ทำไมศาลยกฟ้อง ‘อภิสิทธิ์-สุเทพ’ ทั้งๆ ที่มีคนตาย ขณะนี้ พบว่ามีกระบวนการ “บิดเบือน” เกิดขึ้น ผ่านทางว้อยซ์ทีวี (รายการ Voice Insight) เพจ Wake up Thailand และอื่นๆ ว่า ทำไมศาลยกฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กรณีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. ปี 2553 เช่นเดียวกับมติ ป.ป.ช. ยกคำร้องเรื่องเดียวกัน แต่กลับชี้มูลความผิดนายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ ที่สั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตร จนน้องโบ-นางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ เสียชีวิต ผมติดตามความเคลื่อนไหวเหล่านี้แล้วเศร้าใจ ลำพังบุคคลในครอบครัวตายไปในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมก็เจ็บปวดพอแล้ว สำหรับครอบครัวผู้สูญเสีย ที่ไปร่วมชุมนุมกับ นปช. กลับมาถูกกระทำซ้ำเติมอย่างหยามเหยียด ด้วยการบิดเบือนให้พวกเขาเข้าใจผิดต่อไป เจ็บปวดต่อไป เกลียดชังต่อไป และสู้ในศาลที่ผิดต่อไป ตั้งสติแล้วใช้ปัญญาตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเหล่านี้ไปด้วยกันนะครับ 1) การสั่งให้ทหาร ตำรวจ ไปกระชับพื้นที่ ขอคืนพื้นที่ หรือสลายการชุมนุมของนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพนั้น กระทำให้ฐานะผู้มีอำนาจ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือ นายกฯ กับรองนายกฯ ลำพังตัวนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ จะไปสั่งใครได้ โดยเฉพาะทหาร-ตำรวจ ดังนั้น ตำรวจ ทหาร และผู้เกี่ยวข้องที่ดำเนินการ “ขอคืนพื้นที่” เขาจึง “รับคำสั่ง” ของ “นายกฯ-รองนายกฯ” ไม่ใช่รับคำสั่งนายอภิสิทธิ์หรือนายสุเทพ 2) กฎหมายเขียนไว้ชัดว่า หากคุณจะฟ้องร้องเอาผิดใคร ที่ใช้อำนาจจากตำแหน่งหน้าที่ไปปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้อง ให้เริ่มจากไปร้องกับ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบการใช้อำนาจนั้น ว่าชอบหรือมิชอบ ถูกหรือผิด พวกคุณกับทำอีกอย่าง คือ ไม่ร้องผ่าน ป.ป.ช. เมื่อเรื่องถึงศาล ศาลท่านก็ยกฟ้องสิครับ 3) คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าแม้อัยการโจทก์จะกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองได้ออกคำสั่ง ศอฉ.ให้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่อาวุธและกระสุนจริง รวมทั้งพลแม่นปืนในการผลักดันผู้ชุมนุม หรือกระชับพื้นที่ หรือสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในปี 2553 ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 19 พ.ค. 2553 โดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวนั้น ก็เกี่ยวพันกับการที่จำเลยทั้งสองใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ราชการในฐานะนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง ผอ.ศอฉ. ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ด้วย ไม่ใช่การกระทำทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัวหรือนอกเหนือหน้าที่ราชการ ดังนั้น จึงเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งราชการ ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีอำนาจไต่สวน หาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ก็ต้องยื่นฟ้องคดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 66 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 (1) และประกาศ คสช. ฉบับที่ 11/2557 และ 24/2557 ที่ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลนี้ ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง โดยระบุว่า การที่โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสอง โดยอาศัย “สำนวนการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ” ซึ่ง “ไม่มีอำนาจในการสอบสวนดังกล่าว” การฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลอาญาจึงมิใช่ศาลที่มีเขตอำนาจในการชำระคดีทั้งสองสำนวน อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องชอบด้วย ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย 3) คุณแพ้คดีเพราะทำผิดกระบวนการ ศาลไม่ได้ตัดสินเลย ว่านายสุเทพกับนายอภิสิทธิ์ผิดในเรื่องที่คุณกล่าวหาหรือไม่ แค่บอกว่า เรื่องนี้ต้องทำโดย ป.ป.ช. แล้วเอาไปให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย เท่านั้นเอง 4) อย่างไรก็ตาม เมื่อ 29 ธันวาคม ป.ป.ช.มีมติยกคำร้องตามที่มีผู้ไปร้องให้ถอดถอนนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ในเวลานั้นไปแล้ว เพราะเมื่อตรวจสอบพบว่าทั้งสามคนใช้อำนาจหน้าที่อย่างถูกต้องตามขั้นตอน คือ มีการชุมนุมที่ศาลวินิจฉัยแล้วว่า เป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย และมีกองกำลังติดอาวุธปะปนอยู่กับผุ้ชุมนุมด้วย จึงเป็นหน้าที่โดยชอบของรัฐบาล ที่จะยุติการชุมนุมที่ผิดกฎหมายนั้น เพื่อคุ้มครองสุจริตชนคนส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม เพียงแต่ ป.ป.ช.ชี้ในหลักที่ถูกต้องแถมไปด้วยว่า “แต่ดีเอสไอก็ต้องตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่ว่าเป็นไปตามหลักสากลหรือไม่ ขณะเข้ากระชับพื้นที่ ซึ่งหากพบว่า มีคนทำเกินหน้าที่ ผิดไปจากคำสั่ง หรือกระทำเกินกว่าเหตุ จนมีผู้ต้องสังเวยชีวิต ก็ให้ดำเนินการต่อไป” จะเห็นว่าเขาไม่ปล่อยให้ใครตายฟรี ไม่เหมือนการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ปล่อยให้ นปช. ปล่อยตัวฆาตกรตายฟรี 100% 5) ส่วนประเด็นว่า ทำไม นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ ซึ่งก็แค่ออกคำสั่งให้ให้สลายหรือยุติการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร จึงถูก ป.ป.ช. ชี้มูลว่าผิด คำตอบก็คือ ตอนพันธมิตรชุมนุม ศาลมิได้ตัดสินว่า เป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือ ผิดกฎหมายอยู่ๆ จะไปยิงแก๊สน้ำตาใส่เขาไม่ได้ และปฏิบัติการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตร ก็กระทำด้วยความร้ายแรง มีคนเจ็บจาก “ระเบิดแก๊สน้ำตา” ตั้งแต่สายยันค่ำ ตกค่ำ ยังยิงผู้ชุมนุมต่ออีก โดยไม่มีการเตือนใดๆ เป็นขั้นเป็นตอน ตามหลักสากล 6) นายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ ยังยับยั้งและเปลี่ยนแปลงวิธีการเข้าสลายการชุมนุม แต่นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ รู้แล้วว่าแก๊สน้ำตามีอานุภาพเป็นระเบิด มีคนบาดเจ็บ มือฉีก แขนขาด ฯลฯ กลับไม่เปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือเปลี่ยนชนิดและรุ่นของแก๊สน้ำตา จนเป็นเหตุให้มีคนเจ็บและตายมากขึ้น 7) ฉะนั้น อย่าได้วิตกวิจารณ์ราวกับว่า นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพนี้ แตะต้องไม่ได้ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่อาจกระทำเกินกว่าเหตุ ระหว่างเข้าสลายการชุมนุม นปช. คดียังเดินหน้าของมันไป ถูกผิดรอการวินิจฉัย ไม่ต้องรีบ “มโน” เอาเอง ว่าจะรอดหรือไม่รอด หยุดคิดพิจารณาให้แยบคายตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ผมกล่าวไป อย่ายอมให้ใคร “ปั่นหัว” คุณเล่น แม้คนที่เราไม่ชอบ ก็อย่ามุ่งเอาผิด หากเขาไม่ผิด แม้คนที่เรารักมาก ก็อย่าบอกว่าไม่ผิด หากเขาทำผิด! สู้ๆ นะครับ ไม่มีใครอยากให้ใครสูญเสียแน่นอน เส้นใต้บรรทัด จิตกร บุษบา แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา ปล หวังว่าคงเข้าใจตรงกันนะครับ
คำอธิบายของ ป.ป.ช. ก็บอกชัดเจนอยู่แล้วนี่ครับ ว่าการชุมนุมของ นปช. ไม่เป็นการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นคำสั่งการประกาศขอคืนพื้นที่จึงเหมาะสมตามสถานการณ์ แต่ว่าเมื่อเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้น ป.ป.ช. บอกว่ามันเป็น "ความผิดเฉพาะตัว" ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติ จึงแนะนำว่าให้ไปร้องต่อ DSI สอบสวนเอาผิดเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติตาม "ความผิดเฉพาะตัว" ป.ป.ช. ยกคำร้อง “อภิสิทธิ์-สุเทพ-อนุพงษ์” คดีสลายการชุมนุม นปช. ปี 2553 ชี้ยิงคนตายเป็น “ความผิดเฉพาะตัว” โยน DSI หาตัวผู้กระทำผิด https://thaipublica.org/2015/12/nacc-42/ มติ ป.ป.ช. กรณีกล่าวหากรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวก สลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. https://www.nacc.go.th/download/article/article_20151229174416.pdf ************************************** คำพิพากษาในคดีดำที่ 1433/2553 แดงที่ 2521/2553 ระหว่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ โจทก์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวกจำเลย สาระสำคัญของคำพิพากษาคดีนี้คือ 1.ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสองใช้กำลังทหารเข้าไปสลายการชุมนุมโดยเด็ดขาด 2.ศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวว่า 2.1 หากจำเลยทั้งสองกระทำการใดๆ ในการขอพื้นที่คืนหรือสลายการชุมนุมของผู้ร่วมชุมนุมต้อง 2.1.1 ดำเนินการเท่าที่จำเป็น 2.1.2 คำนึงถึงความเหมาะสม 2.1.3 มีลำดับขั้นตอนตามหลักสากลที่ใช้ในการสลายการชุมนุมของประชาชน https://www.thairath.co.th/content/82973 ************************************ เพราะถ้าจะเอาผิดผู้ออกคำสั่งขอคืนพื้นที่ ก็ต้องไปร้องต่อ ป.ป.ช. เพราะผู้ออกคำสั่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่ง ป.ป.ช. ได้บอกไปแล้วว่า ไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ การออกคำสั่งถือว่าเหมาะสม แต่สิ่งที่ทำคือ ทาง นปช. ไปร้องต่อ DSI ให้เอาผิดกับผู้ออกคำสั่งขอคืนพื้นที่ แทนที่จะเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติตามคำแนะนำของ ป.ป.ช. ซะงั้น จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจใดๆ ทั้งสิ้นที่คำตัดสินของศาลจะออกมาว่าเป็นการฟ้องร้องผิดศาลครับ ************************************* เมื่อช่วงเช้า อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมอดีตรองนากยฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ เดินทางมาฟังคำสั่งศาลฎีกา คดีสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เมื่อปี 2553 ฐานร่วมกันก่อให้เกิดการฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่น ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง อภิสิทธิ์-สุเทพ คดีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มนปช.เมื่อปี 53
แต่ตรรกะโง่ๆของผมก็คือ ถ้าพวกมันดีใจที่สังหารพลเอกร่มเกล้าและเจ้าหน้าที่คนอื่นด้วยอาวุธสงครามได้ จะมาร้องแรกแหกกระเชอทำไมตอนถูกเจ้าหน้าที่เขาเอาคืนเข้าบ้าง
ที่น่าแปลกตอนปูกับพวกอยู่ ไม่เห็นทำอะไรเลย แต่น่าแปลกกว่า คือคนใจดำอย่างตัดแปะไม่เคยคิดช่วยเพื่อนติดคุกสักครั้งตลอด 10 ปี ทั้งที่เอาเขามาหากิน
ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ1 ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ กับ นายสุเทพ ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จากกรณีกรณีสั่งสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ปี 53 โดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องนายภิสิทธิ์กับนายสุเทพ เนื่องจากเป็นการสั่งการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี จึงเป็นอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งให้ ป.ป.ช.เป็นคนไต่สวน แล้วส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (เหมือนกรณีของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) เมื่อศาลมีคำพิพากษาออกมาเช่นนี้ เท่ากับว่าคดีนี้จบแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ผู้เสียหายเคยไปยื่นคำร้องให้ ป.ป.ช.ไต่สวนในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแล้ว ซึ่ง ป.ป.ช.ก็มีมติเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2558 ให้คำร้องตกไป เนื่องจากปฏิบัติการสลายการชุมนุม ทำตามหลักสากล จากเบาไปหาหนัก ประกาศเตือนก่อน และการชุมนุมดังกล่าวไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบตาม รธน. ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวภายหลังศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ในคดีสลายการชุมนุม กลุ่ม นปช.ปี 2553 โดยยืนยันพร้อมที่จะต่อสู้คดีหาก ป.ป.ช. รื้อคดีเพื่อฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองใหม่ตาม ข้อเรียกร้องของ แกนนำ ป.ป.ช. เพราะเตรียมหลักฐานไว้ตั้งแต่การต่อสู้ในชั้น ป.ป.ช. แล้ว และที่ผ่านมาป.ป.ช. ได้วินิจฉัยแล้วว่าส่วนตัวทำตามหน้าที่และที่ผ่านมาศาลต่างๆก็พิพากษายกฟ้อง นายสุเทพไม่ขอให้ความเห็นว่าส่วนตามกฎหมายแล้ว ป.ป.ช.ยังสามารถฟ้องคดีได้หรือไม่ เพราะ ป.ป.ช. ได้วินิจฉัยยกคำร้องไปแล้ว โดยให้ความเห็นว่า ไม่สามารถพูดได้เพราะอยู่ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา พูดไปจะหาว่าแก้ตัว นายสุเทพยืนยันว่าคดีนี้ต่างจากคดีสลายการชุมนุมปี 51 ของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แม้จะมีการส่งฟ้อบใหม่อีกครั้งก็พร้อมที่จะต่อสู้ เพราะการดำเนินการเมื่อปี 53 ตนสั่งการหลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว และอยู่ในกรอบของกฎหมาย การสั่งการมีคณะกรรมการพิจารณาเป็นขั้นตอนหลีกเลี่ยงการทำให้ประชาชนเดือดร้อน มีคำสั่งใช้แก๊สน้ำตาแค่ชนิดขว้างไม่ใช้ชนิดยิง ส่วนที่ให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธจริงได้นั้นก็เกิดขึ้นเพราะมีการโจมตีทำให้มีทหารเสียชีวิต จึงจำเป็นต้องระงับยับยั้งฝ่ายที่จะมาทำร้ายประชาชนและ เจ้าหน้าที่ ส่วนคดีต่างๆของ กปปส. นั้น นายสุเทพกล่าวว่า มีคดีเยอะมากขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนเพิ่มเติมของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งก็ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
อย่างตัดแปะกับพวก ก็ไม่ขลังครับ บอกว่ารักปู จะช่วยปูและเพื่อน 10 ปีแล้วยังไม่เห็นอภินิหารหรือความเก่งกาจในคำพูดเลยเลย
