หนังสือ กรณี ธรรมกาย จากท่านเจ้าพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เขียนไว้ตั้งแต่ครั้งที่ท่านยังมีสมณศักดิ์เป็น พระธรรมปิฎก ในปี พ.ศ.2542 (อันเป็นปีที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระลิขิตว่านายไชยบูลย์ต้องอาบัติปาราชิกและพ้นจากสมณเพศโดยอัตโนมัติ) ท่านเจ้าพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์เป็นอาจารย์สอนวิชาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาเป็นเวลานานหลายสิบปี เขียนเรื่องและตำราเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาหลายร้อยเรื่องและหลายสิบเล่ม ทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ท่านมีความรู้ลึกซึ้งและแตกฉาน จนโลกยอมรับว่าเป็นปราชญ์ในทางพระพุทธศาสนา ใน พ.ศ.2547 มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก ได้ถวายตำแหน่งเมธาจารย์ (Most Eminent Scholar) แด่ท่าน ในฐานะนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาสายเถรวาท "ธรรมกาย มาจากคำเดิมในพระไตรปิฏกว่า ธมฺมกาโย ในความหมายว่าเป็นคำไวพจน์หรือคำแทน "ตถาคต" ในความหมายว่าเป็น ที่ประชุมหรือแหล่งรวมแห่งโลกุตรธรรม ๙ (มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑) แต่วัดพระธรรมกายเอามาใช้ในความหมายอื่นที่ผิดเพี้ยนไปว่าเป็น วิชากรรมฐาน หรือ องค์นิมิตที่เห็นจากสมาธิที่แสดงถึงการบรรลุขั้นสูงสุด และมีกิจกรรมหาประโยชน์ต่างๆ จากคนที่หลงเชื่อธรรมกายในความหมายที่ผิดเพี้ยนนั้น ส่วนปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด คือการทำพระธรรมวินัยให้วิปริตไป ทั้งการบรรลุนิพพานที่เป็นตัวตน ไปจนถึงกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกว่าไม่สมบูรณ์ อันเป็นอันตรายร้ายแรงที่ส่งผลให้พุทธศาสนาถูกบิดเบือนทำลายตั้งแต่รากฐาน" สำนักวัดพระธรรมกาย เผยแพร่คำสอนคลาดเคลื่อนไปจากหลักพระพุทธศาสนาหลายประการ เช่น 1. สอนว่านิพพานเป็นอัตตา 2.สอนเรื่องธรรมกายอย่างเป็นภาพนิมิต และให้มีธรรมกาย ที่เป็นตัวตนเป็นอัตตาของพระพุทธเจ้ามาก มายหลายพระองค์ ไปรวมกันอยู่ในอายตน-นิพพาน 3. สอนเรื่องอายตนนิพพาน ให้เข้าใจผิดต่อนิพพาน เหมือนเป็นดินแดนที่จะเข้าสมาธิไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ ถึงกับมีพิธีถวายข้าวพระ ที่จะนำข้าวบูชาไปถวายแด่พระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานนั้น คำสอนเหล่านี้ ทางสำนักสายวัดพระธรรมกายคิดขึ้นใหม่ เป็นของนอกธรรมนอกวินัยของพระพุทธเจ้า สำนักวัดพระธรรมกายยังได้เผย แพร่เอกสาร ที่จ้วงจาบพระธรรมวินัย ชักจูงให้คนเข้าใจผิด สับสน หรือแม้แต่ลบหลู่พระไตรปิฎกบาลี ที่เป็นหลัก ของพระพุทธศาสนาเถรวาท นอกจากนั้น ยังนำคำว่า "บุญ" มาใช้ในลักษณะที่ชักจูงประชาชนให้วนเวียนจมอยู่กับการบริจาค ทรัพย์ เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ชนิดที่ส่งเสริมความยึดติดถือมั่นในตัวตนและในตัวบุคคล อันอาจกลายเป็นแนว โน้มที่บั่นทอนสังคมไทยในระยะยาว พร้อมทั้งทำพระธรรมวินัยให้ลางเลือนไปด้วย พฤติการณ์ของสำนักวัดพระธรรมกายอย่างนี้ เป็นการจาบจ้วง ลบหลู่ ย่ำยีพระธรรมวินัย สร้างความสับสนไขว้เขวและความหลงผิดแก่ประชาชน "คำว่า 'ธรรมกาย' นี้จึงมีมาแต่ครั้งพุทธกาลแน่นอน โดยไม่มีข้อสงสัยและข้อโต้แย้งใดๆ ที่เป็นประเด็น ถกเถียงกันก็คือ ความหมายของคำว่า 'ธรรมกาย' บ้างก็กล่าวว่าหมายถึงโลกุตรธรรม 9 บ้างก็กล่าวว่าหมายถึง พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า บ้างก็กล่าวว่าหมายถึงกายแห่งการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า.. ..ความจริง " ธรรมกาย " ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนสับสนอะไร และก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาลงมติวินิจฉัย เพราะเป็นข้อมูลความจริงที่ปรากฏอยู่ และเป็นเรื่องที่เราจะต้องพูดไปตามที่ท่านแสดง ไม่ขึ้นต่อความคิดเห็นของผู้ใด และหลักฐานก็ชัด ไม่ควรเอามาทำให้สับสน แท้จริงนั้น เรื่องนี้พูดได้ง่ายๆ ทั้งตรงตามความเป็นจริง และเข้าใจกันได้ชัดเจน ดังนี้ คำว่า " ธรรมกาย " นั้น ตามศัพท์ แปลว่า กองแห่งธรรม ที่รวม ที่ชุมนุม หรือที่ประมวลไว้แห่งธรรม เอกสารของวัดพระธรรมกาย กล่าวว่า " คำว่า ' ธรรมกาย ' มีหลักฐานปรากฏในพระไตรปิฎกอยู่ 4 แห่ง และในคัมภีร์อรรถกถาและฎีกา อีกหลายสิบแห่ง การกล่าวทำนองนี้ เป็นการสร้างความสับสนขึ้นใหม่ในเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้ว มีทั้งการพูดในลักษณะที่ จะให้เห็นว่า พระไตรปิฎกบาลีเถรวาทที่ตนเองอาศัยอยู่ อาจจะเชื่อถือไม่ได้ การที่กล่าวว่า เอกสารของวัดพระธรรมกาย จาบจ้วงพระธรรมวินัย จึงไม่ใช่เป็นการกล่าวหา แต่ เป็นการกระทำที่แสดงออกมาเองอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้น ยังมีการกระทำที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง แฝงอยู่ในคำกล่าวนั้นอีก 2 ประการ คือ 1) กล่าวถึงพระไตรปิฎกจีนขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย ไม่แสดงเนื้อหาที่อ้างนั้นออกมาได้เลย อาจจะเป็น การกล่าวตู่พระไตรปิฎกจีนนั้นด้วย 2) กล่าวว่า " ระบุถึง...แนวทางการเข้าถึง (ธรรมกาย) ไว้อย่างน่าสนใจ " ไม่มีพระไตรปิฎกฉบับใดจะ ต้องแสดงวิธีเข้าถึงธรรมกาย เพราะคำว่า " ธรรมกาย " เป็นคำพูดรวมๆ หมายถึงธรรมต่างๆ ที่ประสงค์จะกล่าว ถึงทั้งชุด หรือทั้งหมวด หรือทั้งมวล เช่นโลกุตตร-ธรรมทั้ง 9 และธรรมเหล่านั้น เช่น โลกุตตรธรรม 9 นั่นแหละที่ ท่านจัดวางระบบ วิธีปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมรรค ผล นิพพาน มีวิธีปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงพร้อมบริบูรณ์อยู่แล้ว จึงไม่ต้องมีวิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึง ธรรมกายขึ้นมาต่างหาก มีแต่ว่า ผู้ที่ปฏิบัติเข้าถึงมรรค ผล นิพพานแล้ว ก็จะมีธรรมกายที่ประกอบด้วยธรรมคือ คุณสมบัติต่างๆ มากมาย ตามแต่จะเลือกพรรณนาดังกล่าวแล้วว่า " ธรรมกาย " ไม่ใช่หลักธรรมอันใดอันหนึ่งโดยเฉพาะ ท่านใช้ขึ้นมาในความหมายพิเศษ ดังกล่าวแล้ว ดังนั้น จะทราบไว้เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าต้องการทราบเป็นเครื่องประดับความรู้ ก็ขอขยาย ความต่อไป ดาวน์โหลด หนังสือกรณีธรรมกาย (ฉบับเต็ม) ได้ที่ลิงค์นี้ http://www.moralproject.net/downloads.php?cat_id=25&download_id=277 ลิงค์สำรอง http://www.vitheebuddha.com/files/download/the_dhammakaya_case.pdf ดาวน์โหลดไม่ได้ แจ้งมาครับ :file pdf ขนาดประมาณ 3MB
ขอบคุณครับสำหรับลิงค์ จำได้เคยมีเล่มหนึ่ง แต่หน้าปกขาว สมัยนั้นอ่านไม่จบเล่มเพราะตอนนั้นเนื้อหาดูหนักไป ฉบับปรับปรุงนี้น่าจะทำให้ย่อยได้ง่ายขึ้น เหมือนหนังสือ พุทธธรรม ของท่านฉบับปรุงหลังๆอ่านง่ายขึ้น ผมตอนนี้เที่ยวหาฉบับพิมษ์ครั้งแรกอยู่ ว่าจะสะสมบูชาเป็นของมงคล เหมือนพระรุ่น 1 เพราะท่านก็ไม่ได้ทำวัตถุมงคลเลย เดียวจะนั่งอ่านช่วงวันหยุดนี้ละ ขอบคุณครับ
ธรรมะไม่สาธารณะ ผู้ที่สนใจ ใส่ใจ อย่างละเอียด ลึกซึ้งมีน้อยมากแม้กระทั่งวันนี้ ที่มีข้อถกเถียงกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ บางครั้ง บางคน ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังพูดถึงอะไรอย่างแท้จริง แม้กระทั่ง คำว่า ธรรมกาย ยังเข้าใจได้ไม่ถูกต้อง ว่ามีที่มาอย่างไร แท้จริงแล้ว ธรรมกาย คือชื่อของ พระคถาคต แล้วถูกนำมาใช้ตามใจชอบเพื่อให้เข้ากับสิ่งที่ตัวเองสอน ศาสนาพุทธ ไม่มีสายใหนใหนทั้งสิ้น มีเพียงสายเดียว คือสายของพระผู้มีพระภาค เพราะศาสนาพุทธ ไม่ใช่รถเมล์ ที่จะแยกออกไปหลายสาย ธรรมกาย เป็นชื่อของพระตถาคต พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๕๐ [๕๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนว่าเสฏฐะและภารทวาชะเธอทั้งหลายแล มีชาติต่างกัน มีชื่อต่างกัน มีโคตรต่างกัน ออกจากเรือนมาบวชเป็นบรรพชิต ถูกเขาถามว่า ท่านเป็นพวกไหนดังนี้ พึงตอบเขาว่า พวกเราเป็นพวกพระสมณะศากยบุตรดังนี้. ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ผู้ใดแลมีศรัทธาในพระตถาคตตั้งมั่น เกิดแต่มูลราก ตั้งมั่นอย่างมั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดามารพรหมหรือใคร ๆ ในโลกให้เคลื่อนย้ายไม่ได้ ควรจะเรียกผู้นั้นว่า เราเป็นบุตรเถิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาค เกิดจาก พระธรรม พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพระธรรมดังนี้. ข้อนั้นเพราะเหตุไร. เพราะคำว่า ธรรมกายก็ดี พรหมกายก็ดี ธรรมภูตก็ดี พรหมภูตก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต.
ขอบคุณท่าน chackrapbong สำหรับหนังสือ (the_dhammakaya_case.pdf) นะครับ ทราบว่าท่านผู้แต่ง พระพรหมคุณาภรณ์มีปัญหาด้านสุขภาพ ขอให้ท่านกลับมาแข็งแรงดังเดิมครับ โดยส่วนดัวผมเคยทำฟันกับน้องชายของท่านครั้งนึงครับ ทันตแพทย์เอนก อารยางกูร ท่านเปิดคลินิคอยู่ใน อ. บ้านโป่ง ราชบุรี แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วนะครับ เป็นคลินิคทำฟันของคนอื่นไปแล้ว ตอนนี้ท่านคงเกษียณอายุไปแล้วหละ
จะว่าไปแล้ว ผมเปรียบแค่ คนถือสารเท่านั้น ควรกราบขอบพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์และเหนือไปกว่านั้น ถวายความนอบน้อม สักการะพระธรรมอันประเสริฐสุดของพระผู้มีพระภาค "แม้ผู้ใดเห็นพระวรกายของพระองค์ ได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์ หรือแม้ได้จับชายสังฆาฏิติดตามพระองค์ไป แต่ ไม่รู้ธรรม ไม่เห็นธรรม ผู้นั้นก็หาได้เห็นพระองค์ไม่ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นได้ชื่อว่าย่อมเห็น ตถาคต."
ถ้าสนใจยังหนังสือดีๆมีอีกหลายเล่มค่ะ รวมถึงแหล่งกำเนิดที่แท้จริงของวิชาธรรมกาย อนุโมทนาบุญ เล่นละไม่กี่บาทค่ะ
ขอแสดงความเห็นตามกำลังความเข้าใจ ผมยกย่องอย่างสูงสุด ในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดาของพระเถระ และพุทธบริษัททั้งปวง ครับ แม้ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญา ก็ยังมีความเคารพยำเกรงยกย่องในพระพุทธพจน์ แสดงพระธรรมและข้อปฏิบัติตามพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ทรงจำ และรู้แจ้งพุทธพจน์แล้ว แสดงแก่ผู้อื่นพุทธบริษัทใด ที่เคารพยำเกรง ยกย่องในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และในพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้ครบถ้วนในพระไตรปิฎก ควรหรือไม่ ที่จะศึกษา และแสดงสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้โดยตรง ไม่ละเลย หรือข้ามไปศึกษาถ้อยคำของบุคคลอื่นก่อนจะศึกษาพระพุทธพจน์ครับ ? เมื่อเป็นพุทธศาสนิกชน คือ ผู้ที่นับถือพุทธศาสนา ที่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานมรดกอันล้ำค่าคือพระธรรมวินัยไว้ให้เป็นตัวแทนของพระองค์ ไว้ให้พวกเราได้ศึกษาให้เข้าถึงธรรมที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ดีแล้ว ดังนั้นจึงสมควรจะศึกษาคำสอนนั้นซึ่งยังปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก สมควรจะคัดลอกให้ได้อ่านได้ศึกษากันมากๆเพราะเป็นสิ่งล้ำค่าที่ทุกคนควรจะได้ยิน ได้ฟัง ได้พิจารณาให้เข้าใจ ได้ศึกษาพุทธประวัติจากพระไตรปิฎก จึงทราบว่า กว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ง่ายเลยต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง๔อสงไขยแสนกัปแม้กระนั้นในชาติสุดท้ายก็ยังทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอย่างที่ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้ถึง ๖ พรรษา จึงได้ตรัสรู้ และหลังจากนั้นก็ทรงปฏิบัติพุทธกิจตลอดเวลา๔๕ พรรษาเพื่อทรงประกาศพระสัทธรรมซึ่งทรงค้นพบด้วยพระองค์เองอย่างต่อเนื่อง มีผู้รู้แจ้งอริยสัจธรรมตามเป็นจำนวนมาก ซึ่งคำสอนทั้งหมดนั้นได้บันทึกไว้แล้วในพระไตรปิฎกและอรรถกถา จึงไม่สมควรจะเปรียบเทียบพระองค์กับอาจารย์ใด ๆ ทั้งสิ้น
อยากให้ ธรรมะชโยนั่งรถออกจากวัดแล้วปวดท้องขี้ แล้วก็มาเจอรถติด เดินหน้าไม่ได้ถอยหลังไม่ได้ แล้วจะรู้สึกว่ามาเดินธุดงค์ในเมืองน่ะชาวบ้านเขาเดือดร้อนยังไง
-คนที่แต่งตำราพระอภิธรรมแข่งกับพระพุทธเจ้าเช่น เอาธรรมะมาขยายใหม่ แล้วเอาปัญญาตัวเองเข้าใส่ ข้อความบางตอนในพระไตรปิฏกไม่มี แต่ขยายว่ามี แล้วเล่าให้คนเชื่อ -คนที่สร้างแนวทางปฏิบัติที่แปลกแหวกแนว แล้วก็ยกเอากรรมฐานมากองหนึ่ง แล้วสร้างแนวทางใหม่ๆที่พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้คนแห่กันไปปฏิบัติคิดว่าถูกต้อง เราเรียก โมฆบุรุษ
ถ้ายกอ้างตัวว่าเป็นพระในศาสนาพุทธ ก็ต้องยึดหลักตามพระธรรมวินัย ที่ศาสนาพุทธบัญญัติใว้ จะยกอ้างว่าดัดแปลง เพื่อให้เผยแพร่ศาสนาพุทธได้มากขึ้น ผมว่ามันผิดชัดๆ ถ้าอยากจะทำ ก็สึกออกจากความเป็นพระในศาสนาพุทธ แล้วตั้งตัวเป็นศาสดา ของศาสนาใหม่เอาก็แล้วกัน บัญญัติกติกา คำสอนขึ้นมาใหม่ตามใจชอบ อย่างนี้ผมเห็นด้วย
เพื่อความเป็นธรรมต่อพระศาสดา เราก็ควรจะศึกษาคำอธิบายของท่านในคัมภีร์ต่างๆ ให้ชัดแจ้งก่อน แล้วจึงมาสรุปสิ่งที่ศึกษามาแล้ว ถ้าสรุปดีก็ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน สรุปไม่ดีก็ผิดพลาด ก็ต้องศึกษาค้นคว้าต่อไป แต่อย่างน้อยก็ต้องแยกให้ชัดอย่างที่กล่าวมาแล้วว่า พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร ก็ว่าไปตามคำสอนของพระองค์โดยซื่อสัตย์ แล้วเราเห็นว่าอย่างไร ก็ว่าไปตามอิสระที่เราเห็น แต่เวลานี้คนว่ากันนุงนังสับสนไปหมด ถ้าเราถามว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร หรือสอนเรื่องอะไรว่าอย่างไร เราก็ต้องไปดูพระไตรปิฎกเพื่อหาคำตอบ เพราะเราไม่มีแหล่งอื่นที่จะตอบคำถามนี้ได้ แต่ถ้าเขาถามว่า พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างนี้แล้ว คุณจะว่าอย่างไร เราจะคิดอย่างไรก็เป็นสิทธิของเรา เป็นเสรีภาพของเราที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ดังนั้น ชาวพุทธทุกคนจึงควรเฝ้าจับตาระแวดระวังบุคคล ๒ประเภท คือ (๑) ประเภทที่สร้างความสับสนระหว่างพุทธพจน์ที่แท้กับความคิดเห็นของตน โดยอ้าง “เสรีภาพทางวิชาการ” แฝงมาในรูปที่เรียกว่า “งานวิจัยทางวิชาการ” และ (๒) ประเภทที่อ้างว่าสามารถปฏิบัติได้โดยไม่ต้องอาศัยพระพุทธเจ้าบุคคล ๒ ประเภทนี้ซึ่งหาได้ไม่ยากนักในสังคมปัจจุบันของเรา ย่อมสามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อพระศาสนาในระยะยาวได้โดยแท้ ยิ่งเมื่อมีผู้คล้อยตามด้วยหลงเชื่อโดยง่ายเป็นจำนวนมาก เราจึงควรตื่นตัวต่อภัยคุกคามและร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไขปัญหาด้วยการส่งเสริมสัมมาปฏิบัติโดยอิงอาศัยคำสอนที่แท้ ซึ่งเราจะต้องช่วยกันรักษาให้บริสุทธิ์ อันที่จริง ถึงเวลาแล้วที่จะต้องหันมาฟื้นฟูชาวพุทธให้กลับไปสู่พระธรรมวินัย ให้รู้จักศึกษาพระไตรปิฎกกันอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง อย่างที่กล่าวแล้วก่อนหน้านี้ ตราบใดที่พระไตรปิฎกยังมีอยู่ตราบนั้นพระพุทธศาสนาก็ยังคงอยู่ พระพุทธศาสนาอันเป็นของแท้ดั้งเดิม ดังนั้น ตราบใดที่ยังมีพระไตรปิฎกอยู่ เราก็ยังมีโอกาสที่จะรู้จักพระพุทธศาสนาและได้รับประโยชน์ที่แท้จริงที่พึงได้จากพระศาสนาอันประเสริฐนี้ พระไตรปิฎก: สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้© พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) ISBN: 974 91539 1 X ดร.สมศีล ฌานวังศะ แปลเป็นภาษาอังกฤษ ‘What a true Buddhist should know about the Pali Canon’ ในวารสาร Manusya: Journal of Humanities (Special Issue No. 4, 2002)
ถ้าเข้าใจธรรม ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ปฎิบัติได้ สำคัญที่ปัญญาเกิดหรือเปล่า? พระผุ้มีพระภาค ได้แสดงอย่างชัดเจนดีแล้วว่า ปริยัติ-ปฎิบัติ-ปฎิเวธ โดยข้ามขั้นไปไม่ได้เลย ปริยัติ ยังไม่ได้ ก็หวังปฎิบัติ เลยไปถึง ปฎิเวธ ทางการค้าเราเรียกว่า กำไรเกินควรครับ การเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฎถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ใช่เข้าใจชื่อ ไม่ใช่เข้าใจเรื่อง แต่เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฎถูกต้อง ถ้าเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฎในขณะที่ฟัง ถ้าเข้าใจ.......นี่คือปฎิบัติ ธรรมทั้งหลายเป็นอัตตาหรืออนัตตา บังคับได้หรือบังคับไม่ได้ ถ้าบังคับไม่ได้ เป็นอนัตตา จะมีตัวตนที่จะพยายามปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 หรือมีตัวเราไปปฏิบัติหรือไม่ ในเมื่อทุกอย่างเป็นธรรม เป็นอนัตตา ปฏิบัติธรรม คือ ธรรมปฏิบัติ ไม่ใช่ตัวเราไปพยายามปฏิบัติ สติและปัญญาปฏิบัติ สติและปัญญาบังคับให้เกิดตามใจชอบได้ไหม แล้วให้สติและปัญญาไปเกิดตรงสถานที่นั้น สถานที่นี้ได้ไหม ดังนั้นต้องเริ่มจากฟังพระธรรมให้เข้าใจก่อน แล้วปัญญาก็จะปฏิบัติด้วยตัวเอง ขอบคุณ คุณแดงประจำเดือนครับที่เข้ามาชี้ให้เห็น ปฎิบัติธรรม ต่างกับ ทำ-ปฎิบัติ
https://th-th.facebook.com/Black.Dhammakaya/posts/640498929395725:0 กรณี ธรรมกาย 2 กุมภาพันธ์ · ทำไม "ธรรมกาย" ถึงเป็นภัยต่อ "พุทธศาสนา" มากที่สุด กรณีศึกษาจากการล่มสลายพุทธศาสนาในอินเดีย . . ท่านศังกราจารย์ เจ้าลัทธิไศวะ อัจฉริยะบุคคลผู้ที่สามารถล้มพุทธศาสนาลงได้ในแดนชมพูทวีป ถ้าเปรียบกับไทยก็คงจะเป็นเหมือนธัมชชโย วัดพระธรรมกาย หรือไม่ก็สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ช่วง วัดปากน้ำ . ในบรรดาเจ้าลัทธิทั้งหลายบนโลกนี้ อาจกล่าวได้ว่าท่านศังกราจารย์เป็นเจ้าลัทธิที่มีอัจฉริยภาพมากที่สุดคนหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ของโลกเลยทีเดียว เพราะลำพังการที่คนคนหนึ่งคิดจะก่อตั้งลัทธิอะไรขึ้นมาได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ท่านศังกราจารย์นั้นสามารถทำได้มากกว่านั้น ท่านสามารถที่จะดูดดึงศาสนิกชนชาวพุทธไปเป็นสาวกของตนเองได้อย่างแนบเนียน จนล้มพุทธศาสนาที่เป็นคู่แข่งลงได้ แล้วใช้เป็นฐานในการพัฒนาและปฏิรูปลัทธิใหม่ของตน จนสืบต่อมาได้อย่างยิ่งใหญ่และกลายเป็นศาสนาสำคัญของโลกในยุคปัจจุบันได้สำเร็จ ท่านศังกราจารย์ นามจริงคือ ศังกระ หรือ อาทิ ศังกระ มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ. 1331 - 1363 เป็นปราชญ์และนักการศาสนาชาวอินเดียใต้ เกิดที่เมืองเกราลา (Kerala) แต่ได้เดินทางโต้วาทะและเผยแผ่ลัทธิใหม่ของตนไปทั่วอินเดีย นับถือกันว่าเป็นองค์อวตารของพระศิวะ ศังกราจารย์เป็นผู้ประพันธ์คัมภีร์ปุราณะและคัมภีร์เวทานตะ อรรถกถาอธิบายลัทธิเวทานตะ และเป็นผู้ตั้งลัทธิอไทวตะเวทานตะ . ...................................................................... ทำเนียนว่าบูชาพระพุทธเจ้า แต่ให้พระศิวะเป็นสิ่งสูงสุด อุปโลกน์ตนเป็นองค์อวตาร ...................................................................... . ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลัทธิใหม่ค่อยๆ ได้รับความนิยมจนกลืนพุทธศาสนาไปได้อย่างแนบเนียน ก็คือการใช้หลักของความเชื่อเหนือจริงที่เกินกว่าคนทั่วไปจะคิดได้ โดยอุปโลกน์ว่าตนนั้นเป็นองค์อวตารของพระศิวะ ในรูปของเรื่องเล่าและแต่งเป็นคัมภีร์ จนก่อเกิดเป็นลัทธิไศวะหรือศิวะอวตาร และแต่งคำสอนในลัทธิของตนให้มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเสีย คือให้พระพุทธเจ้าเป็นปางที่ ๙ ของพระนารายณ์ ดังปรากฎในคัมภีร์ปุราณะ โดยกลอุบายอันแยบยลนี้พุทธศาสนิกชนที่มีมาอยู่แต่เดิม ก็กลายเป็นศาสนิกชนในลัทธิของท่านศังกราจารย์ไปด้วย >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> ธัมชโย แห่งวัดพระธรรมกาย อุปโลกน์ตนเองว่าจะไปเป็นพระพุทธเจ้าแห่งอนาคต เลยต้องเร่งสะสมสาวก ขึ้นไปสร้างบารมีด้วยกัน โดยใช้หลวงพ่อสด บังหน้า แต่เบื้องหลังยกตนเองให้ใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า ด้วยซ้ำ คลิป >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> . . ในขณะเดียวท่านสังกราจารย์ก็มีความสามารถในการจัดตั้งและบริหารองค์กรเป็นอย่างมาก ก็ได้ก่อตั้งวัดและสังฆะของพระตามแบบในพุทธศาสนา โดยมุ่งเน้นการสั่งสมฝึกปรือกุลบุตรให้มาเป็นบุคลากรชั้นยอดของนักเผยแผ่ทั้งทางด้านบุคลิกภาพและความสามารถเป็นจำนวนมาก แล้วส่งกระจายไปแฝงตัวตามหัวเมืองต่างๆ เบื้องต้นได้ตั้งวัด (ที่เรียกว่า “มัฐ” หรือ “มะฐะ”) สาขาขนาดใหญ่ไว้ทั้งสี่ทิศเลียนแบบวัดในพระพุทธศาสนา เพื่อเรียกศรัทธาจากชาวบ้านและทำหน้าที่เป็นเสมือนศูนย์ระดมทรัพยากรในระดับภูมิภาค . ในด้านคำสอนและพิธีกรรมก็ได้มีการนำคำสอนและพิธีกรรมทางพุทธศาสนาเข้ามาปรับใช้แต่แปลงเปลี่ยนให้ไปในแนวทางลัทธิของตน ทำให้แทรกซึมเข้าไปสู่ชาวบ้านที่เป็นชาวพุทธอยู่แต่เดิมได้โดยง่าย จนเกิดการยอมรับนับถือมากขึ้นๆ ในขณะที่พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาติดอยู่กับลาภยศสรรเสริญทรัพย์สินเงินทองความร่ำรวย อยู่ในเมืองใหญ่ๆ ละเลยวัดและชาวบ้านในชนบทที่ห่างไกล จึงทำให้ลัทธิศิวะอวตารนี้ค่อยๆ ยึดวัดในพุทธศาสนาของเดิมมาเป็นวัดในลัทธิของตนได้อย่างแนบเนียน . >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> ปัจจุบัน วัดพระธรรมกาย ได้ชื่อว่ามีระบบบริหารจัดการได้ดีเยี่ยม และเครือข่ายวัดสาขาทั้วประเทศ และทั่วโลก โดยวัดกว่า 60% ในประเทศไทยต่างตกเป็นเมืองขึ้นของวัดพระธรรมกายหมดแล้ว ด้วยอำนาจเงิน และอำนาจของยศตำแหน่ง และมหาเถรสมาคม รวมถึงข้าราชการในกรมพระพุทธศาสนา และข้าราชการในกระทรวงศึกษา ต่างก็วิ่งเต้นเรียกร้องตำแหน่งผ่านวัดพระธรรมกาย และวัดปากน้ำทั้งสิ้น เอาเด็กทั้งประเทศ เอาครูทั้งประเทศ ส่งไปล้างสมองที่ธรรมกาย จนทำให้เครือข่าววัดพระธรรมกายกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> . . แต่ในมุมของชาวบ้านนั้น ไม่รู้สึกว่าพุทธศาสนาจะหมดหรือเสื่อมสูญไปตรงไหน เพราะยังได้ทำพิธีกรรมและบูชาพระพุทธเจ้าอยู่เช่นเดิม วัดก็ยังมีพระของลัทธิไศวะมาอยู่ประจำคอยทำพิธีกรรมให้ เพียงแต่เพิ่มการบูชาพระศิวะและเทพเจ้าองค์อื่นๆ เพิ่มขึ้นมา และยกย่องให้พระศิวะเป็นสิ่งสูงสุด และนับถือท่านศังกราจารย์ในฐานะเป็นองค์อวตารของสิ่งสูงสุด ศาสนิกชนชาวพุทธที่มีมาแต่เดิมจึงกลายไปเป็นสาวกของนิกายศิวะอวตารได้ด้วยความเต็มใจ . . เหมือนธรรมโกยไหม ? ทำเนียนว่าบูชาพระพุทธเจ้า แต่ให้ธัมชโยเป็นสิ่งสูงสุด . . ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลัทธิธรรมกายค่อยๆ ได้รับความนิยมจนกลืนพุทธศาสนาไปได้อย่างแนบเนียน ก็คือการใช้หลักของความเชื่อเหนือจริงที่เกินกว่าคนทั่วไปจะคิดได้ โดยอุปโลกน์ว่าตนนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ ที่มีบารมีสูงส่งกว่าพระสมณโคดม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน โดยมีหน้าที่มาสร้างบารมี เพื่อรวบรวมกองทัพธรรมไปเกิดพร้อมกันในแดนโพธิสัตว์ชื่อ "ดุสิตบุรี" และจะลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อประกาศาสนาธรรมโกยพร้อมกันในภพหน้า โดยอ้างหลวงพ่อสด เป็นสิ่งหลอกล่อมวลชนแต่เมื่อเข้าภายในแล้วกลับยกย่องธัมชโยเหนือสิ่งอื่นใด และยังสร้างความเชื่อเกินจริงเช่น แม่ชีปัดระเบิดปรมณู . . ในรูปของเรื่องเล่าและแต่งเป็นคัมภีร์ จนก่อเกิดเป็นลัทธิธรรมกาย และแต่งคำสอนในลัทธิของตนให้มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเสีย คือ สถาปนาธรรมใหม่ เช่น “อายตนะนิพพาน” . .................................................... ผลงานการวิจัยของ ดร.อภิญญา กล่าวว่า 1. สร้างภาพผู้นำศักดิ์สิทธิให้ "ธัมชโย" เหนือมนุษย์ 2. ชวนขึ้นดอยฝึกสมาธิชั้นสูง จีวรสมภาร "ป่านสวิส" 3. ธรรมที่แท้ธรรมโกย สินค้าบุญวางขายเกลื่อน 4. นักบุญเฉพาะกิจ-ไดเร็กเซลล์ ใช้ดวงแก้วเครื่องหมายการค้า 5. ติวเข้มเทคนิคการขูดรีดบุญ มอบโล่เกียรติคุณผู้ทำเป้า 6. แข่งขันบุญ - ปลุกเร้าความวิเศษ โศกนาฏกรรมพระชั้นนำฆ่าตัวตาย 7. ถวายข้าวพระพุทธเจ้า-อรหันต์ ผ่านสื่อพระธัมมี-ชีจัน 8. คลั่งใคล้อำนาจศักดิ์สิทธิ์-ละเลยหลักธรรม เจ้าอาวาสเป็นองค์อวตาร . ........................................................... พระธรรมบทใหม่ แต่งโดยธรรมกาย แทรกซึ่มคำสอนพุทธเดิม "องค์พระธรรมโกยต้นธาตุ " แรกเริ่มเดิมที ในห้วงจักรวาลมีแต่ความว่างเปล่า ต่อมามีธรรมโกยฝ่ายที่เรียกว่า "ฝ่ายขาว" และ "ฝ่ายดำ" เกิดขึ้นต่อมาต่างฝ่ายต่างเพิ่มจำนวนขึ้นทุกที และทำวิชชาหักล้างกันและกัน จากนั้น พระธรรมกายฝ่ายขาว ก็ได้สร้าง "ภพ" ใหม่ และสร้าง "ต้นธาตุกายมนุษย์"ขึ้น ที่มีลักษณะคุณสมบัติคล้ายกายทิพย์เพื่อที่จะให้มาทำวิชชาปราบมาร แต่ต่อมาก็ถูกทำลายโดยฝ่ายดำ ทำให้ให้ฝ่ายขาวต้องถอยร่นลงมาอีก มาสร้างโลกมนุษย์ สงครามจึงเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่ายขาวก็จะส่งคนดีมาปราบมารเสมอ ในยุคปัจจุบัน วีรบุรุษที่สำคัญของฝ่ายขาวก็คือหลวงพ่อสด และ ท่านธัมมชโยนั้นเอง ธัมมชโย เป็นอวตารภาคหนึ่งของ "องค์พระธรรมกายต้นธาตุ" ซึ่งหมายถึงต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง รวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วย.... ใหญ่ปะล่ะ พอแค่นี้ ..... ความเพี้ยนของธรรมกายที่พยายามจะปิดเบือนพระพุทธศาสนายังมีอีกนับไม่ท่วน..... ปัจจุบันวัดมหานิกายเกือบหมดประเทศ เป็นวัดประเทศราชของธรรมโกยไปเกือบหมดแล้ว ภาระกิจต่อไปของธรรมโกย คือ เข้าหาผู้นำองค์กรรัฐและเอกชนต่างๆ เพื่อเข้าไปล้างสมองความเชื่อใหม่ แก่สมาชิก นักเรียน นักศึกษา ตักบาตรพันรูป บวชแสนรูป อบรมครูทั่วประเทศ อันเป็นการปูทางเพื่อสถาปนาลัทธิใหม่ และล่าสุดโปรดติดตามภารกิจของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ช่วง วัดปากน้ำ กับว่าที่พระสังฆราช ที่จะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ยึดครองประเทศได้อย่างสมบูรณ์ . ........................................... พุทธศาสนาในไทยกำลังสิ้นสุดลง พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง มูลเหตุที่ทำให้ พระศาสนาเสื่อม เพราะพระสัทธรรม เลอะเลือน ดังนี้:- 1) พวกภิกษุเล่าเรียน สูตรอันถือกันมาผิด ด้วยบทพยัญชนะ และความหมาย อันคลาดเคลื่อน. 2) พวกภิกษุ เป็นคนว่ายาก ไม่อดทน ไม่ยอมรับคำตักเตือน โดยความเคารพหนักแน่น. 3) พวกภิกษุที่เป็นพหูสูต คล่องแคล่ว ในหลักพระพุทธวัจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท) แต่ภิกษุเหล่านั้น ไม่ได้เอาใจใส่ บอกสอนใจความ แห่งสูตรทั้งหลาย แก่คนอื่นๆ เมื่อท่านเหล่านั้น ล่วงลับดับไป สูตรทั้งหลาย ก็เลยขาด ผู้เป็นมูลราก ไม่มีที่อาศัยสืบไป. 4) พวกภิกษุชั้นเถระ ทำการสะสมบริกขาร ประพฤติย่อหย่อน ในไตรสิกขา เป็นผู้นำ ในทางทราม ไม่เหลียวแล ในกิจแห่งวิเวก ไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้ง ในสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง ผู้บวชภายหลัง ได้เห็นพวกเถระ เหล่านั้น ทำแบบแผน เช่นนั้นไว้ ก็ถือเอา เป็นแบบอย่าง. และยังทรงย้ำเสมอๆว่า พระพุทธศาสนา จะเสื่อมสูญจนหายไปนั้น มีเหตุที่สำคัญที่สุด เกิดจากพุทธบริษัท 4 ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา. จึงเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัททุกคน ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ในการสืบทอด พระพุทธศาสนานี้
ผลบุญตอบแทนเป็นไรมหาศาลแน่นอนค่ะ ศิษย์ของท่านหลวงพ่อธรรมะไชโยที่สึกไปล้วนแล้วล้วนแต่ได้รับกุศลผลบุณร่ำรวยถ้วนหน้าค่ะ
ถูกหรือผิดต้องให้หมาเถรสมาคมเป็นผู้ตัดสินค่ะ พระยังมีกติกาเป้นศาลพระ ทางโลกผิดชอบชั่วดีก็ตัดสินด้วยการเลือกตั้งค่ะ
อัพเดท http://www.komchadluek.net/detail/20150310/202725.html ‘ธัมมชโย’ส่งทนายเลื่อนให้ปากคำดีเอสไอเป็น26มี.ค. ‘พระธัมมชโย’ อ้างป่วย! ส่งทนายเลื่อนนัดให้ปากคำดีเอสไอ นัดใหม่ 26 มี.ค. 10 มี.ค.58 นายสัมพันธ์ เสริมชีพ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เดินทางเข้ายื่นหนังสือขอเลื่อนนัดเข้าให้ปากคำต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตามหมายเรียกของพระธัมมชโยจากวันนี้ (10 มี.ค.) ไปเป็นวันที่ 26 มี.ค. เวลา 10.00 น. โดยระบุว่าพระธัมมชโยป่วยมีปัญหาเรื่องสุขภาพหลายโรค ทั้งเบาหวานและความดัน นอกจากนี้ยังต้องขอเวลารวบรวมเอกสารประกอบการให้ปากคำเกี่ยวกับการรับบริจาคเช็คจากนายศุภชัยศรีศุภอักษรอดีตประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ที่มีจำนวนมากและเป็นเอกสารตั้งแต่ปี2552 อาจต้องใช้เวลารวบรวม ที่สำคัญตัวเลขวงเงินจากการแถลงข่าวของดีเอสไอและนายศุภชัยไม่ตรงกันจึงต้องใช้เอกสารยืนยันอย่างไรก็ตามพระธัมมชโยยืนยันว่าไม่เคยเห็นจำนวนเงินและไม่เคยรับเช็คแม้แต่ใบเดียว เพราะเวลามีผู้มาบริจาคจะนำเช็คหรือเงืนใส่ซองหรือถุงถวาย จากนั้นฝ่ายการเงินของวัดเป็นผู้ดำเนินการนำเงินและเช็คทั้งหมดเข้าบัญชีทั้งในส่วนของบัญชีวัดและบัญชีส่วนตัวของพระ ในการเบิกถอนทั้งในบัญชีของวัดหรือบัญชีส่วนตัวของพระ ก็จะมอบอำนาจให้บุคคลอื่นไปดำเนินการแทน “ขณะนี้วัดพระธรรมกายอยู่ระหว่างเจรจาเกี่ยวกับเงินที่ได้รับบริจาคจากสหกรณ์คลองจั่นฯที่มีจำนวนเงินไม่ตรงกัน จึงต้องนำเอกสารหลักฐานระหว่างสองฝ่ายมายืนยัน โดยวัดพระธรรมกายมีหลักฐานรับเช็คบริจาค 13 ฉบับ เป็นเงิน 684 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งในการเจรจาวัดพระธรรมกายไม่เคยตกลงว่าจะคืนเงินให้แต่เป็นเรื่องของลูกศิษย์ที่มีแนวคิดจะจัดตั้งกองทุนรับบริจาคเงินมาเยียวยาสมาชิกสหกรณ์ฯ ยืนยันไม่ใช่การคืนเงินแต่เป็นการเยียวยาทั้งในส่วนสมาชิกสหกรณ์ พระธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย เนื่องจากเงินบริจาคทั้งหมดวัดพระธรรมกายนำไปก่อสร้างศาสนสถานจำนวนมากทั้งในพื้นที่ธรณีสงฆ์และที่ดินอื่น ๆ หลากหลายแต่เป็นการก่อสร้างเฉพาะในพื้นที่คลองหลวง ซึ่งการก่อสร้างมีมูลค่ามหาศาลทั้งนี้ทีมทนายพร้อมนำคณะสื่อมวลชนเข้าไปดูศาสนสถานที่ก่อสร้างจากเงินบริจาค”ทนายความกล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า พระธัมมชโยได้แสดงความเป็นห่วงสมาชิกสหกรณ์ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ ทนายความ ระบุว่าพระธัมมโยไม่ได้แสดงความเห็นหรือมอบหมายใดในเรื่องดังกล่าว การดำเนินการที่ผ่านมาเป็นเรื่องของลูกศิษย์วัดไม่เกี่ยวกับพระ เมื่อถามย้ำว่าบัญชีเงินฝากของวัดธรรมการมีเงินคงเหลือเท่าไรเหตุใดจึงไม่นำเงินมาจ่ายเยียวยาให้สมาชิกสหกรณ์ ทนายความกล่าวว่า วัดไม่มีเงินเพราะได้นำไปก่อสร้างศาสนสถานจำนวนมาก อาคารแต่ละหลังมีมูลค่าเป็น 1,000 ล้านบาท ทางด้าน พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล หัวหน้าชุดติดตามเส้นทางการเงินวัดพระธรรมกาย ยืนยันว่า พระธัมมชโยต้องเดินทางเข้าให้ปากคำด้วยตนเอง เพราะเช็คหลายฉบับสั่งจ่ายเข้าบัญชีชื่อของพระธัมมชโยโดยตรง จึงไม่สามารถมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมาให้ปากคำแทนได้ อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ดีเอสไอเรียกสอบนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องอีก 4 บริษัท ประกอบด้วยบริษัทซีบีเค กรุ๊ป จำกัด,บริษัทไซ-แมกซ์ เทคโนโลยี จำกัด,บริษัท ทศยุทธ จำกัด, บริษัทที ไอ พี สตีล จำกัด สำหรับพระมนตรี สุตาภาโส ที่ดีเอสไอออกหมายเรียกเข้าให้ปากคำในวันที่ 18 มี.ค.นั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อว่าจะขอเลื่อนนัดเข้าให้ปากคำหรือไม่ ----------------------------------------------------------------------------------------