ทั้งๆที่ตอนแรกๆที่เข้ามาปฏิรูป ความหวังของ กปปส.และผู้สนับสนุน คือการกระจายอำนาจ แต่หลังจากเข้ามาเพียงไม่เท่าไหร่ ก็เหมือนนายกจะประกาศเลยว่าไม่มีกระจายอำนาจที่พิเศษไปกว่าที่ผ่านมา และออกไปทางรวบอำนาจกลับไปให้ราชการด้วยซ้ำ ทั้งๆที่มีตัวอย่างการปฏิรูปของอินโดนีเซียทำให้เห็นแล้วว่าการกระจายอำนาจทำให้อินโดมีเสถียรภาพขึ้นมาก ทั้งๆที่ประชากร..... จนล่วงมาเวลานี้ได้เห็นรัฐธรรมนูญที่มีกติกาประหลาดๆออกมาให้เห็น กติกาที่ชัดเจนว่าต้องการอะไร คนที่เคยสนันสนุนกลายเป็นคนที่มีคำถามต่อแนวทางของ คสช. ทุกท่านเห็นทางออกของประเทศว่าอย่างไรครับ
ก่อนตั้งกระทู้นี่ไม่เคยอ่านข่าวมาก่อนบ้างรึไง ???? ในส่วนของการการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวานนี้มีหลายประเด็นที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ซึ่งก็รวมถึงการขึ้นเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ ข้าราชการศาลปกครอง /ศาลยุติธรรม /ศาลรัฐธรรมนูญ/ องค์กรอิสระ และอัยการ และเห็นชอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีอำนาจดูแลโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เพื่อกระจายอำนาจลงสู่ระดับพื้นที่
หลักฐานคาตา!! "พลเมืองดี" เห็นชายฉกรรจ์นั่งจับกลุ่มมีพิรุธ แจ้งตำรวจ-ทหารบุกจับ ยึดเงิน-ซองขาว ซื้อเสียงเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน!! กระจายอำนาจเพื่อไปโกง มากกว่ากระจายอำนาจเพื่อท้องถิ่น ปล.อย่าเชื่อผม ลองไปสัมผัสดูเอง
น่าจะเป็นเพราะเราขาดองคฺความรู้นี่เอง เป้าหมายของการกระจายอำนาจ แบบอย่างการกระจายอำนาจในประเทศที่พัฒนาแล้ว เราไม่เคยสัมผัสว่าการกระจายอำนาจที่จริงนั้นทำอย่างไร ถูกหลอกมาตลอดว่าที่มีอยู่คือการกระจายแล้ว แล้วก็โดนเอาเรื่องทุตจริตมาหยุดการพัฒนาด้านการกระจายอำนาจ น่าสงสาร
ผมไม่แน่ใจว่า ถ้าเรากระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นแล้วจะดีขึ้นจริงหรือเปล่า เพราะการทุจริตในบ้านเรามีตั้งแต่ระดับท้องถิ่นที่เลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. ก็ยังมีการซื้อเสียงเลย ทั้งในระดับจังหวัด ระดับประเทศยิ่งแล้วใหญ่ และปัจจุบันก็มีการพัฒนารูปแบบการทุจริตมากขึ้นจากที่เคยถือเงินไปซื้อเสียง มาเป็นทุจริตเชิงนโยบายมากขึ้น เป็นการสัญญาว่าจะให้เมื่อได้รับเลือกว่า จะมีงบประมาณ โครงการต่างๆลงไป เพื่อให้ตัวแทนซึ่งมีธุรกิจเกี่ยวพันกับโครงการ การก่อสร้าง การจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ รวมถึงการกินหัวคิว เงินใต้โต๊ะ ฯลฯ จากอดีตที่เคยมีปัญหาทุจริต แล้วถึงมีการตรวจสอบโดยหน่วยงานอิสระต่างๆ แม้กระทั่งการตรวจสอบจากฝ่ายค้านในสภาที่ถึงแม้มีการลงมติไม่ไว้วางใจที่สุดท้ายก็ช่วยกันอุ้มให้ผ่าน ก็ไม่ค่อยมีไปจนถึงการลงโทษผู้กระทำผิดได้เลย แต่ปัจจุบันถึงแม้จะมีข่าวการตรวจจับทุจริตกันมาก แต่ก็สามารถลงโทษผู้กระทำผิดได้มากขึ้น ทำให้ผมมองว่า ปัญหาของบ้านเราน่าจะมีอยู่อย่างเดียวคือ การบังคับใช้กฎหมายมากกว่า โดยอาจจะปรับปรุงกฎหมายอีกหลายตัวให้ทันสมัยมากขึ้น เพิ่มโทษมากขึ้น ที่สำคัญคือ ทำอย่างไรให้การสอบสวนคดีความต่างๆที่ร้องเรียน แจ้งความดำเนินคดี เพื่อตรวจสอบมูลความผิดรวดเร็วกว่านี้ โดยเฉพาะส่วนของข้าราชการที่มักอ้างกฎระเบียบเวลา 180 วันเสมอ แถมยังขยายเวลาต่อได้อีก ทำให้คนมักขาดศรัทธา ในเวลาที่มีการดำเนินคดีกับข้าราชการระดับสูง หรือคนที่มีฐานะ
ขออนุญาตเรียนว่า อาจจะยาวและเยิ่นเย้อสักหน่อยนะครับ เพราะต้องท้าวความย้อนหลังไปในอดีต ..เป็นพันปี ผมขอพูดรวบๆเอาว่า ก่อนที่เราจะรวบรวมชนชาติในภูมิภาคนี้ และกำเนิดเกิดเผ่าพันธุ์ที่เรียกตัวเองว่าไทยขึ้นมานั้น ในภูมิภาคอื่น เช่น จีน มีฮ่องเต้มาหลายต่อหลายบรมวงศ์ก่อนเราหลายพันปี อินเดีย ช่วงที่มีความเจริญบ้างแล้วก็มีแว่นแคว้นของกลุ่มกษัตริย์ใน วงศ์ต่างๆ นับไม่ถ้วน อียิปจ์ ก็สร้างพิรามิดเสร็จแล้วก่อนเกิดชาติไทย..มากมายหลายแห่ง เราอย่าไปฟังอย่าไปเชื่อเรื่องที่เขาเล่าให้เราภูมิใจกันเล่นๆว่า ไทยเกิดก่อนสหรัฐฯ เกิดก่อนออสเตรเลีย เป็นร้อยปี มันเป็นเรื่องบิดเบือนให้เราฝันละเมอไปเท่านั้น เพราะผู้คนที่ไปอยู่ในทวีปอเมริการและออสเตรเลียนั้น เป็นผู้คนที่มีความรู้ มีอาวุธและเครื่องมือต่างๆ ไม่ใช่คนเถื่อน เราต้องยอมรับว่าบรรดาชาติตะวันตกนั้นเจริญก้าวหน้ามาก่อนเรานับระยะพันปี ... ดังนั้นคนเหล่านี้จึงได้รับการบ่มเพาะทางด้านวัฒนธรรม ความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ แล้ว ในขณะที่เรายังสู้รบกันด้วยดาบด้วยธนู พวกฝรั่งก็มีอาวุธที่สามารถถล่มกำแพงเมืองต่างๆได้แล้ว และถ้าพูดถึงระบบสังคมและวัฒนธรรมกันแล้ว พวกเขาได้ผ่านประสบการณ์ต่างๆ มาอย่างโชกโชนจนรู้ว่า ในระบบการปกครองที่พวกเขาเลือกแล้วนั้น พลเมืองทุกคนควรทำตัวปฏิตนอย่างไร ระบบของเขาจึงจะทำงานรับใช้ประชาชนที่เลือกวัฒนธรรมการเมืองนั้นๆ ได้ดีและเป็นจริง ในขณะที่ของเราเพิ่งมารู้เรื่องว่ามีระบบการปกครองที่แตกต่างกันใหญ่ๆ สองระบบ มาแค่ร้อยปี ดังนั้น สิ่งที่ควรทำกว่าการพร่ำบ่นผู้คนและสิ่งต่างๆ คือปฏิบัติตนให้อยู่ในแนวทางที่ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ตน+ผู้อื่น ..ดีที่สุด
ผมนอกเรื่องอีกแล้วครับ เป็นการดีที่เราสนับสนุนให้คนในชาติรู้จักรากเหง้าตัวเอง แต่ไม่ต้องไปยกตนข่มท่านว่าเราเก่าแก่กว่าสังคมนั้น เจริญกว่าเผ่าพันธุ์โน้น เพราะจะทำให้หลงทางและต้องหาเหตุผลผิดๆมาสนับสนุนคำกล่าวอ้างของเราอย่างไม่มีวันจบสิ้น ส่วนเรื่องกระจายอำนาจให้ชุมชนเข้มแข็งนั้น เป็นเรื่องต้องทำแต่อย่าไปโลกสวยตั้งความหวังไว้สูงเกินไป ยอมรับความเป็นจริงเถอะครับว่าสำนึกของคนไทยเองยังไม่พร้อมที่จะก้าวไปสู่จุดที่หวังกันไว้ ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย ไม่ว่าการซื้อเสียงเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านที่สมาชิกท่านหนึ่งโควทมาข้างต้น หรือการที่เพื่อนอบต.ของผมเองที่ได้งบฯซื้อคอมพิวเตอร์แล้วเข้ากทม.มาหาซื้อหนังโป๊ไปดูด้วยคอมพิวเตอร์ชุดนั้น หรือบัณฑิตไทยกว่าสองแสนคนที่เบี้ยวหนี้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและกว่าหกหมื่นคนในนั้นขณะนี้เป็นข้าราชการ เรายังต้องล้มลุกคลุกคลานกันไปอีกนานครับ ยิ่งพอนักเลือกตั้งกลับเข้ามาปีหน้าจะต้องมีการลงทุนและถอนทุนกันอีกขนานใหญ่
อยากได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง (พท) รัฐบาลจะได้เอาเงินภาษีมาแบ่งปันให้ประชาชน ควายตัวนุงเคยกล่าวไว้ ไม่ควายจริงคิดไม่ได้นะเออ รัฐประหารโกงประชาชนไม่มีส่วนร่วม รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโกงยังดีกว่า เพราะประชาชนเลือกมา ควายอีกตัวได้กล่าวไว้ ตัวเดียวกันรึเปล่า อย่าไปด่ามันมาก ด๋าวมันท้าเลือกตั้งแข่งกัน ฝ่ายคนก็แพ้ตลอด ไอ้มาร์คมันไม่เดือดร้อนหรอก ไม่ต้องหวังพี่งมัน
ผมมองว่ามันคงยากอยู่นะ เพราะการกระจายอำนาจทีเดียวทั้งระบบ ภายในระยะเวลาสี่ปี มันคงไม่สำเร็จหรอก ที่ผ่านมาในยุคก่อนหน้า ก็เคยมีการพยายามที่จะทำ ถ้าจำกันได้คือ โอนโรงเรียนไปอยู่กับ อบต ปรากฎว่าถูกต่อต้านค่อนข้างมาก ไป ๆ มา ๆ ก็เลยต้องใช้วิธีว่า ใครพร้อมจะไปอยู่กับ อบต ก็ไป ถ้าไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องไป ซึ่งก็ปรากฎว่ามีอยู่บ้างที่โอนไป เพราะคงมองว่า อบต ที่โอนไปนั้นมีเงินเยอะ นั่นแหละ ส่วน อบต เล็ก อบต ที่ไม่มีรายได้ ก็ไม่มีใครอยากโอนไปอยู่ด้วย บางโรงเรียนก็บอกว่า อบต เป็นใครมาจากไหนมีวุฒิการศึกษาอะไรมา จะให้ครูไปเป็นลูกน้อง อบต มันไม่เข้าท่า นี่แค่หน่วยงานเดียวเท่านั้น แล้วถ้าทำทั้งระบบคงวุ่นวายทั้งประเทศนั่นแหละ โดยเฉพาะหน่วยงานราชการส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นหน่วยงานของทุกกระทรวง ถ้าต้องโอนไปอยู่กับหน่วยงานท้องถิ่น กระทรวงต้นสังกัดก็ต้องมีปัญหาไม่เห็นด้วยอีก เพราะแต่ละกระทรวงจะเหลือแต่หน่วยงานในส่วนกลางเท่านั้น มันก็เลยต้องใช้วิธีว่า อันไหนโอนไปได้ก็โอน อันไหนปัญหาเยอะก็เอาไว้ก่อน ถ้าจะให้สำเร็จเรียบร้อยก็คงต้องให้ นายกตู่ อยู่ต่อไปอีกสักร้อยปีมั้ง ผมมองว่าปัญหาที่มันเป็นอยู่ก็คือ องค์กรที่ต้องโอนอำนาจให้ท้องถิ่นก็ไม่พร้อมที่จะโอนไป ในขณะเดียวกัน ท้องถิ่นที่จะต้องรับโอนอำนาจ ก็ยังไม่พร้อมที่จะรับโอนได้ เพราะลำพังตัวเองยังเลี้ยงตัวเองไม่ได้เลย ต้องอาศัยรายได้จากส่วนกลางไปช่วย ขณะเดียวกันประชาชนส่วนใหญ่ในท้องถิ่น ก็ไม่สนใจว่าอำนาจมันอยู่กับใคร มีโรงเรียนให้ลูกเรียน มีโรงพยาบาลให้รักษายามเจ็บป่วย มีน้ำประปา มีไฟฟ้าใช้ มีถนนหนทางเดินทางสะดวก ฯลฯ ก็พอใจแล้ว มันจะขึ้นอยู่กับใครก็ช่างหัวมันเถอะ คนที่เรียกร้องให้กระจายอำนาจจึงเป็นคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่สนใจการเมืองเท่านั้น แรงผลักดันจริง ๆ มันจึงผลุบ ๆ โผล่ ๆ ไปตามกระแสซะมากกว่า และที่สำคัญก็คือ ต้องการให้กระจายอำนาจ แต่บอกไม่ได้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไร อย่าง กปปส ผมรู้สึกว่าจะเคยได้ยินพูดเรื่องกระจายอำนาจว่า ต้องกระจายอำนาจตำรวจไปอยู่กับท้องถิ่น ซึ่งอันนี้ผมมองว่า เป็นการพูดจากประสบการณ์ที่ไปเจอตำรวจยุค ยิ่งลักษณ์ เข้า ก็เลยคิดว่าไม่ไหวแล้วถ้าตำรวจยังรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ส่วนกลาง แต่ในความเป็นจริงแล้วมันจะทำได้หรือ กระจายไปหน่วยงานเดียว และดูจะเป็นหน่วยงานที่ปัญหาเยอะด้วย และเมื่อยุคมันเปลี่ยนไป กระแสมันก็เลยน้อยลงตามไปด้วย ผมว่า รัฐบาล คสช เอาแค่ปฏิรูปนี่ก็หืดขึ้นคอแล้ว เหลือเวลาอีกหนึ่งปี น่าจะเร่งการปฏิรูปให้เสร็จ โดยเฉพาะปฏิรูปสื่อ ปฏิรูปนักการเมือง นี่แหละ ถ้าไม่เร่งปฏิรูป มันก็จะออกมาไล่ยิก ๆ อยู่อย่างนี้แหละ
เขาค่อยๆทำก็ถูกแล้วนี่ บริหารประเทศไม่ใช้เล่นขายของที่พอผิดก็ขอโทษแล้วก็จบกัน รัฐต้องค่อยๆกระจ่ายอำนาจแล้วดูผลดีผลเสียก็ถูกแล้ว ผมว่าที่ตลกคือคนที่ไปอ่านนิดๆหน่อยๆของฝรั่งมาแล้วร้องจะเลียนแบบนั่นแหละ
ผมไม่รู้กฏหมายที่จะออกมาเลือกตั้งครั้งหน้าจะดีเลิศประเสริฐศรีแค่ใหน การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีการซื้อเสียงกันอยู่ดีเผลอราคาอาจจะพุ่งกว่าเดิมหลายเท่านารซื้อกรรมการยกหน่วยก็ยังมีเหมือนเดิมกำนันผู้ใหญ่บ้านอบต.ก็ยังเป็นหัวคะแนนเหมือนเดิม ยิ่งอาุของกำนันผู้ใหญ่บ้านอยู่กันยาวๆแบบนี้แดกกันสนุกสนานเพราะผูกขาดอำนาจชี้เป็นชี้ตายไว้แล้ว ลงทุน1ล้านเพื่อเป็นผู้ใหญ่บ้านโครตคุ้มยิ่งอายุน้อยๆอยู่ยาว ขุดดินหลวงขาย,รับเหมาก่อสร้างในพื้นที่เป็นหัวคะแนนขายเสียงเอาเสียงลูกบ้านไปขายแล้วยักเปอร์เซ็นร์แค่นี้ก็รวยไม่เลิกแล้ว รัฐธรรมนูญใหม่จะทำอะไรได้ เพราะพวกเลวนี่มันทำกันเป็นขบวนการไม่ได้ทำเลวแค่คนๆเดียว
ในมุมมองของผม จะปกครองระบบ-ระบอบไหน กระจายอำนาจมากหรือน้อย ไม่ใช่ตัวต้นตอปัญหาของประเทศไทย ตัวปัญหาใหญ่ๆ เท่าที่ผมมองดูมี 2 ประการ 1-คุณภาพคน ตราบใดที่ยังไม่มีจิตสำนึกสาธารณะมากพอ ปกครองระบบไหน ก็เข้าวังวนเดิมๆ 2-คนที่ทำหน้าที่ใช้กฎหมาย ในการลงโทษผู้กระทำผิด ยังไม่เข้มแข็งและรวดเร็วพอ ก็เข้าวังวนเดิมเหมือนกัน เรื่องอื่นๆ เป็นแค่ปัญหาย่อยๆ ถ้า 2 อย่างนี้ดีพอ ประเทศเราจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆแน่นอน
ผมมองว่าการกระจายอำนาจ เป็นทางแก้ไขปัญหาชาติในขณะนี้ได้เกือบทุกๆอย่าง แต่มันก็แลกมากับความเจ็บปวดของฝ่ายการเมืองทุกๆฝ่ายเช่นกัน ทหารเองก็ต้องรอมรับว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็มีผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องผูกติดอยู่กับระบบการเมืองแบบเก่า ไม่แพ้นักการเมือง และข้าราชการเช่นกัน และแม้ว่าฝ่ายทหารจะยอมเป็นผู้เสียสละผลประโยชน์ของตนเองยอมทำให้ แต่ก็มีอุปสรรคมากมายอยู่ดี ทั้ง ตำรวจ ข้าราชการ หรือแม้แต่ประชาชนที่อาจยังไม่ตระหนักว่าการกระจายอำนาจนั้นดีอย่างไร? มันเสี่ยงอยู่เหมือนกัน การจะทำอะไรลงไป อาจถูกขัดขวางจนรัฐบาลอาจเดินไม่ได้ หรือแม้แต่การถูกบิดเบือนให้กลายเป็นแบ่งแยกประเทศไทย อาจโดนเล่นงานไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดได้เหมือนกัน ยังมีความกลัว ความไม่แน่ใจ อีกด้วยว่ากระจายอำนาจแล้วมันจะดีจริงมั๊ย? ถ้าคุณรู้อยู่แก่ใจว่า อบต. บ้านคุณมันโกงทุยุคทุกสมัย การกระจายอำนาจก็อาจทำให้บ้านคุณ แย่ยิ่งกว่าเดิมก็ได้ แต่ผมว่าการกระจายอำนาจ เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่ดี ระบบเดิมนับวันมันจะไปไม่ไหวแล้วล่ะ