สาวลึกกลุ่มทุนจีน เข้ามาเปิดกิจการในภูเก็ตแย่งอาชีพคนไทย จนกิจการที่มีคนไทยเป็นเจ้าของโดนเหมารวมว่าเป็นนอมินีจีน การกวาดล้างจับกุมกลุ่มบริษัท ไท่ลี่ หรือทรานลี่ เทรเวล นอมินีคนจีน และสั่งเพิกถอนทะเบียนกิจการบริษัท ทัวร์ โรงแรม ร้านขายสินค้า และร้านนวด ธุรกิจเหล่านี้ยังมีนอมีนีจีนกลุ่มอื่น ๆ อีกจำนวนมาก รองผบ.ตร. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล บอกว่า จะบังคับใช้กฎหมายกับธุรกิจนอมินีจีนอย่างเด็ดขาด ไม่เลือกปฏิบัติ ทำให้ผู้ประกอบการคนไทย สบายใจขึ้นหากตำรวจเอาจริงเสียทีหลังจากที่ปล่อยให้กิจการนอมินีจีน เข้ามากอบโกยเงินด้านการท่องเที่ยวไทย กลับจีนทั้งหมด ส่วนรัฐบาลไทย สูญเสียงบประมาณหลายหมื่นล้านบาท กลุ่มนอมินีจีน เข้ามาแล้วจะใช้ชื่อใกล้เคียงกับบริษัทเดิม อาทิเช่น คำว่า 'รอยัล' เป็นคำหน้า ถ้าประกอบกิจการร้านจิวเวอรี่ ก็จะตามด้วยคำว่า 'เจมส์' ทำให้คนทั่วไปหรือลูกค้า เข้าใจว่า ร้านคนไทย เป็นของคนจีน นับเป็นความเจ็บปวด จีน ปลอมเป็นไทย คนไทยแท้ๆ โดนมองว่าเป็นนอมินีจีน ทั้งที่คนไทยทำธุรกิจ ถูกกฎหมาย รอยัล เจมส์ พาวิเลี่ยน ตั้งอยู่ที่อนุสาวรีย์ท้าวเทพ(กษัตรี ท้าวศรีสุนทร) สี่แยกท่าเรือ เราไปสืบค้นมาพบว่า เป็นกลุ่มทุนไทย มี สุระพงษ์ พิพัฒน์พัลลภ เป็นกรรมการบริษัท ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ มี่ผ่านมา โดนหางเลขว่าเป็น ร้านนอมินีจีน เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้าใช้บริการเป็นคนจีน ตรวจสอบจากสำนักงานทะบียนหุ้นส่วนบริษัท กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อตรวจสอบกิจการที่มีชื่อใก้เคียงกับ รอยัล เจมส์ พาวิเลี่ยน พบชื่อ บริษัท รอยัล เจมส์ ภูเก็ต จำกัด ทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 88/8 หมู่ 4 ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นคนจีน ชื่อ หาวเจ๋อ ตู้ ขณะนี้เปลี่ยนชื่อเป็นไทยแล้วด้วยการแต่งงานกับคนไทย แต่ที่ตั้งข้อสังเกตคือ ได้บัตรประชาชน มาในระยะเวลาที่รวดเร็ว ได้อย่างไร รวดเร็วขนาดตำรวจสันติบาล ไม่กล้าดึงข้อมูลออกมา เพราะจะทราบเวลาการได้บัตรประชาชน ที่น่าจะใช้เวลา ไม่ถึงปีตรวจสอบต่อไป หาวเจ๋อ ตู้ เป็นเจ้าของบริษัท กั่วลี่ กรุ๊ป ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท ทำธุรกิจทั้งร้านจิวเวอรี่ ร้านรังนก ร้านขายที่นอนยางพารา และอีกหลายกิจการ เมื่อเราบอกว่า โทรจากเนชั่นทีวี คุณหาวเจ๋อ บอกสั้นๆ ติดประชุม ไม่คุยกับนักข่าว เราตรวจสอบไปที่ผู้ถือหุ้น บริษัท กั่วลี่ กรุ๊ป ตามหนังสือบริคณห์สนธิ ผู้ถือหุ้นอีกคนคือ น.ส.วัทนารีย์ กรณ์ชาชานันท์ หมายเลขมือถือที่ให้ไว้ยังไม่เปิดให้บริการเราติดต่อไปยังผู้ถือหุ้นบริษัท กั่วลี่ กรุ๊ป คนที่สาม คือ นายตู้ ซีเวิ้น หมายเลขที่ให้ไว้เป็นเบอร์สำนักงานทนายความ นอกจากจีนจะรุกการลงทุนในกลุ่มรถเครื่องจักรหนักในอาเซียนแล้ว ที่ผ่านมาชาวจีนยังเข้ามาเป็นตัวแทนขายผลไม้เหมายกสวนในไทย แต่ตอนนี้หลายฝ่ายเริ่มตื่นตัวแล้ว เพราะหวั่นว่า อนาคตล้งจีนอาจกินรวบทั้งระบบ และกลายเป็นผู้ที่คุมตลาดผลไม้ไทย ในช่วงหลายปีทีผ่านมา การขายผลไม้ไทย จะถูกขายแบบยกเหมาสวน ให้พ่อค้าคนกลาง หรือล้งรายเล็กคนไทย แล้วบางครั้งอาจจะถูกรวบรวมส่งต่อให้ล้งจีนอีกต่อหนึ่ง แต่มาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ การค้าขายผลไม้ของชาวสวน เหลือเพียงช่องทางเดียว คือ ล้งจีนมาทำสัญญาซื้อเหมาโดยตรงกับชาวสวน ทำให้ในอนาคต เกรงว่าจะถูกกดราคาก็เป็นได้ ปัจจุบันมีจำนวนล้งจีนในไทยมีจำนวน 1,094 ราย แบ่งเป็นผู้ค้าลำไย 473 ราย ทุเรียน 556 ราย มังคุด 65 ราย โดยการซื้อขายเพื่อส่งออก จะทำสัญญาแบบเหมาสวน คัดเกรด เอ วางเงินมัดจำร้อยละ 5-10 เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว ล้งจีนจะจัดเก็บผลผลิตเอง และให้พ่อค้าคนกลางหรือตัวแทนคนไทย ทำหน้าที่คัดเกรด ชุบน้ำยา และบรรจุ ค่าดำเนินการ 3-5 บาทต่อกิโลกรัม ลักษณะนี้จึงพบปัญหาความล้มเหลวการบริหารการผลิตของไทย ที่ไม่มีการเพิ่มตลาด เพื่อลดความเสี่ยง ข้อเสนอแนวทางแก้ปัญหา และการป้องกันจากนี้ไป รัฐบาลต้องจัดระเบียบฐานข้อมูลจำนวนผู้ประกอบการผลไม้ในแต่ละจังหวัดของไทย ต้องบริหารจัดการปริมาณผลผลิตของผลไม้ทั้งประเทศ และควรกำหนดสัดส่วนการจำหน่ายผลผลิตผลไม้ ส่วนนี้ขายในประเทศ ส่วนนี้สำหรับส่งออก ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านจีนแล้ว การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของจีน ในภูมิภาคอาเซียน อาจส่งผลดีกับไทย มากที่สุด เนื่องจากมองว่าไทย เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ รวมถึงจะช่วยให้เกิดการกระจายสินค้าไปในประเทศต่างๆ มากขึ้นด้วย ภูมิภาค "อาเซียน" นับเป็นคู่ค้าที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 3 ของจีน รองจากกลุ่มสหภาพยุโรป หรือ EU และสหรัฐฯ โดยจะเห็นว่าจีน กำลังมุ่งลงทุนด้านระบบคมนาคมขนส่ง ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและธุรกิจโลจิสติกส์ ในกลุ่มประเทศ CLMV คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ตามนโยบาย "One Belt and OneRoad" ของจีน ที่พยายามจะรื้อฟื้นเส้นทางสายไหม เพื่อเชื่อมโยงเอเชีย เข้ากับยุโรป และแอฟริกา อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านจีน มองว่าประเทศที่อาจจะได้ประโยชน์มากที่สุดในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ อาจเป็นประเทศไทย เนื่องจากไทย นับเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ ขณะที่การขนส่งสินค้าจะปรับเปลี่ยนจากการขนส่งโดยรถยนต์มาเป็นการขนส่งทางรถไฟมากขึ้น อีกหนึ่งจุดแข็งของจีน ที่จะส่งผลดีกับภูมิภาคอาเซียน คือ การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ซึ่งไทย รวมทั้งประเทศอื่นๆ จำเป็นต้องลงทุนร่วมกับจีน ในการพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีในภูมิภาค ตลอดจนการที่จีน ตั้งเป้าหมายทำให้แบรนด์ "Madein China" กลายเป็นตราสินค้าคุณภาพภายในปี 2568 อย่างไรก็ตามประเด็นอ่อนไหวที่หลายฝ่ายมองว่าอาจส่งผลกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในภูมิภาค คือ ปัญหาข้อพิพาททะเลจีนใต้ แม้ว่าอาจไม่สามารถแก้ข้อพิพาทนี้ได้ในเร็ววันนี้ แต่เชื่อว่าทางออกอาจเป็นการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวร่วมกัน ขณะที่ประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ ระบุว่าต้องการแก้ปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ในระดับตัวต่อตัวกับจีน มากกว่าการนำขึ้นไปหารือในวงกว้าง ซึ่งอาจจะนำไปสู่การบาดหมางกันยิ่งขึ้น แม้ว่าจีน จะพยายามเข้ามาลงทุนและขยายฐานอำนาจในภูมิภาคอาเซียนมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังมีประเด็นอ่อนไหว โดยเฉพาะเรื่องทะเลจีนใต้ ซึ่งนับเป็นความท้าทายในความสัมพันธ์ระหว่างจีน และอาเซียน แต่ก็เชื่อว่าจะได้รับการแก้ไขไปในทิศทางที่ดีขึ้น
เอาละครับ เมื่อเราคิดว่าเราจะหนีจากปากนกอินทรีย์ และอาจไปเข้าปากพญามังกรกันหรือเปล่า ? ข้อแรกสุดเราก็ต้องสำรวจตัวเองกันก่อนว่าเราจะทำกันอย่างไรจึงจะดี ผมคิดว่าตามวัฒนธรรมแบบไทยๆ เราคงไม่คิดหนีจากปากไหนนะครับ แต่เราจะคบกับมันทั้งสองปากนี่ละ เพียงแต่ว่าไทยเราจะพาตัวไปใกล้ชิดกับปากไหนมากกว่ากัน เราจึงจะได้ประโยชน์ที่สุด วัฒนธรรม อารยธรรม ความเชื่อพื้นฐานของเหล่านกอินทรีย์ น่าจะมาจากถิ่นฐานเก่าดั้งเดิมของเขา นั่นคือบรรดาเหล่าไวกิ้งและกรีก-โรมัน นั่นคือ "ข้าคือผู้เก่งกล้า ผู้ปกครอง" ที่จะเข้ายึดอารยธรรมอื่นและเปลี่ยนแปลงของเดิมให้เป็นเหมือนของตน เชื่อในสิ่งที่เขาเหล่านั้นเชื่อ วัฒนธรรม อารยธรรม ความเชื่อพื้นฐานของพญามังกร คือ ครอบครัว เคารพต่อผู้อาวุโสสูงสุด และกำไรที่จะนำเข้าสู่ครอบครัวให้มากที่สุด ...... โดยเราควรละทิ้งเรื่องระบบการปกครองในปัจจุบัน พักเรื่องนี้ไว้เสียก่อน ด้วยเหตุผลว่าต่างฝ่ายต่างชี้หน้ากันว่า ระบบของตนดีกว่า ของอีกฟากฝั่งนั้นไม่ดี และยังไม่มีคนกลางที่สามารถตัดสินได้จริงๆ ว่า ของใครดีกว่ากัน อีกเรื่องที่คนไทยควรคาดเดาไปถึง นอกจากเรื่องการก่อสร้าง วิทยาการ ผลประโยชน์ที่เราควรได้รับจากทั้งสองปากว่าปากไหนจะให้เราได้ดีกว่ากัน และความสูญเสียที่ต้องเสียไปหากคบกันไม่ว่าจะจากปากไหนก็แล้วแต่ ..คือ สมมุติว่ามีเรื่องเอะอะปึงปัง ที่เกิดขึ้นครั้งใหญ่ไปทั่วโลก ไทยเป็นชาติบ้านเมืองขนาดกลาง ไม่ใหญ่และก็ไม่เล็ก เราย่อมต้องการความช่วยเหลือ การปกป้องคุ้มครอง ในขณะเดียวกันเราย่อมต้องส่งทรัพยากรของเราให้กับฝ่ายที่เราเลือกข้าง มันเป็นเรื่องค่อนข้างแน่นอนว่า ในยุคสมัยนี้การจะวางตัวเป็นกลางได้เป๊ะๆ มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เราจะเลือกปากที่คิดว่าเก่งกล้ากว่าเรา เข้าครอบงำยึดครองอารยธรรมของเรา กอบโกยทรัพยากรของเราไป และอยู่ห่างจากเราไปครึ่งโลก หรือเราจะเลือกปากที่คอยเอาเปรียบหากำไรจากเรา แต่ไม่เคยก้าวก่ายแทรกแซงวัฒนธรรมเรา ทั้งๆที่คบหากันมาเป็นพันปีและอยู่ใกล้เราแค่นี้เอง .......ประเด็นนี้ยังไม่นับรวมเหล่าบรรดาลูกพระอาทิตย์ ซึ่งมีวัฒนธรรมแบบตัวเป็นมังกรแต่หัวเป็นนกอินทรีย์นะครับ.....