พอดีวันนี้งานยุ่งเกือบทั้งวัน ไม่มีเวลาได้อ่านข่าวอัพเดทข้อมูล ตกลงวันนี้โล้นจิ้งเหบือง มาชุมนุมกันไหมครับ มีโล้นปลอมหรือเปล่า มียกรถทหารด้วยหรือเปล่าครับ
http://www.springnews.co.th/social/277772 องค์กรชาวพุทธแถลงท่าที! หลังผู้ตรวจการแผ่นดินชี้มติ มส.ผิดขั้นตอน Spring Update สังคม 07 มีนาคม 2016 เวลา 11:32 น. องค์กรชาวพุทธแถลงท่าที! หลังผู้ตรวจการแผ่นดินชี้มติมส.ผิดขั้นตอน พระเมธีธรรมาจารย์ และพระครูปลัดทวีวัฒน์ แถลงกรณี ผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุ ขั้นตอนการนำเสนอนามพระราชาคณะที่จะสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ผิดขั้นตอน ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่มีอำนาจให้ความเห็นข้อวินิจฉัยของมหาเถรสมาคม วันที่ 7 มีนาคม 2559 หลังจากผู้ตรวจการแผ่นดินออกมาแถลงชี้แจงว่า ขั้นตอนนำเสนอนามพระราชาคณะที่จะสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น ผิดขั้นตอน ล่าสุด วันนี้ (7 มี.ค.) พระเมธีธรรมาจารย์ ออกแถลงว่า เราไม่เคยมีวาระ ไม่เคยมีเรื่องอื่นใด ไม่เคยมีเรื่องการเมืองมายุ่งเกี่ยว ไม่เคยได้รับอามิสสินจ้างจากใคร และสำคัญนั้น เราทำเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ไม่เคยคิดที่จะทำให้เกิดความเดือดร้อน วุ่นวาย ในบ้านในเมือง และที่ผ่านมานั้น เราได้เคารพ 3 เรื่องเป็นสิ่งสำคัญ 1.เราได้เคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง เราต้องปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมือง 2.เราต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัย 3.เราต้องปฏิบัติตามจารีตประเพณี ทั้ง 3 เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่เราปฏิบัติมาโดยตลอด วันนี้เราได้นัดท่านทั้งหลาย เพื่อที่จะมาพูดถึงจุดยืนขององค์กรพุทธและภาคีเครือข่าย เกี่ยวกับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ในการวินิจฉัยเรื่องการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ด้าน พระครูปลัดทวีวัฒน์ เครือข่ายพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ประเด็นแรก ตามที่ทราบว่ามีคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินต่อมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 5 มกราคม เรื่องการเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ประเด็นที่ 2 มีตัวอย่างผลการวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินต่อผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.พิจิตร เมื่อวันที่ 22 มกราคม ปี 2559 เนื่องด้วยมีการฟ้องร้องต่อทางพระสงฆ์ใน จ.พิจิตร ผู้ตรวจการแผ่นดินวินิจฉัยแล้วบอกว่า พระสงฆ์ตามข้อกฎหมาย ตามข้อ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ นั้น ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะฉะนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงตีเรื่องการวินิจฉัย ข้อร้องเรียนต่อพระสงฆ์คืนไป พูดง่ายๆ ถือว่าผู้ตรวจการแผ่นดินเคยมีแนวทางการปฏิบัติ คือ ไม่รับพิจารณาเรื่องของพระสงฆ์ เพราะฉะนั้น ประเด็นตรงนี้ที่อยากจะมาแจ้งท่านทั้งหลายให้ทราบแน่ชัด พระครูปลัดทวีวัฒน์ กล่าวอีกว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีสิทธิในการวินิจฉัยมติของมหาเถรสมาคม แต่หากว่าผู้ตรวจการแผ่นดินจะไปวินิจฉัยการกระทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และที่สำคัญก็คือ ขอยืมคำของท่านรองนายกฯ วิษณุ เครืองาม ว่า หน่วยงานที่ทำการพิจารณากฎหมายนั้น มีชัดเจนในประเทศไทย ชื่อว่า สำนักงานกฤษฎีกา เพราะฉะนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผู้ตรวจการแผ่นดินควรเสนอไปที่สำนักงานกฤษฎีกา ดังนั้น สิ่งที่มาชี้แจงวันนี้มี 2 ประเด็น คือ 1.ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจในการให้ข้อคิดเห็นให้ข้อวินิจฉัยเกี่ยวกับ มหาเถรสมาคม 2.เราจะชี้แจงรายละเอียดแต่ละประเด็นในหนังสือเอกสารเปิดผนึก โดยต้องขออนุโมทนากับทุกท่านให้เกียรติกับทุกฝ่าย ขออนุโมทนาที่มารับฟังในวันนี้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ผมไม่เชื่อว่าไม่เคยมีเรื่องการเมืองมายุ่งเกี่ยว
วรรณรัตน์ สมฤทธิ์ แจ้งข้อกล่าวหามันเพิ่มด้วยได้มั้ย ม.112 ตร.นิมนต์พระเมธีธรรมาจารย์ไปปรับทัศนคติหลังแถลงข่าวปมสังฆราช #ไทยรัฐทีวี เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 7 มีนาคม ที่ห้องประชุมศูนย์วัดศรีสุดาราม เขตบางขุนนนท์ กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศที่วัดศรีสุดาราม หลังภาคีเครือข่ายองค์กรชาวพุทธ เปลี่ยนสถานที่แถลงข่าวจากโรงแรม S.D.Avenue ย่านปิ่นเกล้าเป็นศูนย์ประชุมวัดศรีสุดาราม เพื่อแสดงท่าทีต่อผู้ตรวจการแผ่นดินหลังออกมาที่ผู้ตรวจการแผ่นดินออกมาชี้ว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ทำผิดขั้นตอนการเสนอนามสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และได้ส่งผลวินิจฉัยไปยังรัฐบาลแล้ว โดยหน้าวัดศรีสุดาราม มีทหารและตำรวจ ยืนตรวจรถเข้าออก จำนวนหนึ่ง ต่อมาเวลา10.20 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 20 นาย ได้นิมนต์พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนพิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (ศพศ) พระเทพประสิทธิมนต์ เจ้าอาวาสวัดศรีสุดาราม และเชิญนายเสถียร วิพรมหา นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ) ซึ่งเป็นแกนนำของภาคีเครือข่ายชาวพุทธ เข้าหารือในก้องประชุมกว่า 30นาที โดยไม่อนุญาตให้กองทัพสื่อมวลชนที่มาจำนวนมากบันทึกภาพ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากคุมตัวแกนนำเครือข่ายองค์กรพุทธเข้าไปพูดคุยกันในห้องประชุมเป็นเวลา 30 นาที จากนั้น พระเมธีธรรมจารย์ (ประสาร จฺนทสาโร) เลขาธิการ ศพศ ได้มายังห้องแถลงข่าว โดยระบุว่าอาตมาไม่สามารถแถลงข่าวได้ โดยมอบให้พระอีกรูปหนึ่งแถลงเกี่ยวกับอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินว่าไม่มีอำนาจในการพิจารณาเรื่องของคณะสงฆ์ แต่หลังจากทั้ง 2 รูป แถลงข่าวได้เพียง 5 นาที ก็รีบออกจากห้องประชุม จากนั้นถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจประกบตัว พร้อมทั้งนำตัวออกไปจากวัดศรีสุดาราม
ม็อบเสื้อแดงมีแกนนำตู่เต้น ม็อบพระทำกาย+พระแดง มีท่าน "แม่งทุย" เป็นแกนนำ ดูๆสันดานคล้ายคลึงกัน สมเป็นม็อบขี้หมูไหล คนจันไรมาคล้ายกัน จะรอดูว่า "แม่งทุย" กล้ายิง M79 ป่าว
อุตส่าห์โกนหัวรอบที่2 ใหม่ๆ เมื่อคืนก็ซ้อมยกรถจนเหนื่อย พอเช้ามาบอก ไม่จ้างแล้ว เมธีทำอย่างนี้ได้ไง บอกว่าบุกก็ต้องบุกซิ เป็นโล้นห่มเหลือง แล้วตอแหลได้เหรอ
ผมอ่านแล้วปวดหัวกับคำตอบจริง ๆ ถามซ้ายตอบขวา วนไปวนมา ผมว่าคนตอบเองก็คงจะงงกับคำตอบตัวเอง ป่านนี้ผมว่าคงยังนั่งมึนอยู่แหง ๆ
น่าจะยังมึนไม่หาย ไปอ้างว่าเคยปฏิบัติกันมา แต่ลืมไปว่ายังไม่มีพระสังฆราชที่แต่งตั้งตามกฏหมายที่ใช้ปัจจุบัน พระสังฆราชเจริญก็แต่งตั้งโดยใช้กฎหมายเก่าก่อนมีการแก้ไข
ดีเอสไอส่งหนังสือเชิญสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ รายงานพิเศษ นับถอยหลัง 10 เดือน DSI ตรวจสอบดำเนินคดีรถจดประกอบ
เจ้าของอู่ซ่อม'เบนซ์สมเด็จฯช่วง' ร้องยธ.ช่วย-หลังถูกฟ้อง10ล. ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ เดินทางเข้ายื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ภายหลังถูกพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ และเลขานุการสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จฯช่วง) ฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายต่อศาลจังหวัดตลิ่งชัน เป็นเงิน10ล้านบาท สืบเนื่องกรณีที่มีการระบุว่านายวิชาญเป็นผู้ขายรถจดประกอบผิดกฎหมายให้ นายวิชาญกล่าวว่า ในวันนี้ ตนได้ยื่นขอรับความช่วยเหลือเรื่องการจัดหาทนายความ ค่าธรรมเนียมศาลและขอคุ้มครองพยาน เพราะไม่มั่นใจว่า การที่ตนถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายครั้งนี้เป็นการคุกคามหรือไม่ โดยยืนยันว่าตนรับหน้าที่เพียงการซ่อมรถโบราณเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำเอกสารเท็จในการยื่นจดประกอบ อีกทั้งไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องยนต์ตัวถังและอะไหล่ทั้งหมด จึงไม่สามารถรับรถคืนมาได้เพราะตนรับจ้างซ่อมรถไม่เคยมีชื่อครอบครองรถค่ารถ4ล้านบาท หลวงพี่แป๊ะแบ่งจ่าย2.5ล้านบาทให้บริษัทอ๊อด89 ซึ่งเป็นผู้จัดหาตัวถังรถ เครื่องยนต์ และอะไหล่ส่วนเงินค่าจ้าง 1.5ล้านบาทไม่ได้เป็นการจ่ายเพียงงวดเดียว แต่ทยอยจ่ายเป็นงวดตามรายการสั่งซ่อม หากข้อเท็จจริงตรงนี้เป็นความผิดก็ต้องฟ้องผู้ซ่อมทุกราย เพราะอู่วิชาญเป็นเพียงศูนย์กลางในการจ่ายงานไปยังอู่ต่างๆ เช่น ซ่อมตกแต่งเบาะภายในซ่อมท่อไอเสียระบบช่วงล่างและยางรถยนต์ นายวิชาญกล่าวต่อว่า ถึงวันนี้ยังเชื่อว่าสมเด็จฯช่วง หลวงพี่แป๊ะรวมถึงตน ก็ไม่รู้ว่ารถผิดกฎหมาย เพราะทุกขั้นตอนผ่านการตรวจสอบและรับรองจากกรมการขนส่งทางบกและกรมสรรพาสามิต การติดตั้งระบบก๊าซของรถยนต์ก็ทำอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่เมื่อดีเอสไอมีหลักฐานระบุว่า ในขั้นตอนการจดประกอบมีการทำเอกสารเท็จก็ต้องไปดำเนินการกับผู้จัดทำเอกสาร ทั้งนี้ขั้นตอนการจัดทำเอกสารเป็นขั้นตอน หลังรถออกจากอู่ไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงถูกฟ้อง ขณะที่ หจก.อ๊อด89เอ็นเตอร์ไพรส์ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าอะไหล่และตัวถังกลับไม่ถูกดำเนินการไปด้วย ที่ผ่านมาตนเคยเตือนว่า รถคันดังกล่าวเป็นรถของผู้ใหญ่ควรดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอน ยืนยันว่าไม่เคยหลอกขายรถคันดังกล่าวเพราะเป็นการทยอยจ่ายเงินค่าซ่อมจนครบ “วันหนึ่งเขามาพึ่งพาผมให้ผมซ่อมรถให้เขา อีกวันหนึ่งบอกผมเป็นโจรเอารถมาหลอกขายพระ วันหนึ่งเขามาให้ผมเป็นธุระเป็นตัวกลางรับเงินให้ไปจ่ายเพื่อให้เขาสะดวกจ่ายเงินจุดเดียว ผมไม่ใช่เจ้าของรถไม่มีสักวินาทีเดียวที่เป็นเจ้าของรถนี้ และไม่ได้ดำเนินการเรื่องจดประกอบทำแค่รับซ่อมให้รถใช้งานได้เท่านั้น ผมเชื่อมั่นในข้อเท็จจริงความจริงต้องเป็นความจริง แต่เนื่องจากเป็นอู่เล็กๆ ที่ใช้ฝีมือรับลูกค้า ไม่มีเงินมากพอที่จะหาทนายความมาสู้คดีได้ ยอมรับไม่สบายที่หลวงพี่แป๊ะฟ้องเรียกเงินถึง10ล้านบาทและที่สำคัญยังไม่เข้าใจว่ารถเป็นชื่อสมเด็จฯช่วง ไม่ใช่รถหลวงพี่แป๊ะเหตุใดผู้ฟ้องจึงเป็นหลวงพี่แป๊ะ” นายวิชาญ กล่าว รถเป็นชื่อสมเด็จฯช่วง ไม่ใช่รถหลวงพี่แป๊ะเหตุใดผู้ฟ้องจึงเป็นหลวงพี่แป๊ะ??? รถเป็นชื่อสมเด็จฯช่วง ไม่ใช่รถหลวงพี่แป๊ะเหตุใดผู้ฟ้องจึงเป็นหลวงพี่แป๊ะ??? รถเป็นชื่อสมเด็จฯช่วง ไม่ใช่รถหลวงพี่แป๊ะเหตุใดผู้ฟ้องจึงเป็นหลวงพี่แป๊ะ??? รถเป็นชื่อสมเด็จฯช่วง ไม่ใช่รถหลวงพี่แป๊ะเหตุใดผู้ฟ้องจึงเป็นหลวงพี่แป๊ะ??? รถเป็นชื่อสมเด็จฯช่วง ไม่ใช่รถหลวงพี่แป๊ะเหตุใดผู้ฟ้องจึงเป็นหลวงพี่แป๊ะ??? รถเป็นชื่อสมเด็จฯช่วง ไม่ใช่รถหลวงพี่แป๊ะเหตุใดผู้ฟ้องจึงเป็นหลวงพี่แป๊ะ ??? ใครจะตอบได้บ้าง
5555 สุดท้าย คงเป็น "แป๊ะ รับบาป" ไม่งั้น ท่านช่วงคงต้องลงหลุมไปด้วย นี่แหละหนา คือสิ่งที่ขี้ข้าเสื้อแดงต้องการ เอาท่านช่วงบูชายันต์ ปลุกระดมอลัชชี
ข่าวช่วงแรก ๆ ตาแป๊ะดำเนินการทุกอย่าง จนตาแป๊ะได้มีสมณศักดิ์ปัจจุบันเพราะ ขม99 ที่ตาแป๊ะจะฟ้องเพราะตาช่วงกำลังคั่วตำแหน่ง สังคะราด อยู่จึงต้องวางตัวดี ๆ ขืนมีเรื่อง มีคดี มันจะหมองหนักกว่าเก่า สังเกตุว่า ช่วงนี้ไม่ว่าอะไรตัวองค์รักตาช่วงจะดาหน้าออกมากันเต็มไปหมด เซ็นรับเป็นเจ้าของรถโดยไม่รู้ว่าผิด แต่ก็เซ็น ก่อนหน้าที่จะมีการขุดคุ้ยรถ ขม99 เห็นออกตัวเสียงแข็งกันน่าดู พอ DSI ขุดเรื่อง มันก็เลยบานปลายคงคิดว่าห่มเหลืองเลยไม่เป็นไร อย่าลืมนะถึงจะห่มเหลืองถ้าผิดกฏหมายมีคดีทางโลก ก็สึกได้น๊ะจ๊ะ สึกมารับโทษทางโลก เรื่องพระวินัยไม่ต้องพูดถึง รึว่าตาแป๊ะคือเจ้าของรถตัวจริง แต่หลอกตาช่วง หรือตาช่วงหลอกเอารถตาแป๊ะ สรุปว่าตอนนี้กูอยากเป็คนห่มเหลืองที่ดีซะงั้น
ศาลอาญา32ปี"ศุภชัย อดีตปธ.สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น"ยักยอกทรัพย์ สารภาพลดโทษกึ่งนึง ไม่รอลงอาญา วันนี้(8มี.ค.59)ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษกศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก คดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น หมายเลขดำ อ.1739/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อายุ 59 ปี อดีตประธานกรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เป็นจำเลย ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ผู้อื่น และจัดการทรัพย์สินผู้อื่นโดยทุจริตในฐานะเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นี่ไว้วางใจของประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 และ 354 อย่างไรก็ตาม ก่อนเริ่มกระบวนพิจารณา นายศุภชัย อดีต ปธ.กรรมการสหกรณ์ฯ จำเลย ซึ่งวันนี้ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพราะตลอดการพิจารณาไม่ได้รับการประกันตัว ได้แถลงต่อศาล ขอกลับคำให้การเดิมที่ปฏิเสธต่อสู้คดี เป็นยินยอมให้การรับสารภาพ ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ,353 ,354 ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน รวมทั้งสิ้น 8 กระทงจึงพิพากษาให้จำคุก กระทงละ 3 – 5 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 32 ปี คำให้การจำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 16 ปี และเมื่อพิเคราะห์ พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว นับเป็นเรื่องร้ายแรง โทษจำคุกจึงไม่มีเหตุให้รอลงอาญา "อู่วิชาญ" ยืนยัน "หจก.อ็อด89" นำซากรถเบนซ์ "สมเด็จช่วง" มาประกอบที่อู่ นายกฯระบุยังตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ไม่ได้ ต้องเคลียร์คดีก่อน โดยใช้กลไกลกฏหมายเป็นหลังไม่ใช่ความรู้สึกตัดสิน ทีมทนายวัดปากน้ำภาษีเจริญระบุ สมเด็จช่วงนัดให้การดีเอสไอคดีรถโบราณ 16 มี.ค. เวลา 2 ทุ่มชี้ช่วงเวลาดังกล่าวสะดวกเพราะไม่มีกิจนิมนต์ วันนี้ (9 มี.ค. 59) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยว่า สำนักคดีภาษีอากร ดีเอสไอ ได้รับการประสานจากนายสมศักดิ์ โตรักษา หัวหน้าทีมทนายความวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ดูแลคดีรถโบราณ ยี่ห้อเมอร์เซเดสเบนซ์ ทะเบียน ขม 99 ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ ในการนัดหมายการเข้าสอบปากคำ สมเด็จช่วง ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ในวันที่ 16 มีนาคม โดยดีเอสไอได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดดีเอสไอ นำคณะพนักงานสอบสวนเดินทางไปสอบปากคำ รายงานระบุว่า พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งจากทีมทนายความเพื่อกำหนดวันเวลานัดหมายการเข้าสอบปากคำเป็นวันที่ 16 มีนาคม ช่วงเวลา 20.00 น. ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่สมเด็จช่วง สะดวกเพราะไม่มีกิจนิมนต์ อีกทั้งเกรงว่าช่วงเวลากลางวันจะมีกลุ่มบุคคลมาร่วมตัวกันและเกิดความวุ่นวาย
"สนพ." ร่วมองค์กรพุทธฯ เตรียมล่ารายชื่อพระสงฆ์ 20,000 รูป เพื่อยื่นถอดถอนผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมนัดแถลงสื่อพรุ่งนี้ -ย้ำ รับไม่ได้ที่วินิจฉัยไม่ยึดติดภาษากฏหมาย ไม่ทราบว่า ล่าได้ถึง 200 หรือยังครับ แต่เดี๋ยวก่อน....
นายประสารน่าจะปรึกษานกแสก หรือไม่ก็ปราชญ์ควายแดงในบอร์ดนี้ก่อน ออกตัวแรงทีไรหน้าแตกทุกที ขอพูดอีกครั้งว่าสมเด็จช่วงจะพลาดตำแหน่งก็เพราะมีลูกน้องห่วยๆอย่างนายประสารนี่แหละ
ดีเอสไอหารือสมเด็จช่วงกำหนดประเด็นสอบปากคำ สำนักข่าวไทย 16 มี.ค.-ดีเอสไอกำลังเข้ากราบนมัสการสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เพื่อหารือใน การกำหนดประเด็นเพื่อสอบปากคำกรณีรถเบนซ์หรูผิดกฎหมาย บรรยากาศ ณ ขณะนี้มีรายงานว่าพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ซึ่งนำโดย พ.ต.ท. สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีเอสไอ เดินทางมาวัดปากน้ำภาษีเจริญ แต่ยังไม่ได้เดินทางเข้ามาพบสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ภายในกุฏิมีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจมารักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ไม่อนุญาตให้ทางสื่อมวลชนที่มารอปักหลัก รายงานข่าวจำนวนมากเข้าบันทึกภาพการหารือ ซึ่งวันนี้คาดว่าจะมีการหารือในประเด็นการครอบครองรถเบนซ์ทะเบียน ขม 99 ที่มาของรถ เพราะตรวจพบมีการปลอมแปลงเอกสารและลายมืชื่อเข้าจดทะเบียน แต่ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำก็ยืนยันว่า ดีเอสไอไม่ได้แจ้งประเด็นที่ชัดเจนมากับทีมทนายความ วันนี้จึงต้องมากำหนดประเด็นกันอีกรอบ และตนก็จะขอเข้าร่วมฟังและร่วมชี้แจงด้วยเพราะสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้เจ้าร่วมชี้แจง ส่วนพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสที่มีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นเป็นผู้ถวายรถคันดังกล่าวแก่ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ นั้นก็มีรายงานว่า ดีเอสไอจะขอเจ้าสอบปากคำในวันที่ 21 มีนาคมนี้ โดยวันนี้จะเป็นการหารือหรือเป็นการสอบปากคำ คงต้องรอความชัดเจนอีกครั้งหลังดีเอสไอเข้าพบสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ คาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ชม.หลังจากนี้.-สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/426033
การสอบปากคำ ทำไมจึงมีขั้นตอนที่ยุ่งยากเช่นนี้ ? " ทาง ดีเอสไอ ไม่ได้แจ้งประเด็นที่ชัดเจนมา จึงต้องมากำหนดประเด็น( การสอบปากคำ ) กันใหม่ ? บุคคลล้วนอยู่ภายใต้กฎหมาย บุคคลธรรมดามีสิทธิ์ อ้างหลักเกณฑ์แบบนี้กับเจ้าหน้าที่รัฐฯ ได้หรือไม่ ? ดูเจตนาเพื่อยื้อเวลาออกไปเพื่อ กลบเกลื่อน ปกปิดหลักฐานหรือเปล่า ยิ่งนานไป ยิ่งเสื่อมศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ
ดูแล้ว งานนี้ท่านช่วง คงถูกนอมินีสั่งหันซ้ายขวาได้ดั่งใจแน่แล้ว เปรียญธรรม 9 ไม่ได้ช่วยให้พระผู้ศึกษาจบมามีคุณธรรมสูงส่งขึ้นเลย
สมเด็จช่วงพร้อมแจงเป็นลายลักษณ์อักษร รอคำถามDSI กทม. 16 มี.ค.-ดีเอสไอยังไม่มีการสอบปากคำสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กรณีครอบครองรถผิดกฎหมาย แต่เป็นเพียงการหารือเพื่อกลับไปทำหนังสือมาเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าจะถามคำถามใดบ้าง โดยจะเร่งทำคดีให้คลีคลายเร็วที่สุด เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. บริเวณตึกกองบาลีสนามหลวง วัดปากน้ำภาษีเจริญ หรือด้านหน้ากุฎิสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง ผู้ปฎิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ และคณะพนักงานสอบสวนร่วม10คน เข้ากราบนมัสการและหารือกับสมเด็จช่วง เป็นครั้งแรก มีฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ก็ได้เข้าร่วมหารือครั้งนี้ด้วย โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้นที่มีการหารือกับสมเด็จช่วงโดยตรง เสร็จแล้วสมเด็จช่วงก็กลับเข้ากุฎิ และคณะดีเอสไอก็เดินทางกลับทันทีโดยไม่มีการร่วมแถลงข่าว มีเพียงทีมทนายวัดปากน้ำ นำโดย นายสมศักดิ์ โตรักษา แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่าภายหลังหารือกับดีเอสไอสมเด็จช่วงได้บอกรองอธิบดีดีเอสไอว่าพร้อมที่จะตอบทุกคำถามที่ดีเอสไอสงสัย ซึ่งจากการหารือได้ข้อสรุปร่วมกันว่าดีเอสไอ จะกลับไปทำคำถามเป็นลายลักษณ์อักษรในเรื่องที่ต้องการทราบ เช่น เช็คการบริจาค การจดทะเบียนรถ การมอบรถคืนให้ผู้บริจาค เป็นต้น โดยจะนำเรื่องดังกล่าว เสนอต่ออธิบดีดีเอสไอ จากนั้นจะส่งหนังสือคำถามกลับมายังวัดปากน้ำเร็วที่สุด และหากดีเอสไอ ส่งคำถามมาเร็วสมเด็จช่วงจะตอบทุกประเด็นเป็นลายลักษณ์อักษรกลับให้ดีเอสไอ คาดว่า ไม่เกิน 1 สัปดาห์ แต่ถ้าหากมีบางประเด็นที่ดีเอสไอต้องการ สอบโดยตรงจากสมเด็จเป็นถ้อยคำ ท่านก็พร้อมจะตอบทุกคำถาม นอกจากนี้ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำยังบอกด้วยว่าการมาหารือครั้งนี้ ไม่กังวล และมั่นใจว่า มีพยานและหลักฐานเพียงพอ ที่จะทำให้เรื่องนี้กระจ่างชัดมากขึ้น รวมทั้งยืนยันว่า สมเด็จช่วงไม่มีส่วนรู้เห็นในกระบวนการต่างๆ เป็นเพียงผู้รับบริจาคเท่านั้น ส่วนกรณีพระมหาศาสนมุนี หรือเจ้าคุณแป๊ะ ในฐานะผู้ถวายรถ วันนี้ไม่ได้เข้าร่วมหารือแต่อย่างใด ซึ่งดีเอสไอ จะมีการหารือกับทีมกฎหมายเจ้าคุณแป๊ะ อีกครั้ง.-สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/426100
มีทั้งฝ่ายกฏหมาย ที่ปรึกษา ทีมประชาสัมพันธ์ องครักษ์ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ยิ่งสร้างเหลี่ยมสร้างมุมสร้างทีมงานมากขึ้นเท่าไหร่ ประชาชนก็เข้าใจและรู้เช่นเห็นชาติพวกท่านมากขึ้นเท่านั้น ก็บรรดาสุจริตชนทั้งหลาย มีใครเขาต้องการคนพวกนี้บ้างเล่า
หลังจากที่เมื่อค่ำวานนี้ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ไปนมัสการสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จฯช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช แต่ยังไม่ได้สอบปากคำกรณีมีชื่อเกี่ยวโยงการครอบครองรถหรู โดยฝ่ายกฏหมายของวัด ให้ดีเอสไอกลับไปกำหนดประเด็นคำถามมาเป็นลายลักษณ์อักษร และส่งมาให้วัดปากน้ำฯพิจารณา วันนี้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อค่ำวานนี้ว่า ว่าไม่ให้ก็ไม่ให้ ดีเอสไอทุกคนทำตามหน้าที่ เขาก็มีสิทธิจะไม่ให้ปากคำ ขณะที่เจ้าหน้าที่ก็มีสิทธิการทำหน้าที่ของดีเอสไอ “ได้สั่งการให้นำดอกไม้ธูปเทียนแพไปกราบ ให้ความเคารพให้เกียรติ และให้สิทธิ์ชี้แจงความบริสุทธิ์ ถ้าท่านไม่ใช้สิทธิ์ก็จบ คดีก็เดินต่อไป” พล.อ.ไพบูลย์ บอกว่าได้กำชับสั่งการให้นำดอกไม้ธูปเทียนแพไปกราบ เป็นการให้ความเคารพให้เกียรติ และให้สิทธิในการชี้แจงความบริสุทธิ์ ถ้าท่านไม่ใช้สิทธิ์ก็จบ คดีก็เดินต่อไป หากพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานแค่ไหนก็ดำเนินการกล่าวหาไปตามนั้น จะต้องวินิจฉัยตามแนวทางที่มีเพราะพนักงานสอบสวนมีข้อสงสัยและต้องการสอบถาม ให้สมเด็จฯช่วงได้ชี้แจงข้อมูล แต่ถ้าไม่ให้การแล้วจะมาบอกว่าเจ้าหน้าที่ไม่ให้ความเป็นธรรมไม่ได้ เพราะดีเอสไอได้ดำเนินการอย่างสมบูรณ์ให้เกียรติอย่างเต็มที่ ในฐานะพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ หากเป็นบุคคลทั่วไปดีเอสไอสามารถออกหมายเรียกให้มาให้การก็จบ แต่ครั้งนี้เป็นพระชั้นผู้ใหญ่ จึงสั่งการให้ส่งหนังสือขอนัดหมายไปก่อนเพื่อให้เกียรติ “ผมอยากเตือนทนายความวัดปากน้ำ คุณทำอะไร...ผมไม่เชื่อว่าสมเด็จฯช่วงอยากทำเช่นนี้ ทีมทนายนั่นเองที่กำลังทำให้สมเด็จช่วงเสียหายหรือไม่” “ผมอยากเตือนทนายความวัดปากน้ำ คุณทำอะไร ผมสั่งลูกน้องให้เกียรติแล้ว คุณกลับมาเรียกร้อง ปกติเขาไม่ทำหนังสือกัน การให้เกียรติของเราคุณนำกลับนำเป็นข้อต่อรอง เราให้เกียรติทุกเรื่องอย่ามาเล่นแง่ ผมไม่เชื่อว่าสมเด็จฯช่วงจะอยากทำเช่นนี้ แต่คิดว่าเรื่องนี้คนที่เรื่องมากคือทีมทนายและทีมทนายนั่นเองที่กำลังทำให้ สมเด็จช่วงเสียหายหรือไม่ ทนายของวัดผิดพลาดไปหรือไม่หากสมเด็จช่วงจะทำหนังสือชี้แจงมาก็ให้ดำเนินการ มา”พล.อ.ไพบูลย์กล่าว “หากท่านตอบตามที่รู้เห็นมาก็จบแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้หากคดีช้าออกไปก็อย่าบอกว่าถูกดึงเรื่อง คดีไม่เสร็จ จนทำให้ไปผูกพันกับการแต่งตั้งสังฆราช” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวอีกว่าเรื่องนี้หากท่านตอบตามที่รู้เห็นมาก็จบแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้หากคดีช้าออกไปก็อย่าบอกว่าถูกดึงเรื่องคดีไม่เสร็จ จนทำให้ไปผูกพันกับการแต่งตั้งสังฆราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลเอกไพบูลย์ สั่งดีเอสไอเอาดอกไม้ไปกราบ ยืนยันให้เกียรติ”สมเด็จช่วง” สูงสุด แต่ทนายกลับฉวยโอกาสต่อรอง เล่นแง่ ลั่นเดินหน้าคดีตามกฎหมาย เตือนทนายความวัดปากน้ำ อย่ามาหาว่าไม่ให้ความเป็นธรรม หากล่าช้าจาผูกพันกับการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณี ที่พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เดินทางไปพบสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช วานนี้ แต่ยังไม่ได้สอบปากคำ เนื่องจากฝ่ายกฏหมายของวัดขอให้ดีเอสไอกลับไปกำหนดประเด็นคำถามเป็นลาย ลักษณ์อักษร ส่งมาให้วัดปากน้ำพิจารณา ว่า เมื่อไม่ให้ก็ไม่ให้ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอทุกคนทำตามหน้าที่ เขาก็มีสิทธิจะไม่ให้ปากคำ ขณะที่เจ้าหน้าที่ก็มีสิทธิทำหน้าที่ของดีเอสไอ ครั้งนี้ตนได้กำชับให้นำดอกไม้ธูปเทียนแพไปกราบเป็นการให้ความเคารพ ให้เกียรติและให้สิทธิในการชี้แจงความบริสุทธิ์ ถ้าท่านไม่ใช้สิทธิ์ก็จบ คดีก็เดินต่อไป พลเอกไพบูลย์ กล่าวอีกว่า หากพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานแค่ไหนก็ดำเนินการกล่าวหาไปตามนั้น พนักงานสอบสวนมีข้อสงสัยและต้องการสอบถามให้สมเด็จฯช่วงได้ชี้แจงข้อมูล แต่ถ้าไม่ให้การแล้วจะมาบอกว่าเจ้าหน้าที่ไม่ให้ความเป็นธรรมไม่ได้ เพราะดีเอสไอได้ดำเนินการอย่างสมบูรณ์ ให้เกียรติอย่างเต็มที่ในฐานะพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ หากเป็นบุคคลทั่วไปดีเอสไอสามารถออกหมายเรียกให้มาให้การก็จบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังฝากเตือนไปยังทนายความวัดปากน้ำว่า คุณทำอะไร ผมสั่งลูกน้องให้เกียรติแล้วคุณกลับมาเรียกร้อง ปกติเขาไม่ทำหนังสือกัน การให้เกียรติของเราคุณกลับนำมาเป็นข้อต่อรอง เราให้เกียรติทุกเรื่องอย่ามาเล่นแง่ ผมไม่เชื่อว่าสมเด็จช่วงจะอยากทำเช่นนี้ แต่คิดว่าเรื่องนี้คนที่เรื่องมากคือทีมทนายและทีมทนายนั่นเองที่กำลังทำให้ สมเด็จช่วงเสียหาย หากสมเด็จฯช่วงจะทำหนังสือชี้แจงก็ให้ดำเนินการมา ทั้งนี้ พลเอกไพบูลย์ กล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ หากคดีช้าออกไปก็อย่าบอกว่าถูกดึงเรื่องคดีไม่เสร็จ จนทำให้ไปผูกพันกับการแต่งตั้งสังฆราช
การเล่นแง่เล่นมุมทางกฏหมายนี้ย่อมมาจากทีมทนายล้วนๆ นอกจากกรณีรถหรู ธรรมกาย และนายประสารแล้ว ยังมีทีมทนายนี้อีกที่จะทำให้สมเด็จช่วงมีโอกาสชวดตำแหน่งที่อยากได้
ท่านช่วงก็เห็นผลงานของพวกทนายเสื้อแดง นปช แม้ว ปู แล้ว ท่านช่วงอยากมีชะตากรรมเหมือนสิ่งมีชีวิตพวกนั้นอีกหรือ
ผมมองว่า ผู้ที่ควบคุมท่านสมเด็จช่วงอยู่เบื้องหลัง กำลังทำให้ท่านเป็นเหยื่อ ไม่ว่าท่านจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นสังฆราชหรือไม่ก็ตาม นอมินีล้วนแต่ได้ประโยชน์ทั้งสิ้น ยิ่งถ้าท่านพลาดตำแหน่ง ก็จะมีการปลุกระดมสงฆ์ ภายใต้กลไกการควบคุมโดยทำกาย นปช เสื้อแดง ก็จะร่วมสมทบ ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง