บัตรทองจ่อถังแตก! ใช้งบสูง 16-17% ดันแนวทาง "ประชารัฐร่วมจ่าย" ป้องกัน รพ.ล้ม updated: 24 ธ.ค. 2558 เวลา 16:30:45 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวระหว่างงานพบปะสื่อมวลชน เกี่ยวกับผลงาน สธ.ตามนโยบายในรอบ 1 ปีว่า หลายประเทศชื่นชมประเทศไทยเกี่ยวกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทองว่าใช้งบประมาณน้อยแต่สามารถดูแลระบบได้ทั้งประเทศ แต่งบฯมาจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ซึ่งแนวโน้มการใช้งบประมาณสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบัน สัดส่วนอยู่ที่ 16-17% คิดเป็น 4.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งบางประเทศที่มีระบบเช่นเดียวกับประเทศไทยสามารถอยู่ได้ แต่มีการร่วมกันรับผิดชอบ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องคิดว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปหรือไม่อย่างไร นพ.ปิยะสกลกล่าวอีกว่า ในปี 2559 ประชารัฐจะต้องร่วมสร้างความมั่นคงและยั่งยืนของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติว่าจะดำเนินการแบบไหน อย่างไร จะให้รัฐบาลรับผิดชอบเพียงฝ่ายเดียวไม่ไหว ใครจะช่วยจ่ายระบบอย่างไรต้องมาหารือร่วมกัน ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการจัดทำแนวทางเพื่อระดมทรัพยากรเพื่อความยั่งยืนของระบบหลักประกันสุขภาพที่มี นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ เป็นประธานและนายอัมมาร สยามวาลา เป็นที่ปรึกษาได้เสนอภาพรวมว่าจะต้องดำเนินการแบบยั่งยืน เข้าถึงได้ มีความเป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ ถือเป็นแนวทางที่ดี แต่ต้องมีกระบวนการมีเงินมาช่วยระบบนอกเหนือจากงบประมาณจากรัฐบาลอย่างเดียว และไม่มีประเทศไหนที่รวยกว่าประเทศไทยกล้าที่จะใช้งบประมาณจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ดังนั้น ประเทศไทยต้องยอมรับความจริง "ทุกคนบอกว่าถ้าพูดเรื่องให้ประชาชนร่วมจ่ายจะถูกตี แต่ผมก็ต้องยอมให้ถูกตี ถ้าไม่มีใครกล้าที่จะปรับปรุงระบบ ก็จะต้องปล่อยให้หลักประกันแห่งชาติเจ๊ง เรื่องนี้ถ้าใครไม่เห็นด้วยก็ต้องเสนอแนวทางมาให้ว่าจะให้ทำอย่างไร ถ้าบอกว่าประชารัฐร่วมกันแล้วไม่ดี ก็ต้องบอกมาว่าที่ดีต้องทำอย่างไร จะพัฒนาประเทศอย่างไร แต่ประชารัฐต้องมีส่วนร่วมเรื่องหลักประกันสุขภาพฯ ทำให้มีความมั่นคงและยั่งยืน ต้องเดินหน้าและยืนอยู่บนความจริง ซึ่งการที่ประชารัฐจะร่วมกันก็มีหลายรูปแบบมากมาย ต้องมาคุยกันด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ตีก่อนเลย และในวันที่ 29 ธันวาคม 2558 จะเชิญคณะกรรมการที่มี นพ.สุวิทย์เป็นประธานมาประชุมร่วมกัน จากนั้นจะตั้งคณะทำงานเพื่อเดินหน้าต่อทันที และยินดีมากหากภาคประชาชนจะเข้ามาร่วมเสนอแนวทาง เพราะทุกคนเป็นเจ้าของประเทศเหมือนกัน ปัญหาต้องได้รับการแก้ไข" นพ.ปิยะสกลกล่าว เมื่อถามว่า ที่ผ่านมามีการติงว่าสวัสดิการข้าราชการใช้งบประมาณในการรักษาพยาบาลมากกว่า ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า ข้าราชการเงินเดือนน้อยกว่าเอกชน การให้สิทธิการรักษาพยาบาลก็เป็นการให้สวัสดิการมิฉะนั้นต้องเพิ่มเงินเดือนให้ข้าราชการแล้วมาจ่ายรักษาพยาบาลเท่ากัน ที่มา : มติชนออนไลน์ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1450949295
อีกหนึ่งในโครงการ เพื่อดึงคะแนนเสียงโดยที่ นักการเมืองไม่ต้องควักกระเป๋าตัวเองจ่าย ทำแบบมักง่าย มีปัญหาแล้วรัฐบาลที่ตามมาทีหลัง ต้องคอยตามแก้(แถมมีสิทธิ์โดนด่าด้วย) ------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือเรียก 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นโครงการรัฐบาลที่ทำเพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันสุขภาพ โดยคนไทยทุกคนสามารถรับบริการรักษาโรค โดยจ่ายเพียงสามสิบบาท โดยภาครัฐจะให้ประชาชนลงทะเบียนกับโรงพยาบาลและรัฐจัดสรรงบประมาณลงในโรงพยาบาลตามจำนวนคน และแจกบัตรประจำตัวให้แก่ผู้รับบริการ เรียกกันว่า บัตรทอง จุดเริ่มต้น ก้าวแรกผู้บุกเบิก 30 บาท นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ประธานชมรมแพทย์ชนบท รุ่นที่ 8 บุกเบิกและผลักดันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยพรรคไทยรักไทยได้นำไปใช้เป็นนโยบายที่เรียกว่า "30 บาทรักษาทุกโรค" ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 1 ซึ่งมีนายแพทย์สงวนเป็นเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติคนแรก (ดำรงตำแหน่ง 2 สมัยติดกัน) จุดเน้นเป้าหมายคือ "รากหญ้า" โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ ด้านการรักษาสุขภาพ ถือว่าเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องดูแลคนไทย เมื่อนายแพทย์สงวนนำโครงการนี้ไปเสนอ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ในสมัยที่ 1)ในขณะนั้น และได้รับการขานรับ จนกลายมาเป็นนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในเวลานั้น และได้แปลงร่างนี้ให้เป็นนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค ในเวลาต่อมาเรียกขานกันในนาม "บัตรทอง" เพราะไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว https://th.wikipedia.org/wiki/โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ถ้าไม่รู้คนจนจะทำไงทำไมไม่ลองติดต่อ"ไก่โต้ง" ฐากูร บุนปาน หลานช้าง สุพรรณ บรรณาธการมติชินดูหล่ะ เผื่อทีจะมีทางออก
แต่รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ก็ทำตามนะ แต่ไม่ต้องจ่าย30บาท นั่นก็จะเห็นได้ว่า บัตรทองเนี่ย ปชป เคยจะทำมาก่อน ตามแนวคิดคุณหมอท่านนึง แต่เมื่อปชป ไม่ได้เป็น รัฐบาล คุณทักษิณก็เลยไปหยิบมาทำ ก็จะเห็นได้ว่า หลายรัฐบาลก็เห็นตรงกันว่ามันสำคัญกับประชาชน และก็ช่วยเหลือประชาชนได้มาก ถ้าจะให้ประชาชนร่วมจ่าย ผมขอแค่ 100บาททุกโรคจะได้ไหมละ ถ้าเกินกว่าก็เกินกำลัง เพราะรายจ่ายคนมีรายได้น้อย ก็ติดลบอยู่แล้ว เรื่องภาระด้านอื่นๆ ยังจะต้องมาจ่ายเรื่องรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น ทุกวัน แบบนี้ก็แย่ครับ
เรื่องเจ็บป่วยตายของประชาชน เราจะเอามาคิดในแง่กำไร ไม่ขาดทุน มันจะถูกเหรออออ. .อ.ออ คนเราถ้าจมอยู่กับความเจ็บป่วย ก็ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่นๆแล้ว การงาน การเรียนจะได้ทำไหม ลูกเต้าใครจะดูแล มันไม่ล้มกันเป็นลูกโซ่เหรอ คนมีเงินจริงเขาไม่มารักษาบัตรทองหรอกก นอกจากขัดสนจริงๆเขาถึงรักษา .... เรื่องนี้ถ้ารัฐบาลขาดทุน แต่เป็นการขาดทุนที่ได้ประโยชน์
นโบบายหาคะแนนเสียงโดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริง ญี่ปุ่นรวยกว่าไทยเป็น 100 เท่า ยังไม่กล้าทำระบบแบบ 30 บาท ญี่ปุ่นเค้าใช้ระบบร่วมจ่ายคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ที่ต้องจ่ายก็ว่ากันไป ต้องจ่าย 30% จากราคาเต็มสำหรับคนทั่วไป ที่เหลือ 70% รัฐจ่ายให้ รพ. เด็กอายุน้อยกว่า 10 ปี จ่าย 20% คนแก่อายุ 75 ปีขึ้น จ่าย 10% ทำให้ประชาชนรู้ว่าบริการสาธารณสุขนั้นไม่ฟรี จึงต้องดูแลสุขภาพตัวเองด้วย ใครอยากศึกษาข้อมูลระบบบริการสาธารณสุขของญี่ปุ่นก็ไปอ่านได้ที่นี่ ระบบของไทย มันเอาใจผู้ใช้บริการมากไป คนก็ใช้ชีวิตอีหลุ่ยฉุ่ยแฉก กินเหล้าดูดบุหรี่ เข้า รพ. รักษาฟรี ไม่จำเป็นต้องดูแลตัวเอง ทำงานในระบบสาธารณสุขก็แช่งชักหักกระดูกอยู่ ใครคิดระบบเฮงซวยแบบนี้ออกมาได้ไงก็ไม่รู้
คุณมองปัญหาแค่มุมแคบๆอะครับ มองเฉพาะผู้เข้ารับบริการ แต่ คุณคิดถึงหมอ และเจ้าหน้าที่บ้างไหม คิดถึงค่าใช้จ่ายของรพ.บ้างไหม ผมไม่ค้านเลยถ้ารัฐบาลสามารถ มองปัญหาตรงนี้ได้ และเตรียมความพร้อมให้ดีก่อนคิดจะทำโครงการ เพราะเมื่อมีปัญหา สุดท้ายประชาชนผู้ใช้บริการเองนั่นแหละที่เดือดร้อน ผมเห็นด้วยที่ช่วยคนรายได้น้อย แต่ไม่ใช่ช่วยทุกคนหมดทั้งประเทศ เพราะประเทศเรา ไม่ได้รวยขนาดนั้น
ได้ข่าวว่า ข้าวที่กินอยู่ทุกวันนี่ซื้อมานะ ไม่ได้ไปขอแดกใครมา ได้ตังค์ค่าข้าวแล้ว ยังแดกตังค์ฟรีค่าหมออีก แบบนี้มันบัดซบไปไหมละ อยากได้ของดีก็ต้องจ่ายเงิน ไม่ใช่ท่องสโกแกน "ขี้ขอ รอแจก แดกฟรี" ชาติก็ล่มจมกันพอดี
เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน ข้าวนี้น่ะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน เบื้องหลังซิทุกข์ทน และขมขื่นจนเคียวคาว จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว จากรวงเป็นเม็ดพราว ล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเป็นกิน น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน ....จิตร ภูมิศักดิ์..... ของเขาดีๆ ไอ้กลางกลวงเอามาแปลงจนมั่วไปหมด
ก็อาจถูก แล้วที่ผ่านมาใครโกงอย่างสาหัสครับ เอาที่เป็นคดีแล้วน่ะครับ ไอ้ที่ไม่ชอบแล้วบอกว่าโกงไม่เอาน่ะ
ก็จะไงหล่ะ ไอ้โจรบางตัวที่บอกว่าโกงเงินเอามาให้คนจนเนี่ย มันดันชอบซะด้วย แถมเรียกร้องสารพัดสวัสดิการ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาช่วยหล่ะ
คนในวงการสาธารณะสุข เขาเจ็บช้ำใจ ตรงที่ว่า คุณทักษิณ เอาระบบนี้ มาใช้ แต่ไม่จัดหางบประมาณที่เพียงพอ จนหมอต้องวิ่งเต้น หางบประมาณเอง พอ ชาวบ้านรู้ว่า ฟรี ก็เข้ามารักษา พยาบาล จนเกินกำลังของหมอ ขณะเดียวกัน คุณทักษิณ ก็ไปกวาดซื้อ รพ เอกชน แล้วออก นโยบาย Medical Hub หาลูกค้าต่างชาติ ราคาค่ารักษา รพ พยาบาลเอกชน ก็สูงขึ้น จนชาวบ้านที่พอมีเงินบ้าง จ่ายไม่ไหว ก็ไหลกันไปกอง ที่ รพ รัฐ เพิ่มภาระให้กับ หมอ ยิ่งขึ้น หมอ ทำงานหนักจนทน กันไม่ไหว ก็ ลาออก มาอยู่ รพ เอกชน ไป ทำงาน หาเงิน สร้างความร่ำรวย ให้ตัวเอง และ คุณทักษิณ ต่อไป
ท่านๆ ต่อให้ชาวบ้านแห่มารักษา แต่วันนึงก็รับรักษาได้ไม่ทุกคนนะครับ ต่อให้เสีย30บาท ถ้าไม่ป่วยเขาก็ไม่มาหรอก การมาโรงพยาบาลเสียการเสียงาน เป็นวันนะครับ คิวยาวมากๆ อีกทั้ง สัดส่วนหมอไทยต่อประชากร มีน้อยกว่าพม่าอีกไม่ใช่เหรอ ถ้าจะแก้ภาระหมอต่อคนใข้ ก็น่าจะเพิ่มหมอลงไป http://www.oknation.net/blog/health2you/2015/07/22/entry-4 รวมถึงไทยก็มีแรงงานต่างด้าวเยอะ ต่างด้าวก็เจ็บป่วยไม่ต่างกัน จะไปโทษคนใข้เยอะเพราะบัตรทองไม่น่าจะเกี่ยวทั้งหมด ส่วนคุณทักษิณทำไว้อย่างไร ผมไม่มีหลักฐานจะไปกล่าวถึงหรอก ยุคอภิสิทธิ์ หรือยุคคสช ผมก็ไม่เห็นคุณหมอ พยาบาลบ่นเรื่องบัตรทองนี่ครับ ที่บ่นนี่ คือระดับผู้บริหาร ท่าน รมว สาธารณะสุขไม่ใช่เหรอ
หลายคนชอบท้วงเรื่องบัตรทองว่าแค่รักษาคนคนหนึ่งทำไหมมันแพงหรืิอไงถึงจะเลิก มันไม่ใช่แค่ค่ารักษานะครับ มันมีค่ายา ค่าไฟ ค่าบำรุงรักษาสถานที่,เครื่องมือ ค่าจ้างลูกจ้าง ค่าวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือ ฯลฯ คิดว่าถูกหรือครับ ส่วนเรื่องบ่น บ่นครับ แต่เขาจะมาบ่นให้คุณได้ยินหรือครับ อีกอย่างรู้จัก สปสช.ไหมครับ นั้นละที่เกิดในยุคทักกี้ที่ชาวบ้านเขาเกลียดกัน
ต้นทุนพวกนี้ผมไม่ทราบรายละเอียดนะครับ พึ่งเห็นท่านเอามาพูดคนแรกแหละครับ แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่า ท่านรมว สาธารณสุข เขาหมายถึงค่าอะไรบ้าง อันนี้ผมไปเจอมาในพันทิพ ความเห็นหมอท่านนี้ แบบเข้าใจง่ายๆ วิน วิน ทั้ง2ฝ่าย ความคิดเห็นที่ 17 หมอก้อนหิน 30 พฤษภาคม เวลา 01:56 น. ทำยังไงให้ไม่มีเสียงบ่น 1. สปสช.ต้องจ่ายเงินให้ รพ.รัฐตามที่ รพ.รัฐจ่ายจริง เบิกหมื่นได้หมื่น เบิกล้านได้ล้าน (ไม่ใช่ รพ.เสียเงินไปกับการรักษาคนไข้ 2 ล้าน แต่เบิกได้ 5 หมื่น .. อย่างนี้มันจะไม่ขาดทุนยังไงฟะ.. ) 2. ยกเลิก ระบบ กพ.บ้าๆ บอๆ ที่มาจำกัดตำแหน่งบุคลากรทางการแพทย์ ให้ขวัญกำลังใจเขาบ้าง รพ.ไหนคนไข้เยอะ หมอน้อย ก็เติมให้เขาหน่อย ไม่ใช่รับสมัครพยาบาล แต่ไม่มีตำแหน่งข้าราชการให้ ได้แต่เป็นลูกจ้างประจำไปจนแก่ เอาแค่ 2 เรื่อง ถ้าทำได้ ผมว่าเสียงบ่นโครงการนี้ หายไปเกินครึ่ง เวป http://pantip.com/topic/33717621
นั้นเป็นเพราะสปสช.มีหน้าที่การคุมการใช้เงินของสาธารณสุข ซึ่งส่วนนี้ก็คือค่าบำรุงรพ.ที่เขากล่าวถึงและเป็นค่าต่างๆที่ผมอ้างถึง ซึ่งถ้าจำไม่ผิดเงินนี้จะผ่านจากสาธารณสุขไปให้รพ. แต่สธ.เองก็โดนบีบเรื่องเงินจนหน้าเขียว มีหรือรพ.จะได้ง่ายๆ ลักไก่แบบเขาว่ายังมีคือขอเบิกเท่าไหร่ ไม่ได้ตามนั้นก็บ่อย ส่วนกพ.นี้เป็นเรื่องธรรมดา(ที่งี่เง่า) ของหน่วยงานรัฐที่อยากให้เลิกเหมือนกัน เหมือนสอบ GAT-PAT เพราะตามหลักการสมัครทำงานภาครัฐหรือปรับตำแหน่งสูงขึ้นใหม่ต้องสอบ ภาค ก ของกพ.ซึ่งเป็นวิชาความรู้ทั่วไป ซึ่งไม่เกี่ยวกับวิชาสาธารณสุขเลย เมื่อก่อนแค่มีวุฒิตรงก็ได้เข้าหรือเลื่อนตำแหน่งได้
ระบบ กพ คงไว้นะดีแล้วครับ ที่สอบมันก็แค่วิชาความสามารถทั่วไป วิชาภาษาไทย ง่ายกว่าพวก GAT-PAT อีกต่างหาก แถมเรื่องภาษาไทยมันก็เป็นตัวช่วยอีก เนื้อหามันก็ประมาณของ ม.ต้น แต่กลายเป็นว่าคนส่วนใหญ่ที่เข้าสอบดันสอบตก ผมว่าตรงนี้บ่งบอกมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยนะครับ
กระทู้ เบญจเพสกับเนื้องอกในมดลูก และผ่าตัดในญี่ปุ่น http://pantip.com/topic/34511364 ระบบบริการสาธารณสุข ประเทศญี่ปุ่น http://pantip.com/topic/32872118
เนี่ย ต้องปรับปรุง ทำให้ได้จริง ให้ผู้ปฏิบัติทำงานได้ ตัวหน่วยงงานกลางเองอย่าผลาญงบกันเก่งนัก http://www.nhso.go.th/FrontEnd/page-about_history.aspx อย่าห่วยแบบพวกนี้ http://www.onesqa.or.th/th/profile/874/ กับ http://th.uncyclopedia.info/wiki/สถาบันเสือกทางการศึกษาแห่งชาติ เอ๊ะ พอดูๆไป นี่มันหน่วยงานตระกูล ส.เสือนำหน้า อีกแล้วแฮะ เจ้านึง เมื่อเดือนก่อนนู้น มีโดนตรวจสอบเรื่องมอบทุน กับก่อดราม่ากะดารา http://www.thaihealth.or.th/Aboutus.html
แต่ก่อนบอกว่าถ้าโกงแล้วแบ่งกันบ้างก็รับได้ แต่เดี๋ยวนี้บอกว่าถ้าไม่โกงก็มีเงินไปช่วยคนจน ตกลงโกงนี่มันดีหรือไม่ดี
เอาจริงไม่มีใครอยากเข้าไปในโรงพยาบาลหรอกนะครับ แม้กระทั่ง แพทย์ พยาบาล หรือ เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเอง ถ้าไม่ใช่ เพราะมันเป็นหน้าที่ อย่าว่าแต่คนไข้เลย พวกที่อยากเข้าโรงพยาบาลมีพวกเดียว คือ พวกที่จะเข้าไปจีบหมอ จีบพยาบาล นอก นั้นผมเองก็ไม่เห็นว่าใครอยากจะเข้าสักเท่าไร ทีนี้ประเด็นคือ สามสิบบาทควรมีต่อไหม ก็ขอบอกได้เลยว่ายังอยากให้มีต่อ ไม่ใช่ เพราะต้องการให้ประชาชนคอยเอาเปรียบรัฐ แต่อย่าลืมว่าข้อดีหลายข้อที่มันแฝงอยู่ ที่บางคนบอกว่ากลัวคนเข้าโรงพยาบาล แบบพร่ำเพรื่อเพราะแค่เห็นว่ามันแค่ 30 บาท เอาจริงเรื่องนี้ผมว่าดีนะถ้าเทียบกับการที่ผู้ป่วยนอนรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน เพียงเพราะไม่กล้ามาโรงพยาบาลเพราะกลัวว่าจะไม่มีตังค์จ่าย แล้วไปเสี่ยงดวงเอากับสิ่งแวดล้อมภายในบ้านที่ไม่ดี สมมติ มีคนในครอบครัวเป็นไข้เลือดออก แต่คิดว่าเข้าโรงพยาบาลจะต้องเสียเงินมาก กรูก็ซัดพารากับยาชุดผีบอกที่ผู้นำหมู่ บ้านรับมาขาย แถมสิ่งแวดล้อมก็ไม่ดี ความสะอาดระบบสาธารณสุขที่ไม่ดี เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง จากปัญหาระดับบ้าน มันก็กลายเป็นปัญหาระดับประเทศไป การมาโรงพยาบาลแต่ละครั้ง โดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ เท่ากับเสียเวลาวันนั้นไปครึ่งวัน หรือ เกือบทั้งวัน กับคนจนที่ต้อง หาเช้ากินค่ำ รายได้ที่หยุดไปแต่ละวันนั่นคือ ค่าอาหารของวันรุ่งขึ้นที่จะหายไป แต่ผมก็เห็นบางคนใส่ทองเส้นเบ้อเริ่ม สวม แหวนเพชร เดินมาจ่ายสามสิบบาทหน้าตาเฉย แม้แต่จะหย่อนเงินยี่สิบบาทที่ได้จากการทอนเงินลงตู้บริจาคยังไม่ยอมทำเลย เฮ้อ...ฉู่ฉู
โครงการ 30 บาท มันทำให้ประชาชนไม่รับผิดชอบตัวเอง เพราะไม่ได้จ่ายเงินของตัวเองออกไป เอาแบบประสบการณ์ตรงเลยละกัน 1) เป็นโรคตับแข็ง ยังคงกินเหล้าอยู่ ต่อมามีเลือดออกในทางเดินอาหาร มา รพ. เสร็จกลับไปกินเหล้าอีก มานอน รพ. ปีละ 2-3 ครั้ง เจอแบบนี้มาไม่ต่ำกว่า 10 เคส ตั้งแต่มาเรียนแพทย์เฉพาะทาง 3 ปีนี้ ให้แจกแจงค่าใช้จ่ายไหม ค่าส่องกล้องแต่ละครั้ง 5000 บาท ยาฉีดเพื่อให้ลดความดันในช่องท้อง แอมป์ละ 800 บาท ใช้วันละ 12 แอมป์ ใช้ต่อเนื่อง 3-5 วัน ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น คิดว่าจะเจ๊งไหมละ รพ. 2) เคยเป็นมะเร็งปอดเมื่อ 4 ปีก่อน ตัดปอดไปส่วนหนึ่ง ให้ยาเคมีบำบัด คอร์สละเป็นแสน โรคหายแล้ว กลับไปสูบบุหรี่อีกรอบ คราวนี้กลับมามีก้อนในปอดอีกข้าง เจอแบบนี้มา 3-4 เคสแล้ว 3) โรคเส้นเลือดหัวใจตีบใส่ขดลวดขยายเส้นเลือดให้แล้ว กลับไปสูบบุหรี่อีกรอบ ขดลวดตีบอีก เจอปีละ 3-4 เคส ขดลวดเส้นละ 2 หมื่น ถ้าเคลือบยาด้วยแพงอีก 2 เท่า ไม่รวมค่าห้องค่าแลบค่าหมออีก เจ๊งไหมละ รพ. นี่ไม่รวมพวกตับอ่อนอักเสบเพราะกินเหล้าเข้าๆออกๆ รพ. เจอกันจนจำประวัติได้แล้ว แทบไม่ต้องซักประวัติเพิ่ม ถ้านับรวมเคสเบาหวาน ความโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงด้วยนะ เล่า 3 วัน 3 คืนยังไม่จบ แต่ละคน ดีๆทั้งนั้น
เลิก โลกสวย คนจน เท่าเทียมบ้าบอ ทุกชนิด ต่อไป ใครจะใช้สวัดดิการรัฐ ต้องสมัคร เปิดเผยอาชีพ รายได้ ทรัพสินที่มีให้หมด เมื่อได้พิจารณาผ่านแล้ว จึงใช้ระบบประกันสุขภาพได้ ใครรวยไปโรงบาลเอกชนเถอะครับ ใครจ่ายได้จ่าย จะมีส่วนลดขนาดไหนก็ว่ากันไป จนจริงๆ หรือวิกฤติจริงๆ จึงยอมให้ฟรี ใครตุกติก ลงโทษให้ตัดสวัดดิการเป็นเวลากี่เดือน กี่ปีก็ว่ากันไป หรือ ติดคุกข้อหาคอรัปชั่นเพื่อนร่วมชาติ ไม่ก็ต้อนเข้าค่ายทหารสวัดดิการฟรี แลกกับอิสระภาพ ความเสี่ยงและแรงงาน
เอาล่ะ ด่ากันมาพอสมควรแล้ว เดี๋ยวเค้าจะหาว่าด่าอย่างเดียวไม่คิดวิธีแก้ไขไว้อีก เรื่องโครงการ 30 บาท ที่งบประมาณไม่พอนี่ก็วิธีการแก้ไขหลักๆ อยู่ 2 ทาง คือ 1. เอาเงินอัดลงไปเพิ่มขึ้น 2. เปลี่ยนระบบประกันสุขภาพไปเลย แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน เริ่มที่วิธีแรก “อัดเงินลงไปในโครงการเพิ่มขึ้น”คำถามต่อมาแล้วเอาเงินจากไหนมาอัดลงไ คำตอบที่ง่ายที่สุด คือ เพิ่ม VAT ใช้วิธีแบบสแกนดิเนเวีย อยากได้ของดีเหรอ งั้นเก็บภาษีเยอะๆ จบ ง่ายดี VAT ซัก 30-40% ไปเลย จากที่ดูแนวโน้ม ปัจจุบันรัฐบาลก็จะไปในแนวทางนี้นะ ข้อสังเกตโครงการบัตรประชาชนแบบใหม่ ที่ใส่รายได้กับอาชีพเข้าไปในฐานข้อมูลนี่ละ ข้อดี 1. ระบบไม่เปลี่ยน ไม่มีใครต้องปรับเปลี่ยนอะไร 2. ประชาชนไม่ต่อต้าน เพราะเคยชินกับระบบเดิมไปแล้ว ข้อเสีย 1. ประชาชนไม่ต้องดูแลตัวเอง เพราะเจ็บป่วยยังไงก็ฟรี 2. ไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ดูแลตัวเอง (จ่ายภาษีเท่ากัน ไม่ได้ใช้บริการ) 3. ปัญหาวนอยู่ที่เดิม ค่าใช้จ่ายไม่พอ เพิ่มภาษีไปเรื่อยๆ 4. สินค้าทุกชนิดแพงขึ้นอย่างแน่นอน ค่าครองชีพพุ่งกระฉูด อาจได้เห็นก๋วยเตี๋ยวถ้วยละ 120 บาทอีกไม่นาน วิธีที่สอง “เปลี่ยนระบบประกันสุขภาพ” มีหลายแบบให้เลือกหลักๆ ก็ Co-pay ของญี่ปุ่น หรือซื้อประกันกับบริษัทประกันของสหรัฐเอาแค่นี้ก่อน ระบบ Co-pay ข้อดี 1. รัฐจ่ายส่วนหนึ่ง ประชาชนจ่ายเองส่วนหนึ่ง (แบ่งๆ กันจ่าย ไม่หนักไปข้างใดข้างหนึ่งเกินไป) 2. ประชาชนต้องรู้จักดูแลตัวเองก่อน เพราะถ้าป่วยเมื่อไหร่ก็ต้องจ่ายเอง ไม่ว่ามากหรือน้อย 3. รัฐไม่ขาดทุนมากมาย เน้นเรื่องป้องกันโรคให้ดี อาจมีกำไรด้วยซ้ำ ข้อเสีย 1. โดนด่าแน่นอน ไม่มีใครอยากควักกระเป๋าตัวเองจ่ายเงิน รัฐบาลเลือกตั้งใครทำแบบนี้ ปิดพรรคไปได้เลย รัฐบาลทหารทำ ดีไม่ดีอาจจลาจลทั้งประเทศ เหอเหอ ระบบซื้อประกัน ข้อดี 1. ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นแน่นอน บริษัทประกันยอดขายดีสุดๆ 2. ใครได้ประกันแบบดีๆ ก็ได้ตรวจตามมาตรฐานยุโรป-อเมริกาเลย เพราะถ้าหมอไม่ตรวจรักษาตามมาตรฐานของบริษัทประกัน บริษัทไม่จ่ายเงินแน่นอน 3. หมอสบาย เพราะถ้าทำตามมาตรฐานบริษัททุกอย่างแล้ว ผลรักษาออกมาไม่ดี ประชาชนฟ้องหมอ บริษัทประกันรับหน้าที่ต่อสู้แทน ข้อเสีย 1. ใครเงินเยอะก็ได้ประกันดีๆ ใครเงินน้อยก็ได้ประกันห่วยๆ อาจต้องมีจ่ายเพิ่มเติมเอง 2. ประกันทำกันแบบปีต่อปี ใครไม่มีประกัน หมายังไม่แลเลย 3. ประชาชนด่าแน่นอน เพราะควักเงินซื้อประกันเอง
ผมเข้ามา ไม่มีอะไรมากหรอก คือจะบอกว่า พี่ชายผม จำเป็นต้องใช้ 30 บาทนะ ถ้าให้ออกเงินเองครึ่งหนึ่ง ก็คงไม่ไหว เฉพาะค่ายารักษาลมชัก ก็เกือบเดือนละ 6000 ละ นี่ค่าใช้จ่ายในบ้าน เค้ายังไม่พอเลย คือ ผมไม่อยากขัดเพื่อน ๆ หรอกนะครับ แค่มาบอกว่า คนจำเป็นต้องใช้จริง ๆ มันมี แค่นั้นเอง
ใครยกเลิกเท่ากับฆ่าตัวตาย เขาก็ว่าไม่ยกเลิก แต่จะปรับปรุงยังไงให้ดูดีล่ะ เปิดช่องVIPสำหรับผู้ไม่ใช้สิทธิ์ ก็คงเป็นเรื่องอีก ว่าแต่ทนมาได้ตั้งนานทำไมมาถังแตกตอนนี้ มีใครวางยาหรือเปล่า อันนี้น่ะ จุดตายเลยล่ะ
เปิดโรงบาลรัฐคู่ขนานในแต่ละจังหวัด โดยบริหารแบบเอกชน จัดเก็บแบบเอกชน เพื่อเอารายได้จากส่วนนี้ไปอุดส่วนที่ขาดทุน จำต้องยอมเรื่องสองมาตรฐาน ที่แน่ๆคือมาตรฐานการเก็บเงินต้องสูง บริการต้องดีซึ่งบุคคลากรในภาครัฐทำได้ ส่วนภาคบริหารต้องสร้างคุณค่าเพิ่ม ใครยอมรับไม่ได้ต้องไปช่องธรรมดา เหมือนอย่างตึกพระเทพโรงบาลรามา โรงบาลศิริราช เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะโปรโมทการบริจาคเลือดเป็นวาระแห่งชาติ เพราะจากที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือการบริจาคทุกสามเดือนมันสร้างนิสัยรักสุขภาพ อย่างน้อยที่สุดก็วันที่ต้องไปบริจาคต้องนอนเต็ม ห้ามกินไขมัน ชา กาแฟ ห้ามทำกิจกรรมเสี่ยง ฉีดยา กินยาหรือทำอะไรต้องจำ ต้องรู้หรือต้องเลี่ยงเพื่อความปลอดภัยของผู้รับ......โดยเราใช้แคมเปญส่วนลดโรงพยาบาลคู่ขนานตอบแทนเพื่อโน้มน้าวเข้าโครงการ ซึ่งผลตอบแทนที่แท้จริงของโครงการมันคือการดูแลสุขภาพของประชาชนเองนั่นแหละ