จะเป็นแดงเทียมหรือเปล่าหนอ Nation TV - เว็บไซต์สถานีข่าวอันดับ 1 ของเมืองไทย "ยืนคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา! "ปริญญา - พล.ต.อ.วาสนา" เอื้อ ทรท. เลือกตั้งปี 49" อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv/main/content/politics/378504079/ (เบื้องต้น) ศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก2ปีไม่รอลงอาญา พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีต ประธาน กกต. และนายปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีต กกต. กรณีสอบร้องเรียนเลือกตั้งปี49ล่าช้า เอื้อพรรคไทยรักไทยให้ได้รับเลือกตั้ง ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2559 ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาแต่เลื่อน เนื่องจากนายปริญญาไม่มาฟังคำพิพากษา จึงถูกออกหมายจับ สำหรับคดีนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง , นายปริญญา นาคฉัตรีย์ , นายวีระชัย แนวบุญเนียร ซึ่งทั้งสองคนเป็นอดีต กกต. เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สืบเนื่องจากไม่ดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดให้ครบถ้วน ในกรณีที่มีการร้องเรียนกล่าวหาพรรคไทยรักไทย ว่าจ้างพรรคพัฒนาชาติไทยและพรรคแผ่นดินไทย รวมทั้งพรรคการเมืองขนาดเล็กจัดผู้สมัครลงรับเลือกตั้งแข่งขัน เพื่อหลีกเลี่ยงการได้เสียงไม่ถึงร้อยละ 20 คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิด จำคุก คนละ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญาและเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งคนละ 10 ปี ทั้งนี้มูลเหตุที่ทำให้ศาลมีคำพิพากษา ว่าจำเลยกระทำผิด เนื่องจากเห็นว่า อดีต กกต.มีเจตนาประวิงเวลาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อพรรคไทยรักไทย ที่แม้ผลการสอบสวนของคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน ที่มี นายนาม ยิ้มแย้ม เป็นประธาน จะระบุว่าพรรคไทยรักไทยผิดจริง แต่อดีต กกต.ไม่เร่งดำเนินการ แต่กลับให้ล่วงเลยจนผ่านพ้นการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน และวันที่ 23 เมษายน 2549 ซึ่งถือเป็นการจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เหลือจำเลยเพียง 2 คน คือ นายปริญญา และ พล.ต.อ. วาสนา ส่วนนายวีระชัย เสียชีวิตแล้ว
ถึงจะมาช้าหน่อยแต่ก็มา 555 คดีข้าวเน่าของอีโง่เอาให้มาเร็วหน่อยก็ดีนะ ยิ่งให้เสร็จใน รบ. นี้ก็จะดีเป็นอย่างยิ่ง
นี่ก็คุกอีกคน ศาลสั่งคุก 7 ปี 6 เดือน “ทอม ดันดี” คดีปราศรัยและเผยแพร่คลิปข้อความหมิ่นเบื้องสูง ขณะที่ “ทอม ดันดี” ไม่ขออุทธรณ์ บอกมันจบแล้ว วันนี้ ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาคดีนายธานัท ธนวัชรนนท์ หรือทอม ดันดี อดีตนักร้องเพลงเพื่อชีวิตชื่อดัง ในข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และกระทำผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 กรณีร่วมกับพวกที่ยังหลบหนีขึ้นเวทีปราศรัยกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. โดยใช้ถ้อยคำหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2556 พร้อมนำคลิปคำปราศรัยไปเผยแพร่ ที่ผ่านมา “ทอม ดันดี” ให้การปฏิเสธมาโดยตลอดทั้งในชั้นสอบสวน และชั้นศาล กระทั่งเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทอม ดันดี ขอเปลี่ยนคำให้การเดิมจากปฏิเสธเป็นให้การรับสารภาพ และขอให้ศาลเมตตาลงโทษโดยจะร่วมกิจกรรมร้องเพลงปรองดองและปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งวันนี้ “ทอม ดันดี” อยู่ในชุดนักโทษ ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยมีภรรยา เพื่อนๆในวงการเพลง รวมถึงนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก และผู้ใกล้ชิดเดินทางมาให้กำลังใจ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยกล่าวปราศรัยในลักษณะหมิ่นเบื้องสูงโดยใช้ถ้อยคำที่รุนแรง เป็นการกระทำผิดฐานดูหมิ่นสถาบันมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) (3) และ (5) เป็นการกระทำผิดรวม 3 กระทง ให้ลงโทษทุกกระทงๆ ละ 5 ปี รวมจำคุกจำเลย 15 ปีแต่คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ มีเหตุให้ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 7 ปี 6 เดือน ภายหลังฟังคำพิพากษา “ทอม ดันดี” มีสีหน้าเศร้า และกล่าวสั้นๆ ว่า ยอมรับคำพิพากษาไม่ยื่นอุทธรณ์มันจบแล้ว
นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทั้งหลาย ท่านจงภาคภูมิใจเถิดที่ท่านได้ถูกจองจำพันธนาการในคดีการเมือง อย่างน้อยก็ได้ทำตาม มโนธรรมสำนัก และความคาดหวังอันสูงส่งของท่านแล้ว
นี่ก็เกือบไปเหมือนกัน ศาลฎีกาพิพากษากลับ จำคุก 6 เดือน“จตุพร พรหมพันธุ์” คดีหมิ่น“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กล่าวหาตีตนเสมอเจ้าเมื่อปี 2552 โดยศาลให้รออาญา 2 ปี ปรับ 5 หมื่น ลงโฆษณาคำพิพากษา 7วัน ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และประธาน นปช. ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีหมิ่นประมาท นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนกล่าวหานายอภิสิทธิ์ทำนองว่าไม่ถวายความเคารพองค์พระมหากษัตริย์ ในขณะเข้าเฝ้าฯ และทำตัวตีเสมอพระเจ้าแผ่นดิน คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2557 โดยพิเคราะห์เห็นว่า นายจตุพร ทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาจำคุก 6 เดือน ปรับ 5 หมื่นบาท แต่ไม่ปรากฏว่านายจตุพร เคยรับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี และให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาลงในหนังสือพิมพ์เอเอสทีวี-ผู้จัดการรายวัน และหนังสือพิมพ์มติชน เป็นเวลา 7 วันติดต่อกัน ต่อมานายจตุพรได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการกระทำของนายจตุพร ไม่เป็นความผิดฐาน หมิ่นประมาท ศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง นายอภิสิทธิ์ ได้ยื่นฎีกา ขอให้ศาลฎีกา พิพากษาลงโทษจำเลย ซึ่งเมื่อศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่า ถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของนายจตุพร เป็นการใส่ความให้นายอภิสิทธิ์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียงจริง ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงพิพากษากลับ ให้ลงโทษนายจตุพรตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือ จำคุก 6 เดือน โดยโทษจำคุกรออาญาไว้ 2 ปี ปรับ 5 หมื่น และลงโฆษณาคำพิพากษา 7 วัน
วันนี้ ศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุก พลตำรวจเอก วาสนา เพิ่มลาภ และ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีต กกต.คนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่จัดการพรรคไทยรักไทยที่จ้างพรรคการเมืองเล็กส่งผู้สมัคร ส.ส. คดีนี้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พลตำรวจเอก วาสนา เพิ่มลาภ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และ นายวีระชัย แนวบุญเนียร ที่ละเว้นการตรวจสอบรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย ในการเลือกตั้งปี 2549 และไม่ดำเนินการกับพรรคไทยรักไทย ที่จ้างทั้ง 2 พรรคให้ส่งผู้สมัคร ส.ส.ลงแข่งขันในหลายจังหวัด และ ยังมีการปลอมทะเบียนผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง โดยศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ พิพากษาจำคุกจำเลยทั้ง 3 คนๆละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งคนละ 10 ปี แต่นายวีระชัย ได้เสียชีวิตแล้วด้วยโรคไตวาย ทำให้เหลือจำเลยแค่ 2 คนที่ไปฟังคำพิพากษาเท่านั้น และที่สุดแล้ว วันนี้ศาลฎีกา มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ สั่งจำคุก พลตำรวจเอก วาสนา และ นายปริญญา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และตัดสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี วันนี้ ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาคดีสำคัญ สั่งจำคุกโดยไม่รอลงอาญากับอดีตประธานและอดีตกรรมการการเลือกตั้ง 2 คน คือ พลตำรวจเอก วาสนา เพิ่มลาภ และนายปริญญา นาคฉัตรีย์ คดีนี้สืบเนื่องจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ สมัยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พลตำรวจเอก วาสนา เพิ่มลาภ ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีตกรรมการการเลือกตั้ง เป็นจำเลยที่ 1- 2ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 จากกรณีไม่เร่งสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง ข้อร้องเรียนกล่าวหาพรรคไทยรักไทยว่าจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 โดยพลัน อันเป็นไปตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงและการวินิจฉัย พ.ศ.2542 คดีนี้ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมกับเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งคนละ 10 ปี ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ คือ จำคุก 2 ปี ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษ โดยอ้างว่าทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติมากมายนั้น ศาลเห็นว่าฟังไม่ขึ้น เพราะจำเลยดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง ต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง แต่กลับวินิจฉัยไม่เป็นธรรม เอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมือง จึงไม่ควรรอการลงโทษ สำหรับคดีของ พลตำรวจเอก วาสนา // นายปริญญา และพวก ในฐานะอดีตกรรมการการเลือกตั้งนั้น ยังมีคดีสำคัญอีก 1 คดี จัดการเลือกตั้งโดยมิชอบเมื่อปี 2549 เอื้อประโยชน์ให้พรรคไทยรักไทย โดย นายถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง แต่คดีนั้นศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง เมื่อปี 2556 ทั้งๆ ที่ศาลล่าง 2 ศาลพิพากษาจำคุก
เข้าไปให้กำลังใจนักประชาธิปไตยกันบ้างนะครับ อดีต 2 กกต. คุณวาสนา เพิ่มลาภ และคุณปริญญา นาคฉัตรีย์ นอนคุกคืนแรก เครียดเล็กน้อย รองปลัดยุติธรรมย้ำ ผู้ต้องขังใหม่ต้องใช้เวลาปรับตัวเข้ากับสภาพเรือนจำ โดย 2 สัปดาห์แรกให้อยู่ในแดนพยาบาล ก่อนเสนอคณะกรรมการจำแนกแยกแดน หลังจากที่ศาลฎีกา พิพากษาจำคุก 2 ปี พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนายปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีตกรรมการ กกต. ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และ พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์บอกว่า ผู้ต้องขังทั้งสองถูกส่งตัวเข้าคุมขังอยู่ในแดนแรกรับ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งจากการตรวจสุขภาพ เพื่อทำประวัติ ได้รับรายงานว่า ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง มีเพียงโรคทั่วไปของผู้สูงอายุ เช่น โรคความดัน โดยนายปริญญามีประวัติการรักษาอยู่ที่รพ.พระมงกุฎ ส่วนพล.ต.อ.วาสนา มีประวัติการรักษาที่ รพ.รามาธิบดี ซึ่งหลังจากนี้ จะให้แพทย์วินิจฉัยว่า จะสามารถปรับยาให้อยู่ในการรักษาของแพทย์ทัณฑสถานรพ.ราชทัณฑ์ได้หรือไม่ จากนั้นในอีก 2 สัปดาห์ คณะกรรมการจำแนกนักโทษประชุมทำความเห็นว่า จะจำแนกพล.ต.อ.วาสนาและนายปริญญาไว้คุมขังในแดนใด ซึ่งคณะกรรมการจะพิจารณาตามความเหมาะสม สำหรับการคุมขังคืนแรก เป็นธรรมดาที่ต้องมีความเครียด เพราะทั้ง 2 ถือเป็นบุคคลที่เคยมีตำแหน่งสำคัญ ดังนั้น ต้องให้เวลาปรับตัว แม้จะเคยมีประวัติถูกส่งตัวเข้าเรือนจำแห่งนี้มาแล้ว แต่ครั้งนั้นเป็นการคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีมีสิทธิยื่นประกันตัวออกไป แต่ขณะนี้ถือเป็นผู้ต้องขังเด็ดขาดแล้วจึงต้องพยายามปรับตัวให้อยู่ในเรือนจำได้ อย่างไรก็ตาม การจำแนกผู้ต้องขังไปยังแดนที่เหมาะสมจะสามารถให้ผู้ต้องขังอยู่ในแดนเดียวกันหรือไม่ ยังต้องพิจารณาอย่างละเอียด เพราะพล.ต.อ.วาสนา เป็นตำรวจเก่า มีประวัติจับกุมผู้ต้องหามาหลายราย จึงจำเป็นต้องตรวจสอบประวัติเพื่อนผู้ต้องขังเพื่อความปลอดภัย ส่วนนายปริญญา เคยดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมการปกครองและผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งอาจเคยสั่งการลงโทษทางวินัยผู้ใต้บังคับบัญชา จึงต้องตรวจสอบให้ละเอียดว่าต้องไม่มีความขัดแย้งกับผู้ต้องขังอื่น
นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทั้งหลาย ท่านจงภาคภูมิใจเถิดที่ท่านได้ถูกจองจำพันธนาการในคดีการเมือง อย่างน้อยก็ได้ทำตาม มโนธรรมสำนัก และความคาดหวังอันสูงส่งของท่านแม้ว
สู้เพื่อนายใหญ่ทักษิณหนีคุกหนีคดี = เป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตยมือกุมไข่ขอสัมปทานผูกขาดมาขูดรีดประชาชนโกยเงินเข้ากระเป๋า
รายต่อๆไปไอ้คางคกกับไอ้เถิกคงได้หนาวๆร้อนๆมั่งละ ตอนสั่งเผาละมัน สมุนเฮไปตามอารมณ์ ตอนนี้ก็คงนอนไม่ค่อยหลับ
เอิ่ม อดีต ประธาน กกต. เลยเหลอฮะ ไม่แปลกใจเลยทำไมประเทศเราถึงบูชาเงินแทนที่จะบูชาศักดิ์ศรีีความเป็นคน (อ่อ มันกินไม่ด้ายยยยย)
ตามเข้าไปกันเรื่อยๆ เลยทีเดียว มีรายงานข่าวจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลฯได้ มีคำพิพากษาให้จำคุก นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่ากระกระทรวงไอซีที เป็นเวลา 1 ปี ในคดีแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมไทยคม ส่วนข้าราชการอีก 2 คนศาลตัดสินจำคุก 1 ปี แต่ให้รอลงอาญา 5 ปี คดีนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติชี้มูล 6 ต่อ 2 เสียงก่อนหน้านี้ว่า การกระทำของนพ.สุรพงษ์ ,นายไกรสร พรสุธี อดีตปลัดกระทรวงไอซีที สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และนายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ และอดีตปลัดกระทรวงไอซีที ยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้อนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารในประเทศ ระหว่างกระทรวงคมนาคม กับบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอน คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ยศขณะนั้น) เป็นกรรมการผู้มีอำนาจในขณะนั้น และปัจจุบันเป็น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรืออินทัช มีมูลความผิดทางอาญา โดย นพ.สุรพงษ์ จำเลยที่ 1 อนุมัติให้แก้สัญญา ตามที่นายไกรสร ปลัดกระทรวงเสนอ โดยไม่เสนอครม.ให้ความเห็นชอบ ทั้งที่อัยการสูงสุดมีข้อสังเกตว่าโครงการที่ได้รับอนุมัติจากครม.เป็นโครงการของประเทศ ควรที่กระทรวงไอซีทีต้องนำเสนอ ครม.พิจารณาในการแก้สัญญา ศาลฯพิพากษาให้นายสุรพงษ์ มีความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีโทษจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา // ส่วนนายไกรสร พรสุธี และนายไชยยันต์ มีความผิดฐานเดียวกัน แต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาไม่มีอำนาจสั่งการลงนามสัญญา มีโทษจำคุก 1 ปี ให้รอลงอาญา 5 ปี แต่โทษปรับ 20,000 บาท บังคับทันที คดีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่หมอเลี้ยบ นายสุรพงษ์ หรือนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร หรือไอซีที ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่มีการแก้ไขสัญญาเพื่อลดสัดส่วนหุ้นลง หลังจากที่ไทยคมมีปัญหาในระดมทุน จนจำเป็นต้องเปิดทางให้กองทุนต่างชาติเข้ามาถือหุ้นเพิ่มขึ้นในกิจการดาวเทียมของไทย หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2534 ที่กลุ่มชินคอร์ป ได้สัมปทานจากกระทรวงคมนาคม ดำเนินกิจการดาวเทียมไทยคม โดยครั้งนั้นรัฐระบุว่าชินคอร์ปต้องถือหุ้น 51% มีความพยายามในการเสนอเข้าครม.ให้อนุมัติ ลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 40% เพราะเป็นการแก้สัญญา แต่ครม.ในยุคนั้นเห็นว่าไม่จำเป็นที่ครม.ต้องพิจารณา จนในที่สุดหมอเลี้ยบก็พิจารณาอนุมัติในที่สุด
ลืมลุงสนธิลิ้มไปได้จะได๋ ตอนนี้อาสาไปรับใช้ชาติอยู่บางขวาง ท่านเคยเป็นถึงแกนนำ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ของพวกเรา ท่านเป็นนักประชาธิปไตยตัวยง ที่จะหาใครมาปานเท่า ในความรักชาติ ต้องการจะกอบกู้ชาติ คืนมาจากระบอบแม้ว ....... ที่ท่านจูงจมูกพาพวกเราไปยึดทำเนียบ ไปปิดสนามบิน มูลค่าความเสียหายวอดวาย 3-4 แสนล้านบาท สามารถสร้างสนามบินได้อีกไม่รู้กี่แห่งต่อกี่เเห่ง ก็ช่างมันเถอะ ท่านลิ้มกับพวกเราทำลงไปก็เพื่อประชาธิปไตย ทำไปเพราะรักชาติ น้อยคนนักจะรู้ ....... ตอนนี้ใครว่างก็ไปเยี่ยมแกหน่อย ซื้อข้าวผัดโอเลี้ยงไปฝากด้วย จะดีมากถ้าใครจะอาสาไปอยู่รับใช้เป็นเพื่อนแกในนั้น ส่วนที่เหลือก็สานต่อภาระกิจศักดิ์ต่อไปให้สำเร็จลุล่วง ไม่ล่มจมพินาศวันใดก็วันหนึ่ง อย่าได้พากันหยุดกู้ชาติล่ะ
ยังเหลือนักประชาธิปไตยเพื่อคนจน แต่เงินเข้ากระเป๋าตัวเองอีกคนเดียว แบบนี้จะได้ครบทีมไง สรุปคำวินิจฉัยยึดทรัพย์ทักษิณ 4.6 หมื่นล้าน http://www.komchadluek.net/news/politic/49989
ไอ้สรยุท โดนแค่ศาลเดียวแม่งมาดด่ากันชิบหาย ไอ้ลิ้มออกสื่อทุกวัน พาคนไปกู้ชาติ แม่งไม่อาย ยกเป็นฮีโร่ ขำสรัด น้องไอ้ชวนหนีโกงแบงค์ คนดีไม่เคยถามถึง สงสัยไม่ใช่เงินพ่อมัน
แล้วเมื่อไหร่มรึงจะ "ทำตาม มโนธรรมสำนัก และความคาดหวังอันสูงส่ง" บ้างละ เสี้ยมแต่จะให้คนอื่นทำ เห็นพวกเสื้อแดงเป็นควายหรือไง ถึงเสื้อแดงจะเป็นควาย แต่ไม่โง่ทุกตัวนะมรึง