จากข่าว ชาวน่าน เรื่องราวการต่อต้านการสร้างมัสยิดแห่งแรกในเมืองน่าน http://www.thairath.co.th/content/473250 พวกเขา ต่อต้านเครื่องขยายเสียง หรือ ต่อต้านศาสนาอิสลาม สิทธิในการการนับถือศาสนา กับเสรีภาพในการดำเนินกิจกรรมทางศาสนา เป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่ พวกเขา ห้ามอาซาน (เสียงเรียกเชิญชวนละหมาด) http://hot.muslimthaipost.com/news/23167/ ขอความคิดเห็นในทางสุภาพ และผู้รู้ช่วยแบ่งปันความรู้กับ คนต่างศาสนา ด้วยครับ ก่อนที่ความขัดแย้งจะฝังรากลึก เกินไป
ทั้งสองเคสนี้ เคยอ่านเจอในเพจศาสนวิทยาของ ดร.ศิลปชัย ผมเข้าไปส่องออกบ่อย เพจนั้นแชร์ข่าวมาให้ดู หรือไม่ก็โพสต์สเตตัสของเจ้าของเพจเกี่ยวกับมุมมองที่มีต่อศาสนา ช่วงนี้เล่นเรื่องธรรมกาย ก่อนนั้นก็เล่นเรื่องไอเอส แต่ความเห็นของคนที่เข้ามาเม้นท์ออกแนวต่อต้านมุสลิมเยอะมาก แล้วก็มีพวกไม่เอา ป.อาญา มาตรา 112 ปนมาด้วย เคสเรื่องโรงแรมนี้ มีคนเข้ามาเม้นท์ว่า .....
เบาบางลงในแง่ของการลดเสียงที่พวกเขา(ที่โรงแรม) คิดว่าเป็นเสียงรบกวนน่ะครับ อยากให้ต่างฝ่ายต่างอยู่ร่วมกันได้มากกว่า ก็หวังว่าจะให้เป็นแค่เรื่องลดการใช้เครื่องขยายเสียงนะครับ ไม่ต้องดังมาก ไม่ใช่ถูกบิดเบือนหรือขยายเป็นเรื่องที่ลุกลามใหญ่โตว่าต่อต้านศาสนาครับ ส่วนเรื่องการสร้างมัสยิดที่ จ.น่าน ผมไม่ออกความเห็นครับ
เรื่องศานาผมว่าชาวน่านคงไม่ปิดกั้น แต่เรื่องเสียงที่รบกวนความสงบของชาวน่านมานานนี่แหละครับ น่านยังเป็นเมืองที่ปิดและเป็นเมืองที่รักษาวัฒนธรรมและเมืองได้อย่างดี ความเจริญน่านก็ไม่ได้ปิดกั้นแต่ขอให้กลมกลืนกับความเป็นอยู่ของเค้า แม้แต่ 7-11 ยังต้องยอม จากสีเขียวเป็นสีน้ำตาล ก็อยู่กันได้ ไม่ว่าพุทธ อิสลาม หรือศานาอื่น ๆ เวลาสวดมนต์มันก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องขยายเสียงนี่ครับนอกจากมีงานบุญใหญ่ก็ค่อยว่ากัน
เรื่องเครื่องขยายเสียงกับ มัสยิด อิสลาม บอกตรงๆนะ บางทีโครตน่ารำคาญเลย จำเป็นมั้ยที่ต้องใช้เสียงดังซะขนาดนั้น ทุกวี่ทุกวัน ขนาดตรงบางบัวทอง เชื่อมั้ย มันใช้ ลำโพง พูดข่มขู่รัฐบาลด้วยว่าถ้าทำอะไรพีน้องอิสลามภาคใต้ รับรอง คนอิสลามจะลุกฮือ ต่อต้านคนพุทธ เวรกรรม ใช้มั่วไปหมด
ตอนเรียนช่างศิลป ผึ้งต้องผ่านแถวลาดกระบังทุกวัน ได้ยินเสียงจากมัสยิดทุกเช้า ยังสงสัยเลยว่าทำไมต้องเปิดดังขนาดได้ยินกันทั้งบางขนาดนั้น
ช่วงนี้มีแต่เรื่องละเอียดอ่อนเกี่ยวกับศาสนา ก็ระมัดระวังความคิดเห็นกันหน่อยนะครับ อ่านปัญหาแต่ละเรื่องแล้วเพลียใจจริงๆ
คนที่รำคาญเสียงต้องมีอยู่แล้ว ผมไม่รำคาญเพราะได้ยินแค่ตอนอยู่ที่ทำงาน แต่ก็รู้สึกว่าเป็นการใช้เสียงดังโดยไม่จำเป็น ตอนผมไปมาเลย์ คนจีนที่นั่นก็บอกเหมือนกันแต่เขาพูดแรงกว่าตามสไตล์คนจีนนะ
เมืองไทยไม่มีใครต่อต้านอิสลามแน่นอน งานบุญไปหมดทุกศาสนา น่าจะเรื่องเสียงดัง จริงๆเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มและบ่อยๆเอาแค่ได้ยินกันเองจะดีกว่า
เพื่อนๆอย่าหลงทางครับ เขาเชิญชวนพี่น้องให้มาทำความดีนมัสการพระเจ้า ไม่ใช่ให้มาเผาบ้านเผาเมือง หาขวดคนละใบน้ำมันหาข้างหน้า อย่าหลงครับ ตอนนี้ธรรมกายเป็นข่าว ก็เลยหาเรื่องศาสนาอื่น ไม่ยุติธรรมครับ
เรื่องเสียงอาซานที่น่ารำคาญ ก็เป็นประเด็นสำคัญในการต่อต้าน แต่มีประเด็นสำคัญกว่าอีกประเด็นคือ ใน 16 จังหวัดภาคเหนือ มี 15 จังหวัดที่มีการจัดตั้งมัสยิดแล้ว คงเหลือแต่จังหวัดน่าน เพียงจังหวัดเดียวที่ยังไม่มีมัสยิด เรื่องนี้ต้องเคารพความเห็น ของคนในพื้นที่ด้วย แต่สุดท้ายแล้วสังคมไทยให้เสรีภาพในการ นับถือศาสนามากกว่าชาติอื่นๆในโลกนี้ ไม่เชื่อลองไปซาอุดิฯ ตะวันออกกลาง หรือมาเลเซียดูสิ แล้วจะรู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไร
แค่ต้องเคารพกฏหมายครับ จะนับถืออะไรก็นับถือไป แถวบ้านผมมีคนมาเปิดคาราโอเกะนอกอาคาร เสียงดังถึงตอนดึกผมก็ไปบอกให้รู้จักเกรงใจคนอื่นบ้าง
เรื่องเครื่องขยายเสียงนี่ผมก็ว่ามันดังเกินไปนะ แล้วถ้าสร้างได้คนมุสลิมก็ย้ายเข้าไปอยู่รวมกันแล้วก็คงขยายพื้นที่ไปเรื่อยๆก็คงอลังการกว่าเดิมอีก ถ้ามันไม่เคยมีปัญหามาจากที่อื่นๆจริง คนเขาคงเอามาอ้างไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องนี้สังคมมุสลิมไทยก็ควรจะพิจารณาปัญหาของตัวเองด้วย แต่ถ้าเรื่องต่อต้านศาสนาหรือเปล่าผมว่าสำหรับกรณีที่น่านก็อาจจะมีส่วนครับแต่ผมก็ไม่ใช่คนในพื้นที่ไม่รู้จริง ไม่อยากออกความเห็นเรื่องนี้มาก แต่เอาแค่ความคิดผมเองนะ ผมไม่มีปัญหากับมุสลิมในแบบไทยแท้ๆแบบสมัยผมเด็กๆ ซึ่งจริงๆผมว่ามุสลิมไทยส่วนใหญ่ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น แต่ผมรับไม่ได้กับพวกกลุ่มมุสลิมที่มีแนวคิดเคร่งจัดแบบพวกที่โดนล้างสมองมาจากการการไปเรียนที่ตะวันออกกลาง แล้วเดี๋ยวนี้ก็เอาความคิดพวกนั้นมาล้างสมองมุสลิมไทยรุ่นใหม่ต่ออีก ถ้าผมเป็นคนในพื้นที่ผมก็คงออกเสียงไม่ยอมให้สร้างนะ เหตุผลไม่ได้เพราะเรื่องเสียงอาซาน แต่ผมกลัวเรื่องพวกมุสลิมหัวรุนแรงมากกว่า
สิทธิเสรีภาพย่อมต้องมีข้อจำกัดเพื่อให้ไม่ไปซ้อนทับกับสิทธิเสรีภาพในด้านอื่นๆ ที่ผู้อื่นพึงมีครับ จะอ้างสิทธิของตนเองแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ การออกเสียงเรียกเชิญชวนละหมาดถือว่ามีเจตนาดีไม่ได้คิดทำร้ายหลอกลวงใคร แต่หลายๆ คนที่ไม่ใช่มุสลิมเขาก็เห็นว่าเป็นเสียงรบกวน ก็ต้องทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่ายครับ แต่ถ้าให้ผมพิจารณาตามความเป็นจริง สิทธิที่จะได้อยู่อย่างสงบไม่ถูกรบกวนในเคหะสถานของตนเองมีน้ำหนักมากกว่าครับ การใช้เสรีภาพใด ๆ ก็จำเป็นที่จะต้องไม่ไปกระทบสิทธินั้น
ย้อนรอยเมื่อ ม.ค. 57 ก่อนการสร้างมัสยิด ที่ น่าน เจ้าของโครงการบอกไม่มีปัญหา ยันมัสยิดน่านไร้ขัดแย้ง อำเภอ-ชาวบ้านช่วยหาที่เหมาะสมใหม่ให้ admin | มกราคม 9, 2015 ยันกรณีการก่อสร้างมัสยิดแห่งแรกในจังหวัดน่านไร้ปัญหาขัดแย้ง ทุกฝ่ายพูดคุยเข้าใจกันดี ชาวบ้าน-อำเภอ ช่วยกันหาที่เหมาะสมแห่งใหม่สำหรับการก่อสร้าง คุณ ทวี สุทัต หนึ่งในแกนนำในการจัดสร้างมัสยิดแห่งแรกของจังหวัดน่านเปิดเผยในรายการคุ้ยข่าว เล่าความ ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม YATEEM TV ว่า โครงการก่อสร้างดังกล่าวเกิดขึ้นจากความร่วมมือของมุสลิมในจังหวัดน่านซึ่งมีประมาณ 60 ครอบครัว และพี่น้องมุสลิมในจังหวัดลำปาง ที่ได้ร่วมกันหาเงินในการจัดซื้อที่ดินเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากที่จังหวัดน่านไม่มีมัสยิด และต้องเดินทางไกลนับ 100 กิโลเมตร เพื่อเดินทางไปร่วมละหมาดศุกร์ หรือวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งก่อนหน้านี้พี่น้องมุสลิมในจังหวัดน่านได้เช่าบ้านเพื่อใช้เป็นที่ละหมาดแทน ส่วนปัญหาที่มีการนำเสนอทางสื่อมวลชนก่อนหน้านี้ ข้อเท็จจริงคือชาวบ้านในชุมชน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่ก่อสร้าง มีความรู้สึกไม่สบายใจถ้าหากมีการก่อสร้างมัสยิดใกล้บ้านของพวกเขา ซึ่งได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกันแล้วหลายครั้ง โดยประเด็นที่ชาวบ้านเป็นห่วงเช่น การที่ชาวบ้านเลี้ยงสุนัขในขณะที่มีมัสยิดมาอย่างอยู่ในชุมชน สุนัขมาสร้างความเดือดร้อนให้กับศาสนสถานหรือไม่, หรือการที่มัสยิดมีการใช้เสียงในการอาซาน ในช่วงเวลาต่างๆ รวมถึงกรณีที่จะมีคนต่างพื้นที่เดินทางมาร่วมละหมาดที่มัสยิดด้วย จึงทำให้ชาวบ้านไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้างในพื้นที่ดังกล่าว ตามที่ปรากฎเป็นข่าวเกิดขึ้นเมื่อนายอำเภอมีการเรียกประชุมพี่น้องในพื้นที่ และพี่น้องมุสลิมที่ต้องการก่อสร้างมัสยิด แต่เมื่อพี่น้องในพื้นที่ส่วนมากยังคงไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้าง ทางทีมงานจึงได้พูดคุยกับนายอำเภออีกครั้ง โดยทางทีมงานยินดีที่จะย้ายสถานที่ก่อสร้างไปยังพื้นที่เหมาะแห่งใหม่ โดยทุกฝ่าย ทั้งพี่น้องในพื้นที่ก่อสร้างเดิม พี่น้องมุสลิมจังหวัดน่าน และนายอำเภอ ร่วมกันจัดหา ล่าสุดซึ่งนายอำเภอแจ้งว่าได้สถานที่ก่อสร้างมัสยิดแห่งใหม่ที่เหมาะสมกว่าเดิม อยู่ใกล้กับโรงพยาบาลค่ายสุริยพงษ์ ห่างจากสถานที่เดิมประมาณ 3 กิโลเมตร และห่างจากอำเภอประมาณ 1 กิโลเมตร ทางทีมงานอยู่ระหว่างการประชุมเพื่อตัดสินใจ โดยงบประมาณในการก่อสร้างมัสยิด และสาธารณูปโภคทั้งหมด เบื้องต้นได้รับการสนับสนุนจากชาวอาหรับประมาณ 2 ล้านบาท แต่ยังคงขาดที่ประมาณ 1 ล้านบาท ที่อาจจะต้องขอการสนับสนุนจากพี่น้องต่อไป ที่มา http://i-newsmedia.net/in/ยันมัสยิดน่านไร้ขัดแจ้/ เปิดอุปสรรคการสร้างมัสยิดใน จ.น่าน หลังถูกคัดค้านถึง 3 ครั้ง โพสต์เมื่อ : 28 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 10:07:57 เปิดปมอุปสรรค การสร้างมัสยิดแห่งแรก ใน จ.น่าน หลังถูกคัดค้านถึง 3 ครั้ง เปิดความกังวลของชาวบ้านสู่ความพยายามทำความเข้าใจของชาวมุสลิมที่เกี่ยวข้อง วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2558 นับเป็นกรณีขัดแย้งซึ่งยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ สำหรับความพยายามก่อสร้างมัสยิดแห่งแรกใน จ.น่าน ของกลุ่มชาวมุสลิมใน จ.น่าน หลังตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากลุ่มชาวมุสลิมใน จ.น่าน หลายสิบคนต้องพบความลำบากในการเดินทางไปละหมาดรวมยังมัสยิดเด่นชัย ใน จ.แพร่ อันเป็นมัสยิดที่ใกล้ที่สุด ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางไป-กลับกว่า 5 ชั่วโมง ในระยะทางรวมกว่า 300 กิโลเมตร ทำให้ไม่สามารถละหมาดได้ครบวันละ 5 เวลาตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลามได้ ทั้งยังเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากอีกด้วย ในขณะที่รายการเปิดปม ทางช่อง Thai PBS ได้มีรายงานถึงกรณีดังกล่าวว่า ความขัดแย้งดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ความพยายามครั้งแรกในปี พ.ศ.2555 ในครั้งนั้นทางกลุ่มได้ตกลงเรื่องการซื้อ-ขายที่ดินกับเจ้าของที่ไว้แล้ว แต่เมื่อเจ้าของที่ทราบว่าจะนำที่ดินไปก็สร้างมัสยิดจึงปฏิเสธไม่ขายที่ดินให้ กระทั่งต่อมาช่วงปลายปี 2557 กลุ่มชาวมุสลิมใน จ.น่าน ก็ได้เข้าซื้อที่ดินขนาด 3 งาน ที่บ้านปุบผาราม ต.ฝายแก้ว อ.ภูเพียง จ.น่าน เพื่อเตรียมสร้างมัสยิดอีกครั้ง แต่ก็ถูกคัดค้านอย่างรุนแรงในเวลาต่อมา ทำให้เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2558 ผู้ใหญ่บ้านจึงได้เรียกชาวบ้านเข้าประชุมร่วมกับผู้นำศาสนาอิสลาม รวมถึงชาวมุสลิมใน จ.น่าน เพื่อทำความเข้าใจเรื่องการสร้างมัสยิดในพื้นที่ อย่างไรก็ตามความพยายามครั้งที่ 2 นี้มีอันต้องสิ้นสุดลง เมื่อชาวบ้านแสดงความเห็นคัดค้าน โดยมองว่าชุมชนดังกล่าวไม่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เลย อีกทั้งทางเข้า-ออกพื้นที่ยังมีความคับแคบ หากมีคนเดินทางมาละหมาดเป็นจำนวนมากอาจสร้างความเดือนร้อนให้แก่ชาวบ้านได้ แม้ว่าชาวบ้านจะไม่รังเกียจในเรื่องศาสนา แต่มีความกังวลถึงปัญหาที่จะตามมาในอนาคต ขณะที่ผู้นำกลุ่มมุสลิมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างมัสยิด ได้ตัดสินใจยกเลิกการสร้างมัสยิดในพื้นที่ในที่สุดหลังได้รับฟังความเห็นค้านของชาวบ้าน ก่อนจะติดต่อซื้อที่ดินแห่งใหม่ซึ่งอยู่ห่างจากที่ดินเดิมราว 1 กิโลเมตร ที่พิจารณาแล้วว่ามีความเหมาะสมต่อการสร้างมัสยิด เพราะอยู่ติดถนนใหญ่ จึงไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องการจราจร ทั้งยังอยู่ห่างจากชุมชนอีกด้วย ขณะที่ผู้นำศาสนาชี้ว่า สำหรับความกังวลของหลายฝ่ายในเรื่องการส่งเสียงอาซาน เพื่อเรียกชาวบ้านให้มาละหมาด ว่าจะก่อให้เกิดเสียงดังรบกวนชาวบ้านนั้น จริง ๆ แล้วมัสยิดจะมีการอาซานในพื้นที่ชุมชนมุสลิม เพื่อเรียกชาวมุสลิมให้มาร่วมละหมาดวันละ 5 เวลา ดังนั้นหากมัสยิดไม่ได้อยู่ในพื้นที่ชุมชนมุสลิมเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอาซาน แต่มีการนัดหมายเวลามาทำละหมาดรวมกันแทนได้ อย่างไรก็ตาม ความพยายามก่อสร้างมัสยิดแห่งแรกใน จ.น่าน ก็ยังคงพบอุปสรรค โดยเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา อันเป็นกำหนดการทำพิธีลงเสาเองของมัสยิดในที่ดินดังกล่าว ได้มีผู้นำชุมชนใน อ.ภูเพียง เข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่ ตัวแทนชาวมุสลิมจึงได้เข้าไปทำความเข้าใจ พร้อมเสนอให้ผู้นำชุมชนทำการนัดหมายกับผู้นำชุมชนทั้งหมดและผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องเข้ามารับฟังการชี้แจงถึงเหตุผลในการสร้างมัสยิด รวมถึงรับฟังข้อกังวลจากกลุ่มต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจต่อไป กระทั่งท้ายที่สุด ความพยายามครั้งที่ 3 มีอันต้องเลื่อนออกไปอีกครั้ง เมื่อ ปลัด อบต. ในพื้นที่ได้ขอร้องให้ทางกลุ่มมุสลิมเลื่อนการสร้างมัสยิดออกไปก่อน จนกว่าจะทำความเข้าใจกับผู้นำชุมชนคนอื่นได้เรียบร้อย เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น ประเด็นเรื่องความพยายามสร้างมัสยิดแห่งแรกใน จ.น่าน ได้นำมาซึ่งความคิดเห็นที่ขัดแย้งจากหลายส่วน โดยนอกเหนือจากความกังวลในด้านผลกระทบต่อชุมชนแล้ว ก็ยังมีเสียงสะท้อนอีกจำนวนมากที่ส่อให้ถึงความคิดค้านต่อการก่อสร้างมัสยิดดังกล่าว โดยอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ชาวเน็ตมองก็คือ จ.น่าน เป็นเมืองพุทธ พวกเขาจึงอยากให้มีการอนุรักษ์ให้เป็นเช่นนี้ตลอดไป รวมถึงมองในด้านความต่างของวัฒนธรรมด้วย ซึ่งนี่คงเป็นอีกหลายสิ่งที่ทางกลุ่มผู้นำศาสนาในพื้นที่จะต้องทำความเข้าใจต่อประชาชนต่อไป อย่างไรก็ตามก็ยังมีผู้คนอีกหลายฝ่าย ที่มีความเข้าใจในด้านความจำเป็นในการมีศาสนสถานในพื้นที่ เพื่อให้ชาวบ้านได้เข้ามาสักการะ นอกจากนี้ยังมองว่าแม้ว่า จ.น่าน จะเป็นเมืองพุทธ แต่ก็ใช่ว่าจะต้องปิดกั้นศาสนาอื่น ๆ จนไม่สามารถสร้างสถานที่ทางศาสนาได้ ที่มา http://hilight.kapook.com/view/116628
เมื่อ 20 ปี ก่อน ผมอยู่แถวสี่แยกบ้านแขก อยู่ใกล้มัสยิดก็ได้ยินเสียงทุกเช้า แต่ก่อนเสียงลำโพงไม่ได้ดังสนั่นแบบปัจจุบันนี้นะ อาจจะเพราะลำโพงสมัยก่อน+เครื่องขยายเสียงสมัยก่อนมีราคาแพง+กำลังวัตต์ต่ำ แต่ปัจจุบันเหมือนมัสยิดแข่งโชว์กำลังเครื่องเสียงกันหรือยังไงมิทราบ ช่วงเช้ามืดนี่ดังสนั่นได้ยินกันทั้งบางจริง ๆ ที่จริงมีกฏหมายการควบคุมการใช้เครื่องขยายเสียงอยู่แล้ว ใช้ควบคุมสถานบันเทิง งานวัด งานมหรสพต่าง ๆ เพียงแต่ที่ผ่านมาตราบใดที่ยังไม่มีคนร้องเรียนเจ้าหน้าที่ก็จะไม่ค่อยเข้มงวดนัก งานนี้ถ้าไม่ต้องการให้เรื่องลุกลามใหญ่โต หน่วยงานของรัฐก็ไปปรึกษาหารือกับจุฬาราชมนตรี แล้วออกหนังสือเวียนสั่งการไปยังมัสยิดต่าง ๆ กำหนดความดังของเสียงลำโพงไว้ให้ชัดเจน ถ้าเคยมีการกำหนดไว้แต่ไม่เคยตรวจสอบว่ามีการปฏิบัติตามกฏจริงหรือไม่ก็ให้ออกหนังสือย้ำไปอีกที แล้วจัดส่งเจ้าหน้าที่คอยสุ่มตรวจมาตรฐานความดังของเสียงแล้วแจ้งเตือนให้ปฏิบัติตามกฏหมาย ส่วนที่จังหวัดน่านเป็นรูปแบบตามวิถีชีวิตของชาวบ้าน รูปแบบมัสยิด ระยะห่าง ขนาดลำโพง ความดังของเสียง ก็ให้ชุมชมร่วมกันปรึกษาหารือกำหนดความเหมาะสมกันเอง ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ผมเชื่อว่าสังคมไทยเปิดกว้างในการนับถือศาสนา
การจะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย ถ้าเครื่องเสียงดังเกินไป ก็น่าจะปรับให้อยู่ในระดับที่ไม่ไปรบกวนคนอื่นมากไป
ผมมีประสบการณ์การอยู่ร่วมกับชุมชนชาวมุสลิมมาพอสมควร อยู่หาดใหญ่ ก็อยู่บริเวณไม่ไกลจากชุมชนชาวมุสลิม พอทำงาน ก็ทำงานไกล้ๆ กับชุมชนอิสลามย่านพัฒนาการ ตอนนี้ ย้ายมาบริเวณแยกอ่อนนุช ศีนครินทร์ ก็ยังไม่ไกล เสียงดังจากลำโพง ไม่ว่าจะเสียงละหมาดที่ว่ากัน หรือยามมีงาน โดยเฉพาะงานศพ ก็จะประกาษออกลำโพงกันอยู่ประจำ กรณีงานศพ เข้าใจว่า เป็นเพราะงานศพของมุสลิม จะไม่ข้ามวัน จึงจำเป็นต้องใช้ลำโพงขยายเสียง เพื่อประกาศให้ทราบโดยทั่วถึงกัน ส่วนกรณีอื่นๆ ก็คงเป็นการกระจายเสียงให้ได้ยินกันสะดวกๆ เพราะชาวมุสลิม มักสร้างที่พักอาศัยกันเป็นชุมชนร่วมกัน ไม่ค่อยมีต่างคนต่างอยู่เท่าไหร่ รวมถึงความเคร่งครัดในการปฏิบัติ ที่มีค่อนข้างมากกว่าชาวพุทธเรา ประเพณีทางศาสนา จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดกันไม่ขาดตกบกพร่อง ยอมรับครับ ว่าทุกเช้ามืดที่ได้ยินเสียงจากลำโพง ก็รู้สึกหนวกหูไม่ใช่น้อย แต่ผมเข้าใจนะครับ เพราะวิธีแบบนี้ พวกเขาจึงยังคงความเคร่งครัด ความสามัคคีในชุมชน การช่วยเหลือคนละไม้ละมือ ร่วมแรงร่วมใจ ทุกคนมีส่วนร่วม นี่เป็นผลจากสิ่งที่พวกเราอาจจะรู้สึกรำคาญนี่แหละ ถ้ามองในแง่ดี ผมว่า สิ่งนี้ควรนำมาเป็นต้นแบบให้แต่ละชุมชน แต่ละศาสนาด้วยซ้ำ แต่อาจจะต้องปรับปรุง ให้ไม่รบกวนคนอื่นมากเกินไปเท่านั้น (เคยพักคอนโดที่ลำโพงหันเข้าหาห้องโดยตรง เลยได้ยินถนัดหูทุกเช้ามืดครับ)
ตรรกะแบบนี้ก็ไม่ถูกครับ เขาไม่ได้ต่อต้านเรื่องการชวนทำดี เขาอยากอยู่สงบ ๆ ไม่มีเสียงรบกวน ชวนทำดีแบบไม่ต้องหนวกหูคนอื่นก็ทำได้นี่ครับ ไม่ใช่อ้างว่าชวนทำดี แล้วจะหนวกหูคนอื่นยังไงก็ได้
คำแนะนำสำหรับคนที่จะซื้อบ้านแล้วอยากได้ความสงบ ให้เลือกบ้านห่างไกลจากสิ่งต่อไปนี้: 1. วัด 2. มัสยิด 3. โรงเรียน มหาวิทยาลัย 4. ร้านเหล้่า คาราโอเกะ 5. ทางหลวง 4 เลน 6. สนามบิน
ถ้าอยู่กันดีๆ ก่อนที่จะมีการส่งนักเรียนไปเรียนศาสนาที่ตะวันออกกลางแล้วไปได้แนวคิดสุดโต่งมาก็อยู่กันได้ครับ ถ้าดำเนินชีวิตไม่สุดโต่งแบบคุณดำรงค์ สังคมไทยก็สงบสุขดี แต่ข่าวที่มันออกมาทุกวัน ทุกวัน บอกตรงๆ พวกคุณต้องจัดการกันเองก่อน (เหมือนที่พวกผมพยายามจัดการกับจานบิน) จากข่าวข้างบน เคยมีผู้นำศาสนาออกมาประนามมั๊ย? เอาแบบผู้นำสูงสุดนะ ต้องจัดการลัทธิสุดโต่งก่อนครับ มันน่ากลัว น่ากลัวเพราะพวกนี้ฆ่ากันจริงๆ ฆ่ากันถึงตาย จะว่าไป จานบินเขาแค่อยากได้เงินทอง ไม่ถึงกับไปฆ่าแกงใคร ชาวบ้านที่เขาเสพข่าว เขาก็กลัวครับ อ่านข่าวภาคใต้ทุกวัน ใครๆก็กลัว ชาวบ้านแถวนั้นเขาคงคิดว่า" ถ้ามีเยอะๆ เดี๋ยวพวกดักฆ่าตัดคอฉันจะพึ่งใครได้" ปล. ข้อเพิ่มเติมนิด หัวข้อกระทู้คุณผิดครับ ถ้าคุณไม่แยกระหว่าง ศาสนาอิสลาม กับลัทธิสุดโต่ง ก็ลำบากครับ ไม่ใช้แยกแต่ปากนะ ต้องประนามด้วย(หมายถึงผู้นำศาสนาต้องออกมาพูด) และก็ต้องเข้าใจชาวบ้านด้วยว่า เขา"กลัว" ไม่ใช้"เกลียด" คิดดูขนาดโตมาในสังคมที่เจริญแล้วอย่างอังกฤษ(ตามข่าวข้างบน) อยู่ๆพวกติดเชื้อสุดโต่งมา ลุกมาฆ่าตัดคอคนหน้าตาเฉย.... บอกตรงๆผมก็กลัว
สมัยก่อนคนอิสลามเขาจะอยู่กันเป็นกลุ่ม เป็นหมู่บ้าน หรือชุมชน ก็ทำอย่างนั้นกันมาจนชิน แต่ต่อมาคนอิสลามย้ายไปอยู่ที่อื่น คนที่ไม่ใช่อิสลามก็ย้ายเข้ามา เลยเกิดปัญหาเรื่องไม่คุ้นชิน ความจริงยุคสมัยเปลี่ยนไป ก็ควรต้องปรับเข้าหากัน อิสลามก็อาจต้องลดเสียงลงหรือไม่ใช้เสียงเรียกเลยก็ได้ เพราะตอนนี้น่าจะไลน์เรียกกันได้ ส่วนคนอื่นก็ค่อยๆทำตัวให้คุ้นชินบ้าง สังคมก็จะน่าอยู่ขึ้น ไม่ต้องเอาเรื่องศาสนามาฟาดฟันกัน
มุมมองของ ผม หากเอาความเชื่อทาง ศาสนา คำสอนที่มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ...มันแก้ไม่จบหรอกครับ มีแต่ยิ่งรุนแรงขึ้น อยากให้เริ่มด้วยเรื่องที่เราคิดว่าง่าย คือ สิทธิในการการนับถือศาสนา กับเสรีภาพในการดำเนินกิจกรรมทางศาสนา เป็นเรื่องเดียวกัน หรือคนละเรื่องกัน อิสลามควร ปรับเรื่องอะไร เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบ คนไทยพุทธ ควรปรับด้านไหน ที่สามารถดำเนินกิจกรรมกับ ผู้ที่นับถือ ศาสนาอิสลามได้ อย่างแบ่งปัน ครับ ยินดีมากครับและ ขอบคุณ ที่ให้ความคิดเห็น ครับ
ที่อยุธยา(บ้านเกิดคุณดำรงค์ พุดตาล)ก็อยู่ร่วมกับคนพุทธมาได้เป็นร้อยปีไม่เห็นมีปัญหา มันมามีปัญหาเมื่อลัทธิสุดโต่งเข้ามา
เรื่องสำคัญอีกอย่างที่เขาต่อต้านเพราะจุดที่จะสร้างนั้นไม่มีคนมุสลิมอยู่เลย แล้วทำไมจะต้องไปสร้างตรงนั้น แล้วเท่าที่ดูในข่าวก่อนหน้านี่ ไอ้คนจะสร้างมันเป็นคนที่ใหนก็ไม่รู้ บางคนอาจจะไม่ใช่คนไทยด้วยซ้ำ
คือว่า............ไม่เข้าหา ก็มาเองครับ บ้านผมเมื่อก่อนมีแต่ป่ากับดินแดง ติดสุสานอีก แต่ตอนนี้ร้านเหล้่า คาราโอเกะ กับอะไรต่อมิอะไรเริ่มตีกรอบล้อมบ้านเพียบ
เฉพาะเรื่องพุทธด้วยกัน ก็ขัดแย้งกันจะแย่แล้ว ไม่อยากให้เอาศาสนาอื่นมาเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ มันจะเลยเถิดไปกันใหญ่ ปล.ความเห็นส่วนตัวค่ะ
ขอตอบในฐานะที่อยู่ในหมู่ของชาวมุสลิมมานาน แถวบ้านมีมัสยิดเป็นร้อยๆ ตอนเช้าก็ได้ยินเสียงแล้ว แต่ละมัสยิดก็จะใช้เสียงลำโพงเต็มที่ เต็มกำลังส่งของเครื่อง แม้ขณะไปตีกอลฟ์สนามละแวกบ้าน ไม่ต้องมองดูเวลาเลย รู้เลยว่า ตอนนี้เที่ยงแล้ว จะบอกว่า ดังมั้ย ดังมาก เคยถามอิหม่ามว่า ทำไมต้องเสียงดัง อิหม่ามตอบว่า ต้องดัง ไม่งั้น ชาวบ้านชาวมุสลิมไม่ได้ยิน
มุสลิมมีแต่พวก กปปส ทั้งนั้น นู้น ไปสร้างในพื้นที่ กปปส เยอะๆ ทั้งกรุงเทพทั้งภาคใต้ ไม่มีใครห้ามหรอก จะเปิดลำโพงกี่เดซิเบล ทำพิธีกันละหลายๆรอบต่อวัน แล้วยิ่งเอาพวกแขกตะวันออกกลาง อพยพมา อยู่ด้วยเหมือนชุมนุมมุสในกรุงเทพยิ่งดี พวกกปปส จะได้อบอุ่น เหมือนแขกสาธิต อยู่ยาวๆๆ ไปเลย
ถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึกว่าคุณสาธิตไม่ใช่มุสลิมนะครับลูกพี่ แต่ไม่ว่ายังไงพี่ก็สุดยอดจริงๆนะ คุยกันเรื่องอะไรพี่เข้ามาตอบได้ทุกเรื่องเลย
คือป่าช้าเมื่อไหร่แกจะเลิกไร้สาระวะเนี่ย งั้นผมบอกว่าโจรใต้เป็นมุสลิมควายแดงนะ เพราะพฤติกรรมเหมือนกันเป๊ะ คือเป็นโจรแบ่งแยกดินแดน