17 เม.ย. 58 คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 6/2558 เรื่อง การกําหนดตําแหน่งเพิ่มและการแต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่ง เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาและการบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการมีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปประเทศตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษา ความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ให้ นางสุทธศรี วงษ์สมาน พ้นจากตําแหน่ง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และให้ ดํารงตําแหน่ง เลขาธิการสภาการศึกษา ........... http://www.naewna.com/politic/154170
คงผ่าไปทุกกระทรวงที่ข้าราชการเกียร์ว่าง นี่ยังไม่รวมกับที่ก่อนหน้านี้มีข่าวเรื่อง ข้าราชการระดับกระทรวง อธิบดี ที่พัวพันทุจริต คงจะอยู่ในลิสต์ที่จะจัดการในครั้งนี้ด้วย
มีหลายสิ่งในกระทรวงศึกษาที่เป็นซากเดนเก่าระบอบทักษิณ แต่เรื่องเร่งด่วนกว่าตอนคสช.เข้ามาคือเรื่องควบแน่นอำนาจแล้วค่อยๆสะสางทีละเรื่อง ทำไมทีมรปห.จะไม่รู้ว่ากระทรวงศึกษาคือที่ที่ไทยรักไทย (เพื่อไทย) จะเข้ามายึดเพื่อเปลี่ยนความคิดเยาวชน นี่ก็รปห.มาปีหนึ่งเต็มๆแล้ว ได้เวลาที่จะวางรากลึกสู่อนาคตของชาติเสียที แต่ไม่ใช่เข้ามาแล้วจะไม่ได้แตะอรหันต์พวกนี้เลยนะ ถ้ายังจำกันได้เรื่องแรกๆหลัง 20พ.ค.57 คือยกเลิกแท๊บเล็ตโดยพล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ในฐานะรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำกับดูแลฝ่ายสังคมจิตวิทยา กระทำเมื่อ 16 มิ.ย.57 ในเวลาไม่ถึง 1 เดือนหลังรปห. http://www.posttoday.com/สังคม/301056/อวสานแท็บเล็ตนักเรียนคสช-สั่งยกเลิกซื้อทั้งหมด ส่วนเจ้ากระทรวงที่วันนี้เป็นอดีตไปแล้วคือ ปลัดหญิงสุทธศรี วงษ์สมาน เป็นเพื่อนร่วมรุ่น มช.กับจาตุรนต์ ฉายแสง (นางจบสื่อสารมวลชน หรือนิเทศน์ศาสตร์ในปัจจุบัน) เป็นปลัดยุคยิ่งลักษณ์ ยังสงสัยว่าทำไมเกาะเก้าอี้ปลัดได้นานจริง มีข่าวไม่ยืนยันว่านางเป็นมาดามแท๊บเล็ต การเอาคุณหมอกำจรขึ้นมาเป็นปลัดในครั้งนี้เพราะคุณหมอมีฝีมือเป็นที่ยอมรับในกรอบการคิดสู่นานาชาติเพราะคร่ำหวอดกับงานอุดมศึกษามายาวนาน เหมาะกับการดันการศึกษาสู่เออีซี และยังเป็นคนคอมโพรไมซ์แต่ก็จุดยืนแข็งแกร่ง รวมทั้งอายุราชการยังเหลืออีกปีกว่า บิ๊กตู่จะคุยและผลักดันเรื่องระยะยาวเพื่อเยาวชนและประเทศชาติได้สนิทใจกว่ากับสุทธศรีซึ่งรู้กันอยู่ว่าเป็นคนของใคร อีกอย่างคือเรื่องเงินๆทองๆในองค์การค้าสกสค.(ชื่อเดิมคือคุรุสภา)คงต้องเข้าไปคุมทุกเม็ดซะที มันน่าจะได้เวลาแล้วนะกับจังหวะก้าวต่อไปของคสช.คือเรื่องการศึกษาของชาติ ปล่อยกันมานานแล้วกับการสอดไส้หลักสูตรตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมาตั้งแต่พ.ศ. 2544 คุณพ่ออยู่กระทรวงศึกษาบอกว่าคนในกระทรวงที่ห่วงเด็กๆดีใจกันใหญ่ (บางคนหมดใจไปแล้ว) บอกว่างานศึกษาของชาติเกือบเป็นเชิงพาณิชย์ไปหมดตั้งแต่มีบริษัทแมชบ๊อกที่มีอดีตรมต.ศึกษาฯของไทยรักไทยชื่อ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และสุธรรม แสงประทุม อดีตรมต.ทบวงฯกุมบังเหียนเข้ามาหากินกับงบวิจัยงบละหมื่น(แต่ต้องส่งงานอาร์ต และทำพาวเวอร์พอยท์กับมัน) ซึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้ใหญ่ในกระทรวงได้แต่รอวันล้างบางวันนี้กัน
ฮึ้มมมมม! จู่ๆๆเข้ามาล่มแบบโดมิโน มันก้อต้องเรียงใหม่ ทำไม นายกฯ ลุงตู่ ไม่รู้ อยู่ตั้งแต่ มันยังไม่เป็น นายกฯ ยันมันเป็นตา แล้ว นายกฯ ลุงตู่ เล่นแบบมีระเบียบ ตามโรดแมทจิงๆ กดปุ่มไหนหลบ ปุ่มไหนยิง ด่าน1 ด่าน2 ผ่านแล้วในไม่ถึงปี มากกว่า ผลงาน 2ป9ด. ยิ่งเละ แน่นอน บอกแล้วว่า แข็งกว่าทุก รบ. มีดาบในมือ ไม่ได้ถือปืนฉีกน้ำ เหมือนปี 49
เท่าที่สังเกต บิ๊กตู่ทำงานแบบมีแผนในใจ มีระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ค่อยๆเปิดหน้าไพ่ออกมาเรื่อย ทำนองนั้น
น่าจะเป็นเพราะกลุ่มนี้ยังคงพยายามไม่ปรับเปลี่ยนสิ่งที่เอื้อประโยชน์กลุ่มอำนาจเก่า ไม่ว่าระเบียบ จัดตัวผู้ดำรงตำแหน่ง กองทุน การสนองนโยบายรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่ให้โอกาศครึ่งปีแล้ว เงินที่รัฐบาลผันงบมาให้กลับไปตกแก่ประโยชน์ กับกลุ่มทุนอำนาจเก่า เช่นการยังคงให้สถาบันการศึกษามีสัมพันธ์กับกลุ่มอำนาจเดิมเช่นธรรมกาย ทั้ง ๆ ที่สร้างปัญหาอย่างใหญ่หลวง เมื่อครั้งธุดงค์ธรรมชัย ก็ให้โรงเรียนเกณฑ์เด็กมา ระเบียบที่ไม่เอื้อ ต่อการพัฒนาการศึกษาก็คงไว้ เช่น การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งต้องโหลดภาระงานเอกสารคู่มือจำนวนมาก จนไม่สามารถสอนได้เต็มที่ การทุจริตในวงการศึกษาก็มีให้เห็นมากมาย ทั่วไป เช่นกรณี สจล กรณีแท๊ปเล็ต
ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใคร หรือใครเป็นคนของใคร รู้อย่างเดียวจากการสังเกตุเรื่องการศึกษาในปัจจุบัน จากคนรอบข้างและหลานๆ ผมว่า หลังๆมานี้ ศธ.ยิ่งพัฒนาการศึกษา ยิ่งเข้ารกเข้าพง เด็กเรียนแล้วไม่มีความสุข มุ่งแข่งขันกันเรื่องเกรด การทำข้อสอบ(โรงเรียนสอนพิเศษ มีกันเกลื่อน) ภาระในการให้การศึกษากับเด็ก ผู้ปกครองต้องจ่ายเยอะกว่า สมัยที่ต้องจ่ายค่าเทอมเด็กซะอีก ส่วนด้านอื่นๆที่ควรใส่ให้เด็กๆด้วย เช่นความมีวินัย ความรับผิดชอบต่อสังคม คุณธรรม จริยธรรม ไม่มีโรงเรียนไหนสนใจ คัดไปคัดมาเหลือแต่คนเก่งแต่เรื่องเรียน เห็นแก่ตัว สมควรแล้วที่โล๊ะผู้บริหารชุดนี้ทิ้งไปซะ แต่คนไหม่ ก็ไม่รู้มีนโยบายอย่างไรบ้าง
http://www.isranews.org/เรื่องเด่น-สำนักข่าวอิศรา/item/37988-report_37988.html เบื้องหลัง! ประยุทธ์ ใช้มาตรา 44 ล้างบาง "ก.ศึกษาฯ -คุรุสภา-สกสค." วันเสาร์ ที่ 18 เมษายน 2558 เวลา 12:13 น. ในช่วงหัวค่ำวันที่ 17 เม.ย.58 ที่ผ่านมา นอกเหนือจาก "คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 6/2558 เรื่อง การกำหนดตำแหน่งเพิ่มและการแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่การ โยกย้ายตำแหน่งข้าราชการระดับสูงในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 6 คนรวด (รวมถึงตำแหน่งปลัดกระทรวงด้วย ) โดยระบุเหตุผลชัดเจนว่า เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาและการบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการ มีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปประเทศตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 บ่งชี้ให้เห็นชัดเจนว่า มาตรา 44 ได้ถูกนำมาใช้งานอย่างเต็มที่แล้ว ในประเด็นเรื่องการสั่งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง โดยเริ่มต้นประเดิมที่กระทรวงศึกษาธิการ เป็นแห่งแรก (อ่านประกอบ : เด้งปลัดก.ศึกษา!"บิ๊กตู่"ประเดิมใช้ม.44 โยกย้ายขรก.ระดับสูง 6 คนรวด) ยังมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อีกฉบับหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโครงสร้างอำนาจการบริหารงานขององค์กรในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 3 แห่ง ออกตามมาพร้อมๆ กัน และดูเหมือนคำสั่งฉบับนี้ จะพุ่งเป้าไปที่เรื่องการตรวจสอบปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ของกระทรวงศึกษา โดยเฉพาะ คำสั่งฉบับนี้ คือ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 7/2558 เรื่อง การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการคุรุสภา คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา และคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ระบุว่า เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาและการบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการมีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปประเทศตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้ "ข้อ ๑ ให้บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งต่อไปนี้อยู่ในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับพ้นจากตำแหน่ง (๑) กรรมการคุรุสภาตามมาตรา ๑๒ (๑) (๓) (๔) และ (๕) แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ (๒) กรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาตามมาตรา ๖๔ (๓)และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ (๓) กรรมการในคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ทั้งนี้ มิให้มีการแต่งตั้งบุคคลขึ้นมาแทนที่ผู้ดำรงตำแหน่งข้างต้นจนกว่าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติสิ้นสุดลงตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ข้อ ๒ ให้คณะกรรมการคุรุสภาตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนและหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น เป็นกรรมการ และให้เลขาธิการคุรุสภาเป็นเลขานุการ ข้อ ๓ ให้คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเลขาธิการคุรุสภา และเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นกรรมการ และให้เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นกรรมการและเลขานุการให้คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาด้วย ข้อ ๔ ในกรณีที่เห็นสมควร หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติอาจมีคำสั่งให้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการตามข้อ ๒ และข้อ ๓ ได้ตามความเหมาะสม ข้อ ๕ ให้บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งต่อไปนี้อยู่ในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับหยุดการปฏิบัติหน้าที่ไปก่อนจนกว่าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น (๑) เลขาธิการคุรุสภา (๒) เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (๓) ผู้อำนวยการองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู และบุคลากรทางการศึกษา ข้อ ๖ ในระหว่างที่บุคคลตามข้อ ๕ หยุดการปฏิบัติหน้าที่ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณามอบหมายให้รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ หรือข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการในระดับเดียวกันขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งตามข้อ ๕ ไปพลางก่อน ข้อ ๗ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๕/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตรวจสอบความถูกต้องและโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ การบริหารการเงินทรัพย์สิน และผลประโยชน์อื่นใด ของคุรุสภา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา และองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งตรวจสอบการดำเนินโครงการที่สำคัญภายใต้การดำเนินงานของบุคคลตามข้อ ๑ และข้อ ๕ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แล้วรายงานผลการตรวจสอบให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบโดยเร็ว ข้อ ๘ เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติสิ้นสุดลงตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแล้วให้ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการตามข้อ ๑ ตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา และเมื่อได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ให้คำสั่งนี้เป็นอันยกเลิก ข้อ ๙ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ ๑๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ" หากจะย้อนข้อมูลการทำงานของ คณะกรรมการคุรุสภา คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา และคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ในช่วงที่ผ่านมา จะพบว่าองค์กรทั้ง 3 แห่ง ประสบปัญหาถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่โปร่งใสหลายเรื่อง อาทิ การเรียกรับเงินจากผู้เข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้แทนคุรุสภา , กรณีการจัดซื้อจัดจ้างเช่าเครื่องพิมพ์หนังสือเรียน ที่ล่าช้าและมีราคาสูงกว่าราคากลางมาก รวมถึงกรณีการรับฝากขายหนังสือจากบริษัทเอกชนรายใหญ่แห่งหนึ่ง และล่าสุด กับกรณีสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ซึ่งถูกร้องเรียนว่ามีการอนุมัติเงินกองทุนกว่า 2 พันล้านบาท ไปร่วมลงทุน ทำโครงการโรงงานไฟฟไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กับ บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ของนายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือ เดอะบิ๊ก นักธุรกิจชื่อดัง โดยไม่ถูกต้อง และปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้ หากพิจารณารายละเอียดในคำสั่ง ซึ่งมีการระบุไว้ชัดเจนว่า ให้ เลขาธิการคุรุสภา , เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา , ผู้อำนวยการองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู และบุคลากรทางการศึกษา หยุดการปฏิบัติหน้าที่ไปก่อนจนกว่าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น พร้อมสั่งการให้ คตร. เข้ามาตรวจสอบถูกต้องและโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ การบริหารการเงินทรัพย์สิน และผลประโยชน์อื่นใด ของ องค์กรทั้ง 3 แห่ง รวมถึงตรวจสอบการดำเนินโครงการที่สำคัญภายใต้การดำเนินงานของบุคคลเหล่านี้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะต้องมีข้อมูล ความไม่ชอบมาพากล ขององค์กร ทั้ง 3 แห่ง อยู่ในระดับหนึ่ง และข้อมูลอาจจะมีความเชื่อมโยงไปถึงตัวของผู้บริหารของบางองค์กรด้วย จึงทำให้ต้องมีการออกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว เพื่อไม่ให้มีอำนาจเข้ามียุ่งเกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบของ คตร.
ต่อ ขณะที่ การบริหารงานของ คุรุสภา ซึ่งเกี่ยวกับข้องกับการออกใบอนุญาตควบคุมกำกับดูแลครู และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานด้านสิทธิประโยชน์ของครู ถูกมองว่าเป็นแดนสนทยา มาโดยตลอด เพราะมีอำนาจในการบริหารงานที่แยกเป็นเอกเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณ การแก้ไขโครงสร้างการบริหารงานใหม่ โดยให้รัฐมนตรี เข้าไปกำกับดูแล เพื่อให้กระบวนการตรวจเรื่องการใช้จ่ายเม็ดเงินของทั้ง 3 องค์กร ในช่วงที่ผ่านมา และช่วงต่อไป ทำงานได้ง่ายขึ้น ส่วนผลการปฏิบัติงานหลังการออกคำสั่ง คสช. ในส่วนของกระทรวงศึกษาฯ จะออกมาเป็นอย่างไร "ใคร" ที่จะต้องถูกเชือดไก่ ให้ลิงดู เป็นรายแรก กับปฏิบัติการใช้อำนาจมาตรา 44 ล้างขั้วอำนาจเก่า รวมถึงการสะสางปัญหาทุจริต ครั้งนี้ ยังไม่มีใครบอกได้ชัดเจน แต่เบื้องต้น มีกระแสข่าวยืนยันจากทำเนียบรัฐบาล ยืนยันออกมาว่า ในช่วงก่อนที่จะมีการออกคำสั่งคสช. ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการทั้ง 2 ฉบับ ออกมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้เชิญตัวแทน จากหน่วยงานด้านตรวจสอบ อาทิ สำนักงาน ปปท. และ สตง. เข้าไปหารือ เกี่ยวกับรายชื่อของข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐ จำนวน 100 คน ที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเบื้องต้น พล.อ.ประยุทธ์ มีนโยบายว่าบรรดารายชื่อ ที่ถูกเสนอมา จะมีการใช้มาตรการโยกย้ายให้ออกไปจากตำแหน่งก่อน และให้หน่วยงานเข้าไปตรวจสอบหาหลักฐานการกระทำความผิดที่ชัดเจนอีกครั้ง เพื่อให้ปฏิบัติการครั้งนี้ ไม่ให้ถูกโจมตีว่าเป็นการใช้อำนาจมากเกินไป และปล่อยให้กระบวนการตรวจสอบได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ผู้ถูกกล่าวหา จะไปร้องเรียน "กล่าวโทษ" ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ทำได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากจำนวนรายชื่อ ขรก. 100 คน ที่ถูกคัดกรองมาในระดับหนึ่ง ที่อยู่ในมือของพล.อ.ประยุทธ์ เวลานี้ ซึ่งมีทั้งจากหน่วยงานในส่วนกลาง -ต่างจังหวัด รวมถึงรูปแบบวิธีการจัดการปัญหาทั้งระบบ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่บรรดาข้าราชการระดับสูง ในกระทรวงใหญ่หลายแห่ง รวมถึงในระดับจังหวัด ถึงกับออกอาการเก้าอี้ร้อนนั่งไม่ติด รีบเช็คข่าวกันเป็นมือระวิง เพราะเริ่มพอจะเห็น "ชะตา" "รู้อนาคต" กันแล้วว่า "มหันตภัย" จาก "กรรมเก่า" ที่เคยทำไว้ในอดีต กำลังจะเดินทางมาถึงตัวในเร็วๆ นี้ -------------
รายชื่อ 100 ข้าราชการที่ทำผิดกฎหมาย ทุจริตคอรับชั่น ??? งบประมาณจัดซื้อกระดาษไม่พอหรือครับ ทำไมมีแค่นี้
การแสดงความโง่ ของอดีตสส. -------------------------------------------------- 18 เม.ย. 58 นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีตส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทยและแกนนำพรรคเพื่อไทย และอดีตรมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์กรณีหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ใช้อำนาจผ่านมาตรา 44 ของรัฐธรรมชั่วคราวปี 57 โยกย้ายปลัดกระทรวงศึกษาธิการว่า การใช้มาตรา 44 โยกย้ายหรือกระทำใดๆ เป็นการวางมาตรฐานกฎหมายใหม่ในอนาคต หากไม่มีใครมาลบล้างกระบวนการมาตรา 44 จะมีอำนาจเหนือนิติบัญญัติ ตุลาการ ฉะนั้นการจะใช้มาตรา 44 ต้องระมัดระวัง การโยกย้ายแบบนี้เหมือนวางกฎหมายที่เหนือกว่าศาลฎีกา เหนือกว่ากฎหมายนิติบัญญัติ เป็นอำนาจบริหารที่สูงสุด หากวางมาตรฐานเช่นนี้ไม่ว่ารัฐบาลต่อๆ ไปหรืออะไรก็ตามใครจะโยกย้ายอะไรก็อ้างกฎหมายของคสช.ว่าสามารถดำเนินการได้ เหมือนคำตัดสินของศาลฎีกาเทียบเคียง เป็นการวางมาตรฐานใหม่ของประเทศ ซึ่งอันตราย ถ้าไม่มีใครยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ผู้บริหารประเทศสามารถโยกย้ายคนได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะถูกหรือไม่ถูกก็ตาม http://www.naewna.com/politic/154279 ---------------------------------------------------------------------------- ในรธน.ฉบับใหม่ ใครเขาจะใส่มาตรานี้ไว้อ่ะ........โง่ฉิบ....
จากความเห็นของครูคนหนึ่ง ------------------------------------------------- จักรวรรดิ จันทิมา ผมขอพูดในฐานะที่ตัวเองเป็นครูนะครับ เราต้องยอมรับตรงๆว่าประเทศไทยของเราขาดนักการศึกษาที่แท้จริง ผมเสียดายท่าน อาจารย์ดร.ก่อ สวัสดิ์พาณิช เราต้องยอมรับท่านจริงๆ ท่านได้วางรากฐานการศึกษาของไทย เทียบได้กับประเทศญี่ปุ่นในขณะนั้น และท่านคือ มล.ปิ่น มาลากุล ถ้าเราย้อนนึกถึงการศึกษาในสมัยนั้น สิงคโปร์ เกากลีใต้ อิหร่าน มาเลเซีย หรือแม้แต่อเมริกา ยังกลัวคนไทยมากเพราะคนไทยมีความเก่งมาก ต่อมาอเมริกาให้ทุนการศึกษากับนักการศึกษาของไทย เพื่อให้กลับมาพัฒนาประเทศไทย หลังจากนั้นเป็นต้นมาการศึกษาของไทยถอยลงทุกปีไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาการศึกษาของไทยถูกนักการเมืองเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน เพื่อประโยชน์ของพรรคพวกตัวเอง บางสมัยมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 4 คนก็มีเพื่อเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์ ซึ่งบางคนไม่มีความรู้ทางการบริหารการจัดการศึกษาก็มี ถึงเวลาแล้วครับที่เราจะต้องปฎิรูปการศึกษาให้แยกออกจากนักการเมืองเสียที่ยกตัวอย่างเช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย เขาออกกฎหมายรัฐธรรมนูญห้ามการเมืองยุ่งเกี่ยวกับการศึกษาและเศรษฐกิจครับ หรือเมืองไทยได้โอกาสปฎิรูปแล้วทำไมไม่ทำครับ เหลือเวลาอีก 9-10 ปีผมจะเกษียรอายุราชการครูแล้วผมอยากเห็นครับผม ----------------------------------------------------------------- http://www.thaipost.net/?q=มาตรา-44-กับการศึกษา
มันอ้างว่าใช้ม.44 เพราะกลัวโดนฟ้องเหมือนกรณีย้ายถวิลอะครับ แต่มันคงลืมไปว่า นี่เป็นสถานการณ์ไม่ปกติ มาตรานี้เขาใช้แค่ชั่วคราวเท่านั้น
กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ แฉทุจริตวงการศึกษามีเรียกผลประโยชน์โยกย้ายครู ยันพื้นที่อีสานคิดอัตราย้ายตามหลักกิโลเมตร หนุน คสช.ปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบจึงจะแก้ปัญหาได้... เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 58 พล.ท.นคร สุขประเสริฐ กรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญกล่าวว่า กรณีคำสั่ง ม.44 ที่ออกมาสั่งให้ยุติการทำงานในสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) และองค์การค้าคุรุสภา ถือเป็นตัวอย่างที่รัฐบาลหรือ คสช.คงจะมีข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์ในมือที่ชัดเจนจึงมีคำสั่งดังกล่าวออกมา และขอสนับสนุนให้มีการแก้ไขปัญหาในวงการศึกษา เพื่อที่จะวางรากฐานของประเทศอย่างจริงจังทั้งระบบ ด้วยการปฏิรูปโครงสร้างด้วยจึงจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างจริงจัง. http://www.thairath.co.th/content/493838
เพราะเป็นเด็กจึงเจ็บปวด? ยิ่งถ้าเด็ก(รึเปล่า?)ชอบเก็บเชอรี่เหมาเข่งให้แพะแกะ คงยิ่งเจ็บปวดแหละ เพิ่ม: อ้อ รร.นี้มันจากเพจเนเน่นี่เอง เพิ่งเปิดเจอ
การสั่งย้ายข้าราชการระดับสูงในกระทรวงศึกษาธิการ ไม่มีเสียงบ่น กลับมีแต่เสียงแซ่ซ้อง รัฐบาล คสช. น่าดีใจจัง ! http://chaoprayanews.com/blog/thaiflag/2015/04/18/การสั่งย้ายข้าราชการระ/
ข่าวว่าเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ นี่ละครับ ******************************************** คสช.สั่งปลด 3 บอร์ดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งคุรุสภา กรมส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู และบุคลากรทางการศึกษา องค์การค้าฯ พร้อมให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เข้าไปตรวจสอบการใช้งบประมาณ และทรัพย์สินเพื่อความโปร่งใส พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ได้มีคำสั่งที่ 7/2558 ลงนามเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2558 เรื่อง การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการคุรุสภา คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู และบุคลากรทางการศึกษาหรือ สกสค. และคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของ สกสค. เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษา และการบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการมีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยมีคำสั่งให้กรรมการคุรุสภา กรรมการ สกสค.และกรรมการบริหารองค์การค้าฯ ที่อยู่ในตำแหน่งก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับพ้นจากตำแหน่ง และให้เลขาธิการคุรุสภา เลขาธิการ สกสค. และผู้อำนวยการองค์การค้า ที่อยู่ในตำแหน่งก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับหยุดการปฏิบัติหน้าที่ไปก่อนจนกว่าหัวหน้า คสช.จะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น รวมทั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณามอบหมายให้รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ หรือข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในระดับเดียวกันขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่แทนไปก่อน นอกจากนี้ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ หรือ คตร.ตรวจสอบความถูกต้องและโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ การบริหารการเงิน ทรัพย์สิน และผลประโยชน์อื่นใดของคุรุสภา สกสค.และองค์การค้าฯ รวมทั้งตรวจสอบการดำเนินโครงการที่สำคัญในช่วงเวลาที่ผ่านมา แล้วรายงานผลการตรวจสอบให้หัวหน้า คสช.โดยเร็ว ************************************************* คำสั่งคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ(คสช. ) ฉบับที่ 6/2558 โยกย้ายระดับบิ๊กกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ข้าราชการระดับ 11 สลับเก้าอี้กันถึง 3 ราย เริ่มจากโยก สุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กลับถิ่นเก่า ไปเป็นเลขาธิการสภาการศึกษา ส่วน รศ.ดร.พินิติ รตะนานุกูล เลขาธิการสภาการศึกษา ก็กลับถิ่นเก่าเช่นกัน ไปเป็นเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) และดึง รศ.นพ.กำจร ตติยกวี เลขาธิการกกอ. มาเป็นปลัดศธ. การย้ายฟ้าผ่าครั้งนี้ ก็แค่สร้างความตื่นเต้น แต่ไม่ได้สร้าง คำถาม ใด ๆ ขึ้นในใจข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการมากนัก การสะสางปัญหาเกี่ยวกับวงการครู และบุคลากรทางการศึกษาในทุกมิตินั้น เป็นความคาดหวังหนึ่งที่ทั้งคนในรัฐบาลและ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ต้องการเข้าไปดำเนินการ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับตัวครูโดยตรง อาทิ เช่นการปรับปรุงระบบผลิตและพัฒนาครูเพิ่อให้ได้คนเก่ง คนดี มาเป็นครู การปรับปรุงระบบให้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และปรับปรุงเกณฑ์การประเมินเข้าสู่ตำแหน่งต่าง ๆ และ การปรับปรุงเกณฑ์การประเมินเข้าสู่วิทยฐานะ ทั้งนี้งานในส่วนนี้ จะเกี่ยวพัน กับ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และคุรุสภา ซึ่งอยู่ภายในการกำกับดูแลโดยตรงและการประสานงานของ ปลัด ศธ. นอกเหนือจากการจัดระบบบริหารบุคคลครูให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นแล้ว งานสำคัญอีกประการ คือ การล้างบาง ขบวนการหากินกับผลประโยชน์ของครูผ่านองค์กรต่างๆ โดยเฉพาะการสะสางสารพัดปัญหาในสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการ และสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) และการสะสางทุจริตในองค์การค้า ของ สกสค. ที่ยืดเยื้อมายาวนาน และนับวันจะปูดประเด็นฉาวโฉ่ออกมาเพิ่มขึ้น ให้เกิดวิฏฤติศรัทธาต่อหน่วยงานอย่างหนัก เพราะฉะนั้น ตามมาด้วยคำสั่งย้าย 3 บอร์ดแล้ว จึงตามมาด้วยคำสั่งยุบ 3 บอร์ด ตามคำสั่ง คสช.ที่ 7/2558 ให้ยุบคณะกรรมการคุรุสภา คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู และบุคลากรทางการศึกษา และคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของ สกสค. ในคำสั่งย้าย ให้เหตุผลว่า เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาและการบริหารราชการในศธ.มีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น แต่แท้จริงแล้ว เป็นการวบอำนาจการบริหารของคุรุสภา สกสค.และองค์การค้า มาขึ้น กับ รมว.ศึกษาธิการโดยตรง เพราะในคำสั่งดังกล่าวกำหนดให้บอร์ด สกค.และบอร์ดคุรุสภา ประกอบด้วยรมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ รมช.ศธ.ปลัดศธ. และเลขาธิการองค์กรหลัก เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ. ) ร่วมเป็นกรรมการ และให้บอร์ด สกสค.นี้ ปฏิบัติหน้าที่แทนบอร์ดบริหารองค์การค้าด้วย การรวบอำนาจบริหารมาอยู่ที่ รมว.ศึกษาธิการ ทำให้ รมว.ศึกษาธิการ มีอำนาจเข้าไป ล้างบาง หรือ กำกับให้ทั้ง 3 หน่วยงาน จากเดิมที่ไม่มีอำนาจมาก่อน นอกจากนั้น ยังมีคำสั่งให้ เลขาธิการคุรุสภา เลขาธิการสกสค. ผู้อำนวยการองค์การค้า หยุดการปฏิบัติหน้าที่ ให้รมว.ศึกษาธิการ พิจารณามอบหมายให้รองปลัดศธ. หรือข้าราชการศธ.ในระดับเดียวกันขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่ ไปพลางก่อน ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ตรวจสอบความถูกต้องและโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ การบริหารการเงิน ทรัพย์สิน และผลประโยชน์อื่นใด ของคุรุสภา สกสค. และองค์การค้าฯ ของสกสค. และบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งตรวจสอบการดำเนินโครงการที่สำคัญ ถ้าปะติดประต่อจากทุกเรื่องแล้ว การย้ายบิ๊ก ศธ.ครั้งนี้ น่าจะเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการล้างบ้าง ความไม่ถูกต้องในวงการครู โดยเฉพาะ สกสค.และ องค์การค้า จึงจำเป็นต้องจัดทัพกันใหม่ หาคนที่ แข็ง และ ยืนระยะ ได้นานพอรับมือเรื่องจนจบ ********************************************** คำสั่งย้ายผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงศึกษาธิการเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสในการทำงาน ซึ่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ก็กำลังตรวจสอบการใช้งบประมาณ ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่นำเงินไปลงทุนกับบริษัทเอกชน ที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย
กระทรวงศึกษาน่ะ ไล่ผู้บริหารออกให้หมดการศึกษาไทยมีแต่จะดีขึ้น ตอนเรียนมัธยมฯ(นานมาแล้ว) มีวิชาไฟฟ้า แม้ไม่ใช่วิชาหลักแต่ต้องเรียนและหัดต่อไฟฟ้าแบบตรง อนุกรม และผสม ซึ่งนักเรียนก็ทำได้ ปัจจุบันคุยกับเด็กจบปวช.ไฟฟ้า ถามเรื่องต่อไฟแกไม่รู้เรื่องเลย ยิ่งบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยในสังกัดกระทรวงศึกษาฯยิ่งหมดหวัง แกไม่รู้เหนือรู้ใต้จริงๆ คุณสาวๆมีแต่จะโชว์นม คุณหนุ่มๆก็เอาแต่หน้าเนียนด้วยครีมหน้าขาว จบปริญญาตรีแล้วยังรบเร้าพ่อแม่ให้ส่งเรียนปริญญาโท เหตุผลคือเดี๋ยวนี้จบป.ตรีไม่พอแล้ว ใครๆเขาก็ต่อป.โทกัน จบป.โทยิ่งอาการหนัก มีแต่คำย่อสวยหรูแสดงวิสัยทัศน์ คิดเลขยังไม่แตกฉานแค่นจะขอดู Balance Sheet และ Profit and Lost Account จะปรับปรุงกระทรวงศึกษาฯ ผมเหนื่อยแทนลุงตู่และคณะจริงๆครับ
คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มรภ.นครราชสีมา หนุน "พล.อ.ประยุทธ์" ใช้ ม.44 รื้อบอร์ด ศธ. ชี้โคตรโกงทุกระดับชั้น “ที่น่าจับตาคือ การสั่งให้ยุติบทบาทการทำงานของ สกสค. และคณะกรรมการครุสภาชุดปัจจุบัน เพราะปัจจุบัน สกสค.มีผลประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะ 2 เรื่องหลัก คือ การมีโรงพิมพ์ของ สกสค.ที่ผลิตหนังสือเรียนให้กับกระทรวง ศึกษาธิการทุกรายวิชา ทุกชั้นเรียน และ การดูแลเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ ซึ่งมีการร้องเรียนการทุจริตมาโดยตลอด และมีกลุ่มเดิมๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ส่วนคณะกรรมการครุสภาเป็นเพียงหาเลขเท่านั้น ดังนั้นตนจึงเห็นด้วยกับการใช้ ม.44 โยกย้ายบุคลากรระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ.. สังเกตุได้จากที่ผ่านมามีการตรวจพบการทุจริตในทุกระดับชั้น จึงต้องใช้เวลาปฏิรูปองค์กรอีกนานพอสมควร" ผศ.ดร.อดิศร กล่าว http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/643485
คหสต.รู้สึกว่าเหมือนแต่งเรื่องนะครับ ยังกะจะเอาแค่ให้มีคำว่า "เพลงชาติ" "รักชาติ" หรือไม่ก็ผู้ตรวจเล่นมุขแซวเฉยๆ แต่ฟังไม่เก็ท ยิ่งฟังต่อๆกันก็ยิ่งด่า แต่ผลงานห่วย ไร้ประโยชน์ เปลือง สมควรยุบ นี่ผมเห็นด้วยนะ http://thaipublica.org/2015/03/trdi-education/
เคยมีสมาชิกในนี้บอกประมาณว่า การศึกษาก็เป็นค่านิยมอย่างหนึ่ง ไปเรียนต้องเรียนกับสถาบันดีๆ ดังๆ ด้วย จบไปจะได้ขึ้นมาเป็นชนชั้นอีลิท มีพรรคมีพวก มีเส้นมีสาย
ใช่เลยครับ เพราะค่านิยมผิดๆ ทำให้เด็กบางคนจำใจต้อง เรียนในมหาลัยในสาขาวิชาที่ตัวเองไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะตอนสอบเอ็นฯตรง (รุ่นโบราณ) เราจะเลือกสาขาที่ชอบใว้อันดับต้นๆ แต่ถ้าเกิดไปติดอยู่ที่อันดับท้ายๆ เพราะคะแนนที่ทำได้ มันน้อยเกินที่จะได้ติดอันดับที่เราชอบ เราก็จำใจต้องเรียนไปเพื่อให้ได้ชื่อว่าจบมหาลัย ยกเว้นบางคนใจแน่วแน่ ยอมสอบใหม่(แต่คนแบบนี้มีน้อย) ชีวิตทั้งชีวิตเลยต้องทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ชอบ(เพราะจบมาสาขานั้นๆ).......น่าเซ็งชะมัด
ไม่ออกความเห็นดีกว่า...... ----------------------------------------------------------- ค่าเรียนเด็กประถมปีละ 7 แสน ..แม่เจ้า!! 21 เมษายน 2558 โดย...ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) http://www.posttoday.com/เศรษฐกิจ-หุ้น/แนะนำการลงทุน/360253/ค่าเรียนเด็กประถมปีละ-7-แสน-แม่เจ้า-