ครั้งเมื่อผมอายุ 11 ขวบ ตอนนั้นเรียนอยู่ ป.3 ย่าง ป.4 ครับ เด็กรุ่นก่อนจะเข้าเรียนเมื่ออายุ 8 ขวบ และหลักสูตรการเรียน มี ป.1-ป.7 และ มศ.1-มศ.3 จะได้ใบสุทธิ ถ้าเรียนต่อ มศ.4-มศ.5 จะมีใบประกาศนียบัตรเพื่อสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ตอนอายุ 11 ปี เรียนชั้น ป.3 ผมได้รับหน้าที่เพิ่มจากการเรียนปกติ โดยต้องเริ่มทำหน้าที่โบกธง ห้ามรถหน้าโรงเรียนครับ ซึ่งจะมีเวรที่ต้องทำหน้าที่นี้ วันละ 8 คน เพราะจุดข้ามถนนหน้า รร. มี 2 จุด แบ่งกัน จุดละ 4 คน และฝั่งถนน ฝั่งละ 2 คน และจะทำหน้าที่นี้ 2 ปี คือ ป.3-ป.4 เมื่อขึ้นชั้น ป.5-ป.6 แล้วจะเปลี่ยนหน้าที่ไปเป็นเดินตรวจรุ่นน้อง ที่มักแอบไปเล่นกันในบริเวณวัด เนื่องจากเป็นโรงเรียนที่อาศัยที่วัด แต่มีรั้วเตี้ยๆกั้นแบ่งเขตไว้ พวกรุ่นเล็กมักชอบไปเล่นกันแถวหอระฆังบ้าง ลานวัดบ้างหรือไปส่งเสียงเอะอะกันบริเวณโบสถ์ จึงต้องมีรุ่นพี่คอยเดินดูเวลาเช้าๆ และไล่ให้ไปเล่นที่ลานกีฬาของโรงเรียน ส่วนพี่ ป.7 จะปลดภาระหน้าที่การทำงานเพื่อสังคมของโรงเรียนครับ ตั้งหน้าตั้งตาเรียนกันอย่างเดียว พวกรุ่นน้องจำพี่ๆได้ทุกคน ถ้าเห็นเดินสวนมาจะหลีกทางให้ ..ถือกันว่ารุ่นใหญ่สุด ต้องให้ความเคารพ ฮ่าๆๆ เด็กนักเรียนสมัยผมที่เรียนโรงเรียนวัดแห่งนั้น ตั้งแต่ชั้น ป.2 ขึ้นไปทุกชั้น จะมีกิจกรรมที่โรงเรียนบังคับให้ปฏิบัติทุกคน คือ ทุกวันพระ เมื่อจบคาบเรียนที่ 1 ทุกคนทุกชั้นเรียนยกเว้น ป.1 จะต้องมาเข้าแถว เพื่อให้คุณครูตรวจเสื้อผ้า-ร่างกาย เมื่อเสร็จแล้วจะเดินเรียงแถวกันไปที่ศาลาการเปรียญของวัด และทำการสวดมนต์ประมาณ 5-6 พระสูตร จากนั้นฟังพระธรรมเทศนาจากพระสงฆ์ของวัด รวมๆแล้วใช้เวลา ประมาณ 1 ชม.เศษ เรียบร้อยเวลาประมาณ 11 โมง ก็จะเดินแถวกลับเข้าห้องเรียน เรียนต่ออีกหนึ่งคาบวิชา ก็ได้เวลาเที่ยง. ทานข้าวกัน จนปัจจุบันผมยังจำบทสวดมนต์บางบทได้แม่นยำ เช่น พาหุงฯ ครับ ไม่เคยลืม และยังจำได้ว่าพี่สาวพาไปเข้าเรียน ป.1 ในวันแรก พอวันต่อมา ผมเดินจากบ้านไปโรงเรียนคนเดียวทุกวัน ระยะทางประมาณ 2 กม.ได้ จำได้ถึงร้านค้าที่เดินผ่าน ป้ายรถที่มีคนรอรถเมล์ สะพานดำรงค์สถิตย์ข้ามคลองมหานาค ที่เดินข้ามทุกเช้า-เย็น เรือโยงบรรทุกผลไม้-บรรทุกถ่านที่แล่นอยู่ในคลอง แล่นไปได้โดยมีคนใช้ถ่อยาว ปักลงไปแล้วหันหลังเดินค้ำถ่อตามกราบเรือจากหัวเรือถึงท้ายเรือ หวนระลึกทีไรก็เห็นภาพเหล่านั้นชัดเจนติดตา
เสาร์ อาทิตย์ ตามพี่ๆ ไป ยิงนก ตกปลา จับแย้ ปีนต้นไม้เก็บผลไม้ เข้าป่าหาของป่า มีปืนแก๊ป ของตัวเอง มีตะเกียงแก๊สถ่านหิน ทำระเบิดจากดินประสิวได้ ออกเรือทะเลชายฝัง ไประเบิดปลา ทำนาเป็น ทำงานรับจ้างขนของหาเงินได้แล้ว เห็นเด็กคนนี้แล้วผมอมยิ้มเลยครับ
ตอน 11 ขวบ ผมยังเถียงว่า ทำไมถุงเท้าทำไมสีไม่เท่ากัน ทำไมสั้นยาวไม่เท่ากัน พอโตมาผมหาเงินได้ปีละหลายล้านบาท ยังนึกขอบคุณที่ตอน 11 ขวบยังนั่งเถียงว่า ทำไมถุงเท้าทำไมสีไม่เท่ากัน ทำไมสั้นยาวไม่เท่ากัน เคยมีคนกล่าวไว้ว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ แต่ผมเพิ่มอีกนิดว่า ถ้าเป็นคนเก่งแล้ว จงทำตัวให้เป็นประโยชน์และดี อย่าเบียดเบียนเอาเปรียบคนอื่นในสังคม
เรื่องถุงเท้าผมก็มีปัญหานะ ข้างหนึ่งสั้นข้างหนึ่งยาวมีคนทักว่าผมใส่ผิด ผมบอกว่าไม่ผิดหรอกเพราะที่บ้านมีอีกคู่สั้นกับยาวเหมือนกัน อิๆๆๆ ตอนเรียนนะมีเพื่อนเรียนเก่งแต่ไม่รู้จะไปหาซื้ออะไรๆๆๆที่ไหน คนที่เรียนไม่เก่งรู้ทุกอย่างในโลกยกเว้นข้อสอบ ผมเลยตัดสินใจว่ามีเงินจ้างคนเมื่อไรจะเลือกแต่คนนมโต ตอบคำถามตอนผมอายุ11ปีผมทำอะไรอยู่ ตอนนั้นผมชอบและผมจะไม่ขอเปลี่ยนแปลง สำหรับกระทู้ที่เอามาลงน้องวคนนี้เก่งตอนนี้แต่อีก30ปีผมอยากให้ตั้งกระทู้นี้อีก
ถ้าทำอะไรเหมาะสมกับวัย สังคมก็จะปกติสุขครับ เด็กก็น่าจะเรียนจะเล่นแบบเด็กๆ เป็นผู้ใหญ่ก็ต้องทำงานด้วยความรับผิดชอบ แต่มีเด็กคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าพ่อแม่เลี้ยงมายังไง อายุจะสี่สิบแล้วยังต้องจ้างคนอื่นเขียนเฟสบุ๊คให้อยู่เลย
จะว่าไปก็อาย ปีนั้น ปี 2519 กำลังเชียร์รัฐบาลปราบนักศึกษาธรรมศาสตร์ เป็นเพราะฟังข่าวโคมลอยต่าง ๆ ไม่ว่ามีขีปนาวุธตรงตึกโดม เด็กอย่างผมคงทำอะไร ไม่ได้มากกว่านั้น โตขึ้นถึงรู้ว่าเวลาคิดเสื้อแดงคิดแบบนี้นี่เอง อะไรก็ไม่ฟัง จนกว่าจะมีความเป็นผู้ใหญ่พอจะยอมรับความจริง
ตอน 11 ปี น่าจะประมาณ ป.5-ป.6 ตอนนั้นเปลี่ยนจากลูกเสือสำรองเป็นลูกเสือสามัญ เครื่องแต่งกายก็วิลิศมาหรามากขึ้น ปัญหาตอนนั้นคือ สีของถุงเท้าลูกเสือครับ ตอนเป็นลูกเสือสำรองใช้ถุงเท้านักเรียน พอเป็นลูกเสือสามัญเปลี่ยนเป็นถุงเท้ายาว มีปัญหาเรื่องสีของถุงเท้า มาโรงเรียนวันแรกแต่ละคนสีของถุงเท้าไม่เหมือนกัน เถียงกันให้วุ่นว่า ของข้าถูก ของเอ็งผิด
ช่วงอายุ 11 ปีน่าจะอยู่ ป.5 ผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องถุงเท้า แต่ผมมีปัญหาเรื่องชุดลูกเสือ ผมมีแต่เสื้อกับกางเกงและก็รองเท้า ไม่มีหมวก ไม่มีผ้าพันคอ ไม่มีเข็มขัด ไม่มีถุงเท้า ไม่มีไม้พลอง ทันทีที่เข้าโรงเรียน "คุณครู" ก็ทักว่า "ถ้ามรึงไม่พร้อมใส่ชุดนักเรียนมายังดีซะกว่า"