วานนี้ภรรเมียลูกน้องใช้บัตรทองไปหาหมอที่รพ.ประจำอำเภอ เพราะปวดหัวเป็นไมเกรนเรื้อรัง ไปตั้งแต่เช้า ได้ตรวจเกือบเที่ยงวัน หมอเขียนชื่อยามาให้ บอกให้ไปซื้อจากร้านขายยาเอง เพราะยาตัวนี้แพง รพ.ไม่สามารถให้ได้ (ไม่รู้ว่าไม่มี หรือมีแต่ไม่กล้าให้) สรุป ผ่านมาหลายปีแล้ว เคยมีคนทำวิจัยบ้างไหมว่า นโยบายนี้ดีหรือไม่ ควรยกเลิกหาวิธีใหม่ หรือวิธีนี้ดีต่อประชาชนที่สุดแล้ว
นโยบายดีครับ แต่มีปัญหาบางที่บางแห่ง รพ./คลินิค บางที่ก็ดีครับ ไอ้ที่แย่ก็มี ปัญหาคือจะทำอย่างไรกับไอ้ที่แย่นี่แหล่ะ ^^
ปัญหาที่ว่านี้คืออะไรครับ ****เงินอุดหนุนจากรัฐบาลไม่พอกับค่าใช้จ่าย ****หมอมีจำนวนไม่พอกับคนไข้ที่เพิ่มขึ้น หรือเหตุผลอื่นครับ
ที่ตายจากนโยบายนี้ก็เยอะนะครับ แต่ที่ไม่เป็นข่าว เพราะถูกกลบเอาไว้(จากรพ.) ***คนไข้เยอะจนหมอดูแลได้ไม่ทั่วถึง ***ไม่สามารถใช้ยาแพงๆรักษาได้ เพราะไม่มีงบหรือเป็นยานอกบัญชียาหลัก
หลายอย่างครับ 2 เหตุผลที่ยกมาก็ใช่ หมอให้ยาตามคนไข้ขอก็มีเยอะทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องให้ก็ได้ หรือคนไข้ไม่ดูแลสุขภาพเบื้องต้นทั้ง ๆ ที่บางโรคไม่ต้องมาโรงพยาบาลก็ได้
เรื่องราคายา ยาแพงไม่จำเป็นต้องดีกว่ายาถูกเสมอไปครับ ยาถูกหลายตัวให้ผลพอ ๆ หรือดีกว่ากับยาแพง เรื่องไมเกรน ยาในบัญชีหลักก็มี แต่ผลข้างเคียงก็มีจะเอาไหม
คงไม่ได้อะครับ รัฐบาลไหนขืนทำแบบนี้ โดนต่อต้านหนักแน่ อิ...อิ....อย่าลืมว่าทุกคนเท่าเทียมกัน ตั้งแต่มีนโยบายนี้ สิ่งที่เห็นชัดๆคือ ***หมอเก่งๆถูกซื้อตัวไปอยู่รพ.เอกชนมากขึ้น ***รพ.เอกชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ค่ารักษาก็แพงหูฉี่ ***บริษัทประกัน มีลูกค้าเพิ่มขึ้น ***หมอและเจ้าหน้าที่รพ.รัฐ ทำงานหนักขึ้น
กำลังสงสัย สถานีอนามัยแทนที่จะมีบทบาทเยอะเพื่อกรองคนไข้ขั้นต้นแต่สิ่งที่เห็นคือ จัดโต๊ะรอหมอมาแจกยาเบาหวาน กับเลี้ยงโต๊ะจีนอสม.ตอนปีใหม่และสงกรานต์ รวบรวมเอกสารน้ำหนักส่วนสูงประจำปี
ตอนนี้ไทยน่าจะเป็นศูนย์การแพทย์ของเอเซีย แพทย์บ้านเราเก่งมาก ค่าบริการถูกเมื่อเทียบกะคู่แข่งเช่นฮ่องกง และสิงคโปร์ เรามียุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ เอาไว้หารายได้เข้าประเทศ ผนึกกำลังกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รพ เอกชนราคาแพงก็แพงไป คนไทยไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลักของกิจการ ผมทราบมาว่า สุลต่านของ uae คนที่เป็ม รมต คลัง ต้องมาตรวจเช็คสุขภาพที่เมื่อไทยเกือบทุกปี มีกันทีทั้งครอบครัว เหมา รร แถวสยาม ทั้ง floor แกไปโรงพยาบาล เมียกะลูกไปช๊อปเสื้อผ้าของไข่บูติก ตอนลูกสาวแต่งงานก็มาเหมากล้วยไม้ส่งไปตกแต่งสถานที่ หลายเรื่องที่เราอาจสู้ต่างชาติไม่ได้ แต่เกษตรกะงานบริการ บ้านเรายังนำครับ
แนวคิดและอุดมการณ์ของ หมอสงวน สุดยอด น่าจะเป็นระดับรัฐบุรุษเหมือนป๋าเปรม แต่พอเอาโครงการมาใช้ในระดับรัฐ สเกลมันใหญ่ขึ้นเยอะ การรีบเอามาใช้โดยค่อยไปแก้ปัญหาทีหลังสไตล์ไทย ผมมองว่าปัญหาที่มีคือ 1:งบประมาณ เดิมรัฐบาลทักษิณกะไว้ 800บาท/หัว(เริ่มโครงการจริงๆเป็น1,200) ใช้งบ5-60,000 ล.,และสูงขึ้นทุกปี(มีปีนึงของบเกือบ300,000ล) จนรัฐต้องแยกใครมีส่วนอื่น เช่น ขรก,ประกันสังคมให้ไปใช้ส่วนนั้น ล่าสุดใช้งบ160,000(3000/หัว) 10%ของงบประมาณ ประเทศรวยๆยังไม่ทำเต็มตัวแบบนี้ คือใช้งบจากรัฐบาลกลางล้วนๆ 2:เนื่องจากรัฐเองมีงบจำกัด(ก็แน่อยู่แล้ว รัฐไทยไม่ได้รวย) พอจัดสรรไปไม่พอ เลยเกิดศึกระหว่างหมอ ซึ่งก็ถูกทั้งคู่ 3:บุคลากรทางแพทย์ทำงานหนักขึ้น:พอไม่ต้องเสียเงิน โอกาสคนที่จะไปหาหมอมีมาก หมอ,พยาบาลทำงานมากขึ้น แต่รัฐจ่ายเท่าเดิม แล้วใครอยากจะทำ อยากจะอยู่ จึงการเกิดการไหลออก,บางคนบอก หมอต้องเสียสละ ไม่รู้ว่าไอ้คนบอกเคยเสียสละอะไรบ้าง ปลัดณรงค์เคยเสนอวิธีให้จ่ายตามงาน เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากตามรพ.ใหญ่ๆ หมอทำงานมากกว่ารพ.เล็กๆ (แต่รัฐไม่ได้จ่ายเพิ่มอะไร) ซึ่งผมเห็นด้วยกับแนวคิดแกในข้อนี้ และคงมีอีกหลายปัญหา แต่หลักๆคืองบประมาณ ผมว่า 1: เก็บแวตเพิ่มขึ้น 1-1.5%(จาก7>8-8.5) แล้วบอก ปชช ไปเลยว่าเอาไปใช้กับโครงการนี้ 2: เก็บภาษีจากท้องถิ่นมากขึ้น(แชร์กันระหว่างรัฐกับท้องถิ่น) เอาเงินไปใช้ในโครงการ 3: เก็บจาก ปชช โดยตรงเช่น มาทำบัตรปชช เสีย2,500 รัฐดูแลเรื่องสุขภาพให้ 5ปี(แชร์ระหว่างรัฐกับปชช) ใครไปทางอื่นได้ไม่ต้องเสีย เป็นต้น etc, ผมว่าการให้ ปชช เข้ามามีส่วนร่วม เช่นต้องเสียเงิน อาจทำให้ทุกคนตระหนักปัญหาของโครงการนี้มากขึ้น
พี่ชายผึ้งข้อเข่าไม่ดี หมอบอกว่ามียาที่รักษาแกได้ แต่เขาไม่จ่ายให้เพราะอยู่นอกเหนือสามสิบบาท อยากได้ต้องซื้อเอง
ต้องดูด้วยครับว่าคนป่วยที่ไปโรงพยาบาลบ่อย เขาไปเพราะอะไร อยากไปใช้ยาฟรีหรือมีโรคประจำตัว ที่ไปโรคพยาบาลบ่่อยๆส่วนมากที่เห็นก็เป็นคนสูงอายุ เป็นพวกความดันเบาหวานโรคหัวใจ พูดรวมๆก็โรคชราคนสูงอายุแทบทุกคนตรวจแล้ว แทบจะเจอทุกคนหลายคนจึงหลีกเลี่ยงที่จะตรวจเลือด เพราะกลัวจะเจอโรคพวกนี้ ถ้าเป็นคนสูงอายุหรือคนชราผมว่าต้อง ดูแลเขาเพราะต่างจังหวัดคนชราแทบจะไม่มีรายได้ ลูกหลานก็ไม่ได้อยู่ดูแลบางคนอายุมากเดินแทบไม่ไหว เพื่อนต้องประคองก็ยังต้องไปหาหมอเอง อนามัยก็ส่งโรงพยาบาลอำเภออย่างเดียว
ผมเห็นควรยกเลิก แล้วให้ซื้อประกันสังคมครับ ไม่ใช่แค่สามสิบบาท แต่รวมถึงสวัสดิการของข้าราชการด้วย เอาไปเข้าประกันสังคมให้หมด ให้เหลือระบบเดียว ถ้าอยากได้ดีกว่าเดิมก็จ่ายประกันเพิ่ม ส่วนการจ่ายรายหัวให้โรงพยาบาล ผมว่าต้องตรวจสอบให้เข้มข้น ผมไม่มีข้อมูล แต่มีความรู้สึกว่าเป็นการเกลี่ยเงินที่ไม่สมดุลย์ ความรู้สึกบางอย่างเหมือนมโนเองว่าบางโรงพยาบาลโดยเฉพาะเอกชนได้เงินกินเปล่าตรงนี้เฉยๆแต่จ่ายออกน้อยหรือบางที่แทบไม่มีรายจ่ายเลย
เห็นด้วยมากๆเลยครับ โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณ ถ้าอยากทำโครงการณ์นี้ต่อ ต้องหาทางให้รพ.รัฐมีงบที่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย แต่จะหาโดยวิธีไหน เพื่อให้คนจนไม่เดือดร้อนมากนัก อันนี้รัฐต้องหาวิธีเอาเอง แต่ไม่ใช่ปล่อยไปตามยะถากรรมแบบปัจจุบัน
เริ่มแล้ว เลิกไม่ได้ครับ เพราะกระทบเยอะจริงๆโดยเฉพาะกับผู้มีรายได้น้อย แต่ยิ่งนานไปยิ่งแย่ เพราะต้องใช้งบเพิ่มขึ้นทุกๆปีเพื่อแลกกับ บริการและคุณภาพยาที่เท่าเดิม อาจต้องใช้แบบที่หลายๆท่านบอกหรือ เพิ่ม แวต หรือ เปลี่ยนเป็นประกันสังคมให้หมด แต่..... ต้องวางแผนการเปลี่ยนแปลงระยะยาวครับ 5 - 10 ปี ต้องระดมมันสมองในการเปลี่ยนแปลงและให้ความรู้ก่อน
เคยถามห้องจ่ายยาว่ามีแก้ไอชนิดพ่นไม๊เขาบอกว่าไม่มี ต้องโรงพยาบาลใหญ่ๆเพราะแพงผมคิดในใจมันแพงขนาดใหน ไปถามซื้อร้านขายยาขวดละ180บาท มันคืออะไรใจคอจะให้จิบแต่นํ้าดำเสือดาวกับอาปาเช่ เท่านั้นเหรอ เห็นด้วยกับระบบซื้อประกันสูขภาพ สำหรับคนสมัครใจที่จะจ่าย สำหรับคนรายได้น้อยก็ว่ากันไปอีกแบบ