ผมเลือก พลังธรรม ครับ แต่พอตั๋วเฮียมาเป็นหัวหน้าพรรค แล้วผมไม่ชอบคนรวยขี้คุย เลยเปลี่ยนมาเป็น ปชป ตั้งแต่นั้นครับ
ทำไมคนดี คนเก่ง ทุ่มเทกายใจเพื่อชาว กทม. อย่างวรัญชัย ถึงประสบความล้มเหลวอยู่ร่ำไป โชคคงจะยิ้มให้ท่านซักวันหนึ่งแน่นอน ถ้าหากวันใดท่านเปลี่ยนใจลงสมัครและได้รับเลือกเป็น ส.ส. ท่านอย่าลืมทำตามนโยบายที่เคยสัญญาไว้นะครับ
ถ้าเป็นคนกรุงเทพก็น่าจะรู้นี่ คนกรุงเทพไม่ได้เลือกผู้ว่ากทม หรือ สส. จากพรรคการเมืองต่างๆ จากนโยบายที่เป็นประโยชน์เฉพาะกับคนกรุงเทพ ไม่ต้องมาทุ่มให้กรุงเทพก็ได้ ขอแต่นโยบายชัดเจนทำได้จริงๆ มีแผนงาน และเป็นประโยชน์กับประเทศโดยส่วนรวม เท่านั้น การเลือกผู้ว่า กทม. นั้น ไม่เกี่ยวกับนโยบายของผู้สมัครเลย (หลังจากได้เป็นผู้ว่าแล้วต่างหาก ถึงค่อยมาดูว่า เมื่อได้ตำแหน่งแล้วทำงานจริงๆ ไหม เพราะไม่เช่นนั้น หากหมดวาระและลงสมัครอีก จะไม่มีทางได้กลับมาอีกแน่นอน) สำหรับปัจจัยจริงๆ ในการเลือกผู้ว่าของคนกรุงเทพ คือ สถานการณ์การเมืองระดับประเทศในขณะนั้น ประวัติและภาพลักษณ์ของผู้สมัคร ต้องมีประวัติดีผ่านการทำงานมาแล้ว และพิสูจน์แล้วว่าทำงานได้ ถ้าเป็นผู้ว่าที่ไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง ก็ต้องมีภาพลักษณ์ที่ดี มีประวัติที่ดีและน่าสนใจจริงๆ ส่วนการเลือก สส. นั้น คนกรุงเทพเลือกเพราะตัวบุคคล จากประวัติ ภาพลักษณ์ การลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ ทำตนเสมอต้นเสมอปลาย และนโยบายของพรรคที่สังกัด เป็นประโยชน์กับประเทศในภาพรวม และมีแผนงานที่ชัดเจน มากกว่าที่จะเลือกพรรคที่ออกนโยบายโอเวอร์ และไม่มีแผนงาน สักแต่ว่าออกมาเพื่อหวังคะแนนเสียงโดยไม่ได้ดูถึงความเป็นจริง ตัวบุคคลที่ลงสมัครก็สุดที่จะบรรยายได้ถึงคุณภาพ และอีกปัจจัยคือ เลือกเพราะการที่อีกฝ่ายที่ลงสมัครมาจากพรรคที่ทำความเสียหายให้กับประเทศในขณะนั้น คุณอายุ 35 แล้ว น่าจะผ่านการเลือกตั้งมาหลายสมัย ทั้งผู้ว่า กทม และ สส หรือแม้กระทั่ง สก สข น่าจะทราบสิ่งเหล่านี้ดีนี่ ดังนั้นไม่น่าจะมาถามเลย ว่า ทำไมคนกรุงเทพ ถึงเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าพรรคอื่นๆ และ นโยบายอะไรที่ทำให้คนกรุงเทพต้องเลือกพรรคประชาธิปัตย์ หรือเผอิญคุณเป็นคนต่างจังหวัด แต่พึ่งย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพไม่เกินสิบปี ไม่ได้เป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิดก็ต้องขออภัยด้วย ปล. ตอนนี้ประทับใจคุณชายหมูมาก ต้องขอชมเลย ทำงานจริงจังมากสำหรับผู้ว่าคนนี้
และแน่นอน มีทางเลือก ผมเองรอเสื้อแดงตี้งพรรคใหม่ คอยดูี ผมเลือกให้ด้วยเอ้า เอากันอย่างนั้นแร เอ๋ หรือว่า มีทางเลือกอื่น ลองเอากันอย่าง นายนิธิแร ไม่ธรรมดานะ เสื้อแดงบูชากันมาก นิธินี่เจ้าแห่งทางเลือกของจริง ท่านก็เลือกอื่นๆอีกมากของท่านไปได้เรื่อยๆ ขบวนการเสื้อแดงมีทางเลือกอะไรได้บ้าง 1.หันไปสนับสนุนพรรคการเมืองอื่น แต่น่าเสียดายที่คนเสื้อแดงไม่เหลือทางเลือกอีกแล้ว หลังการปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดจนถึงทุกวันนี้ พรรค ปชป.ยังไม่รู้สึกเลยว่าได้ทำอะไรผิด ส่วนพรรคเล็กอื่นๆ นั้น บางพรรคก็น่ารังเกียจแก่คนเสื้อแดงไม่น้อยไปกว่า ปชป. บางพรรคไม่มีประวัติการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่ในเงาของตัวเอาเลย อันที่จริงนักการเมืองของพรรคเพื่อไทยเอง ก็ไม่ได้ต่างจากพรรคอื่นมากนัก สถานการณ์บังคับให้ขบวนการเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยต่างคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้ได้ต่างหาก ฉะนั้น การหันไปสนับสนุนพรรคการเมืองอื่น จึงยังไม่ใช่ทางเลือกในเวลานี้ 2.ตั้งพรรคการเมืองของตนเอง นี่เป็นความคิดของคนเล็กๆ หลายฝ่ายเคยคิดมาก่อนแล้ว (ตั้งแต่พรรคเขียวจนถึงพรรคการเมืองใหม่) ว่าเฉพาะขบวนการคนเสื้อแดง ก็ยังไม่เป็นทางเลือกที่เป็นไปได้อยู่นั่นเอง ลักษณะการจัดตั้งของขบวนการ (เท่าที่มีผู้ศึกษามา) ค่อนข้างแยกเป็นหน่วยย่อยที่ไม่เชื่อมต่อกันนัก และมีความเปราะบางในความสัมพันธ์ของแกนนำค่อนข้างสูง หากจะเลือกทางนี้คงต้องปรับขบวนการหลายอย่างหลายประการ ซึ่งคงยากมากกว่าที่จะทำได้สำเร็จ จึงเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ในอนาคตยาวไกลข้างหน้า แต่ไม่ใช่ในเวลานี้ 3.ที่พอเป็นไปได้ในช่วงนี้ก็คือ หาทางที่จะควบคุมทิศทางของพรรคเพื่อไทยให้ได้มากขึ้น ไม่ใช่รณรงค์เข้าไปเป็นกรรมการบริหารพรรค แต่ต้องคุมให้ได้ในฐานะประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั่นเอง เรื่องนี้ไม่ง่าย เพราะที่จริงแล้วยังไม่มีสมาชิกของพรรคการเมืองใดที่สามารถคุมพรรคของตนเองได้สักพรรคเดียว ................... อ่อ ยังงี้ก็ยั้งอุตส่าห์ว่าเป็นทางเลือก ว่าแต่ก็ประชาธิไตยดีนะ คุณมีสิทธิ์ เลือกหรือไม่เลือก
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ ผมเกิดโรงพยาบาล รามาธิบดี ครับ เป็นคนกรุงเทพแต่กำเนิดครับ เรียนถาม คุณ Wisary ว่า นโยบาย และ ผลงาน และ หลักฐาน ของ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ( คุณชายหมู ) หรือ อาจเป็น ที่คุณ Wisary ประทับใจ และ ชื่นชมว่าทำงานจริงจังมาก ครับ เพื่อเป็นประโยชน์ ในการอภิปรายนะครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ http://th.wikipedia.org/wiki/หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์_บริพัตร
เกิดอาการคลื่นเหียรวิงเวียนกับความ... ปานน้ำตาลเคลือบ.... ขออภัยทุกท่านค่ะ ที่เข้ามาพิมพ์เรื่องไม่เป็นเรื่อง
ไม่เป็นไรครับ นี่คือเรื่องปรกติในสังคมประชาธิปไตยที่"คนต้องเท่ากัน" ไม่ว่าจะมาจากภาคไหน เมืองเล็ก จังหวัดใหญ่ ยาก ดี มี จน ทุกคนต้องมีความเสมอภาคเท่ากันหมด "หนึ่งคน หนึ่งเสียง"
เอาเมื่อเร็วๆ นี้ ที่เขตจตุจักร ซอยพหลโยธินที่... ประมาณ เมื่อ 2 เดือนก่อน มีการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างเพิ่มเติม คุณชายหลังจากที่ได้ดูการติดตั้งช่วงบ่ายแล้ว ก็นั่งรถตู้ลงพื้นที่ตรวจงานการติดตั้งจนถึงประมาณ 1 ทุ่มในพื้นที่ดังกล่าวว่าเรียบร้อยดีหรือไม่ ยังมีจุดไหนอีกที่ต้องติดตั้งเพิ่มเติม พร้อมทั้งรับข้อเสนอแนะและข้อร้องเรียน ของคนในละแวกนั้นไปด้วย และไม่ใช่เป็นเพียงการรับปากอย่างส่งเดช แต่ได้มีการขอชื่อที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ พร้อมทั้งให้เบอร์ของคณะทำงานในกรณีที่เรื่องที่ร้องเรียนไม่คืบหน้าด้วย ปล. เอาลิ้งค์วิกิประวัติคุณชายมาแปะทำไมครับ ?
ขอบคุณ คุณ Wisary ครับ นี่เป็นความคิดเห็นที่ให้ข้อมูลความชื่นชอบ จาก บุคคล โดยนโยบาย และการปฏิบัติงานจริงจัง รวมถึง หลักฐานที่ได้กล่าวครับ ท่านใดมี นโยบายอื่น และ หลักฐานความสำเร็จ โครงการ ที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ครองใจคนกรุงเทพ รบกวนด้วยนะครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ ปล เพื่ออ้างอิงบุคคลครับ http://www.thairath.co.th/content/461314
ท่าน padd ผมก็รู้ศึกไม่ต่างกันหรอกครับ เท่าที่ดูลักษณะการตั้งคำถามแบบนี้ มักจะเป็นฝ่าย.... ทำเนียนชัวครับ ฟันธง
ผมขอตอบนิดละกันครับ ผู้ว่ากทม ต่างกับ คณะรัฐมนตรี ตรงอำนาจหน้าที่และภาระรับผิดชอบครับ ทำให้ด้วยข้อจำกัดตรงนี้คงไม่สามารถมีนโยบายใหญ่ๆอะไรได้ เพราะจะทำอะไรก็ต้องของบจากรัฐบาลครับ ซึ่งก็คงรู้ว่าเป็นอย่างไร ดูง่ายๆ ตอน สนามกีฬาฟุตซอลครับ ทั้งเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้าในระยะหลัง ก่อนหน้านี้เจอน้ำท่วม ทุกอย่างเลยต้องหยุดอีก หลังจากนั้นก็ไม่มีส่วนราชการอื่น ให้ความช่วยเหลือซึ่งเป็นผลทำให้สร้างไม่เสร็จทันกำหนด นี่คืออำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครครับ ตามกฎหมายปัจจุบันคือ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ในมาตรา 49 กำหนดให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีอำนาจหน้าที่ดังนี้ กำหนดนโยบาย บริหารราชการของกรุงเทพมหานคร ให้เป็นไปตามกฎหมาย (คือไม่มีสิทธิ ร่างพระราชบัญญัติ หรือ กฎหมายเหมือนรัฐบาลครับ) สั่ง อนุญาต อนุมัติ เกี่ยวกับราชการของกรุงเทพมหานคร แต่งตั้งและถอดถอน รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และแต่งตั้งและถอดถอนผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธานที่ปรึกษา ที่ปรึกษา หรือคณะที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือเป็นคณะกรรมการ เพื่อปฏิบัติราชการใดๆ (คือ สั่งการได้ เฉพาะ ส่วนกรุงเทพ ไม่เหมือนรัฐบาลสั้งได้หมด) บริหารราชการตามที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย (ตรงนี้ก็คล้ายๆผู้ว่าจังหวัดอื่นๆครับ) วางระเบียบ เพื่อให้งานของกรุงเทพมหานคร เป็นไปโดยเรียบร้อย รักษาการให้เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร อำนาจหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ (เช่น การเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการ และลูกจ้างกรุงเทพมหานคร ตามมาตรา 50 การเสนอร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ตามมาตรา 98 เป็นต้น) และตามที่กฎหมายอื่นกำหนดไว้ (เช่น อำนาจหน้าที่ซึ่งกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด นายกเทศมนตรี หรือคณะเทศมนตรี ตามมาตรา 50 เป็นต้น)
ตอบง่ายๆ เค้าเลือกเพราะ เค้าไม่เอาแม้ว. มันก็มีอยู่พรรคเดียวที่พอจะโค่นไอ้พรรคเพื่อไทยได้ เพราะ 1.เค้าเอียนอิปูว์จนอยากจะเผามันทิ้งอยู่แล้ว ก็เล่นซะประเทศเกือบพัง 2.ภาพรวมของสมาชิคพรรคเพื่อไทยก็สุดจะทุเรศ ความถ่อยความแถของเพื่อไทยนั้นอย่าให้บรรยายเลย 3.พรรคเพื่อไทยคือพรรคที่สนับสนุนคนมาเผาเมืองปี54
เข้ามาถามเพือจะเอาไปทำข้อสอบ หรือทำสถิติเหรอ ถ้าอยู่ กทม นานพอก็น่าจะรู้ดีนะ แหม่ ทำโพลตอนเลือกตั้งผู้ว่าครั้งก่อน เสาไฟฟ้าก็นอนมา คนเชียร์กันทั่วประเทศแล้วไง คนชั้นกลางจะอาศัยอยู่มากในเมืองหลวง ก็เห็นผลงานที่เป็นข้อประจักษ์อยู่ว่าลงมือทำจริง คนกรุงอยากได้เลนจักรยาน ท่านก็ทำให้ แล้วอะไรอีกนะ ปรับปรุงภูมิทัศน์รอบแม่น้ำเจ้าพระยา ว้า ยังมีรถไฟฟ้าให้ข้ามไปถึงบางนาโน้นได้อีก บลา บลา บลา แบบนี้อีกฝั่งหนึ่งก็ดิ้นละซิ ที่มีแต่สร้างภาระหนี้ให้กับลูกหลาน แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่อีกฝากไม่เคยมี คือพอประกาศได้ใบเหลืองท่านก็หยุดทำหน้าที่ ไม่เหมือนใครก็ไม่รู้ จะถอดถอนไปถึงไหน หนูไม่รู้ หนูไม่ผิด หนูสวย หนูโง่ค่ะ ช่วยชาวนาเถอะค่ะ ไอ้พวกเนรคุณทำไมไม่ช่วยชาวนาวะ แงๆๆ
ผลงาน 2 ปี รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปรียบเทียบผลงานในภาพรวม เฉลี่ยปี พ.ศ. 2551 2552 2553 GDP -4.10 -2.30 7.80 จำนวนผู้ว่างงาน ณ สิ้นปี (คน)538,500 383,000 268,000 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค 70.68 67.24 70.67 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน 176.95 155.66 182.36 ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ 41.53 44.53 50.90 มูลค่าการส่งออกรวมทั้งปี (ล้านเหรียญ U.S.) 177,776 167,046 195,350 ดัชนีรายได้เกษตรกร 35,89 -8.26 24.87 ราคายางพาราแผ่นดิบ ชั้น 3 (บาท : ก.ก.) 76.56 56.36 102.73 ราคาหัวมันสำปะหลัง (บาท : ก.ก.) 1.80 1.17 2.39 ราคาข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลินาปี (บาท : ตัน) 13,700 12,333 13,631 จำนวนนักท่องเที่ยวรวมทั้งปี (ล้านคน) 14.58 14.14 15.84 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ 675.67 587.83 856.92 อัตราเงินเฟ้อ (%) 5.50% 0.90% 3.30% มูลค่าการค้าชายแดนรวมทั้งปี (ล้านบาท) 713,502 639,136 778,061
อ่อ มีปัญหาเรื่อง เวิรด์โปรเซส ลงลิงค์ให้แทน http://www.democrat.or.th/th/policies/progress-report/2-year-Government-of-Abhisit/
มีความหวังอย่างไรกับการทำมาหากินของเราในปีแพะนี้ครับ ดีขึ้น แย่ลง หรือเดิมๆ / กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ มีความหวังอย่างไรกับการทำมาหากินของเราในปีแพะนี้ครับ ดีขึ้น แย่ลง หรือเดิมๆ แต่ละครอบครัว แต่ละอาชีพ คงมีคำตอบที่ต่างกัน ผมคาดว่าคนไทยส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในอารมณ์ประมาณนี้ ดีใจว่าราคาน้ำมันปรับลด วันนี้เพื่อนๆที่ต้องวิ่งเข้าปั๊ม ควักกระเป๋าน้อยลง มีเงินเหลือพอนำไปผ่อนใช้หนี้หรือจับจ่ายใช้สอยได้บ้าง กลุ้มใจที่ราคาน้ำมันลดแต่ค่าครองชีพยังสูงเหมือนเดิม และเริ่มหงุดหงิดที่รัฐบาลเหมือนกับไม่แก้ปัญหาของแพงให้ตรงเป้าอย่างจริงจัง ดีใจว่าความขัดแย้งในท้องถนนไม่มีให้เห็น แต่ไม่มั่นใจว่าเมื่อได้รัฐธรรมนูญใหม่แล้วความขัดแย้งจะไม่กลับมาอีก ส่วนใหญ่เชื่อว่ารัฐบาลจะดันให้เศรษฐกิจโตขึ้นได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจโต 4 - 5 % แล้วทำให้ชีวิตตนเองและครอบครัวดีขึ้นอย่างไร ที่พูดมานี่ใกล้ความจริงไหม ผมชวนให้ลงลึกอีกนิดเผื่อจะมีคำตอบ มองภาพอนาคตได้ชัดขึ้นบ้างครับ ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงฮวบฮาบ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าราคาจะทรงอยู่ประมาณนี้จนถึงกลางปี หลังจากนั้นจะปรับขึ้น แต่ราคาจะไม่สูงเหมือนอดีตในเร็ววัน พวกเราน่าจะพอสบายใจได้บ้าง ‘ ราคาน้ำมันลดลงแต่ราคาสินค้าไม่ปรับลดได้อย่างไร ’ หลายคนเชื่อว่าราคาสินค้าขึ้นแล้วลดลงยาก ผมว่าอาจจริง แต่ไม่ทั้งหมด โครงสร้างราคาสินค้าบ้านเราส่วนนึงตกเป็นทาสของระบบ ‘ มือใครยาวสาวได้สาวเอา ' ไม่ใช่ระบบค้าเสรี เห็นตำตา พ่อค้าที่มีอำนาจเหนือตลาดแต่ไม่มีใครกล้าแตะ ตัวอย่างเช่น ครอบงำตลาด ตั่งแต่ ได้รับอนุญาตินำเข้าแม่ไก่เฉพาะพวกไม่กี่ราย ขายอาหารแม่ไก่ ขายอาหารลูกไก่ ขายไข่ไก่ ขายเนื้อไก่ กินรวบทั้งหมด ผมยังเชื่อว่าการแข่งขันกันอย่างเสรีจริงเท่านั้นที่จะทำให้พวกเราได้ประโยชน์ มีตัวอย่างให้เห็นเช่น .....กิจการการบิน โทรศัพท์มือถือ ' ถ้ากล้าทำ ' รัฐบาลนี้แก้เรื่องของแพงได้นะเพราะเป็นรัฐบาลคสช.ที่มาจากอำนาจพิเศษ ไม่ต้องเกรงใจใคร เกรงใจและเอาใจประชาชนเท่านั้น ปีที่แล้วเศรษฐกิจไทยเดี้ยงสุด โตไม่ถึง 1 % รัฐบาลบอกปีนี้จะโตได้ 4-5 % โปรดอย่าเพิ่งดีใจ เป็นการขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เพราะเป็นตัวเลขที่เปรียบกับตัวเลขปีที่แล้ว ที่เกือบไม่โต เมื่อเศรษฐกิจโตได้เพียงเล็กน้อย การค้าการขายจึงยังไม่ดีขึ้นมากนัก ผลทำให้มนุษย์เงินเดือนคงเดินย่ำอยู่กับที่ อยากขยับขยายเพื่อหางานที่ดีกว่าจึงเป็นเรื่องไม่ง่าย สถานะผู้ค้าขายรายเล็กรายน้อยไม่เปลี่ยน กู้เงินเพื่อทำมาหากิน ได้มาเท่าไหร่ ส่งธนาคารหมดเหมือนเดิม กำไรไม่มีให้เห็น ได้แค่ประคองตัวไปวันๆ ภาพใหญ่ไม่เชื่อว่าธนาคารชาติจะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ เพราะยังต้องคงนโยบายให้สถาบันการเงินทำกำไรเพื่อความมั่นคงของตนเองและของระบบต่อไป ( แปลความว่าส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้ไม่เปลี่ยนแปลง ) เรื่องอัตราดอกเบี้ยนี่ ไม่เชื่อรัฐบาลกล้าเข้าไปแตะ ปีนี้ทุกข์ของเกษตรกรน่าเป็นห่วงสุด ความจริงเกษตรกรเขารู้อนาคตตนเองดี รู้ว่าปีนี้เขาไม่มีอนาคต โอกาสที่ราคาผลผลิตทางการเกษตรจะถีบตัวสูงขึ้นยังมองไม่เห็น ในทางการเมือง หลังปฎิรูปเสร็จ ผลออกมาดีไม่ดี ตอบยากครับ ตอบได้อย่างเดียวว่ารัฐบาลคสช.ต้องไปตามเวลาที่กำหนดไว้ ขอเก็บเหตุผลไว้ในใจ ถ้าถามว่าหลังเลือกตั้งแล้วจะออกมาตีกันอีกหรือไม่ ตอบว่าไม่รู้ แต่มีความหวัง (เล็กๆ) ว่ารัฐบาลคงทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ ปฎิรูปแล้วทำให้ความขัดแย้งลดน้อยลง ผมวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการเสาะแสวงหาความรู้จากการอ่านและจากผู้รู้ทั้งหลาย ทำมาตลอดไม่ว่างเว้น วันนี้จึงกล้าฟันธงว่าปีนี้ ‘ หิน ’ สำหรับพวกเรา แต่ผมไม่หมดหวัง แฟนกีฬาเคยบ่นว่าฟุตบอลไทยไม่มีอนาคต เพราะเชื่อนักกีฬาไทยเล่นเป็นทีมไม่เป็น แต่พอเราได้โค๊ชคนเก่งอย่างคุณเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เขาทำให้ลูกทีมรู้และเข้าใจการเล่นเป็นทีม ความหวังที่จะไปสู่บอลโลกมีขึ้นทันที แฟนการเมืองก็ไม่เคยเชื่อว่านักการเมืองไทยมีอนาคต คนเก่ง เก่งอยู่คนเดียว ทำงานเป็นทีมไม่เป็น ใครจะไปรู้ครับ ซักวันวงการการเมืองอาจได้โค๊ชดีโค๊ชเก่งบ้างก็ได้ บ้านเมืองจะได้หลุดออกจากวงจรอุบาทว์นี้เสียที คนเราต้องอยู่ด้วยความหวัง สวัสดีปีใหม่ครับ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
ทุกข์ของนักเสรีนิยมประชาธิปไตยไทย ทุกข์ของนักเสรีนิยมประชาธิปไตยไทยก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้ส่งความห่วงใยมาถึงผมตั้งแต่มีการยึดอำนาจ ช่วงที่ถูกควบคุมตัวได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ด้วยดีตามสมควรครับ ผมต้องขออภัยที่ไม่สามารถปกป้องประชาธิปไตยไว้ได้แต่ได้พยายามอย่างถึงที่สุดจนถึงวินาทีสุดท้าย ผมไม่ต้องการจะโทษใครอีก แต่หวังว่าคนที่ไม่เข้าใจผมในช่วงที่ผ่านมาจะเข้าใจผมดีขึ้น ผมเป็นนักการเมืองอาชีพ เชื่อมั่นในระบบเสรีประชาธิปไตย เมื่อใดที่นักการเมืองเอาประชาธิปไตยไปใช้เพื่อประโยชน์ของตัวเองด้วยการทุจริต ใช้กลไกรัฐละเมิดสิทธิของฝ่ายตรงกันข้าม ไม่ยอมรับการตรวจสอบ ไม่แสดงความรับผิดชอบ นักการเมืองทุกคนก็กลายเป็นผู้ร้ายและสุดท้ายก็ถูกไล่ลงจากเวที ผมจึงเข้าใจความสะใจของคนจำนวนไม่น้อย แต่ผมก็เข้าใจความโกรธแค้นของคนอีกจำนวนไม่น้อยเช่นเดียวกัน ผมรู้จักและเคยทำงานกับพลเอกประยุทธ์ ทราบว่าท่านมีความตั้งใจดีต่อบ้านเมือง แต่เส้นทางที่ท่านเลือกในภาวะที่เหมือนไม่มีทางเลือก เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและจะมีคำถามที่ต้องตอบมากมาย แต่คำตอบสุดท้ายของท่านจะถูกตัดสินด้วยเกณฑ์ที่ว่า เมื่ออำนาจกลับคืนสู่ประชาชนแล้ว เรามีประชาธิปไตยที่ดีกว่าเดิมอย่างไร คุ้มค่ากับการจำกัดสิทธิและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นช่วงนี้หรือไม่ นั่นเป็นภาระที่หนักหน่วงของท่าน แต่ทุกข์ของผู้นิยมเสรีประชาธิปไตยไทยก็มีเหมือนกัน เพราะเมื่อเราไม่สนับสนุนการรัฐประหาร เรามีทางเลือกในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างไร การรวมตัวต่อสู้ได้ปรากฏให้เห็นบ้างแล้ว แต่การเคลื่อนไหวบางกรณีที่เกิดขึ้นยังผูกติดกับกลุ่มอำนาจเก่า และอาจส่งผลเพียงแค่การทำให้ คสช. ต้องใช้มาตรการเข้มข้นมากขึ้น หากนำไปสู่การลุกฮือและความรุนแรงก็ไม่มีอะไรจะยืนยันได้ว่าเราจะได้ประชาธิปไตย ไม่ใช่ระบอบที่ละเมิดหลักเสรีประชาธิปไตยเหมือนเดิม หรือกลับเข้าสู่ภาวะความขัดแย้ง ความไร้ระเบียบ แม้กระทั่งการนองเลือด วันนี้สังคมจึงควรตั้งหลักตั้งสติ เราต้องเรียกร้องให้ คสช. มีความชัดเจนว่าเมื่อเหตุการณ์สงบ อะไรคือการปฏิรูปที่ คสช.จะผลักดันและประชาชนจะมีส่วนร่วมอย่างไร หากไม่มีคำตอบที่ดี และหากวันนั้นคนที่รักประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่รักระบอบที่ให้เสียงข้างมากทำอะไรก็ได้ รวมตัวกันโดยปราศจากผลประโยชน์กับกลุ่มใดๆ ไม่มีการแอบแฝงทำลายสถาบันหลักของชาติ ผลักดันข้อเสนอที่จะได้ประชาธิปไตยที่ดีกว่า วันนั้นผมจะไปร่วมด้วยครับ ...จาก เฟสบุ๊ค Abhisit Vejjajiva วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๗
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ - เศรษฐกิจเสรีที่ยั่งยืน ตลาดเสรี /ความสามารถ กลไกที่เป็นธรรม เศรษฐกิจพอเพียง การกระจายโอกาส กระจายรายได้ ผมมองว่าการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ คือการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับสังคม ผมเชื่อมั่นว่าเราสามารถบริหารระบบตลาดเสรี ให้เป็นระบบเศรษฐกิจที่สามารถนำมาซึ่งความก้าวหน้าของประเทศ เพราะเป็นระบบที่เหมาะสมกับความรักเสรีของคนไทยมากที่สุด แต่สิ่งที่ผมเชื่อยิ่งกว่าคือ เศรษฐกิจไทยต้องพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจคุณภาพ นั่นคือ ระบบเศรษฐกิจที่มีความเข้มแข็งและยั่งยืน เพราะเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องของการทำกำไรอย่างเดียว แต่ต้องนำไปสู่ความมั่นคงของชีวิตและความยั่งยืนของสังคม ต้องมีการกระจายโอกาสบนพื้นฐานของความเป็นธรรมและความสามารถ อีกทั้งทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคมพึงพอใจ ดังนั้น รัฐต้องวางกติกาที่เหมาะสมและกำกับกติกานั้นอย่างเป็นธรรม โดยไม่มีความพัวพันกับผลประโยชน์ทางธุรกิจใดๆ ต้องละเลิกระบบอุปถัมภ์ในระดับบน ที่เอาธุรกิจกับการเมืองมาปนกันจนเกิดความเสียหาย ต้องมีกระจายรายได้อย่างยั่งยืน มีการจัดสวัสดิการสังคมให้พอเพียงสำหรับผู้ด้อยโอกาสที่อาจจะยังไม่พร้อมที่จะแข่งขันในระบบตลาด โดยเฉพาะหลักประกันสุขภาพเบื้องต้น และการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นสิทธิของประชาชน ในระบบเศรษฐกิจคุณภาพ เศรษฐกิจพอเพียงคือคำตอบสำหรับประชาชนอีกจำนวนมากที่เสียเปรียบและอ่อนแอ กองทุนเศรษฐกิจพอเพียงจะต้องเกิดขึ้นเพื่อเข้าไปรองรับกลุ่มบุคคลเหล่านี้ที่มีอยู่ทั่วทั้งประเทศ เป็นเสมือนหลักประกันสำหรับคนไทยทุกๆคน ใครยังไม่พร้อมแข่งขันก็สามารถมีชีวิตที่ดีที่พอเพียงได้ ใครแข่งขันได้ก็เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหลักโดยใช้ความรู้ความสามารถในการนำความเจริญความมั่งคั่งมาสู่ประเทศชาติและตนเอง ในระดับประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยผูกพันกับเศรษฐกิจโลก ผู้นำประเทศต้องสามารถเข้าใจพลวัตของภาพรวมทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับโลก และระหว่างภาคการผลิตต่างๆภายในประเทศ นโยบายเศรษฐกิจที่ดีต้องสร้างประโยชน์เต็มที่จากสิ่งที่ประเทศไทยได้เปรียบประเทศอื่น เพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างเสริมการกระจายรายได้ภายในประเทศอย่างยั่งยืน ประเทศไทยต้องร่วมเป็นผู้นำในการขยายความเป็นประชาคมทางเศรษฐกิจของอาเซียน เพื่อแข่งขันและได้ประโยชน์จากการเติบโตของจีนและอินเดีย ภายในประเทศ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ยั่งยืนต้องขับเคลื่อนจากระดับท้องถิ่นมากขึ้น เพราะเรามีความหลากหลาย ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาได้มาก • ภาคบริการ • ภาคเกษตรกรรม • ภาคอุตสาหกรรม• การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ เป็นทิศทางสำคัญในการผลักดันความเจริญเติบโตของประเทศ เป็นโอกาสให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่การดำเนินนโยบายต้องคำนึงถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสม และประสานให้ชุมชนและภาคการผลิตต่างๆที่เกี่ยวข้อง เข้ามามีส่วนร่วม ทุกอย่างต้องรอบคอบ โปร่งใส และเป็นธรรม โดยยึดถือประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นหลัก การเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศ ต้องเป็นที่รับรู้ของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ที่อาจได้รับผลกระทบ จะได้ร่วมกันให้ข้อมูล แลกเปลี่ยนมุมมอง และหาทางออก ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเสียหาย รวมทั้งมาตรการที่จะส่งเสริมต่อยอด เพื่อประโยชน์สูงสุดกับประเทศโดยรวม ไม่ว่าสภาวะแวดล้อมเกี่ยวกับการค้าจะเป็นอย่างไร ประเทศไทยต้องเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของตนเอง ผมเชื่อว่ามี 3 เรื่องหลักที่เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยกลายเป็นเศรษฐกิจคุณภาพมีความเข้มแข็งในอนาคต นั่นคือ การพัฒนามนุษย์ โครงสร้างพื้นฐาน และ ธรรมาภิบาล
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ - โครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ ประกันสังคม หลักประกันสุขภาพ เรื่องที่สองที่เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งในระดับประเทศ เช่น สาธารณูปโภค พลังงาน และการบริหารทรัพยากรธรรมชาติ และในระดับประชาชน คือสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ เช่น สวัสดิการสังคม และหลักประกันสุขภาพ เวลาพูดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานวันนี้ หลายคนคิดถึงการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ขนาดยักษ์ มูลค่าหลายล้านล้านบาท สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนเป็นผู้นำคือการจัดลำดับความสำคัญของโครงการขนาดใหญ่ให้ชัดเจน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานวันนี้ควรจะมุ่งแก้ปัญหาในเรื่องของพลังงาน และเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ ฉะนั้นจะต้องดึงโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยลดการใช้พลังงานและช่วยทำเกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน นั่นหมายโครงการในเรื่องของขนส่ง ขนส่งมวลชน ขนส่งทางน้ำ ขนส่งในระบบกลาง การตัดสินใจว่าควรจะเดินหน้าโครงการไหนต้องยึดประโยชน์ส่วนรวมและหลักวิชาเป็นที่ตั้ง ในต่างจังหวัด ในชนบท ควรสนับสนุนโครงการขนาดเล็ก หรือมินิโปรเจกต์ ให้เกิดขึ้นทั่วทุกเทศบาล หรือแม้กระทั่งเกิดขึ้นทั่วทุกตำบล เช่น โครงการการจัดทำพลังงานทดแทนโดยเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานระดับชาติที่จัดตั้งขึ้นเพื่อมารับผิดชอบเป็นการเฉพาะกับภาคเอกชนที่ต้องการลงทุนและทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผลิตพลังงานจากผลผลิตทางการเกษตร ขยะ ฟาร์มหมูฯลฯ เป็นวาระของประชาชนที่ควรเกิดขึ้นพร้อมๆ กันทั้งประเทศ จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทำให้ประเทศไทยพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันน้อยลงอย่างแท้จริง และจะนำไปสู่ความก้าวหน้าของการใช้พลังงานทดแทน นี่เป็นตัวอย่างของโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องทำ สำหรับปัญหานโยบายรัฐวิสาหกิจสิ่งที่ต้องทำคือการแยกหน่วยงานด้านนโยบายและการกำกับดูแลออกมาก่อน สร้างการแข่งขัน แล้วจึงแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง ผู้ได้รับสิทธิในการใช้สมบัติของชาติต้องให้ผลตอบแทนที่เป็นธรรมกับส่วนรวมคือ รัฐและผู้บริโภค การแปรรูปต้องไม่นำไปสู่การสร้างธุรกิจผูกขาดด้านสาธารณูปโภคในภาคเอกชน ในระดับประชาชน โครงสร้างพื้นฐานจะช่วยแก้ปัญหาความยากจนให้สัมฤทธิ์ผลได้อย่างยั่งยืน โดยรัฐต้องทำอย่างเป็นระบบ ทั้งการสงเคราะห์แก้ไขความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ควบคู่กับการสร้างเสริมศักยภาพและสร้างโอกาส ให้ประชาชนยืนหยัดได้อย่างภาคภูมิ ต้องมีการสนับสนุนการออมเพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่ใช่รอการให้เปล่าหรือให้กู้ ประชาชนไม่ควรรู้สึกว่าต้องพึ่งผู้ที่เป็นรัฐบาลในสิ่งที่เป็นสิทธิของเขาที่จะได้รับการดูแล และมีความมั่นคงระดับหนึ่งในคุณภาพชีวิต เฉพาะหน้า สิทธิที่ประชาชนพึงได้รับ คือ หลักประกันเรื่องสวัสดิการ ต้องเร่งปฏิรูปการบริหารจัดการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนทุกๆคนมั่นใจได้ว่า ในฐานะคนไทย เมื่อใดก็ตามที่มีความต้องการขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะสนับสนุนพรรคการเมืองไหนก็ตาม เขามีสิทธิและจะต้องได้รับการดูแลอย่างรวดเร็ว ครบถ้วน และสมศักดิ์ศรี ระบบภาษีกับระบบประกันสังคมควรมีการบูรณาการ เพื่อเก็บภาษีให้เป็นธรรมขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วนำรายได้ที่เพิ่มขึ้น มาขยายความครอบคลุมของสวัสดิการตัวนี้ให้ทั่วถึงประชาชนทุกคน ในการประกันการว่างงาน หรือการเจ็บป่วย ซึ่งตอนนี้ได้รับเฉพาะคนในภาคอุตสาหกรรมและบริการ ไม่ครอบคลุมถึงครอบครัว ไม่ครอบคลุมถึงคนในภาคเกษตรกรรมและอาชีพอิสระรายย่อยอื่น ๆ ประชาชนที่อยู่ในความคุ้มครองของระบบประกันสังคมควรจะเพิ่มขึ้น จาก ๖ ล้านคน เป็นประมาณ 10-15ล้านคน การขยายความครอบคลุมของระบบประกันสังคมเป็นการส่งเสริมการออมไปในตัว เพื่อให้ประชาชนมีส่วนในหลักประกันนั้น คือเมื่อออมแล้วรัฐจะเพิ่มให้อีกส่วนหนึ่ง ในกรณีของเกษตรกรหรืออาชีพอิสระที่ไม่มีนายจ้างช่วย รัฐมีหน้าที่สนับสนุนการออม เพราะการออมเป็นวินัยพื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่ง ในการดำรงชีพแบบพอเพียงและเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับระบบเศรษฐกิจในทุกประเทศ หลักประกันสุขภาพสังคมที่เข้มแข็งต้องมีหลักประกันว่าประชาชนมีความมั่นคง มีคุณภาพชีวิตที่ดี สภาพสังคมปัจจุบันประชาชนยังขาดโอกาสในการรับบริการด้านสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ในชนบทพ่อแม่ต้องทิ้งลูกไว้กับปู่ย่าตายายเพราะปัญหาเศรษฐกิจ การเรียนรู้เรื่องสุขภาวะที่ควรจะเริ่มจากครอบครัวและโรงเรียนไม่เกิดขึ้น ความเจ็บไข้ได้ป่วยมักมาจากพฤติกรรมและความเคยชินซึ่งความรู้สามารถป้องกันได้ ต้องมีนโยบายสาธารณะด้านการดูแลสุขภาพของคน ต้องมีการปฏิรูประบบสาธารณสุข ด้วยการออกกฎหมายสุขภาพแห่งชาติที่ครอบคลุมประเด็นต่างๆด้านสุขภาพ เช่น ข้อกำหนดในการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม เป็นต้น หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โครงการรักษาฟรีต้องปรับเปลี่ยนระบบการจัดการให้ครอบคลุมทุกโรค จัดสรรงบประมาณให้สอดคล้อง โรงพยาบาลต้องอยู่ได้โดยไม่มีความขาดแคลน บุคคลากรด้านสาธารณสุขต้องได้รับค่าตอบแทนที่พอเพียงเหมาะสม และต้องมีการแยกกองทุนเพื่อการรักษาโรคร้ายแรงที่มีค่าใช้จ่ายสูงด้วย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ - ภาคบริการ เป็นสิ่งหนึ่งที่ไทยได้เปรียบ เพราะคนไทยมีอุปนิสัยจิตใจที่สอดคล้องกับธุรกิจการบริการอยู่แล้ว ทั้งการท่องเที่ยว การบริการด้านสุขภาพ ฯลฯ ที่ผ่านมารัฐบาลมักส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเน้นการตลาด รัฐบาลใช้งบประมาณมหาศาลส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่กลับไม่ได้พิจารณาถึงผลจากการประชาสัมพันธ์ สิ่งที่ควรทำ คือสร้างมูลค่าเพิ่มหรือความเข้มแข็งของการท่องเที่ยว ที่สอดคล้องกับจุดแข็งของเรา การท่องเที่ยวในรูปแบบพัทยา นำไปใช้กับทุกที่ไม่ได้ เราไม่ต้องการสร้างกระเช้าขึ้นทุกภู เพราะจะเป็นการทำลายตัวเอง แต่เราควรจะพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงการเกษตร การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ให้เหมาะสมกับแต่ละท้องที่ และส่งเสริมอย่างจริงจัง ให้เป็นธุรกิจของชุมชนที่คนพื้นที่นั้น ๆ ได้ประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่ได้แต่เจ้าของรีสอร์ตซึ่งไปลงทุนจากส่วนกลางแล้วได้ผลประโยชน์ตอบแทนกลับมาฝ่ายเดียวเป็นหลัก
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ - ภาคเกษตรกรรม ไทยเป็นแหล่งผลิตอาหารที่ดีที่สุดแหล่งหนึ่ง เราต้องเพิ่มมูลค่าผลผลิต ด้วยการปรับปรุงเรื่องดิน น้ำ และพันธุ์ มีการเชื่อมโยงมาแปรรูปเพิ่มมูลค่ากับภาคอุตสาหกรรม และต้องมีกระบวนการในเรื่องของการร่วมกันบริหารจัดการในวงจรผลิตไปจนถึงตลาด ที่ผ่านมาเกิดความล้มเหลวในภาคเกษตรหลายอย่างเพราะรัฐบาลตัดสินใจแทนเกษตรกร ในเรื่องที่เขายังไม่มีความพร้อม การให้เกษตรกรมีส่วนร่วมบริหารจัดการวงจรผลิต นอกจากจะช่วยให้เขามีอำนาจต่อรองแล้ว ยังเป็นโอกาสบริหารองค์ความรู้และภูมิปัญญา ที่เกษตรกรมีอยู่เต็มภาคภูมิ และเป็นจุดแข็งของท้องถิ่นต่างๆ ทั้งนี้ ควรเริ่มที่การบริหารจัดการวงจรผลิต โดยนำร่องเป็นพื้นที่ๆไป รวบรวมการเรียนรู้ แล้วจึงจัดเป็นรูปของกฎหมายเพื่อขยายโครงการทั่วประเทศต่อไป มาตรการยอดนิยมเช่นการให้เงินกู้ หรือรับจำนำผลผลิต ยังเป็นสิ่งที่ต้องใช้ แต่ต้องใช้ให้เป็น เช่นเวลาที่ตลาดตกต่ำ ก็ต้องเข้าไปช่วยเหลือเกษตรตามความจำเป็น ทั้งนี้ ต้องบริหารโดยคำนึงถึงกลไกตลาด มิฉะนั้น จะเป็นอย่างเช่นการพยุงราคาลำไยที่ล้มเหลว เพราะไปกำหนดราคาซึ่งสูงผิดธรรมชาติ กลายเป็นช่องทางที่ดึงดูดให้เกิดการทุจริต
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ - ภาคอุตสาหกรรม เรามีพื้นฐานดีอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำคือ บริหารจัดการเรื่องของเทคโนโลยี กับหาช่องทางเพิ่มมูลค่า ของแต่ละอุตสาหกรรมในแต่ละขั้นตอนของการผลิต วิธีที่ดีที่สุด คือส่งเสริมด้วยการมีการแข่งขันที่มีการกำกับที่ดี มากกว่าการที่จะไปสั่ง หรือประกาศให้เป็นโครงการโดยรัฐบาล เช่นประกาศว่าเมืองไทยจะต้องเป็นศูนย์กลางอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วคิดว่ามันจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เพียงเพราะว่ารัฐบาลมีงบประมาณให้ ไม่ใช่ เราต้องไม่ย้อนยุคไปก่อนปี ๒๕๔๐ ที่การเมืองกับโลกธุรกิจสัมพันธ์กันในลักษณะซึ่ง ทำให้ประเทศอ่อนแอ จนเศรษฐกิจไทยล้ม ตอนนั้น ไม่ใช่คนในภาคธุรกิจหรือนักการเมืองไม่เก่ง แต่เป็นเพราะเราสับสนเอาธุรกิจกับการเมืองมาปนกัน เกิดเป็นระบบอุปถัมภ์ขึ้นมา ในที่สุดก็ไม่ใช่การใช้ความสามารถ แต่เป็นการใช้เส้นสาย ว่าจะได้เงินกู้ไหม การลงทุนก็ไม่คำนึงถึงประสิทธิภาพที่แท้จริง จึงเกิดปัญหาตามมา
ฟ้าวันใหม่ : ทักษิณ มีเงินมากแล้วใช้ชีวิตสุขสบายในเมืองไทยได้หรือไม่ ยิ่งทำผิดมากยิ่งกลับประเทศไม่ได้ (๒๕ ก.พ.๕๗) อภิสิทธิ์ถามทักษิณมีเงินมากแล้วใช้ชีวิตสุขสบายในเมืองไทยได้หรือไม่ ยิ่งทำผิดมากยิ่งกลับประเทศไม่ได้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์รายการฟ้าวันใหม่ ทาง Blue Sky Channel ว่า วันนี้อยากให้สังคมได้ร่วมกันแสดงออกว่าเราไม่ต้องการเห็นความสูญเสียเกิดขึ้น และต้องร่วมกันแสดงความเสียใจกับทุกๆ ฝ่าย ทุกๆ คนที่มีความสูญเสียเกิดขึ้น “วันนี้อยากจะให้สังคมได้ร่วมกันแสดงออกว่าเราไม่ต้องการเห็นความสูญเสียเกิดขึ้น แล้วก็ต้องร่วมกันแสดงความเสียใจกับทุกๆ ฝ่าย ทุกๆ คนที่มีความสูญเสียเกิดขึ้น โดยเฉพาะกรณีของเด็กก็เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าอย่าว่าแต่คนไทยเลย ต่างประเทศก็ได้แสดงออกอย่างชัดเจน หลังจากที่เกิดเหตุในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเห็นว่าตั้งแต่สหประชาชาติไปจนถึงหลายประเทศ ก็ได้ออกแถลงการณ์ ได้แสดงท่าที แสดงความห่วงใย แล้วก็ต้องการที่จะเห็นรัฐบาลเอาจริงเอาจังกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น และหาผู้ที่กระทำนั้นมาลงโทษมารับผิดชอบให้ได้” ช่วง 2 วันที่ผ่านมา หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์แถลงไป ก็ได้เห็นท่าทีของทหารมากขึ้น คุณอภิสิทธิ์มีความเห็นอย่างไร “เท่าที่ทราบ 2 คืนที่ผ่านมา เนื่องจากอาจจะไม่ได้มีประเด็นเรื่องความสูญเสีย แต่ก็ทราบว่ามีเหตุการณ์ความไม่สงบทั้ง 2 คืน ไม่ว่าจะเป็นการยิง และหลายพื้นที่ก็มีการรายงานว่ามีเสียงคล้ายเสียงระเบิดด้วย แต่ว่าเมื่อคืนนี้โดยเฉพาะเข้าใจว่าทางทหารก็มีบทบาทชัดเจนในการเข้ามาช่วยดูแล เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นบทบาทซึ่งเราก็คุยกันในรายการนี้ที่ผมบอกว่า เมื่อนายกฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินแต่ว่าตัวเองไม่ทำอะไร ก็ขอให้ทุกคนนั้นดูกฎหมายที่พอจะใช้ในการที่จะช่วยกันดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนได้
ผมเข้าใจว่าทางท่าน ผบ.ทบ. ก็ได้ไปดูกฎหมายความมั่นคง และทางท่านผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดนั้นก็สามารถที่จะใช้บทบาทของตัวเองตามกฎหมายความมั่นคงได้ ในการมาช่วยดูแลประชาชนดูแลความปลอดภัยของประชาชน สร้างความอุ่นใจ แล้วก็ช่วยกันรักษาปกป้องการเป็นนิติรัฐ แล้วก็การที่เป็นบ้านเมืองที่มีขื่อ มีแป มีกติกา แล้วก็ผมก็ยังเรียกร้องว่าในกฎหมายฉบับอื่นๆ ถ้าหากว่าใครสามารถจะใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดูแลความปลอดภัยได้นั้นก็ขอให้ใช้ ถ้าไม่ได้ เพราะว่าคุณยิ่งลักษณ์เอาอำนาจไปแล้ว ผมว่าก็ควรแสดงออกในการขออำนาจนั้นคืนจากคุณยิ่งลักษณ์ เพราะว่าถ้าคุณยิ่งลักษณ์เอาไปแล้วไม่ใช้ ก็ควรจะเอาอำนาจนั้นคืนมา” ใน 2 วันที่ผ่านมา ทหารมีบทบาทมากคืนไม่ว่าจะเป็นที่สีลม ปทุมวัน และมีทหารลาดตระเวณตามจุดต่างๆ คุณอภิสิทธิ์คิดว่าประชาชนมีความมั่นใจมากขึ้นหรือไม่ว่ากองกำลังไม่ทราบฝ่ายจะมีความเกรงกลัวมากขึ้น “ผมคิดว่าเป็นมาตรการหรือเป็นการแสดงท่าทีที่เพิ่มความอุ่นใจ ความมั่นใจให้กับประชาชน ส่วนว่าฝ่ายกองกำลังคิดอย่างไรนั้นผมตอบแทนไม่ได้ เพราะว่าคนเหล่านี้จิตใจไม่เหมือนพวกเรา มีความโหดเหี้ยม มีความอำมหิตแล้วก็ที่สำคัญ เราก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่เรารู้ว่าอยู่ฝ่ายไหน แล้วก็คงมีแรงจูงใจ จะเป็นค่าจ้าง และคนจ้างก็คงมีวัตถุประสงค์อยู่ ที่มีการวิเคราะห์กันนั้นผมก็ยืนยัน สื่อต่างประเทศก็เริ่มเขียนวิเคราะห์กันก็คือ เหมือนกับว่าฝ่ายที่ครองอำนาจอยู่นี้เมื่อเห็นว่าพี่น้องประชาชนจำนวนมากปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับตัวเองนั้น ก็พยายามทำให้เกิดลักษณะของความขัดแย้งที่หวังว่า ต่างชาติจะเข้ามา โดยเฉพาะสหประชาชาตินั้นจะเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ผู้เจรจา เพราะพยายามจะสร้างฐานะตัวเองในฐานะที่เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง” วานนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบอกว่า หากกกต. ไม่ทำงาน UN หรือ EU นั้นพร้อมเข้ามาช่วยดูแลเรื่องการเลือกตั้ง คุณอภิสิทธิ์มีความเห็นอย่างไร “ผมถาม 2 ท่าน ท่านคิดว่า EU มาจัดการเลือกตั้งในไทยสำเร็จมั้ย UN เข้ามาจัดการเลือกตั้งจะสำเร็จมั้ยล่ะครับ ผมว่าจริงๆ ที่คุณสมชัยพูดนั้นถูก ว่าการเลือกตั้งมันจะเดินหน้าไปอย่างราบรื่นได้ ก็เมื่อพี่น้องประชาชนคนไทยสามารถที่จะตกลงร่วมกันได้ว่านั่นคือแนวทางที่จะต้องมาช่วยกันสนับสนุนให้เกิดทางออกของประเทศ ส่วนคุณสุรพงษ์แกก็คิดได้เท่านี้ครับ” นายบัน คีมูน เลขาธิการสหประชาชาติแถลงประณามการใช้ความรุนแรงในประเทศไทย เรียกร้องให้ยุติความรุนแรงโดยทันที และให้นำตัวผู้ก่อเหตุมาลงโทษ
บทบาทตรงนี้ของสหประชาชาติจะกดดันอะไรต่อท่าทีรัฐบาลไทยได้บ้างหรือไม่ “คือผมคิดอย่างนี้นะครับ เราต้องย้อนกลับไปดูพัฒนาการที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของสหประชาชาติ คงจะจำได้ว่า พอเราได้เอกสารที่รั่วไหลออกมาแล้วบอกว่า เลขาธิการสหประชาชาตินั้นมีการติดต่อกับนายกรัฐมนตรีอย่างไร และนายกรัฐมนตรีนั้นไปให้ข้อมูลที่เราเห็นว่ามีการบิดเบือน เป็นข้อมูลเท็จกับทางสหประชาชาติอย่างไรนั้น เราก็ต้องเข้าใจว่าก่อนหน้านี้พี่น้องประชาชนจำนวนมากจึงได้แปลกใจว่าทำไมสหประชาชาติจึงออกแถลงการณ์มาในลักษณะที่เหมือนกับไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริง จะพูดถึงเฉพาะคือ ทำให้คนไปเข้าใจด้วยซ้ำว่า ความรุนแรงเกิดขึ้นจากการชุมนุม ขณะที่อีกฝ่ายพยายามที่จะเลือกตั้งอะไรทำนองนั้น แต่ว่าในที่สุดหลังจากที่เราก็ช่วยกันชี้แจงหลายๆ ฝ่าย ผมเองก็พยายามชี้แจง แล้วก็พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ทำหนังสือถึงสหประชาชาติ โดยลำดับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจริงว่า ยกเว้นกรณีของคุณขวัญชัยนั้น มันเป็นความรุนแรงที่กระทำต่อผู้ชุมนุม แล้วก็ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล และยังเป็นความต่อเนื่องจากการข่มขู่ คุกคามในรูปแบบต่างๆ ในช่วงที่รัฐบาลของคุณทักษิณ และคุณยิ่งลักษณ์นั้นครองอำนาจ ผมคิดว่าตรงนี้ครับได้ช่วยทำให้สหประชาชาตินั้น พอเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้เริ่มมองเห็นแล้วว่ามันมีกระบวนการที่ทำร้ายประชาชนที่มาชุมนุมอย่างเป็นระบบ หรือฝ่ายที่ยืนตรงกันข้ามกับรัฐบาลอย่างเป็นระบบ จึงเป็นที่มาของการแถลงตรงนี้ ถามว่าตรงนี้จะกดดันรัฐบาลแค่ไหนนั้น ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุดมันทำให้รัฐบาลซึ่งเคยคิด เคยหวังว่าสหประชาชาติจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของตัวเองได้นั้น ไม่น่าจะทำได้แล้ว ส่วนรัฐบาล หรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะหยุดยั้งความรุนแรงหรือไม่นั้น ผมก็คิดว่าคงยัง เพราะเราก็เห็นเมื่อคืนนี้ก็ยังมีเหตุการณ์อยู่ เพราะว่าเราอย่าลืมว่าคนที่เขาอยู่เบื้องหลังความรุนแรงทั้งหลายนี้เขาก็ยังคงมีเป้าหมายทางการเมืองของเขาอย่างชัดเจน ผมยังนึกอยู่ในใจว่าที่คุณยิ่งลักษณ์ขึ้นเฟสบุคบอกว่าคนที่ก่อความรุนแรงนั้นทำเพื่อประโยชน์ทางการเมืองนั้น ก็คงจะจริงครับ แต่เสียดายว่าไม่ระบุมาว่าเป็นฝ่ายไหน เพราะมันชัดครับว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับคนที่เขามาเรียกร้องความถูกต้องในบ้านเมืองเลย” ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้กฎหมาย ใช้รัฐธรรมนูญต่อสู้กัน เพราะทหารจะไม่ออกมาปฏิบัติการอะไรที่เป็นการเรียกร้อง
คุณอภิสิทธิ์คิดว่านอกจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว จะทำอย่างไรให้ทุกฝ่ายใช้กฎหมายแก้ปัญหาได้ชัดเจน “ผมว่าต้องพูดกันให้ชัดคือเวลานี้มีการกล่าวหาทำนองว่าการเคลื่อนไหวของประชาชนนั้น เหมือนกับเป็นการเรียกร้องให้มีการรัฐประหาร ซึ่งไม่มี ผมก็ฟังอยู่ที่เขาปราศรัยกันอยู่บนเวทีเขาก็พูดชัดกันทุกคนว่าเขาไม่ได้เรียกร้องให้รัฐประหาร เพราะฉะนั้นต้องไม่พยายามทำให้เกิดความเข้าใจอย่างนั้น ประการที่ 2 ก็มีการพูดอีกว่า คนที่ก่อความรุนแรงในขณะนี้ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลหรอก แต่ว่าพยายามจะยั่วยุให้เกิดการรัฐประหาร ผมว่าการที่ท่านผบ.ทบ. แสดงออกอย่างนี้ก็ชัดเจนดีครับว่า ไม่ใช่ ไม่มีใครจะพยายามสร้างสถานการณ์เพื่อให้ทหารเข้ามายึดอำนาจเสียเอง ตรงนี้ต้องชัดเจนเสียก่อน ส่วนบทบาทของทหาร แล้วก็ที่ท่าน ผบ.ทบ. ท่านบอกว่าทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย กับรัฐธรรมนูญ ผมก็เห็นด้วย และพรรคประชาธิปัตย์ก็แสดงจุดยืนอย่างนี้มาโดยตลอดว่าการแก้ไขปัญหาการเมือง แก้ปัญหาของบ้านเมืองนั้นก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ” คนที่จะบังคับใช้กฎหมายในขั้นต้นคือตำรวจมิใช่หรือ “ถูกต้องครับ และตรงนี้ไงครับก็เป็นที่มาต่อไปว่า ในที่สุดแล้วตำรวจก็ต้องตัดสินใจว่า การบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความสงบเรียบร้อย ซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจนั้นจะต้องทำอย่างไร ก็ยังมีเสียงต่อว่าต่อขานตำรวจกันอยู่จากเหตุการณ์ในช่วงกลางคืนว่า เวลาเกิดเหตุ ที่ว่ามีการยิง มีการระเบิด เมื่อวานนี้เมื่อคืนนี้เข้าใจว่า หน้า สตช. ด้วยซ้ำครับ” บริเวณรอบเวทีราชประสงค์ ปทุมวัน “หน้า สตช. เลยครับ แต่ว่าบทบาทของตำรวจในการที่จะมาดูแลพิทักษ์รักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชนนั้นมันต้องชัดเจนกว่านี้ แต่อย่างน้อยที่สุดการที่ท่านผบ.ตร. ได้เคารพต่อคำพิพากษาของศาล แล้วก็ออกหนังสือให้ชัดเจนว่า ถ้ามีคำสั่งของ ศรส. ที่มันขัดกับคำสั่งศาล ไม่ต้องปฏิบัติตาม ผมว่าอันนี้ถูกต้อง
แต่ว่าผมคิดว่าที่ประชาชนรอคอยอีกขั้นหนึ่งก็คือว่า แล้วถึงจุดหนึ่งตำรวจจะทบทวนมั้ยล่ะครับว่า คำสั่งอีกหลายคำสั่งที่ออกมาจากทางฝ่ายผู้มีอำนาจนั้น แท้ที่จริงไม่ได้มาสั่งให้ท่านทำหน้าที่ที่ท่านจะต้องทำคือรักษาความสงบเรียบร้อย แต่เป็นเพียงการรักษาอำนาจ หรือการพยายามสกัดกั้นการใช้สิทธิ เสรีภาพของประชาชนอีกจำนวนหนึ่ง ผมไม่พูดถึง กปปส. นะครับ ผมฟังอยู่เมื่อคืนนี้ พี่น้องชาวนาที่ไปที่กองทัพอากาศ เขารู้สึกเจ็บปวด ขมขื่นใจอย่างมากกับการที่เขาถูกทำร้ายโดยตำรวจ แล้วเขาก็ไม่เข้าใจครับ เขาบอกว่า มีคนเอาของเขาไป แล้วไม่จ่ายสตางค์เขา เขามาทวงเงินของเขา เขาไม่ได้มาทำอะไรอย่างอื่น ทำร้ายใครเลย เขามาทวงเงินของเขา ทำไมเขาต้องเจอโล่ เจอกระบอง เจออะไรก็ตาม มีเกษตรกรท่านนึงที่ไม่ยอมทำแผลด้วยบอกว่าจะให้เป็นจุดที่ระลึก ที่จะประจานไปเลยว่านี่แหละคือสิ่งที่ได้รับการตอบแทน ผมคิดว่าตรงนี้อยากให้ตำรวจต้องคิดนะครับ แล้วบังเอิญผมก็เห็นข่าวที่ยูเครน หลังจากที่ต่อสู้กันมายืดเยื้อ ผมว่าจุดเปลี่ยนก็คือ วันที่ตำรวจบอกว่าไม่แล้ว ไม่รับใช้รัฐบาลที่ใช้อำนาจไม่ถูกต้อง”
กรณียูเครน ในที่สุดแล้วเมื่อฝ่ายความมั่นคงหันมาอยู่ข้างประชาชน ฝ่ายการเมืองก็ต้องมาแก้ปัญหาตัวเอง ดังนั้นในเมืองไทยหากฝ่ายความมั่นคงมาอยู่ข้างประชาชนแล้ว สุดท้ายการเมืองก็จะแก้ปัญหาด้วยการเมืองกันเองสำเร็จหรือไม่ “ต้องระมัดระวังนะครับ คือคำว่าอยู่ข้างประชาชน กับเลือกข้างทางการเมือง ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมว่าตรงนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้งผบ.ตร. ผบ.ทบ. แล้วก็ตำรวจ ทหาร คือบางครั้งหลายคนบอกอยู่ข้างประชาชนนั้น แต่อาจจะกินความไปจนถึงเหมือนกับมาเลือกข้างทางการเมือง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นปัญหาไม่จบ ผมก็เห็นด้วยกับท่าน ผบ.ทบ. แต่การยืนข้างประชาชนในความหมายที่ว่าจะไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้กับรัฐบาลที่ใช้อำนาจโดยมิชอบนี้ ผมคิดว่าถ้าแสดงตรงนี้มันก็จะทำให้เป็นตัวบีบให้รัฐบาลนั้นจะต้องเข้าสู่กระบวนการที่ยอมรับว่า วันนี้สถานการณ์บ้านเมืองที่มาถึงจุดนี้ มันเกิดขึ้นจากการกระทำของรัฐบาลหลายอย่างที่ประชาชนจำนวนมากไม่ยอมรับ และจำเป็นที่จะต้องมาหาทางออก” กรณียูเครน พอถึงจุดที่การเมืองต้องแก้ด้วยการเมืองแล้ว รัฐสภาเสียงข้างมากโดยรัฐบาล ก็ต้องลงมติปลดประธานาธิบดี ในเมืองไทยหากถึงจุดนั้น
สุดท้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือขบวนการของ พ.ต.ท.ทักษิณต้องตัดสินใจถอยมากกว่านี้หรือไม่ “มันไม่ใช่เรื่องถอยนะครับ มันเป็นเรื่องหาทางออกให้กับบ้านเมือง แล้วสิ่งที่ผมก็ย้ำมาโดยตลอดก็คือว่า การที่รัฐบาลอยู่ดีๆ ก็เรียกร้อง นานๆ ทีก็โผล่มาเรียกร้องว่า มาพูดคุยกันสิ เจรจากันสิ แล้วก็จะมีคำพูดอีกคำนึงว่า ก็คุณสุเทพ ไม่ยอมเจรจา เพราะฉะนั้นมันก็เลยไม่มีทางออก ที่จริงมันไม่ใช่หรอกครับ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้ ผมถามว่าถ้าคุณยิ่งลักษณ์นั่งคุยกับคุณสุเทพ แล้วคุณสุเทพนั้นไปตกลงอะไรซึ่งมวลมหาประชาชนเขายอมรับไม่ได้ มันจะหยุดมั้ยล่ะครับ อย่างเช่น ผมเห็นนะครับ บางคนในซีกรัฐบาลนั้นมีความเชื่อว่า การพูดคุยตกลงก็คือว่า ไม่เอาผิดซึ่งกันและกัน กลับไปเรื่องนิรโทษกรรมอีก ผมถามว่าบ้านเมืองจะสงบได้เหรอครับ ก็ที่คนออกมาอยู่ท้องถนนนับรวมมาถึงวันนี้ผมว่าเป็นล้านแล้ว หลายล้านแล้ว มันก็เพราะความพยายามผลักดันเรื่องนิรโทษกรรม เช่นเดียวกันนะครับ เราก็ต้องพูดด้วยความเป็นธรรมว่าการตัดสินใจของคุณยิ่งลักษณ์ หรือฝ่ายพรรคเพื่อไทยนั้น ถ้าทำอะไรแล้วผู้สนับสนุนเขาก็ไม่ยอมรับเหมือนกัน เรื่องมันก็ไม่จบ เพราะฉะนั้นประเด็นถ้าพูดคุยได้ก็ดี แต่หัวใจไม่ได้อยู่ที่ว่าใครคุยกับใคร หัวใจอยู่ที่ว่า กระบวนการจะพูดคุย หรือจะไม่พูดคุยก็แล้วแต่มันหาคำตอบที่เป็นที่ยอมรับระดับหนึ่งของทุกฝ่ายเพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้หรือไม่ นี่คือหัวใจสำคัญ ผมก็เปรียบเทียบให้เห็นนะครับว่า ถ้าวันนี้จะตามใจคุณทักษิณ ไม่มีทางหรอกครับที่จะจบ ไม่มีทางที่จะจบ เพราะฉะนั้นจะไปคุยกับคุณทักษิณ ตามเท่าที่คุณทักษิณยังมีเป้าหมายเหมือนเดิมมันก็ไม่จบหรอกครับ คุณทักษิณอาจจะยอมอะไร 1 – 2 – 3 อย่าง แต่ว่าสุดท้ายก็ยังเรียกร้องเดิมๆ ก็คือพูดง่ายๆ กลับไปเรื่องนิรโทษกรรม มันก็ไม่จบ
แต่คำถามก็คือว่าคนที่เป็นเครื่องมือให้กับคุณทักษิณทั้งหมดวันนี้ตั้งแต่น้องสาว ไปจนถึงบรรดากลไกของรัฐ กลไกทางการเมือง พรรคการเมือง คุณจะรับใช้ทักษิณไปเรื่อยๆ อย่างนี้หรือ เช่นเดียวกันนะครับ ประเด็นของอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณสุเทพพอใจหรือไม่พอใจ ประเด็นอยู่ที่ว่าบรรดาประชาชนที่ออกไปแสดงออกนี้เขาพอใจ หรือไม่พอใจ เพราะถ้าเขาพอใจในคำตอบ เขาก็กลับบ้าน เขากลับบ้านถามว่าคุณสุเทพจะยืนอยู่บนเวทีคนเดียวเหรอครับ” ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลดเงื่อนไข เลิกพูดหรือไม่พูดคำว่าไม่ลาออก “คืออันนั้นต้องเลิกอยู่แล้วละครับ 1. คุณยิ่งลักษณ์พูดใน 2 สิ่งซึ่งผมต้องบอกว่าไร้สาระ 1. พยายามจะอ้างข้อกฎหมายว่าตัวเองนั้นต้องอยู่จนนาทีสุดท้าย (ฟังไม่ชัดมีเสียงจามของผู้ดำเนินรายการแทรก) ถ้าไปเมื่อไหร่มันก็ต้องอยู่ถึงตอนนั้น คือปัญหาก็คือว่า พยายามจะทำให้เกิดความเข้าใจว่าตามกฎหมายออกไม่ได้เลย เป็นเรื่องโกหก เพราะในอดีตมีคนที่อยู่ในตำแหน่งรักษาการที่เขาลาออกไปแล้วเกิดขึ้นสมัยคุณทักษิณ ผมก็ไม่เห็นคุณทักษิณบอกว่ามันผิดกฎหมายเลย และอย่างที่ผมบอกครับว่าไปดูเถอะครับ ในกฎหมายทุกฉบับ คนพ้นจากตำแหน่ง มีเหตุผล 1 – 2 – 3 ส่วนใหญ่ก็ (1) ตาย (2) ลาออก แล้วถามว่ากฎหมายห้ามคนตายได้ด้วยเหรอครับ คือผมพูดนี้ผมพูดในเชิงสมมติเท่านั้นเองว่า ถ้ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วคนอยู่ในตำแหน่งตายนั้น แล้วมาบอกว่าไม่ได้นะ กฎหมายห้ามนะ เพราะต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่ มันไม่เป็นจริงครับเพราะฉะนั้น 1. ข้อกฎหมายก็ไร้สาระ ข้อที่ 2 ที่พยายามอ้างในเชิงการเมืองว่า ต้องอยู่เพื่อรักษาประชาธิปไตย ประหนึ่งว่า ตัวคุณยิ่งลักษณ์คือประชาธิปไตยนั้นมันไม่ใช่ วันนี้คุณก็ไม่ใช่รัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม จะทำอะไรตามเจตนารมณ์ของประชาชนอยู่แล้ว คุณมีหน้าที่แค่เพียงรักษาการ เพื่อให้มีรัฐบาลชุดใหม่ เพราะฉะนั้นถ้ากระบวนการที่จะนำไปสู่การมีรัฐบาลชุดใหม่ตามเจตนารมณ์ของประชาชนได้ นั่นต่างหากคือการทำให้ประชาธิปไตยเดินหน้า
เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่า คุณยิ่งลักษณ์ มันไม่ใช่เรื่องถอย ไม่ถอยแล้วครับ ต้องยอมรับความจริงแล้วว่า ประเทศจะเดินหน้าต่อไปได้นั้นตัวเองจะต้องทำอย่างไร ไม่ได้เป็นการตัดสิทธิ์คุณยิ่งลักษณ์ในทางการเมืองที่จะดำเนินการอะไรต่อไปในอนาคต แต่ในสถานการณ์วันนี้ผมมองไม่เห็นว่า บ้านเมืองจะสงบได้ถ้ามันไม่มีคำตอบชัดๆ เรื่องการปฏิรูป และการเลือกตั้งที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย และมันชัดเจนว่า การปฏิรูปก็ดี การเลือกตั้งก็ดีที่จะเป็นที่ยอมรับทุกฝ่ายขณะนี้ มันไม่ใช่สถานการณ์ที่คุณยิ่งลักษณ์จะดำรงสถานะอยู่อย่างในปัจจุบัน” ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศว่ารัฐบาลพร้อมลาออก หากเป็นทางออกประเทศ “ผมคิดว่ามันจะเป็นการเปิดประตูไปสู่การกำหนดแนวทางร่วมกันว่าประเทศจะเดินบนเส้นทางปฏิรูปและบนเส้นทางเลือกตั้งอย่างไร อันนี้คือความชัดเจน แต่ขณะนี้เราเห็นชัดว่านายกรัฐมนตรี ในขณะที่พยายามรักษาระบบทุกอย่าง ก็มีความพยายามในการที่จะบ่อนทำลายไม่ให้ระบบทำงาน ผมยก 2 เรื่อง 1. เรื่องการเลือกตั้ง เมื่อกกต. ออกความเห็นมาในฐานะผู้จัดการเลือกตั้งว่าต้องทำ ก็คือออกพระราชกฤษฎีกาเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งใน 28 เขตได้นั้น ปรากฎว่าแทนที่รัฐบาลจะตอบอย่างตรงไปตรงมา รัฐบาลกำลังทำทุกวิถีทางที่จะเลี่ยงที่จะตอบ กกต. จากการที่เป็นจุดยืนของรัฐบาล เช่น จดหมายไม่เซ็น พยายามให้กฤษฎีกาเซ็น เหมือนเมื่อวานนี้บอกว่า มติ ครม. คือจะรับทราบ ไม่มีความเห็นอะไร แต่ไม่ทำอะไร แทนที่จะปล่อยให้กระบวนการ หรือระบบมันเดินได้ โดยการให้ศาลเป็นผู้ให้คำตอบ ไม่ยอมทำ นี่ตัวอย่างที่ 1 ตัวอย่างที่ 2 แทนที่จะยอมรับกระบวนการการตรวจสอบ กรณีข้าว ก็มีการไปบิดเบือน โกหกว่า คดีนี้เร่งรีบ คดีนี้มีการไม่ให้ความเป็นธรรม ใช้ไม่ได้ครับ นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมประชาชนเขาถึงประท้วงอยู่ เพราะเวลาคุณชนะคดีต่างๆ คุณไม่เคยบ่น แต่เวลาคุณจะต้องถูกตรวจสอบ การใช้อำนาจนั้นคุณไม่ยอมรับการตรวจสอบไง แล้วก็วันนี้ผมก็เข้าใจว่าเป็นอย่างที่เราเคยคุยกัน ในที่สุดตัวเองจะไม่ไปรับแจ้งข้อกล่าวหา ส่วนจะใช้วิธีไหนผมไม่ทราบ แต่ผมก็อยากจะเรียกร้องครับว่า ตกลงนี่คือมาตรฐานที่คนที่เป็นผู้นำรัฐบาล ผู้นำประเทศจะวางให้กับคนใช่มั้ย ผมจะดูว่าวันที่ 27 คุณยิ่งลักษณ์มีภารกิจสำคัญอะไร เร่งด่วนจำเป็น คนอื่นทำไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่าตัวเองจะไม่ยอมแสดงตนให้เห็นว่าร่วมมือกับกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตยเหมือนกัน” เทียบกับยูเครน ที่สถานการณ์คลี่คลายได้นั้นเป็นเพราะพรรคร่วมย้ายข้าง และตำรวจมายืนอยู่กับประชาชน สำหรับประเทศไทย ทั้งพรรคร่วม และคนในพรรครัฐบาลกลับเห็นด้วยกับรัฐบาลไปหมด “ก็นี่ไงครับ คือข้อเรียกร้องของผม ข้อเรียกร้องของผมก็คือบอกว่า เราไม่ต้องไปพูดว่าจะต้องไปเจรจาคนนั้นคนนี้หรอกครับ แต่ทุกคนซึ่งกำลังทำให้สถานการณ์นี้มันไม่จบ ด้วยหวังจะอยู่ในอำนาจนั้นจะต้องรับใช้ระบอบทักษิณไปอีกนานเท่าไหร่ จะต้องเห็นประเทศชาติเสียหายมากไปกว่านี้อีกนานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นทุกคนก็ไล่เรียงหมด
ก็อย่างที่ผมบอก ตั้งแต่กลไกในฝ่ายการเมือง ไปจนถึงบรรดากลไกของรัฐ อย่างที่เราคุยกันตอนต้นว่า ถ้าทหาร ตำรวจต้องเริ่มปฏิเสธการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้องนี้มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่คนอื่นๆ จะวางตัวอยู่ในสังคมว่า จะพร้อมที่จะรับใช้ระบอบทักษิณไปเรื่อยๆ หรืออย่างไร ตรงนี้เป็นสิ่งที่จะต้องจับตา” เพราะความร่ำรวยของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือระบอบทักษิณหรือไม่ ที่สุดท้ายก็จ้างให้คนมารักษาอำนาจของตัวเองต่อไป “คือผมก็เคยพูดหลายครั้งนะครับว่า จะร่ำรวยอย่างไรในที่สุดก็เอาชนะความถูกต้องไม่ได้หรอก แล้วก็ผมก็จะถามว่า ที่ร่ำรวยมากๆ โดยเฉพาะคุณทักษิณนั้นสุขสบายดีใช่มั้ย ชีวิตของตนเองที่กระทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ผิด สุดท้ายเงินทองช่วยได้มั้ยล่ะครับ แทนที่จะสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข มีความสะดวก สบายในประเทศไทย ในที่สุดเงินก็ไม่สามารถทำได้ครับ ถ้าคุณไปทำสิ่งที่ผิด และยิ่งทำผิดมากขึ้นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ที่จะกลับมาใช้ชีวิตในประเทศไทยได้”
ตอนนี้สถานการณ์ไปถึงขั้นที่มีแนวคิดในการแบ่งแยกประเทศ ล่าสุดนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ออกมายอมรับว่าแนวคิดการแยกประเทศไทยออกเป็นไทยเหนือ ไทยใต้นั้นมีอยู่จริง
คุณอภิสิทธิ์มีความเห็นอย่างไร “ผมยังไม่ได้เห็นคำสัมภาษณ์ของท่าน แต่ถามว่าความรู้สึกอันนี้มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร เพราะมีคนไปจุดมัน ผมไม่เชื่อหรอกครับว่า พี่น้องคนไทย คนเหนือ คนใต้ คนอีสานนั้นมีความรู้สึกว่าจะอยู่ร่วมกับคนภาคอื่นไม่ได้โดยพื้นฐาน คนไทยรักกัน คนไทยมีความสมัครสมานสามัคคี มีความแตกต่างเป็นที่ยอมรับ แต่การปลุกปั่นตรงนี้ ซึ่งผมบอกว่าตรงนี้เมื่อวานก็คุยกันว่า ฝ่ายความมั่นคงก็ต้องถือปัญหานี้เป็นปัญหาความมั่นคง แล้วก็เข้าไปจัดการ"
หากจะถามถึงหนังสือเล่มโปรดของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี คงจะพบหนังสือในแนวปรัชญา เศรษฐศาสตร์ และคณิตศาสตร์ แม้ว่าจะเป็นหนังสือในแนวเนื้อหาหนักๆ เปี่ยมไปด้วยสาระ แต่หนังสือเล่มโปรดของเขา มักจะเป็นหนังสือที่นำ เรื่องราวหนักๆเหล่านี้มาเขียนให้อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย ในบรรดาหนังสือเล่มโปรดของอภิสิทธิ์นั้น ร้านหนังสือ Bookmark ซึ่งมี “ภคนันท์ เสนาขันธ์ รุ่งแสง ” ภรรยา “ชนินทร์ รุ่งแสง ” ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เป็นเจ้าของ เคยจัดนิทรรศการ “10 เล่มโปรด ” ของอภิสิทธิ์ไว้ดังนี้
1. Sophie's World โดย Jostein Gaarder วรรณกรรมเชิงปรัชญา ซึ่งเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ปรัชญาตั้งแต่สมัยกรีก ผ่านเด็กหญิงโซฟี และอามุนด์เซ่น ครูสอนปรัชญา ผู้ทำตัวลึกลับ
2. Newcastle United : Fifty Years of Hurt โดย Ged Clake หนังสือเกี่ยวกับทีมฟุตบอลสุดโปรดของนายกรัฐมนตรี ผู้เขียนได้เขียนถึงเรื่องราวการพลาดหวังถ้วย ภายในประเทศของนิวคาสเซิลนานนับ 50 ปี นับตั้งแต่ได้แชมป์เอฟเอคัพครั้งล่าสุด เมื่อปี ค.ศ.1995 จนกระทั่งตกรอบเอฟเอคัพในปี ค.ศ.2005
3. Mathematics and Politics : Strategy, Voting, Power and Proof เขียนโดย Alan D. Taylor หนังสือที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเมือง
4. นิยายวิทยาศาสตร์ของนักเขียนชื่อดัง H.G. Wells ซึ่งอภิสิทธิ์เล่าให้เจ้าของงานฟังว่า ซื้อจากคูปองหนังสือ ซึ่งได้รับแจกเมื่อผลการเรียนถึงขั้นที่กำหนดไว้
5. The Accidental Theorist and Other Dispatches from the Dismal Science โดย Paul Krugman หนังสือเศรษฐศาสตร์ซึ่งครุกแมนเขียนก่อนที่จะโด่งดัง เนื้อหาสาระภายในบอกถึงจุดยืนของครุกแมน ที่ไม่เห็นด้วยกับเศรษฐศาสตร์เน้นอุปทานและกระแสโลกาภิวัฒน์ และเห็นว่า การนำเอาเศรษฐศาสตร์แนวนี้ไปใช้ในการกำหนดนโยบายของประเทศอาจจะเกิดความผิดพลาดได้
6. Gun Girls Gambling Gunja : Thailand's illegal Economy and Public Policy โดย ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือซึ่งเกิดจากงานวิจัย ที่ศึกษาเรื่องเศรษฐกิจนอกกฎหมายและนโยบายสาธารณะในประเทศไทย ช่วงปี 2538-2539 มี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ และ รองศาสตราจารย์ ดร.กนกศักดิ์ แก้วเทพ ร่วมวิจัย