเองอยู่มากมาย อีกทั้งยังแฝงไปด้วยข้อคิดดีๆที่จะเป็นหลักนำทางให้เราดำเนินชีวิตในทุกๆวันไปได้อย่างราบรื่น ฉะนั้น การสวดมนต์ก่อนนอนถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ยิ่งปฏิบัติทุกวันก็จะส่งผลที่ดีในเรื่องของสมาธิ ปัญญา ทำให้ใจของเราสามารถพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างละเอียด รอบคอบ และใจเย็นมากขึ้น การสวดมนต์นั้น ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับทุกคนในยุคนี้ สะดวกมากในทุกเพศ ทุกวัย และไม่ใช่เรื่องของคนแก่อีกต่อไปเหมือนที่เคยเป็น และเราเข้าใจผิดกันอย่างนั้น บทสวดมนต์ต่างๆ มีการเผยแพร่ออกมามากมายในรูปแบบต่างๆที่เห็นกันและได้ยินกันจนเคยชินมากมาย จนกระทั่งในปัจจุบัน การสวดมนต์เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเด็กหรือวันรุ่นก็หันมาสนใจการสวดมนต์กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ก่อนนอนด้วยบทสวดตามปกติ จนไปถึงคาถาชินบัญชร บทสวดยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎก และบทสวดอื่นๆอีกมากมาย แต่สำหรับบางคนที่กำลังเริ่มจะสวดมนต์ ยังไม่เคยทราบว่านอกการได้สติ ได้จิตใจที่สงบสุขมาแล้ว สิ่งที่เราสวดมนต์นอกเหนือจากนั้นคือ "อานิสงส์จากการสวดมนต์" หรือผลที่ได้รับจากการสวดมนต์ว่ามีอะไรอย่างไร เรามีมาฝาก อานิสงส์จากการสวดมนต์ สวดมนต์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเป็นบุญที่ได้กล่าวคำศักดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ บทสวดพุทธมนต์นั้นมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงสอนสั่งสาวกและมีการจำและท่องสืบกันมา จนถึงมีการจดบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ผู้ที่ได้มีโอกาสสวดมนต์ในชีวิต เป็นการเปล่งคำศักดิ์สิทธิ์ถวายพระพุทธเจ้า เป็นการบูชาพระพุทธเจ้า ย่อมได้บุญ เกิดผลดีต่อร่างกาย คนที่สวดมนต์เป็นประจำนั้น ทางการแพทย์สมัยใหม่รับรองแล้วว่า การสวดมนต์ทำให้เกิดความสุขได้จริงในจิตใจ ส่งผลต่อร่างกายให้หลั่งสารความสุขออกมา ร่างกายจะแข็งแรง ใบหน้าสดใส ครูบาอาจารย์ในสมัยโบราณถึงปัจจุบันทราบถึงเคล็ดลับสำคัญ ให้สังเกตว่าท่านจะมีอายุยืนมาก และบรรพบุรุษของเรานั้น ท่านสวดมนต์เป็นประจำ อายุท่านจึงยืนยาว ไม่เหมือนคนในปัจจุบันที่ห่างเหินการสวดมนต์มาก อายุจึงสั้น เป็นการบำเพ็ญภาวนาอย่างหนึ่ง ทำให้มีสมาธิ จิตใจแจ่มใส การสวดมนต์เป็นการสร้างสมาธิวิธีการหนึ่ง เมื่อจิตที่มีสมาธิย่อมแจ่มใส มีกำลัง คิดอ่านแก้ไขปัญหาอะไรก็จะทำได้ง่ายเพราะมีสติกำกับ เป็นที่โปรดปรานของเหล่าเทพเทวดาและดวงจิตวิญญาณทั้งปวง แม้ผู้ใดไม่ว่าจะเป็นพรหมเทพเทวดา สรรพสัตว์ทั้งหลาย ดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย เมื่อได้ยินบทสวดนั้นจะพบกับความเย็นสบาย คลายทุกข์ ทำให้นิยมชมชอบคนที่สวดด้วย และเมื่อได้ยินก็จะช่วยปกป้องรักษาคนที่สวด เกิดบุญจากการแผ่เมตตา เมื่อสวดมนต์เสร็จสิ้น มีการแผ่เมตตาแก่ตนเองและเหล่าสรรพสัตว์ ย่อมเกิดอานิสงส์บุญขึ้น ได้รับพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนที่สวดมนต์เป็นประจำนั้นย่อมได้รับการอวยพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอ เพราะเป็นผู้สร้างกรรมดีจากการสวดมนต์และแผ่เมตตา สร้างสิริมงคลต่อตนเอง และครอบครัว ปัดเป่าภัยพิภัย โรคร้ายได้จริง ทุกบทสวดมนต์นั้นมาจากอักขระที่ศักดิ์สิทธิ์ มีอำนาจดลบันดาลให้สิ่งอัปมงคลออกไปจากชีวิต และสร้างสิริมงคลให้กับคนที่สวด ยิ่งสวดมากก็จะมีสิริมงคลมากขึ้น ทำอะไรก็สำเร็จโดยง่าย สามารถแผ่บุญไปช่วยผู้อื่นที่เดือดร้อนได้ บทสวดมนต์ทุกบทนั้น สามารถแผ่บุญกุศลไปช่วยผู้อื่นที่เดือดร้อนได้ทุกเรื่อง ยิ่งเป็นสายเลือดเดียวกันจะยิ่งเร็วขึ้น เพราะมีทั้งบุญและกรรมผูกพันกันมา อานิสงส์ดังที่กล่าวมาข้างต้นคงพอจะทำให้ทุกท่านเข้าใจเรื่องอานิสงส์ หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ ตลอดจนการแผ่เมตตาเป็นอย่างดีแล้วอย่างไรก็ดีนี่เป็นเพียงประโยชน์เบื้องต้นเท่านั้น ความจริงแล้วมีอานิสงส์ที่จะได้รับทางอ้อมทางลึกอีกมากมายกว่านี้นักแต่เป็น "ปัจจัตตัง" หรือรู้ได้เฉพาะตัวของแต่ละคนไป โปรดจำไว้เสมอว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นต้องปฏิบัติเองถึงจะได้กับตัว เป็นพื้นฐานก่อนไปสู่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานชั้นสูงต่อไป บทสวดมนต์ก่อนนอนเป็นบทสวดที่ก่อให้เกิดอานิสงส์กับผู้ที่สวด ทำให้จิตใจสงบ นอนหลับง่าย ตื่นมาสดชื่นเบิกบาน ดังนั้นการสวดมนต์ก่อนนอนทุกๆคืนเป็นประจำ เป็นเรื่องที่พุทธศาสนิกชนควรยึดถือปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง http://horoscope.sanook.com/56233/
คดี ‘ยู่ยี่’อลิสา อินทุสมิต : พ.ร.บ.ยาเสพติดใหม่ที่มาช้า ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค "ชูวิทย์ I'm Back" กรณีคดีความของนางแบบสาว "ยู่ยี่" ข้อความว่า.. สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน หนึ่งมุมมองจากชูวิทย์ ขณะผมถูกคุมขังอยู่ที่ "ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์" ได้พบเห็น "ยู่ยี่" อดีตนางแบบซุปเปอร์สตาร์ ถูกคุมขังอยู่ที่ "ขังหญิง" ซึ่งเป็นอาคารแยกต่างหากสำหรับนักโทษหญิงเท่านั้น เมื่อวานศาลตัดสินลงโทษยู่ยี่ โดยยืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จำคุก 20 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์ ลดให้ 1 ใน 4 เหลือ 15 ปี ข้อหานำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร ศาลชั้นต้นตัดสินเอาไว้ตั้งแต่ปี 2556 จวบจนปัจจุบันเป็นระยะเวลา 3 ปี ที่ยู่ยี่อยู่ในเรือนจำ เสียเวลากับขั้นตอนการต่อสู้ทางกฎหมาย สถานะจึงเป็นเพียง "ข.ญ. ขังหญิง" ไม่ได้เป็น "น.ญ. นักโทษเด็ดขาดหญิง" ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ข.ญ. หรือ ขังหญิง นั้น หมายถึง "คดียังไม่สิ้นสุด" ยังอยู่ในกระบวนการต่อสู้ ศาลยังไม่ตัดสิน และประกันตัวไม่ได้ ส่วน น.ญ. หรือ นักโทษเด็ดขาดหญิง นั้น หมายถึง "คดีสิ้นสุดแล้ว" ตามคำพิพากษาของศาลอันถือว่าเป็นเด็ดขาด สิทธิที่จะได้เมื่อเป็นนักโทษเด็ดขาด คือ การได้เลื่อนชั้นนักโทษ อันมีผลต่อการได้รับอภัยโทษ เช่น หากเป็นชั้นเยี่ยม จะได้รับการลดโทษ 1 ใน 2 หมายความว่า ติด 10 ปีก็จะเหลือ 5 ปี กรณีนักโทษคดียาเสพติดอาจจะแตกต่าง หากโทษที่ได้รับมากกว่า 8 ปี จะต้องเว้นไม่ได้รับอภัยโทษไป 1 ครั้ง หากต่ำกว่า 8 ปี ก็จะได้รับการลดโทษ 1 ใน 5 สำหรับชั้นเยี่ยม นี่ถ้าหากยู่ยี่รับสารภาพเสียตั้งแต่ปี 2556 ที่ศาลชั้นต้น โทษ 20 ปี ก็จะเหลือเพียง 10 ปี สถานะจะเป็น "นักโทษเด็ดขาด" โดยเป็นนักโทษ "ชั้นกลาง" และมีการปรับชั้นทุก 6 เดือน หรือปีละ 2 ครั้ง หากไม่กระทำผิดวินัยของเรือนจำ เพียง 1 ปี ครึ่ง ยู่ยี่จะได้รับการปรับชั้นไปถึง "ชั้นเยี่ยม" เมื่อมีอภัยโทษปี 2558 1 ครั้ง และปี 2559 อีก 2 ครั้ง รวมเป็น 3 ครั้ง ยู่ยี่เป็นนักโทษชั้นเยี่ยม สำหรับคดียาเสพติดจะได้รับการลดโทษครั้งละ 1 ใน 5 หมายความว่า ติด 5 ปี ได้ลด 1 ปี เท่ากับยู่ยี่ติด 10 ปี ได้ลด 2 ปี รวมอภัยโทษ 3 ครั้ง ได้ลดโทษรวม 5 ปี แสดงว่า "โทษของยู่ยี่ จาก 10 ปี จะเหลือ 5 ปี" ยู่ยี่ติดคุกมาแล้วตั้งแต่ปี 2556-2560 คือ 3 ปี จาก 5 ปี เท่ากับอยู่เกิน 2 ใน 3 ของโทษที่ได้รับแล้ว จึงเข้าเงื่อนไขของการ "พักโทษ" วันนี้ยู่ยี่จะต้องเดินออกมาจากคุกพบกับอิสรภาพแล้ว แต่ในทางกลับกัน ยู่ยี่เลือกต่อสู้คดี จึงเสียเวลาในกระบวนการทางกฎหมาย ทำให้ไม่ได้เป็นนักโทษเด็ดขาด จึงไม่มีสถานะ ไม่มีชั้น ไม่ได้รับอภัยโทษ เพราะคดียังไม่สิ้นสุด นี่เป็นเทคนิคในการต่อสู้และการยอมรับ ที่ทำให้ออกจากคุกได้เร็วกว่า คนเรานั้นเมื่อทำผิดแล้วยอมรับผิด ศาลลงโทษ ก้มหน้าก้มตารับกรรม มันยังเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มีวันที่ได้ออกชัดเจน ผมไม่ได้หมายความว่า ให้ยอมรับ หากคุณไม่ได้ทำผิด แต่ถ้าคุณทำผิด ยอมรับสารภาพเสีย เพราะการสู้คดีนั้น ไม่ได้หมายความว่าคุณจะชนะเสมอไป ภาษาคุกจึงบอกว่า "สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน" ท้ายสุดคนที่เข้าคุกคือ "เรา" ไม่ใช่ "ทนาย" http://www.msn.com/th-th/news/national/ชูวิทย์-โพสต์-ยู่ยี่-สู้ติดแน่-แพ้ติดนาน/ar-BBycE6L?ocid=mailsignout อ่านเพิ่มแบบละเอียด ... https://prachatai.com/journal/2017/03/70614
โซเชี่ยลแชร์อีกมุม!! อดีตนางแบบ‘ยู่ยี่’ คนดังต่างชาติติด#FreeYuyee สามีพาลูกเยี่ยมแม่ในคุก หลังศาลฎีกาไม่รับคำร้อง นางชัชชญา เกวสต้า รามอส หรือ ยู่ยี่ อลิสา อินทุสมิต อายุ 44 ปี อดีตนางแบบเซ็กซี่ชื่อดัง สู้คดีซุกยาเสพติด “โคเคน” จากเวียดนามเข้าไทย เป็นอันปิดฉากคดี ต้องโทษจำคุก 15 ปี 3 เดือน ปรับ 1.5 ล้านบาท เผยที่มาคดี อดีต นางแบบโดนจับคาสนามบินดอนเมือง เมื่อปี 2555 ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ตัดสินจำคุก จนถึงปัจจุบันติดมาแล้ว 2 ปี 9 เดือน ล่าสุด EFM on TV ได้มีการลำดับเส้นทางชีวิตอดีตนางแบบสุดเซ็กซี่ ยู่ยี่ ครั้งเข้าวงการและโด่งดังมากๆ จนสุดท้ายวันนี้ต้องถูกศาลตัดสินติดคุก พร้อมทั้งนำข้อมูลจากเพจดัง ที่มีการนำเสนอ เรื่องราวของสาว ยู่ยี่ ในอีกแง่มุมหนึ่ง ที่ระบุว่า ในโลกโซเชี่ยลมีการติด #FreeYuyee กำลังแพร่หลายไปทั่วโลก เนื่องจากมีดารา นักร้อง นักกีฬา คนสำคัญระดับนานาชาติจำนวนมาก อาทิ ชากิร่า นักร้องหญิงเลือดโคลัมเบีย เลฮานโด แซ้งซ์ นักร้องชื่อดังของสเปน ราฟาเอล นาดาล นักเทนนิสชั้นนำของโลก เชื้อสายสเปน ไลโอเนล เมสซี ดาวฟุตบอลของอาร์เจ็นติน่า ร่วมติดแฮชแท็กด้วย โดยในเพจระบุว่า “ฟรานซิสโก รามอส ฉายา ‘แฟร้งค์แห่งป่า’ สัตวแพทย์หนุ่มผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ของช่อง ดิสคัพเวอรี่ชื่อ ‘Wild Frank’ ซึ่ง ๒๔ ประเทศทั่วโลกรวมทั้งไทยแพร่ภาพประจำ สามีของยู่ยี่ บอกว่าเขาพาลูกๆ ไปเยี่ยมแม่ที่ทัณฑสถานหญิงทุกวัน กระนั้นสภาพของยู่ยี่ดูไม่ได้ เธอหดหู่มากจนเชื่อว่าสักวันเธออาจถึงขั้นฆ่าตัวตาย โดยได้เล่าความนัยแห่งคดีของยู่ยี่ หากผ่านออกสื่อทั่วโลกเท่านั้นจึงจะพอมีความหวังต่อการร้องให้ศาลนำคดีมารื้อพิจารณาใหม่ อีกทั้งเมื่อสองเดือนที่แล้วคุณแฟร้งค์ได้เริ่มการรณรงค์ล่ารายชื่อ ๕ แสนรายบนเว็บ Change.org สำหรับการร้องเรียนให้ทางการรัฐบาลไทยนำคดีของยู่ยี่กลับมาพิจารณาใหม่ การรณรงค์ได้รับการตอบรับสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากชาวสเปน และขณะนี่ได้มีคนเข้าร่วมลงชื่อแล้ว ๓๕๗,๗๐๐ ราย” ขณะที่ EFM on TV ได้สอบถามข้อกฎหมายทางคดีจากทนายความถึงคดีดังกล่าวด้วย รวมทั้งการรื้อคดีทำได้หรือไม่ ส่วนที่สามีของยู่ยี่ บอกว่าอาจเป็นเรื่องการขัดแข้งขัดขาของผู้มีอิทธิพลเรื่องสัตว์ป่า ไม่ก็อาจจะเป็นเรื่องของการชี้เบาะแส ซึ่งคดีนี้ต่างกับคดีของครูจอมทรัพย์ cr.EFM on TV , แหม่มโพธิ์ดำ https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_258471
ภาพสนับสนุนโดย Nation Channel บิ๊กตู่" ปลื้ม CNN ยก กรุงเทพฯ "สวรรค์แห่งอาหารริมทาง" ดีสุด 2 ปีซ้อน ยก "หอยทอด" เมนูขึ้นชื่อ แนะผู้ค้าให้คำนึงถึงความสะอาดถูกหลักอนามัย เมื่อวันที่16มี.ค.60 พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าสำนักข่าว CNN ยังคงจัดอันดับให้กรุงเทพฯ เป็น "สวรรค์แห่งอาหารริมทาง" หรือเมืองที่มีอาหารริมทาง (Street Food) ที่ดีที่สุดในโลกต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยนักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้ออาหารได้หลากหลาย เช่น น้ำเต้าหู้มื้อเช้า ข้าวหอมมะลิมื้อกลางวัน ผัดไทย หมูสะเต๊ะมื้อเย็น และระบุด้วยว่าเยาวราชคือย่านของกินที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง พลโทสรรเสริญกล่าวว่า "นอกจากนี้สภาอาหารริมทางโลก (World Street Food Congress) ได้ยกให้หอยทอดเป็น 1 ใน 3 ของอาหารที่ขึ้นชื่อมากที่สุดที่หารับประทานได้ริมทางในกรุงเทพฯ โดยพ่อครัวจะปรุงสุกใหม่จานต่อจานบนกระทะร้อนๆให้แก่ลูกค้า นายกฯดีใจที่กรุงเทพฯยังติดอันดับโลกด้านอาหารริมทางซึ่งถือเป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะอย่างหนึ่งของไทยที่หลายประเทศไม่มี นักท่องเที่ยวสามารถซื้อหาอาหารอร่อยได้ตลอดเวลา โดยเน้นย้ำให้พ่อค้าแม่ค้าปรุงอาหารให้ถูกหลักอนามัย คำนึงถึงความสะอาดปลอดภัยทั้งในแง่ของอาหารและสิ่งแวดล้อมรอบๆร้าน รวมทั้งให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยให้นักท่องเที่ยวรู้สึกประทับใจด้วย" พลโทสรรเสริญกล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ยังมีเมืองอื่นๆที่ติดอันดับสวรรค์แห่งอาหารริมทางอีก 22 เมือง เช่น กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น เมืองโฮโนลูลูสหรัฐฯ เมืองเดอร์บันในแอฟริกาใต้ เมืองนิวออร์ลีนส์สหรัฐฯ เมืองอิสตันบูลแห่งตุรกี เป็นต้น http://www.msn.com/th-th/news/natio...ปีซ้อน/ar-BBybv0G?li=BBr8Hnw&ocid=mailsignout
โดยเส้นทางเดินเรือนี้จะช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทางทางรถยนต์ลงไปได้มากกว่า 3 เท่าตัว สามารถเดินทางจากพัทยา-หัวหิน โดยใช้เวลาเพียง 1 ชม. 30 นาทีเท่านั้น และจะสามารถสร้างพื้นที่บริเวณโดยรอบท่าเรือให้กลายเป็นแหล่งขยายตัวทางเศรษฐกิจปีละกว่า 4,000 ลบ. เปิดให้บริการ 1 ม.ค.60 นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องดีๆ สำหรับตัวเลือกการเดินทางที่เกิดขึ้นช่วงปีใหม่ 2560 การให้บริการเรือเฟอร์รี่นอกจากเป็นจะช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทางด้านการท่องเที่ยวอีกแรงหนึ่ง หากใครมีโอกาสนึกอยากลองไปเที่ยวพัทยา-หัวหิน ที่แตกต่างไปจากเดิมแบบไม่นั่งรถยนต์ ก็ลองมาใช้บริการเรือเฟอร์รี่นี้กันได้ สำหรับเรือเฟอร์รี่ที่นำมาใช้บริการเส้นทางพัทยา-หัวหิน คือ Catamaran Ferry (ชื่อว่า "เรือรอยัล 1") บรรทุกผู้โดยสารสูงสุด 150 คน ให้บริการ 2 เที่ยว/วัน ราคาค่าโดยสารในราคา 1,250 บาท/คน/เที่ยว ติดต่อสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ ผู้โดยสารที่สนใจต้องการโดยสารเรือเฟอร์รี่พัทยา-หัวหิน สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวไทยพัทยา-หัวหิน หรือโทร. 038 488 999
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานภายหลังการประชุม คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กรศ.) สิ้นสุดลง โดยมีข้อเสนอจาก กรศ.ให้รวมโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ กับโครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-ระยอง ให้เป็นโครงการเดียวกัน มีผู้เดินรถรายเดียวกัน (Single Project Single Operator) เพื่อให้เชื่อมโยง 3 สนามบิน คือ สนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ-สนามบินอู่ตะเภา ในฐานะเมืองการบินภาคตะวันออก (Special EEC Zone : Eastern Aerotropolis หรือ EEC-EA) เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ ยืดแอร์พอร์ตลิงก์ถึงระยอง ในส่วนของรถไฟความเร็วสูง แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า คณะกรรมการได้ให้เวลาการรถไฟฯ 2 เดือนพิจารณาความเหมาะสม รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ กับรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-ระยอง ระยะทาง 193 กม. จะใช้ระบบไหนมารองรับการเดินทางเชื่อมระหว่าง 3 สนามบิน คือ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา รวมถึงศึกษารูปแบบลงทุน PPP เนื่องจากโครงการนี้จะให้เอกชนร่วม PPP ทั้งงานโยธา ระบบ และขบวนรถ เหมือนกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) กับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) โดยรับสนับสนุนเงินลงทุนไม่เกินค่าก่อสร้าง ส่วนเอกชนได้สัมปทานเดินรถและพัฒนาเพื่อเชิงพาณิชย์สถานีระยะเวลา 30-50 ปี "เป้าหมายก็คือ ต้องนั่งรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน จากดอนเมืองไปถึงอู่ตะเภาแบบไร้รอยต่อ โดยที่ผู้โดยสารไม่ต้องลงเปลี่ยนถ่ายรถที่สถานีลาดกระบัง ซึ่งเป็นจุดต้นทางของรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง ดังนั้นรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์จึงเป็นโครงการที่เหมาะสมที่สุด โดยสร้างไปถึงอู่ตะเภาและระยอง ซึ่งช่วงในเมืองจากดอนเมือง มักกะสัน สุวรรณภูมิ จะวิ่งด้วยความเร็ว 160-180 กม./ชม. แต่เมื่อเลยลาดกระบังแล้วก็เพิ่มความเร็วเป็น 200-250 กม./ชม. เท่ากับไฮสปีดเทรนได้ และให้เอกชนรายเดียวเป็นผู้เดินรถ" แหล่งข่าวกล่าว "ถ้าไม่มีรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน จะทำให้การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ไม่ครบถ้วน จึงต้องเร่งสรุปเพื่อเปิดให้เอกชนที่สนใจเข้ามาลงทุน ที่ผ่านมากลุ่ม CP ก็สนใจจะเข้ามาลงทุนโครงการไฮสปีดเทรนกรุงเทพฯ-ระยอง ส่วนกลุ่ม BTS สนใจจะลงทุนแอร์พอร์ตลิงก์ส่วนต่อขยายพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง" ปั้นสถานีมักกะสันเป็นศูนย์กลาง การเดินทางจากอู่ตะเภา - กรุงเทพฯ รถต้องวิ่งเร็วพอๆกับ โตเกียว - นาริตะ แหล่งข่าวกล่าวอีกว่านอกจากนี้ ที่ประชุม กรศ.ยังให้มีการปรับปรุงแอร์พอร์ตลิงก์ปัจจุบันรองรับ และให้สถานีมักกะสัน เป็นศูนย์กลาง (ฮับ) การเชื่อมโยงกรุงเทพฯกับการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือการเป็น "EEC Gateway" และส่งเสริมการเชื่อมโยง 3 สนามบินโดยรถไฟอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาพื้นที่สถานีมักกะสันให้รองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ จะพัฒนาพื้นที่รอบๆ สนามบินสนามบินอู่ตะเภาเป็นการพัฒนาเชิงพาณิชย์ ที่จะมีโรงแรมและศูนย์การค้า เชื่อมด้วยรถแอร์พอร์ตลิงค์ จากดอนเมือง สุวรรณภูมิ ถึงอู่ตะเภา ผู้โดยสารสามารถเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ-อู่ตะเภา ได้ภายในไม่เกิน 45 นาที พอ ๆ กับโตเกียว-นาริตะ และสั้นกว่าโซล-อินชอน ของเกาหลีใต้ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1489666280
ไทยบันเทิง ThaiPBS ปีนี้มีข่าวให้แฟนนางงามไทยชื่นใจหลายเรื่อง รวมถึงการคว้ามงกุฏใหญ่บนเวที Miss International Queen ของนางงามเพศทางเลือกชาวไทย "โม จิรัชยา" สร้างประวัติศาสตร์ให้ไทยคว้าตำแหน่งมากที่สุดบนเวทีนี้ถึง 4 สมัย ล่าสุดมาเยี่ยม #ไทยบันเทิง ถึงที่ พร้อมเล่าวินาทีสุดภูมิใจบนเวที และแผนการทำงานเพื่อเพศทางเลือกหลังได้มงกุฎ
เจ้าหญิงคำผุย (มเหสีคำผุย ในพระเจ้ามหาชีวิตสีสะหว่างวัฒนา) ในขณะที่เป็นสะใภ้หลวง ต่อมาในรัชสมัยพระเจ้ามหาชีวิตสีสะหว่างวัฒนาก็ได้เสด็จขึ้นเป็นพระราชินีลาวเป็นพระองค์สุดท้าย ------------------------------------------------------------- สังเกต > การเบี่ยงผ้า การเกล้ามวย ผ้าซิ่น เสื้อ ถุงน่องดำ เกิบส้นหย่อง ถุงมือขาว Wannanikorn Ubonkasemsook
เมนูอาหารชั้นสูงบนยอดไม้ ก้อยไข่มดแดง แกงผักหวานไข่มดแดง และไข่เจียวไข่มดแดง #รีวิวขอนแก่น มุมแซ่บbyสุนทรี
คนเราไม่จำเป็นต้องไปรู้อดีตชาติว่าตัวเองเคยทำอะไรไว้ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยคำพูด อีกทั้งรู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ถ้าอยากรู้ว่าชาตินี้ทำอะไรก็ไม่ขึ้น ทำดีแล้วไม่ขึ้น พระท่านให้ตระหนักไว้ว่าอดีตของเราทำกรรมไว้เยอะ ก็จงหมั่นสร้างแต่คุณงามความดีเข้าไว้ แต่ถ้าเกิดมาแล้วในชาตินี้สติปัญญาดี การเงินดี ครอบครัวดี การงานมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ก็ให้พึงระลึกว่า อดีตเคยทำสิ่งที่ดีๆไว้มากมาย ซึ่งถ้าหากเอาเงินเหล่านั้น เอาสิ่งที่ได้ ที่มีเหล่านั้น ไปสร้างแต่กรรมชั่ว สุดท้ายแล้วเราก็ต้องไปเกิดเพื่อชดใช้กรรมนั้นๆวนๆไป นี่คือ ''กฎแห่งกรรม'' ขอขอบคุณภาพที่ได้อารมณ์มากจาก.. Noopy Wiangnon