คือไปฟ้องหมอหาว่าร.พ.ไม่มีแพทย์ดมยาเลยผ่าตัดญาติเขาตาย สุดท้ายรัฐไม่สามารถหา แพทย์ดมยามาประจำร.พ.ชุมชนได้ เลยแก้ปัญหาด้วยการ"งดผ่าตัด" ส่งต่อลูกเดียว ต่อให้ใกล้เป็น100กม. ก็ส่งต่อ คนกลุ่มนี้ภูมิใจมากเลยนะ ไม่สำเนียกด้วยซ้ำว่าตัวเองนั่นแหละคือตัวปัญหา! แทนที่พวกมึงจะมาดูว่า สิ่งที่เรียกร้องให้หมอทำน่ะ ให้งบให้เครื่องมือหมอพอมั๊ย ไอ้กลุ่มนี้เอาแต่ด่าหมอ แทนที่จะไปด่ารัฐบาลว่าให้งบไม่พอกับค่าใช้จ่าย คือไอ้กลุ่มนี้มันฆ่าคนทางอ้อมไปกี่ศพแล้ว ยังไม่รู้ตัวกันอีก -*-
หมอแก้ตัวแย่ ๆ ผมเห็นมีสองแบบ คือ ดราม่ามาก็ดราม่ากลับ กับ พูดแบบไม่เข้าใจจิตใจของผู้สูญเสีย ปัญหามันถึงไม่จบ
เอามาให้อ่านเล่นๆ เพราะนี่คือเรื่องจริงของประเทศไทย และปัญหานี้มีแต่จะเพิ่มขึ้น เพราะไม่มีใครคิดจะแก้ไข ---------------------------------------------------------------------- คำสนทนาต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่เพิ่งเกิดขึ้นกลางดึกของค่ำคืนหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ โดยมันบ่งบอกข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับระบบรักษาพยาบาลของไทย: “ก่อนอื่นขออนุญาตแจ้งให้ญาติทราบเรื่องค่าใช้จ่ายเบื้องต้นก่อนน๊ะค๊ะ” “ค่าผ่าตัดและห้องผ่าตัดหัวใจในแบบที่คุณหมอฯ แจ้งให้ทราบนั้นราคา 1 ล้านบาท ส่วนค่าห้องซีซียูคืนละ 1 แสนบาทค่ะ...ทางเราจะจัดเตรียมทุกอย่างพร้อมทันทีที่คนไข้มาถึง" http://mba-magazine.blogspot.com/2014/08/blog-post.html
ดราม่าเรื่องการแพทย์อีกแล้ว เรื่องแบบนี้มันปลายเหตุทั้งนั้น ในฐานะแพทย์ที่ทำงานอยู่ทุกวันนี้ ผมคิดว่าผมรู้นะว่าต้นเหตุของปัญหาการสาธารณสุขไทยมันอยู่ตรงไหน แต่เรื่องนี้เล่าแล้วมันยาว แถมแก้ยากด้วย ตอนนี้ผมว่าผมนั่งรอดูความล่มสลายของการสาธารณสุขไทยที่กำลังก่อตัวรุนแรงเรื่อยๆ ดีกว่า และทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งแพทย์และผู้ป่วยจะได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้าไม่ต่างกัน ส่วนตัวผมนั้นคิดหาทางรอดของตัวเองไว้แล้วและน่าจะเอาตัวรอดได้ ตอนนี้ขอดูดราม่าแบบนี้ไปเรื่อยๆ ดีกว่า
ผ่าตัดแล้วคนไข้ตาย โดนตัดสินให้จำคุกเพราะประมาท ไม่มีวิสัญญีแพทย์ คลอดแล้วพิการ โดนตันสินให้จ่ายค่าเสียหาย เพราะผู้ทำคลอดไม่ใช่สูตินรีแพทย์ แล้วใครล่ะไปสร้างบรรทัดฐานเหล่านี้ครับ เมื่อมีบรรทัดฐาน คดีตัวอย่าง หากโรงพยาบาลไม่มีวิสัญญีแพทย์ ไม่มีสูตินรีแพทย์ ก็ต้องส่งต่ออย่างเดียวครับ ก็อยากได้แบบนี้กันไม่ใช่หรือครับ
ปัญหาเกิดจากเอาเงินเป็นตัวตั้งนี่แหละ ในฐานะประชาชนตาดำๆทำได้แค่บริจาคเงินให้โรงบาลรัฐ บริจาคเลือดเป็นประจำ
ต้องเจอเรื่องภาวะแทรกซ้อนอัตราการตาย 80% (ทางปฏิบัติเตรียมจองวัดไว้ได้เลย) แล้วบอกว่าแสดงว่าอีก 20% ยังรอด ถ้ามีหมอเฉพาะทางอยู่ก็ต้องรอด เงิบกันไหมล่ะ กลายเป็นว่าถ้าเคสไหนมีอัตราการตายแล้วไม่มีหมอเฉพาะทางอยู่ก็ส่งต่อได้เลย ไม่งั้นนึกเสมอว่ากำลังเอาขาแหย่คุกอยู่
แต่ก่อนผมคงด่าโรงพยาบาล แต่มาตอนนี้ ผมไม่ด่าแล้ว เพราะผมเอง ก็ถึงวัยพบหมอบ่อย ๆ แล้ว ทั้งตัวเอง แล้วก็ แม่ พี่ชาย ตอนนี้ ผมรู้เลย ว่ายังไงก็ต้องพึ่งพา แพทย์ พยาบาล จะรักษาได้ผลดี หรือ ไม่ดีขึ้น อย่างน้อย ก็ดีกว่าไม่ไปรักษา แล้วเอาเข้าจริง ตอนนี้ ผมก็คิดว่า เราขาดพวกเค้าไม่ได้ แล้วพวกเค้า ก็ทำงานกันหนักมาก (ใครไปเลิดสินจะรู้ คนไข้บานนนนน) ตอนนี้ บางครั้งถึงจะเจอหมอเหน็บแนมบ้าง หรือคุณพยาบาล อารมณ์เสียใส่บ้าง ก็เริ่มเคยชินแล้ว เพราะลองคิดเอาตัวเราไปเทียบเค้า เราอาจทำอะไรแย่ ๆ กว่าอีก เรื่องเป็นตาย ผมว่า บางที เค้าไม่ตั้งใจหรอก แต่ที่มันเกิด มันก็เป็นเรื่องคาดเดายาก บางที อาจต้องนึกถึงเวรกรรมด้วย การเอาแต่โทษคนอื่น มันก็ไม่ช่วย ให้ญาติเราฟื้นขึ้นมาหรอก ตรงข้ามเราปล่อยวางบ้าง คิดเสียว่า เราก็พยายามช่วยเค้าแล้ว ไม่มีใครอยาก ให้เค้าตายหรอก เราก็ทำได้แค่นี้ ในฐานะที่รักษาไม่เป็น แค่เอาใจช่วย มันก็ได้เท่านี้ คุณหมอ พยาบาล บางครั้งก็ทำพลาด แต่คงไม่จงใจแน่ ๆ ก็คิดซะว่า สุดแต่เวรกรรม ทำใจเราให้เป็นกุศล จะได้ช่วยให้ญาติเรา ไปดี ไปสบายขึ้น ไม่ต้องพะวง ว่าจะเป็นบาปกรรม ไปชาติหน้า นั่นน่าจะดีกว่า
ส่วนเรื่องทำไมไม่ผ่าเอาเด็กออกนี่คงดูหนังละครมากไปกระมัง 1. ใครยินยอมอนุญาตให้ผ่า 2. ทารกในครรถ์ยังไม่ถือว่าเป็นสภาพบุคคลตามกฎหมาย แต่แม่นี่มีสภาพบุคคลตามกฎหมาย 3. กว่าจะลงความเห็นว่าคนเป็นแม่เสียชีวิต หัวใจหยุดเต้นถาวรปั๊มไม่ขึ้น กินเวลาไปแล้วกี่นาที 4. กว่าจะเตรียมขั้นตอนผ่ากินเวลาไปกี่นาที ผ่าไปก็คงเตรียมตัวเข้าคุกหรือจ่ายค่าชดเชยได้เลย หากญาติเอาเรื่อง