อะไรก็ตระกูลชิน ยึดทรัพย์ก็ตระกูลชิน ภาษีก็ตระกูลชินเหล่าลูกน้องญาติสนิทมิตรสหาย ก็เรื่องเงิน ก็เรื่องภาษี ก็เรื่องร่ำรวยผิดปกติ ตระกูลนี้เคยทำอะไรดีบ้างเริ่มสงสัยมีแต่คดีโกง คดีทุจริต แทบจะหาดีไม่ได้ แล้วทำไมกฏหมาย 10 กว่าปีพึ่งจะได้ทำ แสดงว่าก่อนหน้านั่น ละเว้น เอื้อประโยชน์ ปล่อยละเลย ให้มันผ่านมาถึงขนาดนี้ เท่าที่คิดๆ ตัวเลขจากคนในตระกูลนี้ เกือบ 1.5 แสนล้าน ยึดทรัพย์ 47000 ล้าน จำนำข้าว 70000 ล้าน (ยิ่งลักษณ์,บุญทรง ,เสี่ยเปียง) ภาษี 16000 ล้าน คดีอื่นๆ อีกที่รอในศาล แล้วก่อนหน้านี้ พวก "มัน" เอาไปแล้วเท่าไหร่
กรรมพันธุ์ โรคติดต่อทางพันธุกรรม คือ โรคที่มีความผิดปกติของยีนส์ ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ของโครโมโซมจากพ่อและแม่ไปสู่ลูก โรคทางพันธุกรรมยังไม่สามารถหาทางรักษาได้
คนพวกนี้เกิดมามีกรรมครับ ทำกรรมร่วมกัน เชื่อมโยงกันด้วยเงินทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง มีความคิดที่หลงผิด เหมือนไอ้ dog โสโครก ที่คิดว่าการแอบขึ้นรถไฟโดยเขาจับไม่ได้ เป็นความฉลาดเฉลียวที่พ่อแม่ถ่ายทอดพันธุกรรมมาให้ คนพวกนี้ ล้วนเป็นมิจฉาทิฐิ
คนที่เป็นพ่อ ก็มัวแต่คิดเรื่องเงินและยศศักดิ์ตำแหน่ง เวลาที่จะดูแลครอบครัว อบรมสั่งสอนก็ย่อมน้อยลง ลูกสาวที่เติบโตในกรุงเทพ จนไม่พูดคำเมือง เลยพูดว่า "คนกรุงเทพเหมือนพวกแปลกประหลาดประเภทหนึ่ง" ทั้งๆที่เธอก็เป็นคนกรุงเทพ ฝ่ายลูกชายก็ลุ่มหลงในเรื่องยาเสพติด จนถอนตัวไม่ขึ้น ทำกิจการอะไรก็ล้มเหลว ได้แต่โชว์ความคิดเพี้ยนๆในโลกไซเบอร์ ผัวไปทาง เมียไปทาง ลูกเต้าไปกันอีกคนละทาง อย่างนี้ยังอุส่าห์โชว์รูป หอมแก้มกัน หลอกชาวบ้าน ความสุขในครอบครัวของปุถุชน คนธรรมดาทั่วไป คือการได้อยู่รวมกันในบ้านเดียวกัน พูดคุยกัน กินข้าวพร้อมๆกัน นอนหลับใต้หลังคาเดียวกัน ซึ่งเรื่องอย่างนี้ ใช้เงินซื้อหาไม่ได้ เพราะมันคือความสุข มิใช่ความสะดวกสบาย ที่ใช้เงินแลกเอา ผลของการมีเงินมากแต่ไม่รู้ว่าควรจะใช้เงินหาความสุขอย่างไร ปล่อยให้เงินมันใช้ตนเอง จนเห่อเหิม หลงผิดคิดว่ามีเงินแล้วทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง พอจะรู้ความจริงว่า ของบางอย่างใช้เงินซื้อเอาไม่ได้ ตลาดก็วาย..มันสายไปแล้ว
เอากฎหมายตัวใหนไปเก็บเขา ถึงใช้กับคำว่าอภินิหารทางกฎหมาย มันมีในหลักนิติศาสตร์ด้วยหรือ ? ถ้าจะมาบอกได้หุ้นในราคาต่ำ แล้วไปขายในตลาดในราคาสูง เลยเก็บภาษีแบบนี้ คงโดนกันหมดนักลงทุนหนีหมด
ส่วนที่ 2 ซึ่งเป็นประเด็นปัญหากับกรมสรรพากรในขณะนี้ เกิดจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ นำหุ้นชินคอร์ปฯ ที่ซื้อมาจากบริษัทแอมเพิลริช จำนวน 329.2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท จากนั้นนำมาขายต่อให้เทมาเส็กในราคาหุ้นละ 49.25 บาท เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2549 ส่วนที่จาก "ราคาซื้อ-ราคาขาย" นี้เอง ที่ต้องเสียภาษี เนื่องจากเป็นรายได้พึงประเมิน และเป็นการได้มา "นอกตลาดหลักทรัพย์" http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/745193
ป๋าเปลว ว่าไว้ได้เห็นภาพ... ***** ***** ***** เหมือน "หอยหลอด" ในรู.......... ถูกปูนขาวหยอดปุ๊บ "ร้อนตัว" ทะลึ่งออกมาปั๊บ แล้วก็ถูกจับไปลงกระทะเป็น "หอยหลอดผัดฉ่า"! "หลานโอ๊ค-อาปู" ก็ท่าจะแบบนั้น! แค่รัฐบาลจะเรียกเก็บภาษีจากรายได้พึงประเมิน ในส่วนที่ทักษิณ "ขายหุ้นชิน" นอกตลาดให้ลูกแบบ "นิติกรรมอำพราง" เท่านั้นแหละ "หลานโอ๊ค" ออกมาโพสต์ fb ทันที........ "เรื่องนี้มันจบไปเมื่อ ๘ ปีที่แล้ว ได้มีคำตัดสินไปในแนวทางที่ไม่มีการซื้อ-ขาย ไม่มีการเรียกภาษีกันแล้ว และมีการ 'เอาผิด' ไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยการยึดทรัพย์ไปเป็นจำนวนมหาศาลถึง ๔๖,๐๐๐ ล้านบาท อยู่ๆ มาวันนี้ รัฐบาลยังต้องการเอาอะไรจากครอบครัวผมอีก??" นักข่าวเอาข้อฉงนคุณโอ๊คไปช่วยถามนายกฯ ประยุทธ์ให้เมื่อวาน (๑๗ มี.ค.) ท่านนายกฯ ก็บอกว่า “ช่างเขา........... นายพานทองแท้จะมาพูดอะไรกับผม ไปเตรียมพูดกับศาลโน่น” แหม...ท่านนายกฯ ก้อ! จบจากหลานโอ๊ค "อาปู" ก็ตามมาติดๆ......... "คดีดังกล่าว ศาลฎีกามีคำพิพากษายึดทรัพย์ไปแล้วกว่า ๔.๕ หมื่นล้านบาท ไม่ทราบว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น หวังว่าเรื่องนี้คงไม่ได้เป็นการใช้อำนาจหรือกฎหมายที่ตัวเองมีอยู่ มาใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง หรือเพื่อหาอภินิหารทางกฎหมายในการไล่ล่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ขอให้เห็นใจกันบ้าง" เก๋จัง อาปูขา....."อภินิหารทางกฎหมาย" ได้ยินทีมงานประดิษฐ์คำนี้ ใช้ตอบโต้รัฐบาล แสดงถึงความเป็นเดือด-เป็นแค้นแทนมา ๒-๓ วันแล้ว แต่ก็ไม่เคลิบเคลิ้ม ชวนให้ใจระทวย เหมือนได้ยินจากปากสีชมพูของอาปูเมื่อวานนี้เลย! บางคนอาจสงสัย....คุณยิ่งลักษณ์ต้องออกมาพูดเรื่องนี้ให้เข้าตัวทำไม? ลำพังเรื่องจำนำข้าวที่ตกเป็นผู้ต้องหา ฐานปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในโครงการ นั่น นอกจากต้องมาศาลทุกนัดแล้ว ........ ยังต้องตะลอนเหนือ-ตะลอนใต้ ไหว้พระ-สะเดาะเคราะห์-ต่อชะตา จากที่ดูจะร่องแร่งทางคดี นั่นก็เหนื่อยเอาการอยู่ เรื่องพ่อเล่นยี่เกขายหุ้นให้ลูก ก็ให้พ่อๆ ลูกๆ เขาร้อง-รำกันไปไม่ดีกว่าหรือ? มันไม่มีอภินิหารทางกฎหมายไล่ล่าใคร ตามที่ประดิษฐ์เป็นวาทกรรมนั่นหรอก มันเป็นเรื่องของ "กรรม" ล้วนๆ น่ะ........... กฎหมายเป็นเครื่องชำระกรรมอย่างหนึ่ง ถ้ากรรม คือสิ่งที่ทำนั้นดี คือไม่ได้โกงภาษี-หนีกฎหมาย ผลก็จะออกมา "พ้นคดี" เอง แต่ถ้ากรรมนั้นไม่ดี คือโกงภาษีจริง ผลที่ออกมามันก็ "ผิดจริง" ต้อง "จ่ายจริง" อีกร่วม ๑๒,๐๐๐ ล้าน เป็นมาตรฐานธรรม ต่อประชาชนที่มี "หน้าที่" ต้องเสียภาษีทุกคน ตระเวนกราบหลวงพ่อตูดกระดกบ่อยๆ ท่านน่าจะพูดเรื่องกรรมให้ฟังบ้างแล้วมิใช่หรือ? แล้วยิ่งลักษณ์...เธอจะต้องทะร่อ-ทะแร่ เอากระดูกจากเรื่องทักษิณมาแขวนคอตัวเองอีกทำไมล่ะ? นี่...แฟนานุแฟน ทั้งที่ลับและที่แจ้ง เขาห่วง! เรื่องหุ้นนิติกรรมอำพรางนี้ ถ้าไปดูคำพิพากษา "ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง" จะสิ้นสงสัย ว่ายิ่งลักษณ์มายุ่งอะไรกะเขาด้วยทันที เท้าความ เพื่อความเข้าใจต่อเนื่องซักนิด ........... ก็สืบเนื่องจากสรรพากรเขาจะเก็บภาษีจากเงินได้พึงประเมินประจำปี จากขายหุ้นนอกตลาด "โอ๊ค-เอม" เลือดพ่อขนานแท้ "ไม่ยอม" ไปยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ของกรมสรรพากร ให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้จากที่ซื้อ-ขายหุ้นชินนั้น เรื่องก็ไปถึง "ศาลภาษีอากรกลาง"........... ศาลพิจารณาแล้วพิพากษาว่า "พานทองแท้-พินทองทา" ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์หุ้นชินคอร์ป เพียงถือแทนเจ้าของตัวจริง คือ "ทักษิณ-พจมาน" ชินวัตร โดยยึดตามแนวคำพิพากษา "ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง" เมื่อเดือนกุมภาปี ๕๓ ที่ระบุว่า "หุ้นชินคอร์ปเป็นของทักษิณ-พจมาน" ตอนนั้น "๒ ทอง" ทายาททักษิณ เฮกันยกใหญ่ เมื่อหุ้นเป็นของพ่อ ตัวเองก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ๑๒,๐๐๐ ล้าน จากซื้อขายนอกตลาด แต่เฮได้แป๊บเดียว ก็ต้องโฮ..... เพราะที่ลูกไปร้องศาล คำตัดสินกลับเป็นบ่วงไปรัดคอพ่อ! คือเมื่อศาลบอก หุ้นชินนั้น "กรรมสิทธิ์ยังเป็นของพ่อ" เมื่อเป็นของพ่อ เงินซื้อขายหุ้น ก็เป็นของพ่อน่ะซี! งั้น...พ่อต้องจ่ายภาษีเงินได้ ประมาณ ๑๒,๐๐๐ ล้าน ที่สรรพากรกำลังจะเลียะพะ ก่อน ๓๑ มี.ค.๖๐ นี่แหละ! ที่ผมเท้าความ ก็เพื่อไปสู่ประเด็นที่สงสัยกันว่า แล้วยิ่งลักษณ์จะต้อง "กินปูนร้อนท้อง" ไปกับเขาทำไม? ย้อนไปอ่านคำพิพากษา "ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง" ในประเด็น "ทักษิณปกปิดอำพรางการถือหุ้น" เมื่อกุมภา ปี ๕๓ จะหายสงสัยทันที! โดยศาลแจกแจงประเด็น สรุปได้ ดังนี้........... "วันที่ 10 เมษายน 2541 ก่อนเป็นนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณถือหุ้น 32,920,000 หุ้น นางพจมาน ชินวัตร ถือ 34,650,000 หุ้น ปี 2542 มีการเพิ่มทุน ทำให้วันที่ 12 เมษายน 2542 พ.ต.ท.ทักษิณ มีหุ้นเพิ่มเป็น 65,840,000 หุ้น นางพจมาน มีหุ้น 69,300,000 หุ้น รวมหุ้นทั้งสองคิดเป็น 48.75 % ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ต่อมา ทั้งสองโอนหุ้นดังนี้ 11 มิถุนายน 2542 พ.ต.ท.ทักษิณ โอน 32,920,000 หุ้น ให้บริษัท แอมเพิลริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด 1 กันยายน 2543 พ.ต.ท.ทักษิณ โอนหุ้นให้ นายพานทองแท้ 30,920,000 หุ้น โอนหุ้นให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 2,000,000 หุ้น 1 กันยายน 2543 คุณหญิงพจมาน โอนให้พานทองแท้ 42,475,000 หุ้น โอนหุ้นให้ นายบรรณพจน์ 26,825,000 หุ้น เมื่อรวมกับที่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนทำให้ นายบรรณพจน์ มีหุ้นทั้งสิ้น 33,634,150 หุ้น 24 สิงหาคม 2544 บริษัทชินคอร์ป จดทะเบียนลดมูลค่าหุ้นลงจากหุ้นละ 10 บาท เหลือหุ้นละ 1 บาท ทำให้ผู้ถือหุ้นแทนดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า ดังนี้ นายพานทองแท้ ที่ถือหุ้นแทน 733,950,000 หุ้น ต่อมา 9 กย.45 และ 17 พค.46 นายพานทองแท้ โอนให้ น.ส.พินทองทา ถือแทน 440,000,000 หุ้น คงเหลือหุ้นในนามนายพานทองแท้ 293,950,000 หุ้น นายบรรณพจน์ถือหุ้นแทน 336,340,150 หุ้น นางสาวยิ่งลักษณ์ ถือหุ้นแทน 20,000,000 หุ้น บริษัทแอมเพิลริชฯ ถือ 329,200,000 หุ้น ต่อมา 20 มกราคม 2549 แอมเพิลริชฯ โอนหุ้นให้ น.ส.พินทองทา ถือหุ้นแทน 164,600,000 หุ้น โอนหุ้นให้ นายพานทองแท้ ถือหุ้นแทนอีก 164,600,000 หุ้น สรุปได้ว่า ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ และคุณหญิงพจมาน เป็นภรรยา มีผู้ถือหุ้นแทน ดังนี้ 1.นายพานทองแท้ 458,550,000 หุ้น 2.น.ส.พินทองทา 604,600,000 หุ้น 3.นายบรรณพจน์ 336,340,150 หุ้น และ 4.น.ส.ยิ่งลักษณ์ 20,000,000 หุ้น รวมทั้งสิ้น 1,419,490,150 หุ้น โดยการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของนายบรรณพจน์ รวมถึงการโอนหุ้นให้นายพานทองแท้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายบรรณพจน์ นั้น เชื่อว่า ไม่มีการซื้อขายกันจริง แต่เป็นการทำให้บุคคลอื่นเชื่อว่ามีการซื้อขายเท่านั้น และตั๋วสัญญาใช้เงิน เชื่อว่าเป็นการจัดทำขึ้นภายหลัง หุ้นดังกล่าวยังคงเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน บริษัทแอมเพิลริชฯ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียว ได้ระบุว่า ได้ขายหุ้นของบริษัทให้แก่นายพานทองแท้ ในราคา 1,000,000 เหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2543 มีเพียงหนังสือของนายพานทองแท้โดยลำพังเท่านั้น ที่แจ้งต่อ ก.ล.ต. ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานถึง 6 ปี จึงมีการมาแจ้ง แต่เมื่อ ก.ล.ต.ตรวจสอบ พบข้อเท็จจริงเพียงว่า นายพานทองแท้ ที่ยอมรับว่าได้ซื้อและเข้าถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่มีหลักฐานการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง ที่สนับสนุนว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้โอนหุ้นให้แก่ นายพานทองแท้ จริง สอดคล้องกับการตรวจสอบของ ดีเอสไอ และ ก.ล.ต. ที่มีหลักฐานว่าบริษัท วินมาร์ค จำกัด เป็นนิติบุคคลอำพราง การถือหุ้น หรือนอมินี ของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน เมื่อหุ้นชินคอร์ปที่ถือโดยบริษัทแอมเพิลริชฯ และหุ้นชินคอร์ปที่ถือโดยบริษัทวินมาร์คฯ มาฝากรวมกันที่ธนาคารซิตี้แบงก์ สาขา กทม. เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2544 จึงทำให้หุ้นมีมูลค่าเกินกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้ว แสดงว่า ในเดือนสิงหาคม 2544 พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเป็นเจ้าของบริษัทแอมเพิลริชฯ อยู่ ที่อ้างว่า ได้โอนขายให้แก่นายพานทองแท้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2543 นั้นฟังไม่ขึ้น ซึ่งการชำระเงินค่าซื้อขายหุ้นเป็นการจ่ายเงินผ่านบัญชีของคุณหญิงพจมานทั้งสิ้น ดังนั้น หลักฐานจากการไต่สวนหุ้นบริษัทชินคอร์ป จำนวนกว่าร้อยละ 48 ที่จำหน่ายได้ ยังเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ที่มีผู้มีชื่อดังกล่าวถือหุ้นไว้แทน การที่ พ.ตท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 วาระนั้น ยังคงถือหุ้นบริษัทชินคอร์ป 1,419,490,150 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 48 ของจำนวนหุ้น และ พ.ต.ท.ทักษิณไม่แสดงรายการหุ้นดังกล่าวแก่ ป.ป.ช. ต่อมาวันที่ 23 มกราคม 2549 พ.ต.ท.ทักษิณได้ขายหุ้นให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์ โดยมีบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด และบริษัท แอสแพน โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็นผู้ซื้อ 69,722,880,932.05 บาท และตั้งแต่ปี 2546-2548 บริษัทชินคอร์ป ได้จ่ายเงินปันผลเป็นเงิน 6,898,722,129 บาท รวมเป็นเงินที่ได้รับจากหุ้นทั้งหมด 76,621,603,061.05 บาท ทรัพย์ดังกล่าวเป็นการได้มาโดยไม่สมควร นอกจากนี้ จากพยานหลักฐานยังฟังได้ว่า บริษัทวินมาร์ค และบริษัทแอมเพิลริช เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยให้บุตรและเครือญาติถือหุ้นแทน โดยการซื้อขายกันนั้น เป็นราคาต้นทุนที่ซื้อขายต่ำกว่าราคาตลาดเป็นอันมาก และการซื้อขายจะไม่มีการชำระเงินจากผู้ซื้ออย่างแท้จริง แต่จะใช้วิธียืมเงินผู้ขาย หรือออกตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยเงินปันผลทั้งหมดต้องส่งคืนให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ทั้งหมด.........ฯลฯ.......... เป็นไงครับ...แฟนๆ! ตาสว่างแล้วใช่มั้ย ว่าทำไมยิ่งลักษณ์จึงต้องเต้น เพราะไม่เพียง "หลานโอ๊ค-หลานเอม" ร่วมขบวนโกงภาษี-หนีกฎหมายให้พ่อเท่านั้น "อาปู" ก็ด้วย! ***** ***** ***** ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิด... คิดว่า มีเงิน ใช้ผีโม่แป้งได้ เสมอ… ที่ใช้ได้ถนัดๆ ก็เหล่าวงศ์วานว่ายเครือ นี่แหล่ะ... เพียงแต่บางที อาจโชคร้าย เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด เจอเอาวงศ์วานว่ายเครือ ที่ โลภกว่า กร่างกว่า โง่กว่า แถมดันเสรือก..."ขยันกว่า"... กลิ่นเน่าๆ เลยยิ่งฟุ้งกระจายเบย … โง่แล้วขยัน มันอันตรายแค่ไหน ต้องไปถามทักษิณดู...
มีแต่คนยอมรับว่าทักกี้โกงทั้งนั้น anurid กับมือด้วนเลย แต่ที่ตลกคือทั้งสองคนลมหายใจเข้าออกคือต้องด่าชาวบ้านโกงไม่ว่าจริงหรือไม่จริง แต่ทักกี้กลับเงียบ สงสัยanurid กับมือด้วน คงเหม็นเบื่อเสื้อแดงเต็มที่ แต่ถ้าไม่อ้างถึง คงไม่ได้เงิน
ไม่ได้คิด... "ที่ผ่านมาการทำธุรกรรมโอนหุ้นนอกตลาดจะต้องเสียภาษีอยู่แล้ว" http://m.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1379324431
ขำ anurid ดี ไหนว่าเกลียดคนโกงไงครับ เวลามีข่าวโกง จริงไม่จริง anurid ชอบบอกมันมีข่าวว่าโกงมันต้องโกง ไม่ใช่เหรอ หรือว่า anirid โกหก
ถ้าองค์ศาสดาโกเต๊กเจ๊กลิ้ม ผู้นำจิตวิญญาณสูงสุดของชาวเหลืองแท้พันธุ์ทาง มีโอกาสเข้ามาอ่านความคิดเหล่าสาวกโกเต๊กของเค้าในนี้แล้วล่ะก็ …. คงจะภาคภูมิใจมิใช่น้อย สาวกทั้งหลายที่เค้าเคยล้างสมอง มอมเมา ยัดข้อมูล บิดเบือน ผิดๆถูกๆไว้ ในกระบาล บัดนี้สาวกยังยึดมั่นเชื่อถือในข้อมูลนั้นดังเช่นเดิมมิเสื่อมคลาย คาถาที่พูดล้างสมองกรอกหู ลงรูทวารทั้ง 5 ให้เหล่าบริวารสาวกท่องจำ จนชินติดปาก จำจนขึ้นใจ ไหลไปฝังในส่วนลึกสุดของกมล ให้สาวกคาบไปโชว์ความโง่กระเพื่อมตามที่สาธารณะ นั้นก็คือ ทักษิณเลววววว ทักษิณโกงงงงง ทักษิณขายชาติติติติ ….. แต่ถ้ามีโอกาส ถามคนเหล่านี้ ทักษิณโกงอะไร ?? เสียหายไปเท่าไร ?? สิ่งที่คุณจะได้จากคำถาม จากเหล่าสาวกผู้งมงายสมองกลวงคือ อาการใบ้แดด ไปไม่เป็น กะอีแค่ทักษิณ เซ็นสำเนาถูกต้อง (ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
สิ่งที่คุณจะได้จากคำถาม คือคำตอบที่ว่า ข้อแรก คนที่นับถือลิ้มเป็นศาสดาในบอร์ดนี้มีแต่มือด้วน นำมาซึ่งคำตอบข้อที่สองและสาม ข้อสอง นั้นแปลว่ามือด้วนแอบหลอกด่าทักกี้ว่า ทักษิณเลววววว ทักษิณโกงงงงง ทักษิณขายชาติติติติ ข้อสาม มือด้วนเป็นสาวก ดังนั้นก็แปลว่ามือด้วนงมงายสมองกลวง อาการใบ้แดด (ซึ่งไม่รู้แปลว่าอะไร) ไปไม่เป็น
อ่านแล้วเหมือนกับเพิ่งเป็นสมาชิกในบอร์ดนี้ วันนี้เอง หรือเป็นเพราะไม่ชอบอ่านหนังสือ เลยไม่รู้ว่าในนี้มีกระทู้เรื่องความโกงของทักษิณมากมาย
คำก็โกเต็ก สองคำก็โกเต็ก ถามจริง กินโกเต็กเป็นอาหารหรา รู้สึกหมกหมุ่นในโกเต็กเหลือเกิน ใครกันแน่ สาวกโกเต็ก
เพื่อชาติ เพื่อพ่อหลวง สุดท้ายแล้วก็ต้องไปว่ากันต่อที่ศาล...อีกยาววววว ไม่อยู่ ไม่จ่าย มีไรป่ะ... สรรพากรนำหนังสือทวงเงินขายหุ้นชิน1.7หมื่นล้านแปะหน้าบ้านจันทร์ส่องหล้า เชื่อว่า อย่างไร ก้อต้องจ่าย แต่จะด้วยวิธีไหน?? นานแค่ไหน?? ยังงงงงง ยัง ยัง แค่นี้ยังไม่พอ ยังมีที่ต้องยึดอีกมาก ต้องติดตาม ภาคต่อไป
ไอ่ลิ่ม สลิมเก๋าเจ้ง ไม่ได้อยู๋ในสายตาอะ อีกอย่างมันไม่ใช่ศาสดาผม ส่วนเรื่อง โดนล้างสมองคงไม่ใช่ เพราะไม่เคยไปฟังมันพูด ที่เอามาตั้งกระทู้ ดูจากข่าว พิจารณาจากข้อมูลหลักฐาน ทั้งสองฝ่าย ถ้าถามว่าทักษิณโกง โกงไปเท่าใหร่ สมองอันชาญฉลาดมือดีน่าจะพอดีความได้ ส่วนคำว่าทักษิณเลว ไม่เคยออกจากปากหมาๆของผมหรอก แม้ผมจะมีสมองอันน้อยนิดเมื่อเทียบกับมือดีแล้วแต่อย่างน้อยผมใช้ ค-คิด ว-วิเคราะห์ ย-แยกแยะ ออกว่าอะไรคืออะไร ไม่ต้องมีใครมากรอกหู ทักษิณไม่ได้เลว - แค่ทำสิ่งที่กฏหมายห้าม ทักษิณไม่ได้โกง - แค่ได้ทรัพย์จากการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้ บริวาร,วงศ์ตระกูล ทักษิณไม่ได้ขายชาติ - แค่ชอบพูดให้ร้ายประเทศถิ่นกำหนดบ้านเกิดตัวเอง เท่านั้น
ก่อนที่คดีเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นชินคอร์ป 16,000 ล้านบาท ของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ จะหมดอายุในวันที่ 31 มี.ค.นี้ ที่ประชุม ครม.มอบหมายให้กระทรวงการคลัง ดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยงัดกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ขึ้นมาดำเนินการ พร้อมเตรียมเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ แนวทางของรัฐบาลจะเก็บภาษีได้หรือไม่ ติดตามกับคุณบัญชา แข็งขัน
รายงานสดจากทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันกระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรดำเนินการเรียกเก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น ของนายทักษิณ ชินวัตร ก่อน 31 มี.ค.นี้ กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรจะเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่า 1 หมื่น 6 พันล้านบาท จากนายทักษิณ ชินวัตร ภายใน 31 มีนาคมนี้ กทม. 14 มี.ค.-กลายเป็นมหากาพย์ที่ยืดเยื้ออย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะผ่านมากว่า 10 ปี มีคำตัดสินทั้งคดีอาญาและคดีเกี่ยวกับภาษีแล้วหลายคดี แต่กรณีซื้อ-ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น ก็ยังถูกจุดประกายขึ้นมาอีกครั้งในช่วงนี้.-สำนักข่าวไทย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ยืนยันไม่ใช้อำนาจตามมาตรา 44 เรียกเก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ชินคอร์ป ที่เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท อินทัช โฮลดิ้ง จำกัด ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มูลค่า 16,000 ล้านบาท เพราะสามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายปกติ ซึ่งกระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากร จะเดินหน้าประเมินภาษี ตามมติที่ประชุมร่วมกันของทุกฝ่ายเมื่อวานนี้ ก่อนหมดอายุความในวันที่ 31 มีนาคม ซึ่งผู้ถูกเรียกเก็บภาษีสามารถยื่นอุทธรณ์ และเข้าสู่กระบวนพิจารณาของศาล เพื่อใช้สิทธิ์ชี้แจง และต่อสู้ตามกฎหมายได้ต่อไป โดยเมื่อวานนี้ ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีมติให้ใช้ช่องทางมาตรา 61 ในประมวลกฎหมายรัษฎากร ที่ระบุจะเรียกเก็บเงินภาษีทั้งหมดจากผู้มีชื่อในหนังสือสำคัญ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร ด้วย จากการเข้ามาเล่นการเมือง และได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ของนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2544 และได้โอนหุ้นให้บุตรชายถือ ต่อมาเมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง ในปี 2548 บุคคลในครอบครัวชินวัตร และดามาพงษ์ ได้ขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก สิงคโปร์ มูลค่า 76,261.6 ล้านบาท ซึ่งในช่วงดำรงตำแหน่งนี้ ยังมีธุรกรรมการขายหุ้น โอนหุ้นระหว่างบุคคลในตระกูลชินวัตร กับบริษัทแอมเพิลริช ที่จดทะเบียนในเกาะบริติชเวอร์จิ้นด้วย เงินก้อนนี้ หลังถูกรัฐประหารเมื่อกันยายน 2549 ทักษิณ ได้ถูกยึดทรัพย์ประมาณ 46,000 ล้านบาทหลังถูกตรวจสอบว่าเป็นดอกผลที่ได้มาจากทุจริตเชิงนโยบายเกี่ยวกับการบริหารงานด้านโทรคมนาคมของรัฐบาลทักษิณ นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งปี 2544 อีกส่วนที่กำลังเป็นประเด็นในขณะนี้ คือเมื่อวานนี้พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการเรียกเก็บภาษีมูลค่า 16,000 ล้านบาท ที่เกิดจากรายได้ ของการขายหุ้นชินคอร์ป ให้เทมาเส็ก หุ้นละ 49.25 บาท หลังจากที่บุตรชายและบุตรสาวนายทักษิณซื้อมาจากแอมเพิลริช จำนวน 329.2 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1 บาท โดยย้ำว่ารัฐบาลจะไม่มีการอำนาจม.44 จัดการเรื่องนี้ โดยคดีนี้จะหมดอายุความ 31มีนาคมนี้ ขณะที่กรมสรรพากรในฐานะหน่วยงานจัดเก็บภาษีเห็นว่าคดีนี้ได้หมดอายุความไปแล้วตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค. 2555 ครม.ได้รับทราบแนวทางของที่ประชุมคณะทำงานที่มี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งได้เสนอให้กรมสรรพากรยื่นการประเมินภาษีคดีหุ้นชินคอร์ปไปยังนายทักษิณ โดยตรงจากเดิมที่การยื่นไปยังนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา เพราะตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในปี 2553 มีการระบุว่าทั้งสองเป็นนอมินีในการดำเนินการขายหุ้นให้กับบริษัทเทมาเส็ก โดยมีการระบุถึงเรื่องรายละเอียดที่มีกฎหมายเล็กซ่อนอยู่ในกฎหมายใหญ่ โดยที่ประชุมครม. นายวิษณุใช้คำว่า ทำไม่ได้ แต่ทำได้ด้วยอภินิหารของกฎหมาย เพราะฉะนั้นมุมแบบนี้ คงไม่สามารถคิดออกได้ด้วยใครคนใดคนหนึ่ง นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบกรณีที่กระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวในช่วงเวลาที่ผ่านมาว่าใครผิดหรือไม่อย่างไร ถ้าผิดต้องมีผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ และนายกฯยังบอกว่าจะไม่ทำอะไรแบบเทาๆ เราจะทำอะไรให้เป็นสีขาว
นายกฯจี้สรรพากรเก็บภาษีขายหุ้นชินฯก่อน 31 มี.ค.แนะ "ทักษิณ"สู้ที่ศาล นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร รายงาน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ถึงขึ้นตอนในการออกใบประเมินภาษีซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องดำเนินการภายใน 31 มีนาคมนี้ ว่าจะนับอายุความใหม่ 10 ปี ตั้งแต่วันที่แจ้งใบประเมินภาษีกับนายทักษิณ ซึ่งเจ้าตัวมีสิทธิ์อุทธรณ์ภายใน 30 วัน โดยเบื้องต้นเริ่มที่ 16,000 ล้านบาท และค่าปรับรายวัน นับตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2555 ขณะที่นายวิษณุขยายความคำว่า "อภินิหารทางกฎหมาย" จากกรณีนี้ด้วยว่า เจอช่องทางออกต่อกรณีนี้ที่สมควรเสี่ยงดำเนินการ และไม่เกี่ยวกับเงินที่ยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาทด้วย แต่ผลจะเป็นอย่างไรอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล เพราะประเมินว่าจะต้องมีการฟ้องร้องในศาลภาษีอากรกลางต่อไป นายวิษณุบอกด้วยว่า จะไม่ใช้มาตรา 44 คุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการเรียกเก็บภาษีเช่นกรณีโครงการรับจำนำข้าว เพราะถือเป็นการดำเนินการตามกฎหมายปกติ ด้าน นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายนายทักษิณ ตั้งข้อสังเกตว่า หุ้นดังกล่าวเป็นการขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ตามกฎหมายไทยให้ได้รับยกเว้นภาษี และบังคับเป็นการทั่วไปกับทุกคนไม่มีข้อยกเว้น ทั้งนี้ หากรัฐบาลเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ต้องดำเนินการกับทุกรายที่ซื้อขายหุ้นอย่างเท่าเทียมกัน นอกจากนี้ เงินได้จากการขายหุ้นชินคอร์ป และเงินปันผลจากหุ้น 46,000 ล้านบาท ก็ได้ถูกยึดตกเป็นของแผ่นดินไปตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว ปลัดกระทรวงการคลัง ยืนยันใช้กฎหมายประมวลรัษฎากร ม.61 เรียกเก็บภาษีหุ้นชินได้ ไม่ต้องใช้กฎหมายใหม่ นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า การประเมินอัตราภาษีเพื่อเรียกเก็บจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ เมื่อปี 2549 นั้น ดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนทางกฎหมาย และไม่จำเป็นต้องขยายอายุความที่จะหมดในวันที่ 31 มีนาคมนี้ โดยขณะนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการพิจารณาอัตราภาษี รวมค่าเรียกปรับ ซึ่งคาดว่า ในขั้นตอนนั้นจะสามารถประเมินได้แล้วเสร็จทันวันที่ 31 มีนาคมนี้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 61 ระบุว่า เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมิน เรียกเก็บภาษีทั้งหมดจากผู้มีชื่อในหนังสือสำคัญนั้นก็ได้ แต่ถ้าบุคคลนั้นต้องโอนเงินได้พึงประเมิน ให้แก่บุคคลอื่น บุคคลนั้นมีสิทธิหักเงินภาษีจากจำนวนเงิน ซึ่งต้องโอนให้แก่บุคคลอื่นตามส่วน ซึ่งขั้นตอนการประเมินภาษี นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ระบุว่า จะใช้เวลาเพียง 2-3 วันเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถระบุตัวเลขความเสียหายได้อย่างชัดเจน เพราะต้องรวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับค่าเสียหายเกี่ยวกับฐานความผิดที่เกิดขึ้น รวมกับดอกเบี้ยและเงินเพิ่มเบี้ยปรับด้วย ส่วนตัวเลข 12,000–16,000 ล้านบาท เป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตจากสื่อมวลชนเท่านั้น “วิษณุ”ชี้ กรมสรรพากรพร้อมออกใบประเมินภาษีหุ้นชินคอร์ป กรุงเทพฯ 16 มี.ค.-เรามาย้อนลำดับกระบวนการก่อนหน้านี้ ที่มีการประชุมกันระหว่างกรมสรรพากร รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ดำเนินการจัดเก็บภาษีจากการซื้อ-ขายหุ้น “ชินคอร์ป” ในที่ประชุมร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ เมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้น “ชินคอร์ป” ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร พบว่ามีความเห็นเป็น 2 ทาง ก็คือ ในฝั่งกรมสรรพากร มองว่ากรณีดังกล่าวเรียกเก็บภาษีไม่ได้ ส่วนฝั่ง สตง.มองว่าสามารถเรียกเก็บได้ หลังจากนั้นก็ได้มีกรอบการพิจารณากรณีดังกล่าวออกมาเป็น 4 แนวทางหลักๆ ประกอบด้วย 1.รัฐจะไม่ใช่มาตรา 44 เข้าไปดำเนินการ โดยให้ใช้กฎหมายปกติหรือกฎหมายภาษีทั่วไป 2.จะไม่มีการขยายอายุความ 3.ใช้หลักให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และ 4.จะเข้าไปดูเจตนาว่าการซื้อขายหุ้นครั้งดังกล่าวสุจริตหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ แนวทางการดำเนินการจัดเก็บภาษีจะใช้ช่องทางของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 และ 821 โดยอิงจากกรณีคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางที่ระบุว่า นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา บุตรของนายทักษิณ เคยถือและขายหุ้นออกไปเมื่อปี 2549 ซึ่งหมายความว่าทั้งสองเป็นตัวแทนและมีผลผูกพัน ดังนั้น กรมสรรพากรจึงสามารถส่งจดหมายแจ้งประเมินภาษีให้นายทักษิณได้ โดยไม่ต้องเชิญมาไต่สวนอีก สรุปคือ กระบวนการหลังจากนี้ กรมสรรพากรจะประเมินภาษีภายใน 31 มีนาคม และส่งไปให้นายทักษิณให้ถูกต้องตามหลักกฎหมาย หากไม่เห็นด้วยก็สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน หากผลอุทธรณ์ออกมาและไม่เป็นธรรม ทักษิณก็สามารถยื่นฟ้องร้องต่อศาลได้ และจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ทำให้รัฐมีเวลาในการจัดเก็บภาษีได้.-สำนักข่าวไทย
รัฐบาลประสานเสียงยืนยันการเรียกภาษีย้อนหลังนักการเมือง 60 คน ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งใคร แต่เป็นมาตรฐานเดียวกับการเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป ทั้งนี้การตรวจสอบภาษีย้อนหลัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ระบุว่า มีนักการเมือง จำนวน 60 คน ทั้งนี้ในยุครัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ยุคของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นนับพันล้านบาท แต่ในการแจ้งรายการภาษี กลับมีแจ้งเพียงรายได้ประจำ แต่ไม่ระบุรายได้ในการซื้อทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นด้วย จึงได้ทำหนังสือให้กรมสรรพากรเรียกเก็บย้อนหลังแล้ว ขณะที่ ปปช.มีมติเห็นชอบ เพิ่มตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ 69 ตำแหน่ง ใน 7 หน่วยงาน ทั้งสถาบันอุดมศึกษา องค์กรบริหารส่วนจังหวัด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะต้องมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ตามมาตรา 40 แห่ง พ.ร.บ. ปปช. เพราะที่ผ่านมามีปัญหาร้องเรียนการร่ำรวยผิดปกติ แต่ ปปช.ไม่สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลทรัพย์สิน จึงต้องออกระเบียบเพิ่มเติม โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายนนี้ ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยืนยันการเรียกจัดเก็บภาษีหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นฯ จากนายทักษิณ จบไปแล้ว หลังศาลฎีกาได้พิพากษายึดทรัพย์ไปแล้ว 46,000 ล้านบาท จึงหวังว่าจะไม่ใช่การใช้อำนาจหรือกฎหมาย เพื่อประโยชน์ทางการเมืองหรือไล่ล่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กระทรวงการคลังสั่งสรรพากรออกใบประเมินเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นบมจ.ชินคอร์ปจาก"ทักษิณ ชินวัตร" ก่อนวันที่ 31 มี.ค.นี้ โดยไม่ต้องออกหมายเรียกซ้ำอีก เมื่อเวลา 13.30 น. ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายพิสิษฐ์ ลีลาวชิโรภาศ ผู้ว่าสตง. ระบุว่ายังมีนักการเมืองอีกหลายคนที่เข้าข่ายต้องเรียกเก็บภาษี ว่า เดี๋ยวเจ้าหน้าที่เขาก็สอบกัน นายกฯคงไม่ลงไปสอบเอง แต่หากใครส่งเรื่องมาตนจะส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ อยากบอกว่าพอเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็จะเกิดอีกหลายเรื่องตามมา ทุกคนก็จะมาเร่ง เหมือนทุกคนตัดสินหมดแล้วมันไม่ได้ หากมีข้อมูลขอให้ว่ามา จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ เช่น คดีนี้เขาสอบแล้วโยงไปอีกอันหนึ่ง เขาก็จะสอบต่อ "ผมไม่ได้เป็นการแกล้ง เพราะมีตรวจสอบหลายหน่วยงาน เพียงแต่ว่ารัฐบาลคอยอำนวยความสะดวกให้เขาปฏิบัติการ หากเราปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามขั้นตอน บางอย่างเราก็ต้องติดตามว่าเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว นั่นคือหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ใช่จะตีความว่าตัดสินกันแล้วก็ฮั้วกันอีก ไม่ผิดอีก มันไม่ใช่ มันอยู่ที่หลักฐานและหลักการในการพิจารณา บางเรื่องผิดก็คือผิด บางเรื่องดูแล้วผิดแต่ไม่ผิด เขาถึงมีอาชีพทนายความ" พล.อ.ประยุทธ์ ผู้สื่อข่าวถามว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร ออกมาโอดครวญว่าคดีจบไป 8 ปีแล้วรัฐบาลจะเอาอะไรอีก นายกฯ กล่าวว่า "ช่างเขา นายพานทองแท้จะมาพูดอะไรกับผม ไปเตรียมพูดกับศาลโน้น" เมื่อถามว่า จากการตรวจสอบเหตุใดข้าราชการที่เกี่ยวข้องไม่เรียกเก็บภาษี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เขากำลังสอบอยู่ ตนเป็นคนสั่งให้ตั้งกรรมการสอบเอง ยังไม่มีรายงานกลับมา เพราะเพิ่งสั่งไปโดยการสอบต้องใช้เวลา แต่เบื้องต้นเขามองกฎหมายคนละฉบับ คนละวิธีการ แล้วแต่มุมมอง แต่มุมมองเผอิญไปเข้าข้างนี้เข้าข้างโน้น มันก็เลยเกิดปัญหา ตนเลยบอกว่าอะไรก็ได้ทำให้มันชัดเจนกว่าที่ผ่านมาแล้วกัน ตนไม่ได้รังแกใคร ถ้าไม่ผิดคือไม่ผิด ฉะนั้นอย่ามาตอบโต้กันทางสื่อเลย ตนขี้เกียจตอบโต้ นายกฯ มั่นใจปรองดองสำเร็จ บอกทุกฝ่ายต้องร่วมกัน บางเขน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการสร้างความปรองดองที่นายกฯได้พูดปาฐกถา "การขับเคลื่อนThailand 4.0 ด้านการเกษตรอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ" เหมือนไม่มั่นใจว่าการปรองดองจะทำได้ ว่า ไม่ใช่ไม่มั่นใจ ตนมั่นใจ แต่ตนพูดให้ฟังว่ามีคนแบบนี้อยู่ คุณเข้าใจสิตนเป็นคนสั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการฯขึ้นมา ตนก็คาดหวังว่ามันจะได้ ปรองดองคือการที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างไร จะพัฒนาประเทศอย่างไร ไม่ใช่ปรองดองเรื่องที่กล่าวกันไปมา "ผมรำคาญก็แค่นั้นเอง เข้าใจกันหรือยัง จะมาถามว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ผมถามว่าใครจะทำสำเร็จถ้าทุกคนไม่อยากจะปรองดอง บังคับได้หรือเปล่าเหมือนทะเลาะกันกับเพื่อน ไม่ชอบกัน เขาบอกว่าให้ดีกัน เธอดีไหมละ ถ้าเธอไม่ดีมันก็ไม่ปรองดอง ไม่เลิก บังคับกันได้หรือเปล่า คิดให้มันมีหลักคิด" นายกฯกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่ามีอะไรจะถามอีกหรือไม่ โดยผู้สื่อข่าวกล่าวว่าไม่มีเพราะคืนนี้มีรายการศาสตร์พระราชาฯ โดยนายกฯกล่าวว่า "ทำไม เบื่อหน้าฉันหรือไง คราวหน้าเอา50นาที เวลาฉันลดลงมาเธอไม่ชมฉันเลย ไม่ใช่ฉันมีความสุขนะที่พูด ฉันเหนื่อยนะที่พูด ไม่ใช่อยากจะพูดบ้าๆปากมาก อยากพูดหรือไง เพราะว่าคนไม่พูด คนต้องเข้าใจไม่เข้าใจก็จะมาถามแบบนี้ นี่ขนาดฟังยังไม่เข้าใจกันเลย" เมื่อถามว่า ที่นายกฯระบุบนเวทีปาฐกถาว่ามีคนแอบอ้าง นายกฯกล่าวว่า "มันมีมาตั้งนานแล้ว หนังสือพิมพ์ไปอ่านสิที่พวกเธอเขียนกันมามันมีอะไรบ้างล่ะ หมดนั่นแหละทุกคน ทั้งนายกฯ รองนายกฯ รัฐมนตรีโดนกันหมด เขียนไปทำไมถ้าไม่มีหลักฐาน เอาหลักฐานมาให้ผมดูผมจะสอบให้จริงๆ เอามานะคราวหลังฉันจะเปิดไล่หนังสือพิมพ์ของใครเขียนมาว่าตรงนี้มันข้างคนนี้ โกงเงินตรงนั้นตรงนี้ คนใกล้ตัว หามาใกล้ตัวคือใคร อย่าเขียนอย่างนี้ เดี๋ยววันหน้าเขาพาดพิง เขาเล่นงานใช้กฎหมายไปปิดปากอีก ปัดโธ่ เอายังไงก็ทั้งขึ้นทั้งล่องขี้เกียจตอบ" ผู้ว่า สตง.ขู่ยื่น ป.ป.ช.สอบเอาผิดสรรพากร
เป็นสัปดาห์สำคัญในการหาช่องทางเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป มูลค่า 16,000 ล้านบาท หลังจากคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ คตง.เร่งรัดการเรียกเก็บภาษี โดยเฉพาะภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปที่ต้องใช้เวลา 7 เดือนกว่าที่กรมสรรพากรและกระทรวงการคลังดำเนินการ เพราะด้วยมุมมองทางกฎหมายที่กรมสรรพากรเห็นว่าการซื้อขายหุ้นครั้งนี้หมดอายุความตั้งแต่ปี 2555 เพราะจับหลักที่ว่า บุตรชายและบุตรสาวนายทักษิณเป็นผู้ที่ต้องสำแดงเงินได้และเสียภาษี แต่ในวงหารือของรองนายกรัฐมนตรี, ประธาน คตง., ผู้ว่า สตง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สามารถค้นพบ "อภินิหารทางกฎหมาย" ที่พบช่องทางทางกฎหมายเชื่อมโยงให้เห็นว่าบุตรทั้ง 2 คนเป็นแค่ตัวแทนนายทักษิณ และนั่นเป็นการเริ่มนับหนึ่งในการเรียกเก็บภาษีชินคอร์ป รวมถึงการนับเรียกค่าปรับเป็นรายวันตั้งแต่ 31 มีนาคม 2555 นอกจากนี้ตัวภาษีดังกล่าวก็ไม่เกี่ยวกับก้อนเงิน 46,000 ล้านบาทที่ถูกยึดทรัพย์เมื่อ 8 ปีที่แล้วด้วย แต่ทั้งนี้ เจ้าตัวมีสิทธิ์อุทธรณ์ภายใน 30 วัน รวมถึงอยู่ในดุลพินิจของศาลเมื่อต้องมีการต่อสู้คดี ดังนั้น หากทางนายทักษิณหรือครอบครัวจะโต้แย้ง ก็ขอให้ดำเนินการผ่านศาล เพราะรัฐบาลยืนยันว่าทำไปตามหน้าที่ไม่ได้กลั่นแกล้ง ขณะที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และน้องสาวนายทักษิณ ขอให้รัฐบาลใช้กระบวนการทางกฎหมายกรณีนี้เท่าเทียมกันทุกคน ไม่ใช่ใช้อภินิหารทางกฎหมายตามที่อ้างเช่นนี้ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินยื่นคำขาดให้กรมสรรพากร ใช้มาตรา 61 เร่งดำเนินการเก็บภาษีกับนายทักษิณ ชินวัตร ภายใน 31 มี.ค.นี้ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายอดีตนายกรัฐมนตรี ยืนยันอีกครั้งว่าไม่สามารถเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปได้ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาล และกรมสรรพากร พิจารณาอย่างรอบคอบ เผยเตรียมตั้งทีมทนายความสู้คดี นายนพดล ปัทมะ ยืนยันว่ากรมสรรพากรไม่สามารถออกใบประเมินภาษีเรียกเก็บภาษีย้อนหลังได้ เนื่องจากศาลภาษีอากรกลาง ยกคำฟ้องไปแล้วว่าไม่ใช่หุ้นของบุตรชาย และบุตรสาวของนายทักษิณ ที่ซื้อมาจากบริษัท แอมเพิล ริช โดยบุตรชาย และบุตรสาว เป็นเพียงผู้ถือหุ้นแทนเท่านั้น ถือว่าไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น จึงไม่มีเงินได้และภาระภาษี ส่วนการขายหุ้นชินคอร์ป์ให้กลุ่มเทมาเส็ก นายนพดล ชี้แจงว่าเป็นการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์จึงไม่มีภาระภาษีตามกฎหมาย อีกทั้งเงินที่ขายหุ้นชินคอร์ป จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท ถูกยึดตกเป็นของแผ่นดินไปแล้ว ประเด็นนี้จึงถือว่าได้ข้อยุติไปนานแล้ว ซึ่งกรมสรรพากร บอกว่าอาจดำเนินการไม่ได้ การที่รัฐบาลจะใช้อภินิหารทางกฎหมายจึงน่าจะขัดกับหลักนิติธรรม ล่าสุด นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี บอกว่า ไม่ขอให้ความเห็นในเรื่องนี้ ขอให้ไปหักล้างกันในชั้นศาล และหากนายทักษิณ จะฟ้องกลับ ก็พร้อมต่อสู้ “วิษณุ”โยนกรมสรรพากรโต้แย้งทนาย“ทักษิณ” กรณีเรียกเก็บภาษีย้อนหลังหุ้นชินคอร์ป ยืนยันใช้กฎหมายปกติดำเนินการ วันนี้ (22มี.ค.60) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย กล่าวถึงกรณีที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาทางกฎหมายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมายืนยันกรณีหุ้นชินคอร์ปจบสิ้นแล้ว รัฐบาลไม่สามารถเรียกเก็บภาษีย้อนหลังได้ ว่า การโต้แย้งใด ๆ จะเป็นหน้าที่ของกรมสรรพากร เพราะเป็นผู้ประเมินและเรียกเก็บ ทั้งนี้ ย้ำว่าจะต้องใช้กฎหมายปกติในการดำเนินการ และหากนายทักษิณจะตั้งทนายเพื่อฟ้องร้องรัฐบาลกลับกรณีเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมสู้คดี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ระบุว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรที่จะโต้แย้ง และประเมินเรียกเก็บภาษีตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมให้เตรียมนำหลักฐานและข้อกฎหมายไปต่อสู้หักล้างในชั้นศาล และหากมีการฟ้องร้อง รัฐบาลก็พร้อมต่อสู้คดีตามขั้นตอน ก่อนหน้านี้ นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของนายทักษิณ เปิดเผยว่า เตรียมตั้งทีมกฎหมายสู้คดีแล้ว เพราะมั่นใจกรมสรรพากรไม่สามารถออกใบประเมินเรียกเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปย้อนหลังได้ เนื่องจากศาลภาษีอากรกลางเคยวินิจฉัยว่า การซื้อขายหุ้นจากบริษัทแอมเพิล ริช ของบุตรชายและบุตรสาว ไม่มีการซื้อขายจริง ส่วนการขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์ได้รับการยกเว้น และเงินก็ถูกยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินไปแล้วเมื่อ 8 ปีก่อน
อภินิหง อภินิหาร อะไรก็ได้ ถ้าเอาเงินคืนให้แผ่นดินสำเร็จก็ทำเถอะครับ ตระกูลนี้รวมหัวกันปล้นทรัพย์สินชาติไทยไปเหลือคณานับแล้ว
ไงล่ะครับ ความจริงเชิงประจักษ์ก็ปรากฎให้เห็น สิ่งที่ผมพูดไว้ไม่มีอันใดผิดแม้แต่น้อย คนพวกนี้ถูกล้างสมอง มอมเมาด้วยมนต์โกเต๊กเปื้อนเลือด ให้ท่องจำคาถา ทักษิณโกงงง ทักษิณขายชาติติติ วาทกรรมนี้จะส่งกัน รุ่นสู่รุ่นต่อไป ลูกหลานคนพวกนี้เริ่มหัดพูดเมื่อไร คำเเรกที่จะได้ยิน ทะสิกงๆๆๆ ทะสิขาชาดๆๆๆ ..... ผมจะรอถามลูกหลาน คนเหล่านี้ ดีกว่า ทักษิณโกงอะไร ?? เสียหายไปเท่าไร ?? ถามรุ่นนี้ก็ป่วยการ เพราะจะพากันตายไปความโง่ เรียกว่า โง่ยันตาย
การประเมินเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จากอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ก่อนหมดอายุความภายในวันศุกร์ที่ 31 มีนาคมนี้ ล่าสุด กรมสรรพากรได้ข้อสรุปเรื่องจำนวนเงินภาษีที่จะเรียกเก็บแล้วที่ 1.7 หมื่นล้านบาท ตามขั้นตอนทางกฎหมายเมื่อได้ข้อสรุปแล้ว เจ้าหน้าที่จะนำใบแจ้งชำระภาษีส่งทางไปรษณีย์ หรือนำไปส่งมอบให้กับบุคคลภายในบ้านของผู้ที่ต้องเสียภาษีรับใบแจ้งให้รับทราบ แต่หากมีการปฏิเสธหรือไม่สามารถนำส่งใบแจ้งได้ ขั้นตอนต่อไปจึงจะนำใบแจ้งดังกล่าวไปปิดบริเวณบ้านที่เห็นได้ชัดเจน ล่าสุด นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร บอกว่ากรมสรรพากรสรุปตัวเลขการประเมินเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปจากอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร แล้ว คิดเป็นจำนวนเงินภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มกว่า 17,000 ล้านบาท โดยเป็นการประเมินตามแนวทางที่ว่ามีการซื้อหุ้นราคาต่ำกว่าราคาตลาด ที่ขณะนั้นราคาตลาดอยู่ที่ 49.25 บาทต่อหุ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่จะนำใบแจ้งไปปิดที่หน้าบ้านจันทร์ส่องหล้า วันพรุ่งนี้ จากนั้นผู้เสียภาษีสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน ขณะที่เช้าวันนี้ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เดินทางไปที่กรมสรรพากร ยื่นหนังสือขอให้ยุติการตรวจสอบ และประเมินภาษีย้อนหลังนายทักษิณ ชินวัตร เพราะคดีหมดอายุความแล้ว โดยอ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ระบุว่าหุ้นชินคอร์ปอเรชั่นที่ขายให้เทมาเส็ก เมื่อวันที่ 23 มกราคมปี 49 นั้น เป็นของนายทักษิณ และภรรยา ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 วรรค 8 ซึ่งจะต้องยื่นแบบประเมินเสียภาษีภายในวันที่ 30 กันยายน 49 จึงถือว่าคดีนี้มีอายุความครบ 10 ปีไปตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน ปี 59 เช่นเดียวกับกรณีที่รัฐบาลจะให้เรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ตามคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางว่า บุตรชาย-บุตรสาวเป็นผู้ถือหุ้นแทน ตามมาตรา 40 วรรค 2 ซึ่งอายุความจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคมนี้นั้นไม่สามารถทำได้ เพราะคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ได้ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีไปแล้วตามข้อเสนอของ คตส.ดังนั้น การเรียกเก็บภาษีในครั้งนี้ของกรมสรรพากรจึงเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ กฏหมาย ป.ป.ช.มาตรา 123 มีความเห็นจากนักการกฎหมาย ประเมินกันว่าอภินิหารทางกฎหมายที่รัฐบาลพูดนั้นคงไม่มีอะไรมาก นอกจากจะเอาเรื่องนี้ไปให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด การให้เจ้าหน้าที่นำใบประเมินภาษีไปปิดที่หน้าบ้านจึงเป็นการแจ้งให้ทราบเพื่อที่คดีไม่ขาดอายุความ
ทำไมต้องรวมตัวเลข เกิดความเสียหาย มีหลักฐานก็จัดการไป 46,000 ล้านบาท ถูกยึดเป็นของแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว 16,000 ล้านบาทอยู่ในระหว่างดำเนินการ บางอย่างตีค่าความเสียหายเป็นไม่ได้ เช่นร้อยศพที่ตากใบ สองพันห้าร้อยศพฆ่าเหมายาเสพติด คดีก่อการร้าย ฯลฯ ก็ดำเนินคดีไป จะผิดจะถูกให้ศาลตัดสิน ศาลตัดสินว่าผิด มีเงินให้ยึด ยึด ศาลตัดสินว่าผิดอาญา ไม่ยอมรับโทษก็ให้มันหนีคุกหัวซุกหัวซุนต่อไป ตกลงใครโง่น่ะมือดีฯ ผมว่าทักษิณไม่ฉลาดเพราะจ้างคนโง่ๆ
น่าสงสารจริงๆ ไม่ใช่คำถามที่ไม่มีคำตอบ แต่เป็นคำถามที่คนตั้งไม่อยากได้คำตอบ เพราะถ้ายอมรับคำตอบ เท่ากับว่าตัวเองต้องรับผิดชอบ ต้องออกจากห้องแอร์ ต้องเสียเงิน เสียเวลา อย่างเช่น เคยถามว่าปูผิดอะไร จนมีคำตอบว่าผิดจำนำข้าว ปูก็ตายจากมือด้วนทันที จากผู้มีพระคุณที่ยกย่องว่าช่วยชีวิต กลายเป็นหมาที่มือด้วนไม่เคยเหลียวแลอีกเลย