ทนไม่ไหวแล้วววว...ราคายางขนาดนี้ ต้องตอบโต้รัฐให้สาสม ด้วยการ.......... V V V ...............ยื่นหนังสือ ................................................................... "ถาวร" พร้อมอดีตสส.ยื่นข้อเสนอนายกฯแก้ราคายางตกต่ำ ชี้ที่ผ่านมาเดินผิดทาง จี้เร่งตั้งบอร์ดการยางมาทำงาน ย้ำไม่สนับสนุนม็อบเดินขบวน นายถาวร เสนเนียม อดีต สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมอดีตสส.ในพื้นที่ปลูกยาง....... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/politic/409530
ความเห็นของคนเกลียดแนวทางของทักษิณและเผาไทย จะเรียกว่าเป็นควายเหลือง สลิ่ม ฝักใฝ่เผด็จการ คนดี หรืออะไรก็ตามแต่ การแสดงความเห็นแย้งโดยสันติวิธีเช่นยื่นหนังสือย่อมไม่สะใจคนที่ต้องการเห็นความวุ่นวายความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคมอย่างไร้เหตุผล พวกนี้เขาอยากเห็นชาวสวนยางออกมาจุดไฟเผาบ้านเผาเมือง ถ้ารัฐบาลลุงตู่จะเอาใจชาวสวนยางโดยประกันราคายางที่สูงกว่าตลาด ก็จะเหมือนกับโครงการรับจำนำข้าว(นี่ยังไม่รวมเรื่องทุจริต)ของยิ่งลักษณ์และเผาไทยซึ่งจะกลายเป็นปัญหาปลายเปิด อีกหน่อยรัฐบาลก็ต้องเข้าไปอุ้มบ่อกุ้ง ไร่อ้อย ประมง ไร่มะขามหวาน SME หรือแม้แต่คนเล่นหุ้น ไม่มีอาชีพไหนในโลกที่จะประกันว่ามีกำไรตลอดกาล เรามีแต่แห่ตามกันไปพอล้มเหลวก็แบมือขอ การที่รัฐช่วยเหลือย่อมทำได้ในกรณีเป็นครั้งคราว แต่ในเมืองไทยไม่เป็นอย่างนั้น ออกไปหกคะเมนตีลังกากัน พอพลาดมาก็ขอให้รัฐอุ้ม รัฐบาลประชานิยมอาจยอมทำเพื่อแลกกับเสียงเลือกตั้งแต่ก็เท่ากับเป็นการขุดหลุมศพแล้วผลักชาติลงไป ตัวอย่างความหายนะที่ยิ่งลักษณ์และเผาไทยทำก็เห็นกันมาแล้ว ช่วงนี้เราจะได้เห็นบ่างออกมาเพ่นพ่านกันมากหน่อย ไม่เคยมีทางออกให้สังคม มีแต่ออกมาให้ข่าวว่าเป็นห่วงแล้วพยายามเปิดแผลให้กว้างที่สุด คนพวกนี้ทำได้เท่านี้จริงๆ
ทำขนมกล้วยขาย ช่วงแรกๆ ขายดี คนซื้อมาก คนทำมากขึ้น ขายไม่ออก รัฐฯช่วยด้วย คิดจะขายขนมอย่างเดียวเหรอ ทำกับข้าวได้มั้ยยยยย ทำเค็กได้มั้ย ทำกล้วยทอดได้มั้ยยยย เห็นตอนนี้มีหมอน ที่นอน ที่รองพื้นสนาม ด้ามไม้กวาด บลาาาาาาา ที่บ้านก้อทำสวนยาง ก่อนนี้ก้อไม่เกิน 60.- พอเกินก้อไปคิดปลูกทั่วประเทศ ทั้งๆมีข้อสัญญาระหว่างประเทศ และภูมิศาสตร์ก้อไม่อำนวย หวังเงินเข้ากระเป๋า คัยเดือดร้อนช่างตรูรวยพอ แมวจิงๆ
ฝ่ายนี้ยื่นไม่ได้เนอะ แต่อีกฝ่าย ตอนเป็นทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ใคร ได้ฉายา "พร้อมซอง" ยื่นกันเป็นรายวัน
แล้ว ผิดยังไงมิทราบ เข้าใจว่าพรรคนี้เคยทำให้ราคายางสูงถึง 180 แต่ดันมาตกฮวบๆตอนนังปูครองเมือง หรือต้อง เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง หรือหวังจะได้เห็นภาพปราบปรามแบบนังปูที่เอาตำรวจลุยลูกเดียว
ปรบมือให้ ปชป. ในภาวะที่นักการเมืองขยับอะไรไม่ได้ ก็ยังอุตส่าห์เคลื่อนไหวเพื่อพี่น้องประชาชน ไม่เหมือนพรรคขี้ข้า ต้นตอปัญหา ขี้ทิ้งไว้เสร็จชิ่งตรูดหนี ปัญหงปัญหาอะไรไม่รับรู้ กูไม่รู้ กูไม่สน กูจะเอาแต่ชอบ ผิดกูไม่รับ เคยเห็นพรรคนี้ออกมาเสนอความคิดอะไรดี ๆ แบบ ปชป. เขาบ้างแล้วหรือยัง ?
มีทหารน้อย หรือ ไอ้เณร ของเรานี่แหละ เสนอให้เปลี่ยนที่นอนพลทหารทั่วประเทศที่หมดอายุการใช้งาน เป็นที่นอนยางพาราแทน เป็นการช่วยอุตสาหกรรมแปรรูปให้มีตลาดรองรับขนาดใหญ่ในประเทศ นับเป็นแนวคิดที่น่ายกย่อง จากผู้ใช้งานจริง อาจขยายเข้าสู่อุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่อไปในอนาคต ช่วยทำให้อุตสาหกรรมแปรรูปยางพารากลายเป็นอุตสาหกรรมที่น่าลงทุน
จนบัดนี้ผมยังติดใจ เรื่องที่ เทพเจ้าของเสื้อแดงไปแหย่รังแตน ในภาคใต้ เริ่มมีคนตาย ทั้งประชาชน เจ้าหน้าที่ ตั้งแต่เทพเจ้าของมันเป็นนายกฯ จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่สงบ และยังไม่รู้ว่าจะตายอีกเท่าไหร่ เสียงบประมาณอีกกี่ล้าน ยังไม่เคยได้ยินคำขอโทษจากเทพเจ้าเลยสักประโยคเดียว
จะว่าตอนนี้ทาง ปชป. เค้าก็พยายามออกมาเรียกร้องและช่วยเหลือฐานเสียงของพวกเค้าดีพอควรเลยละ แม้ว่าสถานการณ์จะไม่เอื้ออำนวยให้เคลื่อนไหวเท่าไหร่ก็ตาม ลองไปดูความเคลื่อนไหวของทาง ปชป. กันหน่อยละกัน สัมภาษณ์ นาย นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถึงมุมมองในการแก้ปัญหาราคายางที่ตกต่ำ และแนวทางการเร่งพยุงราคายางอย่างเป็นระบบ ********************************************* ถาวรนี่ทุ่มสุดตัวเลย ให้เอาบ้านตัวเองเป็นที่ประชุมด้วย แถมออกมาเรียกร้องเองด้วย พึ่งพาได้พอสมควรนะคนนี้ เกษตรกรชาวสวนยางพารารายย่อย จ.นครศรีธรรมราช จัดประชุมหารือปัญหาราคายางพาราตกต่ำ หลังเข้าขออนุญาตจากผู้ว่าฯ ซึ่ง นางจินตนา ชัยยวรรณาการ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเดินทางมาร่วมในการประชุมด้วย ขณะเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยาง จ.ตรัง ยื่น 4 ข้อเสนอถึงรัฐบาล เพื่อให้ช่วยแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ด้าน นายถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำ กปปส. ติง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. หลังเตือนหากล้ำเส้นกฎหมายก็ไม่เกรงใจ จากกรณีเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือชาวสวนยางพาราภาคใต้ แจงตนเป็นนักการเมือง จึงต้องทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน ชี้มีวุฒิภาวะดีพอ ว่าอะไรควร หรือไม่ควร ไม่ต้องมาปราม มาเตือน หรืออ้างว่ารู้จักกัน อย่าพูดเพื่อเอาใจนายกฯ ขณะที่ นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐ มนตรี กล่าวแนะชาวสวนยางหลังราคาตกต่ำหนักว่าเกษตรกรจะต้องปรับตัว แนะให้ปลูกพืชชนิดอื่นๆ เช่น ผักหวาน ปลูกมังคุด ปลูกสะตอ ปลูกลูกเนียง ฯลฯ ชี้จะให้รัฐบาลใช้ ม.44 มาแก้ปัญหาราคายางพาราคงเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนนี้มีหลายประเทศรอบไทยที่ปลูกยางพาราจำนวนมาก ******************************************** ลุงกำนันก็ออกมาช่วยเรียกร้องให้เหมือนกัน “สุเทพ”ยอมรับโทรศัพท์หารือ“สมคิด” เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ยืนยันพร้อมยินดีจะช่วยเหลือ วันนี้ (11ม.ค.59) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาราคายางพาราตกต่ำหรือเป็นวิกฤติของประเทศที่ไม่ใช่เฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคใต้ แต่ประชาชนภาคอีสานและภาคเหนืออื่นที่ปลูกยางพารา ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ตนได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพารา ซึ่งตนยินดีจะช่วยเหลือ โดยนายสมคิด มีท่าทีที่ดี พร้อมมีการเตรียมแผนในการแก้ไขปัญหา และส่วนตัวเชื่อว่านายกรัฐมนตรีมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา ซึ่งนายกรัฐมนตรีสามารถ มีอำนาจพิเศษในการแก้ไขปัญหานี้โดยไม่ต้องรอภาคเอกชน นายสุเทพ กล่าวอีกว่า รัฐบาลควรมีแนวทางให้ชัดเจนคือการกำหนดราคายางพารา และมองว่าราคายาพาราที่กิโลกรัมละ 33 บาทเกษตรกรไม่สามารถแบกรับได้ ซึ่งราคาที่ตนเห็นว่าเหมาะสมควรอยู่ที่กิโลกรัมละ 60 บาท โดยรัฐบาลต้องกำหนด ราคาที่จะให้แต่ละกระทรวงรับซื้อยางพาราว่าอยู่ที่กิโลกรัมละเท่าไหร่ รวมถึงการนำไปใช้ ประโยชน์ในประเทศจะทำอย่างไรเช่นทำถนนแทนยางมะตอย ส่วนกรณีที่กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางนัดชุมนุม นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า การชุมนุมสามารถทำได้ แต่ขณะนี้รัฐบาลกำลังเดินหน้าแก้ปัญหาจึงไม่จำเป็นต้องออกมาเดินขบวน เพราะได้ยื่นข้อเรียกร้องไปแล้ว พร้อมเสนอแนวทางให้รัฐบาลตั้งคณะทำงานร่วมที่มีทั้งตัวแทนเกษตรกร รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมหาทางออก และส่วนตัวพร้อมร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาครั้งนี้ นายสุเทพ ปฏิเสธที่จะกล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งภายในพรรค ประชาธิปัตย์ (ปชป.) โดยระบุว่า เป็นเพียงอดีตสมาชิกและได้ลาออกจากพรรคแล้ว จึงไม่เหมาะที่จะวิพากษ์วิจารณ์อะไร และย้ำว่าไม่คิดจะลงสมัครรับเลือกตั้งอีก ************************************************
ผลตอบรับจากรัฐบาลลุงตู่เป็นยังไงบ้างละ - เปิดซื้อยางจากเกษตรกรโดยตรง 100,000 ตัน ในราคาที่ต้องตกลงกันอีกที แต่มากกว่า 35 บาท/กก. แน่นอน - ตั้งคณะกรรมการ กยท. ตามที่ถาวรเรียกร้องอยู่ คณะรัฐมนตรีมีมติรับซื้อยางทุกประเภทจากเกษตรกรโดยตรง จำนวน 1 แสนตัน พร้อมตั้งกรรมการการยางแห่งประเทศไทย 8 คน ************************************************** ถ้าให้คะแนนก็ได้ 8/10 นะ สำหรับความพยายามของ ปชป. ได้ตามข้อเรียกร้องแม้จะไม่ได้ทั้งหมด ชาวสวนยางก็พอใจในระดับหนึ่ง ข่าว 7 สี - ชาวสวนยางในภาคใต้พอใจ หลังมติ ครม.ยืนยันจะรับซื้อยางพารา 1 แสนตันจากเกษตรกร แต่อยากให้ชี้ชัดถึงตัวเลขการประกันราคายาง ให้อยู่ที่ 60 บาทต่อกิโลกรัม ให้เวลารัฐบาล 1 เดือน ความเคลื่อนไหวหลังจากการประชุม ครม. ซึ่งมีการหารือเรื่องการแก้ปัญหาราคายางพารา หลังจากนายกรัฐมนตรีระบุว่า จะรับซื้อยางพาราจากเกษตรกร 1 แสนตัน แต่ยังไม่เปิดเผยตัวเลขราคาที่จะประกันให้ และชนิดยางที่จะรับซื้อ ชาวสวนยางที่มารวมตัวกันที่จังหวัดตรัง ต่างก็ใจจดใจจ่อติดตามผลการประชุม ครม. ในการแก้ปัญหาราคายาง ซึ่งเมื่อทราบผลก็พึงพอใจในระดับหนึ่ง ที่รัฐบาลจะซื้อยางพารา 1 แสนตัน ส่วนการประกันราคายาง ยังขอให้อยู่ที่กิโลกรัมละ 60 บาท โดยให้เวลารัฐบาลดำเนินการภายใน 1 เดือน อีกทั้งยังเรียกร้องให้เกษตรกรต้องมีส่วนร่วมกับการตัดสินใจแก้ปัญหาของรัฐบาลด้วย ซึ่งจากนี้จะยุติการชุมนุมไม่มีการยกระดับ จนถึงเวลา 1 เดือนที่กำหนด หากรัฐบาลไม่มีความคืบหน้า ก็จะมาเคลื่อนไหวกันอีก แกนนำชาวสวนยางจังหวัดสงขลาระบุว่า ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่รัฐบาลมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหา แต่ก็ต้องการให้มีการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และอยากทราบว่ายางที่รัฐบาลจะประกันราคายาง เป็นยางประเภทไหน โดยให้เวลาดำเนินการ 15 วัน อย่างไรก็ตาม ที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา มีชาวสวนยางกว่า 200 คน มารวมตัวกัน พร้อมกับยื่นหนังสือแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ถึงนายกรัฐมนตรี และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขณะที่มีสื่อต่างชาติให้ความสนใจติดตามทำข่าวความเคลื่อนไหวของชาวสวนยางครั้งนี้ด้วย ชาวสวนยางในจังหวัดกระบี่ ไปยื่นหนังสือใก้กับตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ถึงนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน มีข้อเรียกร้อง 4 ข้อ หลักๆคือ ให้ประกันราคายางกิโลกรัมละ 60 บาท ภายในเวลา 15 วัน ขณะที่ชาวสวนยางจังหวัดสุราษฏร์ธานี และจังหวัดนครศรีธรรมราช รวมทั้งชาวสวนยางในจังหวัดเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะให้โอกาสรัฐบาลและติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหา ซึ่งแกนนำชาวสวนยางจะหารือกันอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงนี้จะไม่มีการชุมนุมแต่อย่างใด
แต่ ธกส. ยังทำงานได้ไม่ทันใจเท่าไหร่นะ แล้ว กยท. มันสำคัญยังไง ลองไปฟังกันดู ธกส.รายงานความคืบหน้าการจ่ายเงินให้เจ้าของชาวสวนยาง และลูกจ้างกรีดยาง ไร่ละ 1,500 บาท หลังนายกรัฐมนตรี จ่ายเงินวันแรกเมื่อ 28 ธันวาคมที่ผ่านมา ล่าสุดจ่ายไปแล้วไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส.รายงานยอดการจ่ายเงินให้กับเกษตรกร ถึงวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมาว่า ขณะนี้โอนเงินให้เกษตรกรไปเพียง 3,697 ราย พื้นที่รวม 34,822 ไร่ จากปีที่แล้ว ที่กระทรวงเกษตรฯ เสนอมา 850,000 ราย ซึ่ง ธกส.จ่ายให้เฉพาะรายที่ผ่านการตรวจสอบจากการยางแห่งประเทศไทย หรือ กยท. เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการในระหว่างประชุมร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้คณะกรรมการบริหารดูแลโครงการจ่ายเงินให้ชาวสวนยางที่มี นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ รองปลัดกระทรวง เป็นประธาน ลดขั้นตอน และ ระยะเวลาการจ่ายเงินหลังตรวจสอบสิทธิ์จากเดิม 15 วัน เหลือเพียง 7 วัน ซึ่ง กยท.ระบุว่าในช่วงนี้จะเน้นจ่ายเฉพาะเจ้าของสวนที่เป็นผู้กรีดยางเองก่อน เพราะการตรวจสอบสิทธิ์ทำได้ง่ายกว่าสวนที่มีลูกจ้างเป็นผู้กรีด ส่วนสาเหตุการจ่ายเงินล่าช้าช่วงที่ผ่านมา เป็นเพราะมีคณะกรรมการตรวจสอบหลายคณะ ทั้งระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด แต่ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีการประชุมเพราะติดช่วงเทศกาลปีใหม่ ***************************************
ส่วนวิธีการแก้ปัญหาจริงๆ มีทั้งระดับประชาชนและระดับรัฐบาล ระดับประชาชน ก็ต้องมีการหารายได้ทางอื่นด้วยไม่ว่าจะเป็นปลูกพืชอื่นแซมยางพารา หรือรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์แปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง ************************************************ ระดับรัฐบาล ก็ต้องวิจัยและส่งเสริมการนำยางพารามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยเน้นการแปรรูปเพิ่มมูลค่าในประเทศ แทนการส่งออกเป็นวัตถุดิบ
ตอนนี้สำรวจลานกีฬาทั่วประเทศ ที่เป็นสนามปูน ทั้งที่อยู่ในหมู่บ้าน และสถานศึกษา เพื่อให้งบซ่อมแซม โดยการปูพื้นยางพารา เป็นการช่วยอีกทางหนึ่ง
ว่าแต่พวกอดีต สส. เพื่อไทย จะไม่ยอมช่วยพี่น้องสวนยางชาวอีสานเหรอครับ ตอนนี้ยางพาราที่อีสานปลูกกันเยอะมากนะครับ หรือพวกควายแดงสะใจที่ชาวสวนยางภาคอีสานขายยางราคาถูก
นักข่าวพยายามเสี้ยม เจอลุงตู่ว๊ากเข้าให้ จบข่าวเลย "ประยุทธ์" รับปากหาทางช่วยชาวสวนยางอีสาน รัฐบาลมีมาตรการซื้อยางจากชาวสวนยางในภาคใต้ เพื่อช่วยเหลือหลังจากราคายางลดลง ในขณะที่ชาวสวนยางในภาคอีสานเริ่มมีเสียงเรียกร้องออกมาให้รัฐบาลช่วยเหลือชาวสวนยางในภาคอีสานด้วย วันนี้ หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปเป็นประธานพิธีวันสถาปนา กองทัพภาคที่ 1 ประจำปี 2559 ในโอกาสครบรอบ 106 ปี ที่กองทัพภาคที่ 1 ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการแก้ปัญหาราคายาง ว่า ระยะแรกจะเริ่มต้นให้การช่วยเหลือในพื้นที่ภาคใต้ก่อน เพราะเป็นปลูกยางเป็นหลัก ส่วนภาคอีสานและภาคกลาง ปลูกยางเป็นรายได้เสริม อีกทั้ง รัฐบาลไม่มีงบเพียงพอที่จะช่วยเหลือคราวเดียวได้ทั้งประเทศ เพราะใช้งบมาก สำหรับการรับซื้อยาง 1 แสนตัน ของ 8 กระทรวง จะให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นผู้รับซื้อแทนหน่วยงานต่างๆ เพราะแต่ละกระทรวงคงไม่มีความสามารถในการแปรรูปยาง แลเมื่อรับซื้อยางมาแล้วจะนำยางไปให้ผู้ประกอบการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ แล้วให้หน่วยงานรัฐไปซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เมื่อผู้ประกอบการมีรายได้ก็ให้นำกำไรบางส่วนมาคืนรัฐบาล รัฐบาล ยืนยันว่าไม่ได้มุ่งเน้นช่วยเอกชน เพราะเป้าหมายสุดท้ายกลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ ชาวสวนยาง เพียงแต่เอกชนเข้ามาร่วมแก้ปัญหา ส่วนกระแสวิจารณ์การทำงานของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกี่ยวกับความล่าช้าในการแก้ปัญหาราคายาง นายกรัฐมนตรี ระบุว่า พล.อ.ฉัตรชัย ก็ทำตามหน้าที่ในส่วนที่รับผิดชอบ และวางแนวทางสนับสนุนการเปลี่ยนอาชีพของเกษตรกร ซึ่งที่ผ่านมามีเกษตรกรให้ความร่วมมือน้อยมาก ซึ่งถ้าไม่ร่วมมือกันปรับโครงสร้างภาคเกษตรแบบนี้จะนำงบประมาณจากที่ไหนมาช่วยเหลือได้ ******************************************* มีคำยืนยันจากทางกองทัพบกแน่นอนแล้ว เรื่องการเอายางพาราไปทำฟูกหรือหมอน สำนักข่าวไทย 13 ม.ค.-ผบ.ทบ.ยืนยันกองทัพบกจะช่วยเหลือชาวสวนยางพาราอย่างเต็มที่ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการช่วยเหลือชาวสวนยางพาราว่า ก่อนหน้านี้ได้นำยางพาราไปสร้างถนนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 37 เส้นทางแล้ว ขณะนี้กำลังพิจารณาในด้านอื่นๆ เช่น การนำยางพาราไปผลิตเป็นเครื่องนอน เช่น หมอน ฟูกนอน ให้กับทหารทั่วประเทศ ยืนยันกองทัพบกจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี.-สำนักข่าวไทย
สงสารแต่มติชินกับข่าวปดแหละครับ อุตส่าห์เตรียมเสนอข่าวชาวบ้านบิดถนน เผายางรถยนตร์ประท้วงรัฐบาลเรื่องราคายางตกต่ำเสียหน่อย ไม่เป็นไร...... เดี๋ยวคงไปเสี้ยมเรื่องอื่นอีก
ถ้าทหารรับไปจัดการก็น่าจะเห็นผลเร็วครับ ทหารช่างทำถนนแนวชายแดนเป็นหลักอยู่แล้ว ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์มาใช้ยางพาราผสมก็เดินงานต่อได้เลย อุตสาหกรรมทหารก็ช่วยเอามาแปรรูป ใช้กะกิจการทหารและโรงบาลทหารทั่วประเทศ ช่วยกันคิดช่วยกันทำ ปัญหาทุกอย่างแก้ได้ ถ้าร่วมมือและจริงใจ
บัญชา คามิน หนึ่งในลิ่วล้อไอ้แป๊ะ เขียนการ์ตูนได้ระยำมากในวันนี้ และถ้าสังเกตให้ดี มันไม่ได้เขียนล้อฝั่งเผาไทยมาเป็นเดือนแล้ว http://www.manager.co.th/Pjkkuan/ViewNews.aspx?NewsID=9590000004833&Html=1&#Opinion
ตอนนี้ผู้ปลูกยางพาราที่ภาคอีสานก็ต้องปรับตัวเองเหมือนกัน ************************************************* ผู้ปลูกยางพาราที่ภาคตะวันออกก็ปรับตัวกันแล้ว น่าห่วงก็แต่ผู้ปลูกภาคใต้นี่ละ เพราะปลูกยางพารามาก่อนภาคอื่น วิถีการทำการเกษตรแบบดั้งเดิมก็ถูกปรับเปลี่ยนไปหมดแล้ว คงต้องถึงเวลาปรับตัวใหญ่ๆ กันอีกซักที
วิธีการรับซื้อยางจากประชาชน กรุงเทพฯ 15 ม.ค.-ผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าวไทย ถึงวิธีการรับซื้อยางพารา 100,000 ตัน ซึ่งจะเริ่มรับซื้อในวันที่ 25 มกราคมนี้ โดยซื้อผ่านการรวมกลุ่มของเกษตรกร และกำหนดโควตาไม่เกินรายละ 150 กิโลกรัม เจ้าหน้าที่การยางแห่งประเทศไทย ที่สำนักงานใหญ่ กทม. ต้องรับโทรศัพท์ตลอดทั้งวัน เพื่อตอบข้อซักถามของเกษตรกรที่ต้องการทราบข้อมูลการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ หลังรัฐบาลมีมติรับซื้อยางพารากิโลกรัมละ 45 บาท จำนวน 100,000 ตัน ในปลายเดือนนี้ ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย บอกว่ายางพาราที่จะรับซื้อตามมาตรการช่วยเหลือชาวสวนยางเร่งด่วนถือว่าน้อยมากหากเปรียบเทียบกับปริมาณยางที่มีอยู่ทั้งหมด ทำให้มีข้อกังวลว่าจะรับซื้อยางพาราได้ไม่ทั่วถึง และอาจจะมีเพียงคนบางกลุ่มที่ได้ประโยชน์ จึงได้มีการกำหนดวิธีการรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับการยางแห่งประเทศไทยกว่า 1 ล้านราย โดยทางการจะสามารถรับซื้อได้ในสัดส่วนรายละ15 ไร่ หรือไม่เกิน 150 กิโลกรัม คิดเป็นไร่ละไม่เกิน 10 กิโลกรัม หรือมูลค่าไม่เกิน 6,700 กว่าบาทต่อราย เพื่อให้ช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง โดยมีองค์การคลังสินค้า คสช. และการยางฯ เป็นผู้ดำเนินการรับซื้อ ซึ่งจะเริ่มในพื้นที่ภาคใต้ก่อน ใช้งบกว่า 4,000 ล้านบาท โดยจะใช้เงินจาก ธ.ก.ส. และธนาคารออมสิน หรือใช้เงินจากกองทุนของการยางฯ รับซื้อ ผู้บริหารการยางฯ ระบุว่า การรับซื้อยางแสนตันซึ่งจะเริ่มในวันที่ 25 มกราคม จะช่วยเหลือเกษตรกรภาคใต้ก่อน เนื่องจากยางพาราที่ปลูกในภาคอีสานนั้นเตรียมปิดการกรีดยางในช่วงปลายเดือนนี้ เพื่อให้ยางได้ผลัดใบ ผลผลิตออกน้อยกว่า ขณะที่ในภาคใต้ยังคงกรีดยางกันอยู่จนถึงเดือนมีนาคม จากนโยบายรับซื้อครั้งนี้คาดว่าจะไม่มีปัญหายางค้างสตอก เพราะมีความชัดเจนจาก 8 กระทรวงที่เตรียมจะนำยางพาราที่รับซื้อไปใช้ได้ทันที ส่วนระยะยาวมีการตั้งเป้าควบคุมพื้นที่การทำสวนยาง จากเดิมจะลดพื้นที่ปลูกยางปีละ 150,000 ไร่ เป็น 400,000 ไร่ต่อปี และจะทำต่อเนื่องไปจนถึงปี 64 คาดว่าจะลดพื้นที่ปลูกยางได้กว่า 700,000 ไร่ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 4-5 ล้านไร่ และปลูกทดแทนยางคุณภาพดีขึ้นมา รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปยาง การยางแห่งประเทศไทยเป็นองค์กรที่เพิ่งจัดตั้งเมื่อกลางปีที่แล้ว ทำหน้าที่ดูแลและบริหารจัดการยางพาราทั่วประเทศทั้งระบบ มีลักษณะงานและความรับผิดชอบที่มาก แต่การจัดการในองค์กร รวมทั้งผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ยังมีไม่ครบตามโครงสร้าง ล่าสุดเพิ่งมีการตั้งประธานและคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย เมื่อต้นเดือนนี้ ขณะที่ตำแหน่งผู้ว่าการการยางฯ อยู่ในขั้นตอนการสรรหา.-สำนักข่าวไทย
ไปใส่ความว่าประยุทธบอกว่าให้โค่นยางที่กระทู้นู้น พอคนอื่นถามกลับก็หนีไม่ตอบ มาโผล่กระทู้นี้อีก ถ้าจะให้ดี กลับไปตอบหน่อยว่าประยุทธบอกเมื่อไหร่ว่าให้โค่นยาง https://xn--12c4db3b2bb9h.net/threads/ชวน-แนะ-คนใต้-ปลูกสะตอ-ลูกเนียง-แก้ปัญหาราคายางตกต่ำ.3707/
สำนักข่าวไทย 22 ม.ค.-มาดูหลักเกณฑ์และขั้นตอนปฏิบัติในการรับซื้อยางพาราจากเกษตรกร หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณในการซื้อยางโดยตรงจากเกษตรกร หลักเกณฑ์โครงการรับซื้อยางพารา 1. เกษตรกรต้องขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย หรือ กยท. ตาม พ.ร.บ.การยาง 2558 2. เกษตรกรสวนยางต้องมีบัญชีกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. 3. ได้สิทธิไม่เกินรายละ 15 ไร่ โดยจำนวนเศษปัดเป็น 1 ไร่ ไร่ละ 10 กิโลกรัม รวม 150 กิโลกรัม 4. จุดรวบรวม 765 จุด ทั่วประเทศ (ล่าสุดเพิ่มเป็น 834 จุด) โดยเน้นจุดที่เป็นวิถีของตลาดปกติเป็นหลัก 5. แต่ละจุด คณะกรรมการประจำจุด ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่การยางแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตร คสช. เจ้าหน้าที่มหาดไทยในพื้นที่ ส่วนเจ้าหน้าที่ปปช. และ สตง.ในพื้นที่เป็นผู้สังเกตการณ์ สำหรับขั้นตอนการปฏิบัติในการรับซื้อยางพารา 1. เกษตรกรนำน้ำยาง ยางก้อนถ้วย ยางแผ่นดิบ มาที่จุดรวมยาง 2. แสดงบัตรขึ้นทะเบียน กยท. และบัตรประชาชน เพื่อลงทะเบียน 3. ส่งมอบยางให้เจ้าหน้าที่เพื่อตรวจคุณภาพและชั่งน้ำหนัก 4. เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลในระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งปริมาณ ประเภทยาง และจำนวนเงิน จากนั้นเจ้าหน้าที่จะออกเอกสารเป็นหลักฐานให้เกษตรกร 1 ฉบับ 5. เจ้าหน้าที่ส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ในการรับซื้อแต่ละวันให้แก่ ธ.ก.ส. 6. ธ.ก.ส.จ่ายเงินเข้าบัญชีเกษตรกรภายใน 2 วัน 7. จากจุดรวมยางไปยังผู้ประกอบการบันทึกข้อมูลลงระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ทั้งปริมาณยาง ประเภทของยาง และสถานที่รับปลายทาง 8. ข้อมูลการปฏิบัติจะจัดทำ Application ให้ทุกคนดาวน์โหลดได้ตลอดเวลา เพื่อร่วมกันติดตามโครงการและสร้างความโปร่งใส ส่วนมาตรการ “สร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง” โครงการชดเชยรายได้แก่ชาวสวนยางและคนกรีดยาง ไร่ละ 1,500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 15 ไร่นั้น มีจำนวนเกษตรกรในฐานข้อมูลของการยางแห่งประเทศไทยแล้ว 798,919 ครัวเรือน แบ่งเป็นชาวสวนและกรีดเอง 253,026 คน คนกรีด 7,049 คน ชาวสวนจ้างต่างด้าว 30,453 คน จากนี้เจ้าหน้าที่จะรับรองสิทธิ เริ่มดำเนินการระหว่างวันที่ 20-21 มกราคม หรือเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา โดยมีเกษตรกรได้รับการรับรองสิทธิแล้ว 103,799 คน และ กยท.จะประมวลข้อมูลส่ง ธ.ก.ส.ภายในวันนี้ และจะโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรในวันที่ 22-24 ม.ค. โดยภายในวันที่ 25 มกราคมนี้ เกษตรกรชาวสวนยางจะได้รับเงินแน่นอน สำหรับเกษตรกรที่แจ้งเข้าร่วมโครงการส่วนที่เหลือจะเร่งรัดให้ได้รับเงินช่วยเหลือภายในเดือนมกราคมนี้.-สำนักข่าวไทย สำนักข่าวไทย 22 ม.ค.-ผู้ช่วย รมว.เกษตรฯ ยืนยันจันทร์ที่ 25 ม.ค.นี้ พร้อมเดินหน้ารับซื้อยางจากเกษตรกร เพิ่มจุดรับซื้อจาก 765 จุด เป็น 834 จุด ราคารับซื้อสูงสุด 45 บาท/กก.เป็นราคายางแผ่นดิบ ราคาลดหลั่นกันลงไปตามปริมาณเนื้อยาง นางจินตนา ชัยยวรรณาการ ผู้ช่วย รมว.เกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์สดทางโทรศัพท์กับสำนักข่าวไทย กรณีที่ประชุม ครม.อนุมัติในหลักการซื้อยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยางโดยตรง ซึ่งจะมีการรับซื้อยางในวันจันทร์ที่ 25 ม.ค.นี้ ระบุกระบวนการปฏิบัติต้องดูกฎหมายก่อน เมื่อกฤษฎีกาชี้ชัดว่าทำได้ตาม พ.ร.บ.การยางฯ กยท.และ ก.เกษตรฯ จึงไปดูว่าจะหาเงินดำเนินการจากที่ไหน ซึ่งมติของบอร์ด กยท.มองว่าการรับซื้อครั้งนี้เหมือนธุรกิจ ให้ใช้เงินตามมาตรการ 49 (1) ซึ่งเป็นเงินสำหรับใช้ในการบริหารกิจการของ กยท. โดยให้ใช้เงินประเดิมที่ กยท.มีอยู่แล้ว 500 ล้านบาทไปก่อน แล้วค่อยทำเรื่องเข้า ครม.ของบสนับสนุน ทั้งนี้ กฤษฎีกาและ กยท.มองตรงกันว่าการซื้อแบบนี้มีแนวโน้มขาดทุน ส่วนที่ขาดทุน ต้องขอให้สำนักงบฯ ชดเชย การซื้อยางจึงเดินหน้าวันที่ 25 ม.ค.นี้ได้เลย โดยระบบไม่มีปัญหา ในจุดรับซื้อ 765 จุด เพิ่มเป็น 834 จุด ให้เจ้าหน้าที่การยางฯ พื้นที่เป็นเจ้าภาพ หากไม่พอให้เจ้าหน้าที่เกษตรฯ ส่งคนไปช่วย ขณะที่ คสช.ทำหน้าที่อำนวยความสะดวก ส่วน ป.ป.ช.และ สตง.ร่วมสังเกตการณ์เพื่อความโปร่งใส สำหรับราคารับซื้อ 45 บาท/กก. เป็นราคายางแผ่นดิบ หรือยาง 100% ราคาจะลดหลั่นลงไปบนฐานของเนื้อยาง เช่น น้ำยางจะมีเนื้อยางประมาณ 28-35% โดยต้องวัดค่าความเข้มข้นของเนื้อยาง ส่วนการป้องกันการนำยางสตอกเก่ามาจำหน่ายในรัฐบาล ให้มีการตรวจสตอกทั้งผู้ประกอบการ เกษตรกร จุดรับซื้อ ไม่ให้นำของเก่ามาร่วมโครงการ อาศัยหลายหน่วยช่วยตรวจ ทั้งนี้ โควตาขายยางเป็นเฉพาะของแต่ละคน เกษตรกรก็คงไม่อยากเสียโควตาของตัวเองไป ส่วนความต้องการใช้ยางของภาครัฐที่ไม่ถึง 100,000 ตัน ก็พยายามให้แต่ละหน่วยใช้ให้มากที่สุด ส่วนตัวคิดว่า บางส่วนอาจต้องนำไปมอบให้บริษัทจีนตามที่มีสัญญาส่งมอบกันอยู่ เพื่อไม่ให้ยางเก่า แล้วค่อยซื้อเข้ามาใหม่.-สำนักข่าวไทย
กยท.ยืนยันมีความพร้อมรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรโดยตรงทั่วประเทศ 1 แสนตันวันพรุ่งนี้ วันนี้ (24ม.ค.59) นายเชาว์ ทรงอาวุธ รักษาการผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ระบุว่า มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรโดยตรง 100,000 ตัน ในวันพรุ่งนี้(25 ม.ค.) โดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ตรวจสอบบัตรประชาชนว่าเป็นเกษตรกรตัวจริงหรือไม่ มีสวนยางกี่ไร่ ซึ่งข้อมูลจะเชื่อมกับทะเบียนกยท. โดยมีเกษตรกรชาวสวนยางตามทะเบียนของกยท. 1,200,000 ราย ใช้งบประมาณทั้งหมด 5,479 ล้านบาท ตั้งจุดรับซื้อทั่วประเทศ 834 จุด ในราคารับซื้อยางแผ่นดิบ กิโลกรัมละ 45 บาท ยางก้อนถ้วยกิโลกรัมละ 41 บาท และน้ำยางสดราคากิโลกรัมละ 42 บาท โดยมีทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้ามาร่วมตรวจสอบการซื้อยางตามจุดต่างๆ ทั้งนี้ หากการรับซื้อพบความผิดปกติ มีการหมุนเวียนนำยางเก่ามาขาย สามารถประกาศใช้ พระราชบัญญัติควบคุมยาง ปี 2542 ห้ามเคลื่อนย้ายยางจากสต็อกจนกว่าจะตรวจสอบทั้งหมด และตัดสิทธิเกษตรกร ห้ามเข้าโครงการของรัฐอีกต่อไป พร้อมเปิดแอพพลิเคชั่นยาง ให้ประชาชน ดาวน์โหลดติดตามได้ตลอดเวลา และยังให้เกษตรกรสวนยางสามารถลงทะเบียนที่จุดรับซื้อได้ด้วย โดยนำบัตรประจำตัวประชาชน และเอกสารสิทธิมาแสดง ส่วนวงเงินรับซื้อตามมาตรา 9 ของพ.ร.บ.การยางฯกยท.จะมีวงเงินประเดิม 500 ล้านบาททันที ส่วนเงินตามมาตรา 49 หรือการนำเงินที่ได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษจากการส่งออกยาง (เซส) มาพัฒนาเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรได้ร้อยละ 10 นั้น ถือเป็นหน้าที่ของบอร์ด ซึ่งกยท.ที่จะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 26 ม.ค.นี้ เพื่อพิจารณาวงเงินที่เหลือทั้งหมด ข่าว 7 สี - ทีมข่าวช่อง 7 สี ยังคงเกาะติดการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดจุดรับซื้อยางในวันพรุ่งนี้ ไปติดตามรายงานจากคุณณัฐชนน อาภาศรีรัตน์ จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี
วันแรกของการเปิดรับซื้อยางพาราตามนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้ครัวเรือนละไม่เกิน 150 กิโลกรัม พบว่าหลายจังหวัดประสบปัญหาการรับซื้อ บางรายนำยางพาราไปขายผิดจุด ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เกษตรกรที่นำยางพารามาขายยังจุดรับซื้อที่ตลาดกลางต้องผิดหวัง เนื่องจากจุดนี้ไม่ได้เป็นจุดรับซื้อของรัฐบาล และ วันนี้ เจ้าหน้าที่ตลาดกลางยางพารา จะร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง อำเภอทุ่งสง เพื่อหาข้อตกลงในการตั้งจุดรับซื้อยางพาราเพิ่มเติม ขณะที่จังหวัดพัทลุง เปิดจุดรับซื้อยางพารา 11 จุด รับซื้อยางพาราตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน แต่เกษตรกรที่นำยางพารามาขาย จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไข ส่วนผลิตภัณฑ์ยางที่รับซื้อมี 3 ชนิด คือ ยางแผ่นดิบคุณภาพ 3 ความชื้นไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ รับซื้อในราคากิโลกรัมละ 45 บาท น้ำยางสด ไม่ต่ำกว่า 28 เปอร์เซ็นต์ สะอาดไม่มีสิ่งเจือปน รับซื้อในราคา กิโลกรัมละ 42 บาท ยางก้นถ้วยเป็นยางแห้ง มีปริมาณเนื้อยางไม่ตำกว่า 55 เปอร์เซ็นต์ รับซื้อในราคากิโลกรัมละ 41 บาท ส่วนที่สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัดพังงา เปิดรับซื้อยางพาราตามโครงการของรัฐบาล14 จุด ใน 6 อำเภอ ตลอดช่วงเช้า มีชาวสวนยางนำยางพารามาขายอย่างต่อเนื่อง ทุกคนบอกพอใจในราคา แต่ให้จำนวนน้อยไปต่อครัวเรือน สำหรับจุดรับซื้อยางจากเกษตรกรทั่วประเทศครั้งนี้ มีทั้งหมด 834 จุด แบ่งเป็นภาคใต้ 412 จุด ภาคอีสาน 230 จุด ภาคเหนือ 150 จุด ภาคตะวันออก 32 จุด และ จุดรับซื้อของ กยท.อีก 10 จุด โดยองค์การคลังสินค้า และ กยท.จะเปิดรับซื้อยางทุกประเภทตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน คาดเกษตรกรจะได้รับประโยชน์จำนวน 1 ล้านราย สำหรับเกษตกรเข้าร่วมโครงการนี้ ต้องมาลงทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย ที่สำคัญต้องมีเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน และหลังจากรับซื้อแล้วเสร็จ จะโอนเงินผ่านบัญชี ธกส.ภายใน 2 วัน โดยจะรับซื้อรายละไม่เกิน 15 ไร่ ไร่ละ 10 กิโลกรัม รวม 150 กิโลกรัมต่อราย ข่าว 7 สี - เราไปติดตามการรายงานสด บรรยากาศการรับซื้อยางวันแรก ที่ จ.สุราษฎร์ธานี ปริมาณยางที่ชาวสวนยางในพื้นที่อำเภอเคียนซา นำมาขายให้กับสหกรณ์กองทุนสวนยางพ่วงพรมศร จำกัด และ เตรียมนำไปแปรรูปรอส่งมอบให้กับ กยท.ต่อไปครับ ตลอดทั้งวัน มีชาวสวนยางในพื้นที่นำยางแผ่นดิบคุณภาพ 3 มาขายที่จุดรับซื้อ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางอำเภอบ้านนาสารและสหกรณ์กองทุนสวนยางที่เจ้าร่วมเปิดจุดรับซื้อ เบื้องต้นมีปริมาณยางดิบคุณภาพ 3 จำนวน 11,723 กิโลกรัม ซึ่งหลังจากปิดตลาดเมื่อสักครู่ เจ้าหน้าที่ สกย.ได้ขนยางไปส่งให้กับบริษัทเอกชนที่รับจ้างแปรรูปเป็นยางแผ่นดิบรมควัน ตามที่ได้ทำสัญญาไว้ ขณะเดียวกันตามสหกรณ์กองทุนสวนยางที่มีความพร้อม ก็จะนำยางแผ่นดิบที่รับซื้อไปแปรรูปทันที หัวหน้าสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางอำเภอบ้านนาสาร บอกกับทีมข่าวว่า ในวันนี้ชาวสวนยางส่วนใหญ่ออกมาสังเกตุการณ์ก่อน และจะกลับไปนำยางมาขายในวันถัดไป อีกทั้งวันนี้ยังมีฝนตกลงมาตั้งแต่ช่วงเที่ยง จึงทำให้ชาวสวนยางไม่กล้านำยางออกมาขาย เพราะจะเสียหายได้ ช่วงบ่ายวันนี้ กลุ่มชาวสวนยางในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินอีกกลุ่ม ได้เดินทางมายื่นหนังสือกับผู้ตรวจราชการกระทรวงทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อขอให้ช่วยและได้รับาิทธิ์ขายยางตามราคาที่รัฐบาลประกาศและสำหรับชาวสวนยางท่านใด ที่มีความพร้อม ก็ขอให้รีบนำยางที่มีอยู่ในสต๊อกมาขายตามจำนวนที่ได้โควต้าไว้ เพื่อรักษาสิทธิ์ของตนเอง และในส่วนของชาวสวนยาง ที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรชาวสวยยาง ให้รีบมาขึ้นทะเบียนให้แล้วเสร็จ ซึ่งมีระยะเวลาการ ขึ้นทะเบียน จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ตัดเข้าหน้า และนี่ก็เป็นบรรยากาศการรับซื้อยางในวันแรก ทั้งวันที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
วันนี้เป็นครั้งแรกที่กระทรวงพาณิชย์จัดงานจับคู่ธุรกิจซื้อขายยางพาราอย่างยิ่งใหญ่ มีผู้นำเข้าต่างชาติให้ความสนใจมากถึง 150 ราย จาก 28 ประเทศ เช่น ผู้นำเข้าจากญี่ปุ่น สหภาพยุโรป สหรัฐฯ รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย และ อาเซียน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในระหว่างเปิดงานที่โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว ว่าสินค้ายางพาราต่างประเทศให้ความสนใจ ได้แก่ยางล้อ หมอน ที่นอน ถุงมือ ไม้ยาง และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ทำจากยาง โดยมั่นใจว่าการจับคู่ธุรกิจในครั้งนี้จะเกิดมูลค่าการซื้อขายยางธรรมชาติและผลิตภัณฑ์มากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ที่สำคัญจะช่วยยกระดับราคายางในประเทศให้สูงขึ้นหลังสต็อคยางล้นตลาดลดลง รวมถึงเป็นโอกาสดีในการแสวงหาและสร้างพันธมิตรกับคู่ค้ารายใหม่ นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ในการซื้อขายผลิตภัณฑ์ยาง ระหว่างผู้ประกอบการไทย (บริษัทวงศ์บัณฑิต) กับผู้นำเข้าจีน 3 ราย ปริมาณรวม 110,000 ตัน มูลค่า 3,850 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีต่อการส่งออกในอนาคต วันนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เปิดเวทีจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้นำเข้ายางพารา และผลิตภัณฑ์ยางพาราจากต่างประเทศ กับผู้ประกอบการไทย เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณการค้าและราคายางพาราที่ตกต่ำ โดยได้รับความสนใจจากผู้ซื้อผู้นำเข้า กว่า 147 ราย จาก 28 ประทศทั่วโลก ทั้งอาเซียน อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นสหภาพยุโรป สหรัฐฯ รัสเซีย แอฟริกาใต้ รวมถึง ซาอุดิอาระเบียและตุรกี ขณะที่มีผู้ประกอบการไทยมาร่วมงานประมาณ 109 ราย ซึ่งสินค้ายางพาราที่ผู้นำเข้าต่างประเทศสนใจ ได้แก่ ยางล้อ ยางตัน หมอนและที่นอนยาง ยางธรรมชาติ ถุงมือยางและไม้ยาง นอกจากนี้ ยังได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือ เอ็มโอยู ในการซื้อผลิตภัณ์ยางระหว่างผู้จำหน่ายของไทย กับผู้นำเข้าจากจีน 3 ราย เป็นปริมาณรวม 110,000 ตัน มูลค่ากว่า 3,850 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีส่งการส่งออกยางพาราของไทย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่าจะเกิดมูลค่าการซื้อขายผลิตภัณฑ์ยางพาราในงานกว่า 10,000 ล้านบาท และจะมีการเจรจาซื้อขายสินค้าอย่างต่อเนื่อง และจะช่วยยกระดับราคายางพาราในประเทศให้สูงขึ้น และส่งผลให้ลดปริมาณยางที่ล้นตลาดลงได้ กระทรวงพาณิชย์ยังร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และการยางแห่งประเทศไทย นำคณะไปเจรจาซื้อขายกับหลายประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาไปเจรจากับรัสเซีย และเบราลุส ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะรัสเซียสนใจสินค้ายางพาราจากไทย ทั้งไม้ยาง ผลิตภัณฑ์ยาง มากกว่า 80,000 ตัน และยังมีบริษัทของรัสเซียที่สนใจลงทุนในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ในประเทศไทยด้วย ขณะเดียวกันอินเดียได้สนใจซื้อไม้ยางจากไทย มูลค่ากว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว โดยในปีที่ผ่านมา ไทยส่งออกยางพารา เป็นมูลค่า 5,057 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนการส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง มีมูลค่า 6,850 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตลาดหลัก คือ จีนและสหรัฐ รวมถึง ญี่ปุ่น
นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรม ลงนามสัญญากับบริษัทเอกชนในโครงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมยางพารา หรือ Rubber city บนพื้นที่ 755 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดสงขลา รวมมูลค่าเกือบ 1,450 ล้านบาท เพื่อเดินหน้าโครงการใช้ยางพาราตามนโยบายของรัฐบาล คาดว่าจะก่อสร้าง และวางระบบสาธารณูปโภคเสร็จสิ้นทั้งหมดในเดือนมีนาคม 2561 ตั้งเป้าหมายมีโรงงานเข้ามาลงทุน 70 โรงงาน ภายในปี 2564 และมีเงินลงทุนในนิคมมากกว่า 8,000 ล้านบาท โดยผู้ประกอบการที่ลงทุนในพื้นที่นิคมฯ ดังกล่าว จะได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น ได้รับส่วนลดการซื้อที่ดินในแปลงแรก 15% และแปลงต่อไปแปลงละ 5% หรือไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ดิน 3-5 ปี รวมถึงได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้อีก 8 ปี คาดว่า จะสามารถเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราได้ประมาณปีละ 50,000 ตัน โดยขณะนี้มีนักลงทุนสนใจเข้ามาตั้งโรงงานในนิคมฯดังกล่าวแล้ว 17 ราย
โฆษกรัฐบาลเผยงานซื้อขายยางพารา ระบายยางในประเทศได้กว่า 7.85 แสนตัน 2016/03/19 5:11 PM กรุงเทพฯ 19 มี.ค.-“พล.ต.สรรเสริญ” เผยรัฐบาลปลื้มงานซื้อขายยางพาราและผลิตภัณฑ์ทะลุเป้า ระบายยางในประเทศได้กว่า 7.85 แสนตัน เผยนายกฯ เร่งรัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศ รายงานผลการใช้ยางเข้า ครม. เตรียมประเมินผล วางแผนจัดการยางทั้งระบบอย่างยั่งยืน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากปัญหาราคายางพาราตกต่ำก่อนหน้านี้ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาหาแนวทางกระตุ้นราคายางพาราใน ประเทศให้สูงขึ้น โดยโครงการจับคู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ยาง เป็นหนึ่งในหลายแนวทางที่รัฐบาลได้ดำเนินการ เพื่อส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางและยางพาราธรรมชาติ ช่วยกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทยหันมาแปรรูปยางพาราให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น สร้างรายได้ให้กับประเทศ และช่วยเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศอีกทางหนึ่ง “กระทรวงพาณิชย์ได้จัดโครงการนี้ไปแล้ว 2 ครั้ง และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะมียอดสั่งซื้อและมูลค่าการซื้อขายเป็นจำนวนมาก โดยในครั้งแรกจัดขึ้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2558 มีผู้ซื้อจากต่างประเทศจำนวน 58 บริษัท จาก 17 ประเทศ เดินทางมาร่วมเจรจาการค้า มีคำสั่งซื้อสินค้ายางและผลิตภัณฑ์รวมมูลค่า 33,738 ล้านบาท ส่วนครั้งที่สองจัดขึ้นที่ กทม. เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 มีผู้ซื้อจากต่างประเทศรวม 147 ราย จาก 28 ประเทศ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 19,660 ล้านบาท” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว พล.ต.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า การจัดกิจกรรมทั้งสองครั้งช่วยเพิ่มปริมาณการใช้ยางภายในประเทศ 785,450 ตัน ซึ่งมีทั้งยางแท่ง STR20 ยางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) น้ำยางข้น นอกจากนี้ยังมียอดสั่งซื้อไม้ยางพารา จำนวน 22,000 ตู้คอนเทนเนอร์ (ขนาด 40 ฟุต) หมอนและที่นอนยางพารา จำนวน 100,000 ชิ้น และอะไหล่ยานยนต์ ถุงมือยาง ถุงมือแพทย์ ล้อยาง อีกเป็นจำนวนมาก โดยครั้งล่าสุดที่เพิ่งจัดไปนั้น มีผู้ซื้อจากต่างประเทศให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากจีน กลุ่มประเทศอาเซียน อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป สหรัฐฯ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา โดยมีการลงนามบันทึกความเข้าใจจะซื้อขายยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางรวม 8 ฉบับ คิดเป็นมูลค่ารวม 17,500 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการซื้อขายผลิตภัณฑ์ยางและยางพาราธรรมชาติอื่น ๆ อีก 2,160 ล้านบาท มีกำหนดส่งมอบภายใน 1 ปี “นายกฯ ได้เร่งรัดให้กระทรวงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศ ดำเนินการนำยางไปใช้ประโยชน์ให้สำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ เช่น การนำยางพาราไปสร้างถนน ลานกีฬา สนามเด็กเล่น หรือวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน เพราะแม้ขณะนี้สถานการณ์ราคายางโดยรวมจะดีขึ้น แต่รัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยนำผลจากการดำเนินงานของกระทรวงมาประเมิน เพื่อวางแผนบริหารจัดการยางพาราทั้งระบบต่อไป” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว.-สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/427886 เพื่อส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้น และแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เร่งเชิญชวนนักลงทุนไทยและต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในโครงการนิคมอุตสาหกรรมยางพารา คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2561 ติดตามจากรายงานคุณณัฐณิชา ดอนสุวรรณ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รุกส่งเสริมอุตสาหกรรมยางพาราทั่วภาคใต้ พร้อมตั้งเป้าปี 2560 ขยายผลสู่ภาคอีสาน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สมชาย หาญหิรัญ บอกว่า กรมฯได้เดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมยางพาราเพื่อแก้ปัญหาราคายางอย่างยั่งยืน ตั้งเป้าขยายพื้นที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมยางพาราครอบคลุมทุกจังหวัดในภาคใต้ และพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินไปแล้วในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งสามารถช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มโดยรวมให้แก่วิสาหกิจชุมชนได้กว่า 20 ล้านบาท ในวิสาหกิจชุมชนรวมกว่า480 ราย นับเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ โดยลดการพึ่งพาการส่งออกน้ำยางเพียงอย่างเดียว สำหรับปีนี้ ได้ขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกจังหวัดในภาคใต้ โดยตั้งเป้าพัฒนาสถานประกอบการและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอีกกว่า 500 ราย อีกทั้งยังมีแผนจะขยายการดำเนินโครงการไปสู่พื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิตยางพาราเพิ่มเติมในปี 60 โดยเล็งพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นแหล่งที่สามารถผลิตยางต่อปีรวมกว่า 6-7 แสนตัน ซึ่งจะส่งผลต่อตลาดยางพาราในภาพรวมในทิศทางที่ดีขึ้น สถานการณ์ราคายางโลก ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ทำระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี โดยสาเหตุหลักมาจากปัญหาน้ำท่วมทางภาคใต้ของไทย ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายให้กับสวนยางพารากว่า 5.3 แสนไร่ หรือ คิดเป็น 4.6% ของพื้นที่สวนยางพาราทั่วประเทศ ส่งผลให้ชาวสวนยางไม่สามารถออกไปกรีดยางได้ คาดการณ์ว่าปริมาณผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดลดลงราว 2.8 แสนตัน หรือ คิดเป็น 6.3% ของคาดการณ์ผลผลิตยางพาราของไทยในปี 2560 ฝ่ายวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประเมินว่า The Rubber Economist มีแนวโน้มปรับเพิ่มปริมาณการขาดดุลยางพาราปี 59-61 ที่ปัจจุบันคาดว่าจะขาดดุล 1.51 แสนตันในปี 2559 ส่วนในปีนี้ จะขาดดุล 1.90 หมื่นตัน และในปี 61 จะขาดดุล 3.73 แสนตัน จากความต้องการใช้ยางพาราที่แข็งแกร่งทั่วโลก สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้แนวโน้มราคายางแท่งมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้อีกในปีนี้ โดยล่าสุด ราคายางแผ่นรมควัน อ้างอิงตลาดสิงคโปร์ ณ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560 เท่ากับ 2.86 พันเหรียญสหรัฐฯ/ตัน เพิ่มขึ้น 1.3% ส่วนราคายางแท่ง เท่ากับ 2.29 พันเหรียญสหรัฐฯ/ตัน เพิ่มขึ้น 2.4% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ราคายางพาราในประเทศวันนี้ ตลาดกลางประมูลยางแผ่นดิบ หาดใหญ่ ราคา 88.88 บาทต่อกิโลกรัม ลดลง 1.37 บาทต่อกิโลกรัม