ว่าแต่ประเทศที่ไอ้เมธีไปบ่อย ๆ นั้นประเทศอะไรครับ มันบินไปศึกษาโลกีย์ประจำ เหี้ยจริง ๆห่มเหลืองแล้วเสือกมีเมีย
โอย.....แถลงการณ์สำนักงานพระพุทธศาสนาอ่านยากจัง แต่ก็จะพยายามสรุปนะ 1 และ 2 คนคัดค้านการแต่งตั้งสมเด็จช่วงและคนต่อต้านวัดพระธรรมกายมีน้อยมาก แสดงว่าต้องให้คนออกมาคัดค้านต่อต้านเยอะๆจึงจะรับฟัง 3 เรื่องรถหรู สมเด็จช่วงเป็นผู้ซื้อคนสุดท้าย ถึงรถจะผิดกฏหมายแต่คนซื้อต้องไม่ผิด ทำไมเคยอ่านว่ามีคนมาถวาย 4 อ่านไม่เข้าใจ 5 ให้รัฐดูแลพระให้ดีๆและอย่าให้ใครมาจับผิดสอบสวนพระ คือถึงพระจะผิดหรือไม่ผิดไม่สำคัญ อย่าให้ใครมาตรวจสอบพระ อ่านแล้วเศร้า พศ.เป็นสุนัขที่เลี้ยงแล้วเสียดายข้าวสุก
สำนักพุทธสันดานเสียมานานแล้วครับ เมื่อก่อนเราจะได้ยินว่าอย่าไปหากินกับพระ สมัยนี้พระหากินกับพวกเรา เอะอะปลงอาบัติ อีกหน่อยคงสแกนลำบากแล้วล่ะว่า ไหนพระแท้ และมันจะทำให้พระแท้ซวยไปด้วย คราวนี้แหละ คำว่าศาสนาพุทธจะเสื่อมถอยของแท้มาจาก สำนักพุทธกับสงฆ์เหี้ย ๆ กลุ่มนึง เท่านั้น (แต่มันกลุ่มใหญ่เกิ๊น)
ชาวเน็ตปลุกพลังต้านตั้ง'สมเด็จช่วง' ไม่เอาคนธรรมกายเป็น'สังฆราช' 26 ก.พ.59 ในโลกออนไลน์ได้รณรงค์เปลี่ยนรูปประจำตัวเป็นรูปที่ระบุข้อความ "คัดค้านตัวแทนธรรมกายขึ้นเป็นสังฆราช" เป็นเวลา 1 อาทิตย์ โดยระบุว่า เพื่อคัดค้าน สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคมโดยสมณศักดิ์ และเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (พระอารามหลวง) เป็นพระสังฆราช กรณีดังกล่าว สืบเนื่องจาก ก่อนหน้านี้ พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวเมื่อวันที่ 15 ม.ค.59 ที่ผ่านมาว่า รายชื่อของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติเสนอ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ที่รัฐบาลแล้ว ดังนั้น ศูนย์พิทักษ์ฯ และคณะสงฆ์จะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีการดองเรื่องไม่ยอมนำขึ้นทูลเกล้าฯ นานจนผิดสังเกต เช่น นำข้อเรียกร้องของพระ 1 รูป กับโยม 1 คน มาเป็นเงื่อนไข ในการชะลอเรื่องนี้ไว้ มากกว่าเชื่อความเห็นของมหาเถรสมาคม และพระสงฆ์ทั่วประเทศ ก็พร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหว โดยขณะนี้มีคณะสงฆ์กว่า 40 จังหวัดแล้ว ที่ตอบรับจะออกมาร่วมเคลื่อนไหวแสดงสังฆามติในเรื่องนี้... ทั้งนี้ ผู้ที่ออกมาคัดค้าน เนื่องจาก สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง ถูกวิพากษ์วิจารย์ถึงความเหมาะสม กับแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช หรือไม่ เนื่องจากมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับ หลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย รวมถึงกรณีการครอบครองรถยนต์หรู ซึ่งมองว่าไม่มีความเหมาะสม โดยมีข้อความ ดังนี้ ช่วยกันแชร์ให้มากๆๆๆๆครับอย่าให้เค้ามาดูถูกว่ามีแค่พระหนึ่งรูปกับโยมหนึ่งคนที่ไม่เอาสมเด็จช่วง แล้วออกมาป่วน แต่จริงๆแล้วยังมีคนไทยที่รู้ผิดชอบชั่วดี อีกมากมายที่ไม่เอาเหมือนกัน ดังนั้นเพื่อแสดงพลังให้ทุกคนเปลี่ยนรูปประจำตัวเป็นรูปนี้ เป็นเวลา 1 อาทิตย์ครับ
ดูท่าโล้นพวกนี้จะมุสาจนเป็นสันดานแล้วกระมัง สุวิทย์ไม่ได้ค้านคนเดียว ยังมีรายชื่อพ่วงอีก 3 แสนรายชื่ออีก http://www.thairath.co.th/content/561043
แนะสมเด็จช่วงให้เสียสละ 'ไม่รับตำแหน่ง-ปัญหาจบ' „"สมเจตน์" แนะ "สมเด็จช่วง" ประกาศไม่รับตำแหน่ง "สมเด็จพระสังฆราช" จะทำให้ปัญหาความขัดแย้งจบทันที โลกยังจารึกประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้จรรโลงพุทธศาสนา และเป็นผู้เสียสละอย่างแท้จริง“ „พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวกับ "เดลินิวส์ออนไลน์" ถึงปัญหาการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ที่อาจจะเป็นปัญหาลุกลามบานปลายว่า คนที่แก้ปัญหาได้ดีที่สุดคือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เนื่องจากตำแหน่ง "สมเด็จพระสังฆราช" เป็นตำแหน่งของความศรัทธา ซึ่งต้องได้รับการยอมรับจากพุทธศาสนิกชนทุกคน ถ้ามีใครมาชี้ว่า ท่านมีมลทิน แม้ว่าท่านจะคิดว่าท่านบริสุทธิ์ก็ตาม แต่หากต้องการรักษาพุทธศาสนาเอาไว้ ควรออกมาประกาศเลยว่า ท่านจะไม่รับตำแหน่ง "สมเด็จพระสังฆราช" หากดำเนินการเช่นนี้ ประวัติศาสตร์จะจารึกท่านว่า เป็นผู้เสียสละอย่างยิ่งต่อพุทธศาสนา "ถ้าท่านประกาศว่าไม่รับตำแหน่ง ปัญหาจบ ความขัดแย้งต่างๆ ก็จบ ยกเว้นว่าท่านอยากเป็น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งนี้ต้องเอาเหตุผลจากตัวท่านเองว่า แต่เดิมก่อนท่านจะบวช ท่านมาจากไหน ขณะนี้เป็นถึงสมเด็จ มีความอาวุโสสูงสุด ชีวิตท่านเคยคิดหรือไม่ว่า จะมีแบบนี้ สิ่งที่ท่านควรปรารถนามากที่สุดคือ ทำอย่างไรให้พุทธศาสนานี้ดำรงอยู่อย่างความมั่นคง ใช้สิ่งที่ท่านมีอยู่ หันมาปรับพระสงฆ์ให้เป็นที่ยอมรับของศาสนิกชน เพราะในปัจจุบันพระสงฆ์ทำอะไรไม่ดีเยอะ แต่บทแห่งการลงโทษไม่เห็นมีปรากฎ เพราะฉะนั้นถ้าท่านยังมีอำนาจอยู่ ไม่จำเป็นต้องเป็นสมเด็จพระสังฆราช ท่านอยู่ราชาคณะ จัดการวินัยของสงฆ์ได้ เสียสละมาจัดการเรื่องวินัยสงฆ์ จะทำให้ท่านจะเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่า จรรโลงพุทธศาสนาอย่างแท้จริง"พล.อ.สมเจตน์กล่าว“ อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/education/382016
โอ้ว มาป่านนี้ไม่จบแค่ไม่รับตำแหน่งแล้วครับ ถึงขั้นนี้คือต้องบังคับสึกไอ้พวกอลัชชีหมู่แล้วเอามันเข้าคุกแล้วครับ
เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมพร้อมให้ DSI ตรวจสอบรถหรู นครปฐม 26 ก.พ. – เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมยืนยันพร้อมให้ดีเอสไอตรวจสอบรถหรูที่จอดอยู่ในโรงรถของ วัด เผยรถคันดังกล่าวเคยตรวจสอบไปแล้วเมื่อปี 56 และพบจดประกอบนำเข้าถูกต้องทุกขั้นตอน หลังจากดีเอสไอมีหนังสือถึงพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ให้นำรถยี่ห้อแพนเธอร์ รุ่น 1977 สีดำทะเบียน กก 1177 มาตรวจสอบความถูกต้องในวันที่ 2 มีนาคมนี้ ล่าสุดวันนี้หลวงพี่น้ำฝนได้ร่วมไวยาวัจกรและทีมกฎหมายวัดไผ่ล้อม เปิดแถลงข่าวในเรื่องดังกล่าว ยืนยันดีเอสไอเคยตรวจสอบรถหรูคันดังกล่าวไปแล้วเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2556 และผลการตรวจสอบพบว่าเป็นรถจดประกอบถูกต้องทุกขั้นตอน ทำให้เกิดข้อสงสัยทำไมจึงต้องเรียกตรวจสอบอีก อย่างไรก็ตาม พร้อมให้ดีเอสไอตรวจสอบอีกครั้ง แต่ขอให้ส่งเจ้าหน้าที่มาที่วัด เนื่องจากไม่สะดวกในการเคลื่อนย้ายรถ เพราะเกียร์พัง ไดร์สตาร์ทเสียหาย ขับไปไหนไม่ได้ นอกจากนี้ ยังมีการนำเอกสารการเสียภาษี คู่มือจดทะเบียนจากกรมการขนส่งทางบกมาแสดง โดยยืนยันเสียภาษีทุกปีปีละ 11,700 บาท มาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว ตั้งแต่จดทะเบียน รวมถึงรถคันดังกล่าวเคยใช้งานเพียงแค่ครั้งเดียว คือตอนนำขบวนพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระพุฒาจารย์เกี่ยว อุปเสโณ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว และปัจจุบันก็จอดไว้ในโรงรถของวัด เพื่อเป็นวิทยาทานให้ญาติโยมมาชม.-สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/412022 หลวงพี่น้ำฝนพร้อมให้ตรวจสอบรถหรูซ้ำรอบ 2 นครปฐม 26 ก.พ.-หลังดีเอสไอทำหนังสือถึงพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ขอตรวจสอบรถยนต์คลาสสิกยี่ห้อแพนเธอร์ รุ่นปี 1977 วันนี้ หลวงพี่น้ำฝนเปิดใจ ยืนยันความบริสุทธิ์ เป็นรถนำเข้าถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน พร้อมให้ดีเอสไอเข้ามาตรวจสอบซ้ำเป็นครั้งที่ 2 รถยนต์หรูโบราณคลาสสิก ยี่ห้อแพนเธอร์ รุ่นปี 1977 สีดำ เครื่องยนต์จากัวร์ ที่พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ครอบครอง ตกเป็นข่าวดังเมื่อ 2 ปีก่อน โดยเป็นหนึ่งในรถหรูที่ดีเอสไอสงสัยว่านำเข้าผิดกฎหมาย จนนำมาซึ่งการตรวจสอบอย่างละเอียด หลวงพี่น้ำฝนยืนยันว่า รถคันนี้ตรวจสอบไปแล้วเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2556 ผลสรุปว่าเป็นรถยนต์นำเข้าและประกอบขึ้นในประเทศไทยจากชิ้นส่วนรถยนต์เก่า ตั้งแต่ปี 2554 มีเอกสารจดประกอบ เล่มทะเบียน การเสียภาษีศุลกากร สรรพสามิต ถูกต้องทุกขั้นตอน และเป็นรถที่ลูกศิษย์จากสหรัฐอเมริกานำมาถวาย พร้อมจัดแจงเรื่องเอกสารทั้งหมด จุดประสงค์เพื่อนำมาตั้งโชว์ไว้ที่วัด รถแพนเธอร์คันนี้เคยใช้งานเพียงครั้งเดียวเมื่อปี 2557 ในงานพระราชทานศพสมเด็จเกี่ยว อุปเสโณ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ ปัจจุบันจอดไว้ให้ญาติโยมเข้ามาชมและถ่ายรูปเป็นวิทยาทาน การทำหนังสือขอให้วัดไผ่ล้อมนำรถดังกล่าวส่งให้ดีเอสไอตรวจสอบอีกครั้งภายใน วันที่ 2 มีนาคม จึงสงสัยว่าทำไมถึงต้องตรวจสอบซ้ำอีก ไม่ใช้ผลตรวจสอบครั้งแรก และนี่คือใบคู่มือจดทะเบียนและเอกสารเสียภาษีรถยนต์ที่กรมการขนส่งทางบก ปีละ 11,700 บาท โดยหลวงพี่น้ำฝนย้ำว่า หากรถผิดกฎหมายคงเสียภาษีไม่ได้ และวัดไผ่ล้อมไม่ได้มีรถหรูหลายคันตามที่ถูกวิจารณ์ มีเพียงรถเก่าและรถตู้สำหรับพระสงฆ์ออกรับกิจนิมนต์ตามที่เห็น ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างทำหนังสือถึงดีเอสไอให้เข้าตรวจสอบรถหรูดัง กล่าววันจันทร์นี้ พร้อมขอความเป็นธรรมไม่ให้เลือกปฏิบัติเฉพาะรถที่อยู่ในครอบครองของพระสงฆ์ แต่ยังมีรถหรูทั่วประเทศที่เข้าข่ายต้องสงสัยกว่า 6,000 คัน ที่ต้องตรวจสอบ และคงต้องรอดูว่ารถหรูคลาสสิกคันนี้ดีเอสไอจะตรวจสอบอีกครั้งเมื่อไร ผลจะเป็นอย่างไร เพื่อไขข้อกังขาให้กระจ่างชัดกับสังคมมากขึ้น.-สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/412357
ความคืบหน้าการแจ้งข้อหาผู้เกี่ยวข้องกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น สั่งจ่ายเช็คไปถึงทั้งวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และพระเครือข่ายจำนวน 2 พันล้านบาท พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าดีเอสไอจะเริ่มทยอยเรียกผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวมารับทราบข้อ กล่าวหา โดยเริ่มจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานบริหารสหกรณ์ฯ คลองจั่น ในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง จากนั้นจะแจ้งข้อกล่าวหาในคดีรับของโจรกับกลุ่มต่างๆ ซึ่งรวมถึงพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จากการสอบสวนเส้นทางการเงิน มีข้อเท็จจริงว่าวัดพระธรรมกาย และเจ้าอาวาส มีการรับเช็คจำนวนเงินดังกล่าวไปจริง ซึ่งอยู่ระหว่างสอบสวนว่าเข้าข่ายความผิดใด ระหว่างเป็นฟอกเงินหรือรับของโจรที่ต้องพิสูจน์เจตนาและเรื่องมูลหนี้ต่อกัน ซึ่งความผิดฟอกเงินมีอายุความ 15 ปี ส่วนรับของโจรมีอายุความ 5 ปี 28 ก.พ. – ดีเอสไอเตรียมแจ้งข้อหา “ศุภชัย ศรีศุภอักษร” ลักทรัพย์นายจ้างวันที่ 2 มีนาคม ด้านอัยการแนะดำเนินคดีธรรมกาย-พระธัมมชโย ฐานความผิดฟอกเงินหรือรับของโจร พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้าการแจ้งข้อกล่าวหาผู้เกี่ยวข้องกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ย นคลองจั่น จำกัด สั่งจ่ายเช็คไปถึงทั้งวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และพระเครือข่าย ว่าการสอบสวนในส่วนของผู้รับเช็คทั้งหมดยังไม่เสร็จ เพราะว่าพนักงานอัยการทำหนังสือแจ้งกลับมาทางดีเอสไอ เมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา ให้ดีเอสไอดำเนินการเพิ่มเติมในประเด็นนี้ด้วย และอัยการสั่งให้แจ้งข้อกล่าวหากับนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานบริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด และพวก ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง ซึ่งดีเอสไอได้สอบสวนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นฯ เพิ่มเติมแล้ว โดยในวันที่ 2 มี.ค.นี้ เวลา 09.00 น. ดีเอสไอจะไปแจ้งข้อกล่าวหากับนายศุภชัย ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมเรียกผู้ต้องหาอีก 3 คน มาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมที่ดีเอสไอด้วย ในส่วนของวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโยนั้น พนักงานอัยการแนะนำอีกว่าให้ดีเอสไอสามารถดำเนินการพิจารณาในเรื่องของฐาน ความผิดฟอกเงินหรือรับของโจร ในกรณีผู้ที่รับเช็ค 887 ฉบับ รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จากนายศุภชัย หากเห็นว่าเป็นความผิดให้แจ้งข้อกล่าวได้เลย ทั้งนี้ จากการสอบสวนเส้นทางการเงินมีข้อเท็จจริงชัดเจนแล้วว่า วัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย มีการรับเช็คจากนายศุภชัยไปจริง ซึ่งตรงนี้ไม่มีข้อสงสัยอีก เพียงแต่ว่าการรับเช็คของพระธัมมชโยเป็นการรับโดยอาศัยมูลหนี้อะไรตรงนี้ อยู่ระหว่างสอบสวน แล้วจึงจะมาพิจารณาว่าการรับเช็คน่าจะมีความผิดหรือไม่ และถ้าเข้าข่ายความผิดจะผิดฐานใด ระหว่างเป็นการฟอกเงินหรือรับของโจร ดีเอสไอจะต้องสอบสวนต่ออีกสักระยะ. -สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/413325
เป็นนักการเมืองหรือพระมันใหญ่ตรงไหนวะ ผมอยากจะรู้จริงๆ ที่พวกเสื้อเเดงมันพูดว่า "2 มาตรฐานนั้น" มันเป็นคำพูดที่กลับมาย้อนมาเเทงตัวเอง
www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=714031628733079&id=182989118504002 www.facebook.com/182989118504002/photos/a.182994541836793.46489.182989118504002/715642175238691/ www.facebook.com/182989118504002/photos/a.182994541836793.46489.182989118504002/396111670525078/
ผมเคยบวชที่วัดในตัวจังหวัด แต่บวชแค่ 13 วันก็สึก(ประมาณปี2524 บวชแบบง่ายๆ ไม่มีการฉลองใดๆทั้งสิ้น) ***วันแรกที่บวช มีคนมาถวายสังฆทาน และถวายซองขาวๆให้พระทุกรูปในวัด ตกค่ำ พระพี่เลี้ยง(แก่แล้วเหมือนกัน บวชมาหลายพรรษาแล้ว)ของผมถามว่า วันนี้เขาใส่ซองให้เท่าไหร่ ผมบอกว่าไม่ทราบเพราะเอาใว้ใต้หมอน ยังไม่ได้เปิดดู พระพี่เลี้ยงเลยบอกให้เอามาเปิดดูว่าได้เท่าไหร่ ผมจึงไปหยิบมาเปิดดูปรากฎว่ามีแบ็งค์100 หนึ่งใบ พระพี่เลี้ยงบอกว่า "เห็นไหม บวชวันแรกก็ได้เงินเลย ดีจริงๆ" ***วัดที่ผมบวชจะมีเสียงเพลงดังจากกุฎิของพระลูกวัดรูปหนึ่ง พระรูปนั้นแก่แล้ว เปิดเพลงดังตลอดทั้งวัน เวลาฉันท์ข้าวก็ฉันท์ที่กุฏิตัวเอง ไม่มาร่วมฉันท์กับพระอื่นๆ ผมถามพระพี่เลี้ยงว่า ท่านเปิดเพลงดังทำไม พระพี่เลี้ยงบอกว่า เคยแย่งจะเป็นเจ้าอาวาส แต่ไม่ได้เป็นเลยโกรธ จึงเปิดเพลงเพื่อกวนใจ ไม่อยากให้ในวัดสงบเงียบ ขนาด 30 กว่าปีมาแล้ว ยังเป็นได้ขนาดนี้....เฮ้อ....ผมเลยเป็นคนห่างวัดมาตลอด
รถ‘พระน้ำฝน’ส่อสำแดงเท็จคล้าย‘J72’ “ดีเอสไอ” สืบค้นข้อมูลรถโบราณ พบรถหลวงพี่น้ำฝน ใกล้เคียง “แพนเธอร์ J72” ชี้หากเป็น J72 จริงถือเป็นการสำแดงเท็จแจงตั้งแต่ต้น ความคืบหน้าการตรวจสอบรถยนต์จากัวร์ในความครอบครองของ “คมน์กฤตย์ สุนทรสุวรรณ” หรือพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ภายหลังผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทจากัวร์ตรวจสอบหมายเลขตัวถังและหมายเลขเครื่องยนต์จากรถยนต์จากัวร์ในชื่อครอบครองของหลวงพี่น้ำฝน โดยไม่พบในสารบบรถยนต์ของจากัวร์ ชุดสืบสวนจึงสืบค้นข้อมูลเปรียบเทียบกับรถยนต์ยี่ห้อแพนเธอร์ พบข้อมูลใกล้เคียงว่า รถยนต์ของหลวงพี่น้ำฝนอาจเป็นแพนเธอร์ J72 หรือไม่ โดยรถรุ่นนี้ผลิตในปี ค.ศ.1972-1981 ผลิตออกมาประมาณ 368 คัน ออกแบบโดยโรเบิร์ต แจนเคิล ผลิตโดยบริษัทแพนเธอร์ เวสต์ไวนด์ส คาร์ คอมพานี โดยแพนเธอร์ J72 เป็นรถสไตล์จากัวร์ รุ่น SS 100 มีเครื่องยนต์ขนาดตั้งแต่ 3.8, 4.2 และ 5.2 12 วาล์ว 2 ที่นั่ง ตัวถังผลิตจากอะลูมิเนียม เบื้องต้นสันนิษฐานว่ารถยนต์รุ่นนี้เป็นรุ่นที่แพนเธอร์ซื้อสิทธิบัตรจากจากัวร์ เพื่อผลิตเลียนแบบรถยนต์จากัวร์โบราณ แต่ไม่สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทแพนเธอร์ให้ร่วมตรวจสอบสภาพทางกายภาพที่วัดไผ่ล้อมในวันพุธที่ 2 มีนาคมได้ เนื่องจากไม่มีตัวแทนบริษัทแพนเธอร์ในประเทศไทย เนื่องจากรถยนต์ยี่ห้อนี้คนทั่วไปไม่มีใช้ แต่ซื้อขายและใช้กันในแวดวงมหาเศรษฐี หรือเจ้าขุนมูลนายในอดีตเท่านั้น วันนี้มีแต่ข่าวดีๆ
ดีเอสไอเตรียมเชิญผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทจากัวร์ไปตรวจสอบรถโบราณของ“หลวงพี่น้ำฝน”ที่วัดไผ่ล้อมพรุ่งนี้ รัฐบาลยันเคารพมติของมหาเถรสมาคม สำนักข่าวไทย 2 มี.ค.-นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนา เผยถึงความเคลื่อนไหวของสงฆ์ที่ขึ้นป้ายให้มีการดำเนินการแต่งตั้งสมเด็จพระ สังฆราช ว่าได้มีการทำความเข้าใจกับคณะสงฆ์ ยืนยันรัฐบาลจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมติของมหาเถรสมาคมแต่ขอให้ทุกอย่างจะต้อง ชัดเจนก่อน และเคารพการทำงานของมหาเถรสมาคม.-สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/415624 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) - 2 มี.ค.59 - ทีมกฎหมายวัดปากน้ำฯยันสมเด็จฯช่วงบริสุทธิ์แน่นอน หลังเป็นครึกโครม สั่งคืนรถแก่ผู้บริจาค แต่รถยังฝากเก็บในพิพิธภัณฑ์ ส่วนที่ยังมีชื่อครอบครอบแค่เป็นเอกสารเสียภาษี ทางด้านตัวแทนหลวงพี่แป๊ะฟ้องอู่วิชาญหลอกขายรถ ด้านอธิบดีดีเอสไออ้างติดภารกิจสำคัญส่งผบ.สำนักคดีภาษีสอบสวนตามขั้นตอน ขณะที่เอกสารจดทะเบียนชี้วันครอบครองรถตรงกับวันเกิดสมเด็จฯพอดี
ปัญหาสมณศักดิ์กับการปกครองสงฆ์ ตอน 1 กรุงเทพฯ 2 มี.ค. – สมณศักดิ์เป็นเหมือนยศของพระสงฆ์ที่พระมหา กษัตริย์พระราชทานด้วยพระองค์เอง แต่ระยะหลังจนถึงปัจจุบันมีการปรับวิธีเป็นพระสงฆ์ที่จะได้รับหรือได้เลื่อน สมณศักดิ์ ต้องมีคุณสมบัติด้านต่างๆ และนำเสนอผลงานของตัวเองลงในแบบฟอร์มบันทึกรายละเอียด รวมทั้งค่าก่อสร้างศาสนวัตถุ ซึ่งได้เคยดำเนินการมาลงด้วย ติดตามรายงานพิเศษ ปัญหาสมณศักดิ์กับการปกครองสงฆ์ วันนี้นำเสนอเป็นตอนแรก นี่คือแบบฟอร์มสำคัญที่พระสงฆ์ ซึ่งต้องการขอรับพระราชทานเลื่อนและแต่งตั้งสมณศักดิ์ ต้องกรอกประวัติและรายงานผลงานที่ทำไว้ เพื่อเสนอต่อพระผู้ใหญ่พิจารณา ผลงาน 4 ประเภท คือ งานศาสนศึกษาและศึกษาสงเคราะห์ เช่น จัดส่งพระ เณร หรือให้ทุนการศึกษาไปกี่รูป จำนวนเงินกี่บาท งานเผยแผ่ศาสนา เช่น จัดอบรมวิปัสสนากรรมฐาน จัดอุปสมบท บรรพชา กี่รูป กี่บาท งานสาธารณสงเคราะห์ เช่น สร้างสิ่งก่อสร้างสาธารณประโยชน์ ไม่ใช้งบหลวง กี่บาท และที่สำคัญคือ งานสาธารณูปการ การก่อสร้างถาวรวัตถุ หรือบูรณปฏิสังขรณ์ในวัด ดำเนินการปีไหน อย่างไร รวมเป็นเงินแต่ละรายการกี่บาท พร้อมภาพถ่ายประกอบ เช่น เอกสารการขอพระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์ของพระรูปหนึ่งในภาคตะวันออกฉบับนี้ ระบุจำนวนเงินที่ใช้สร้างผลงาน รวมกว่า 16 ล้านบาท ประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เห็นว่า หลักเกณฑ์ที่พระชั้นผู้ใหญ่จะพิจารณาให้เลื่อนสมณศักดิ์ มาจากเอกสารที่พระสงฆ์ทำขึ้น ซึ่งจะวัดผลงานทุกเรื่อง แต่ในระยะหลังมีแนวโน้มเน้นผลงานด้านการก่อสร้างถาวรวัตถุ ส่วนนี่เป็นหลักเกณฑ์ที่เคยระบุให้พระสงฆ์ที่ขอพระราชทานสมณศักดิ์ ต้องมีจำนวนเงินขั้นต่ำที่ใช้ในการก่อสร้างถาวรวัตถุ จากข้อมูลของพระธรรมวโรดม เมื่อครั้งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ในฐานะเป็นเลขานุการอนุกรรมการพิจารณาสมณศักดิ์ เช่น ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง ต้องมีเงินที่ได้ใช้จ่ายในการก่อสร้างและปฏิสังขรณ์แล้วตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป คณะหนเหนือ หนตะวันออก และหนใต้ ต้องมีจำนวนเงิน 150,000 บาทขึ้นไป นักวิชาการด้านศาสนา ม.ศิลปากร เห็นว่า หลักเกณฑ์ของพระสงฆ์ที่จะได้รับสมณศักดิ์บางข้อ เช่น คุณสมบัติด้านสาธารณูปการ มีตัวชี้วัดเป็นจำนวนเงินมูลค่าสูง ทำให้มีโอกาสที่สมณศักดิ์สามารถถูกตีค่าเป็นราคา และทำให้พระสงฆ์มุ่งสร้างแต่ผลงานด้านวัตถุ สมณศักดิ์ หมายถึง ฐานันดรหรือยศของพระสงฆ์ ซึ่งเป็นตำแหน่งในด้านเกียรติยศที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้พร้อม ราชทินนามและพัดยศ มี 5 ลำดับชั้น ตั้งแต่พระราชาคณะ จนถึงพระครูประทวน ในอดีตพระมหากษัตริย์ทรงพิจารณาเลื่อนและแต่งตั้ง สมณศักดิ์ด้วยพระองค์เอง แต่ปัจจุบันปรับเพิ่มเป็นการพิจารณากลั่นกรองจากพระชั้นผู้ใหญ่ตามลำดับชั้น ตั้งแต่เจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัด จนถึงภาค ก่อนจะเสนอไปยัง มส.ให้ความเห็นชอบ เสนอเรื่องต่อไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาพระราชทานสมณศักดิ์ ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า การเพิ่มหลักเกณฑ์ให้พระสงฆ์เสนอประวัติและผลงาน ผ่านขึ้นไปให้พระผู้ใหญ่พิจารณา เกิดขึ้น พ.ศ.ใด แต่นักวิชาการคาดว่า อาจเกิดขึ้นในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 และทำให้การได้มาซึ่งสมณศักดิ์ในปัจจุบันถูกตั้งคำถามว่า มีข้อดีและสร้างปัญหาแก่พระพุทธศาสนาอย่างไรหรือไม่. – สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/415807 ปัญหาสมณศักดิ์กับการปกครองสงฆ์ ตอน 2 กรุงเทพฯ 3 มี.ค. – หลังจากเมื่อวานนำเสนอเรื่องการปรับวิธีที่ พระสงฆ์จะได้รับหรือเลื่อนสมณศักดิ์ โดยต้องกรอกแบบฟอร์มลงรายละเอียดผลงานของตัวเอง วันนี้พาไปดูการสร้างผลงานของพระสงฆ์ที่เพิ่งได้รับพิจารณาสมณศักดิ์ หลังจากสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ และมีพระชั้นผู้ใหญ่กลั่นกรองคุณสมบัติเบื้องต้น ติดตามรายงานพิเศษ ปัญหาสมณศักดิ์กับการปกครองสงฆ์ วันนี้นำเสนอเป็นตอนที่ 2 พระพุทธรูปปูนปั้น ความสูง 19 เมตร ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในวัดบ้านนาเทพธาราม เมืองฉะเชิงเทรา สร้างมา 2 ปีแล้ว ด้วยเงินบริจาคของญาติโยมกว่า 4 ล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งในผลงานด้านสาธารณูปการที่เจ้าอาวาสวัดบ้านนาฯ บอกว่า ได้บันทึกลงในเอกสารการเสนอผลงาน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาขอพระราชทานสมณศักดิ์ รวมกับผลงานด้านอื่น จนวันนี้ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์และได้รับพระราชทานพัดยศเป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นโท เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ เช่นเดียวกับพระสงฆ์อีกหลายรูปที่ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นอย่างรวดเร็ว จากผลงานการก่อสร้างถาวรวัตถุมูลค่าสูง เช่น ในเขตปกครองหนตะวันออก ต้องมีเงินที่ใช้จ่ายเพื่อการนี้ 150,000 บาท เจ้าอาวาสวัดบ้านนา บอกว่า แม้ใช้เงินมากในการสร้างถาวรวัตถุ แต่ก็เป็นผลงานที่ทำเพื่อทำนุบำรุงศาสนา การได้มาซึ่งลาภยศและสมณศักดิ์ ถือเป็นเพียงผลพลอยได้ และยังบอกด้วยว่า ธรรมเนียมที่หลายวัดนิยมปฏิบัติ คือ การที่มีญาติโยมจัดงานฉลองพัดยศให้แก่พระที่ได้รับสมณศักดิ์ และนิมนต์พระชั้นผู้ใหญ่มาร่วมพิธี ภายในวิหารวัดบ้านนาฯ ได้รวบรวมพัดยศของพระในวัดและอดีตเจ้าอาวาสเก็บไว้ในตู้อย่างสมเกียรติ เช่น พัดพุดตาน ซึ่งบ่งบอกถึงสมณศักดิ์ของพระครูสัญญาบัตร มีลักษณะเป็นวงกลม ขอบหยักคล้ายกลีบบัว แต่ละปีมีพระสงฆ์ใน จ.ฉะเชิงเทรา ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์กว่า 40 รูป จากทั้งจังหวัดที่มีกว่า 4,000 รูป เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา บอกว่า คณะสงฆ์ผู้ปกครองจะร่วมกันพิจารณาสมณศักดิ์ทุกปีอย่างเป็นธรรมที่สุด ตามผลงานและรูปถ่ายที่พระสงฆ์แต่ละรูปเสนอ และมีการไปตรวจสอบว่าทำจริงหรือไม่ด้วย แต่พยายามไม่ให้มีการวิ่งเต้นเพื่อให้ได้สมณศักดิ์ มีการแบ่งประเภทตามลักษณะงานของพระสงฆ์ 2 แบบ คือ พระสายปกครอง และสายวิชาการหรือสายปฏิบัติ โดยพระสายวิชาการหรือสายปฏิบัติ ไม่ได้เน้นสร้างถาวรวัตถุมาก แต่สนใจในเรื่องงานวิชาการ เผยแผ่ศาสนา พระกลุ่มนี้จึงไม่มีตำแหน่งทางการปกครองที่สูง ต่างจากพระสายปกครองที่มีตำแหน่งเป็นพระสังฆาธิการ เช่น เป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล หรือสูงกว่านั้น เน้นสร้างถาวรวัตถุ และเกี่ยวข้องใกล้ชิดพระผู้ใหญ่ จึงมีโอกาสได้เลื่อนสมณศักดิ์ในเวลารวดเร็ว. – สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/416682 สมณศักดิ์กับการปกครองคณะสงฆ์ ตอน 3 กรุงเทพฯ 4 มี.ค. – งานศึกษาวิจัยของศูนย์พุทธศาสน์ศึกษา จุฬาฯ เรื่อง “สมณศักดิ์ ข้อดีและปัญหา” ที่สรุปผลและตีพิมพ์ไปเมื่อเร็วๆ นี้ เสนอให้ปรับปรุงวิธีการพิจารณาการเลื่อนสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ เพื่อลดบทบาทที่ไม่เหมาะสม และเพิ่มความเป็นธรรมแก่พระสงฆ์ที่ทำงานเผยแผ่ศาสนา ไม่ใช่เน้นวัดที่ปริมาณการสร้างสาธารณูปการ ติดตามรายงานพิเศษ ปัญหาสมณศักดิ์กับการปกครองสงฆ์ วันนี้นำเสนอเป็นตอนสุดท้าย เคยมีงานศึกษาวิจัยของศูนย์พุทธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง “สมณศักดิ์ ข้อดีและปัญหา” โดยนายวัชระ งามจิตรเจริญ เมื่อเร็วๆ นี้ โดยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์พระภิกษุสงฆ์และฆราวาส ในเวลา 2 ปี มีสาระสำคัญหลายเรื่องสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน สมณศักดิ์เป็นตำแหน่งด้านเกียรติยศที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้พร้อม ราชทินนามและพัดยศ มี 5 ลำดับชั้น คือ พระราชาคณะ หรือที่เรียกว่า เจ้าคุณ มี 7 ระดับ ในจำนวนนี้สูงสุด คือ ชั้นสมเด็จ เช่น สมเด็จพระสังฆราช ถัดจากนั้นเป็นพระครูสัญญาบัตร หรือพระครู พระฐานานุกรม พระเปรียญ และพระครูประทวน ข้อดีของการมีสมณศักดิ์ คือ เป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหากษัตริย์ และใช้ยกย่องเชิดชู สนับสนุนพระสงฆ์ที่ดี ส่งเสริมศาสนา งานวิจัยยังชี้ถึงปัญหาของการมีสมณศักดิ์หลายเรื่อง เช่น ระบุว่า ทำให้พระสงฆ์เกิดความโลภ มัวเมา ในตำแหน่งและลาภสักการะ เกิดการแก่งแย่งหรือวิ่งเต้นให้ได้สมณศักดิ์ จนเกิดความลักลั่นและอยุติธรรมในสังคมสงฆ์ ทำให้พระสงฆ์เกิดความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เช่น การฉลองสมณศักดิ์ ซึ่งต้องจัดงานและใช้เงินมาก ส่งเสริมพฤติกรรมประจบสอพลอ และระบบอุปถัมภ์ หลักเกณฑ์การเลื่อนสมณศักดิ์ในปัจจุบันที่บางคุณสมบัติใช้ปริมาณเป็นตัว ตั้ง และจำนวนเงิน เช่น ต้องลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างปฏิสังขรณ์ ทำให้พระสงฆ์บางรูปที่ต้องการได้สมณศักดิ์ใช้ช่องทางนี้เป็นเครื่องมือ เช่น การจัดบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนจำนวนมากๆ หรือการสร้างสิ่งปลูกสร้างมูลค่ามหาศาล แม้อาจช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนาได้ แต่อีกมุมหนึ่งพระสงฆ์ก็นำปริมาณไปเป็นผลงานขอสมณศักดิ์ได้เช่นกัน งานวิจัยได้เสนอทางแก้ปัญหาสมณศักดิ์ แม้ไม่ถึงขั้นยกเลิก แต่เห็นว่าควรปรับปรุงวิธี เช่น ให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่พระสงฆ์หรือรัฐ มีส่วนร่วมในการพิจารณา เพื่อลดบทบาทที่ไม่เหมาะสม และไม่ให้พระสงฆ์แต่งตั้งกันเอง ปรับเกณฑ์ให้เป็นธรรมแก่พระสงฆ์ที่ทำงาน และคำนึงถึงวัยวุฒิและคุณวุฒิด้วย เพื่อลดการแก่งแย่งหรือวิ่งเต้น และต้องแยกสมณศักดิ์ออกจากตำแหน่งปกครองสงฆ์ เพราะพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์สูงจะมีตำแหน่งทางปกครองสูงตามไปด้วย หากจัดการไม่ดีอาจมีการใช้สมณศักดิ์ขึ้นสู่อำนาจทางปกครอง หรือเกิดการรวมอำนาจไว้ที่พระสงฆ์ ขัดกับความมุ่งหมายเดิมที่ต้องการให้สมณศักดิ์เป็นตัวกระตุ้นให้พระสงฆ์นำ ความรู้ทางโลก ทางธรรม สร้างผลงานเพื่อประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา. – สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/417376
ข่าว 7 สี - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุถึงแม้ว่าทางวัดปากน้ำภาษีเจริญจะคืนรถเบนซ์ที่มีปัญหาให้กับผู้บริจาค ก็ไม่สามารถทำให้คดียุติลงได้ พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องรถเบนซ์โบราณที่มีชื่อของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญเป็นผู้ครอบครองรถ หลังทนายความวัดปากน้ำภาษีเจริญได้ทำหนังสือคืนรถคันดังกล่าว ไปให้กับผู้บริจาคแล้วนั้น ถือเป็นแค่การแสดงเจตนารมณ์ การครอบครองรถผิดกฎหมายถือเป็นความผิด ส่วนรถที่ผิดกฎหมายจะไปอยู่ที่ใดไม่ใช่ประเด็น เพราะไม่สามารถจะยุติหรือไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายได้ ส่วนสาเหตุที่ยังไม่ยึดรถของกลางเท่าที่สอบถามอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษทราบว่าต้องรอเข้าพบกับสมเด็จช่วงก่อนซึ่งเป็นการให้เกียรติพระชั้นผู้ใหญ่ก่อนจะขอรับรถของกลางมาตรวจสอบ ขณะที่นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเปิดเผยถึงกรณีวัดหลายแห่งขึ้นป้ายสนับสนุนมติมหาเถรสมาคม ที่เสนอชื่อสมเด็จช่วงขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชว่าได้ขอให้เจ้าคณะพระสังฆาธิการและพระภิกษุสามเณรในปกครองอย่าได้ดำเนินการใดๆอันเป็นการไม่เหมาสมหรือสร้างความเคลือบแคลงใจแก่ประชาชนการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องดำเนินการอยู่ในบรรทัดฐานที่ถูกต้อง เพื่อความสง่างาม ปัญหาเรื่องกระบวนการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 ถึงจุดพลิกผันอีกครั้ง เมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินมีคำวินิจฉัยออกมาว่ากระบวนการเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง เป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 มีการทำผิดขั้นตอน กระบวนการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 อาจถึงจุดพลิกผันอีกครั้ง หากพรุ่งนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินมีคำวินิจฉัยออกมาว่ากระบวนการเสนอชื่อสมเด็จ พระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง เป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 มีการทำผิดขั้นตอน ผู้สื่อข่าวจากรัฐสภาเปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้เวลา 13.30 น. ผู้ตรวจการแผ่นดินจะแถลงผลการพิจารณาคำร้องของนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธ ศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ และ นพ.มโน เลาหวณิช อดีตศิษย์วัดพระธรรมกาย ที่ไปยื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเมื่อ 19 มกราคม ให้วินิจฉัยว่า หน่วยงานใดมีอำนาจในการเสนอชื่อแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช รายงานข่าวแจ้งว่า เบื้องต้นผู้ตรวจการแผ่นดินได้วินิจฉัยประเด็นนี้ว่า การดำเนินการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชจะต้องเริ่มต้นที่นายกรัฐมนตรี ตามหลักฐานรายงานสภาในการพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 เมื่อปี 2535 เมื่อนายกรัฐมนตรีเสนอแล้ว ค่อยส่งให้มหาเถรสมาคม (มส.) มีมติ ดังนั้น มติมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่ให้เสนอชื่อสมเด็จช่วงเป็นสมเด็จพระสังฆราช จึงเป็นการดำเนินการที่ผิดขั้นตอนกฎหมาย เพราะมหาเถรสมาคมเป็นผู้ริเริ่มหยิบยกขึ้นพิจารณาเสนอนามและลงมติเลือก แล้วจึงเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ทำหน้าที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย หลังจากได้ผลวินิจฉัยแล้ว จะเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อส่งกลับไปยัง มหาเถรสมาคม ต่อไป
Suwit Kotasin ปลูกต้นสตางค์ไว้บนแผ่นหลังญาติโยม แสบทะลุจีวร…เพลง "เงินสั่งมา" เสียดสีวงการสงฆ์ ชลธี ทารทอง แต่งเอง ร้องเอง โดนถูกแบนห้ามออกทีวี แต่มีคลิปให้ชม......รีบชมก่อนที่จะโดนลบ : ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง และครูเพลงชื่อดัง ชลธี ทารทอง สุดเซ็ง แต่งเอง ร้องเอง เพลง”เงินสั่งมา” เนื้อหาสะท้อนสังคม และวงการสงฆ์ ที่กำลังมีปัญหาฉาวโฉ่เป็นข่าวในปัจจุบัน ปรากฎโดนสั่งห้ามเผยแพร่ออกทีวี โดยเนื้อเพลงดังกล่าวมีดังนี้ เนื้อเพลง “เงินสั่งมา” คำร้อง ชลธี ธารทอง . เงินใช่ไหมทำให้คนจนขื่นขม เงินใช่ไหมทำให้สังคมแตกต่ำ เงินใช่ไหมทำให้คนลืมศิลธรรม หน้าด้านหน้าดำเพราะเงินนี้หนอ เงินใช่ไหมทำให้ใจคนโหดร้าย เงินใช่ไหมทำให้ลูกมันฆ่าพ่อ เงินใช่ไหมทำให้เพื่อนฝูงแตกคอ มีเงินมาล่อรูปหล่อยังแพ้ขอทาน เงินจ้างผีให้โม่แป้งได้ เงินเป็นนายของคนทั่วย่าน เงินมาผ้าหลุดความบริสุทธิ์แหลกลาญ ทรมานเพราะคำถากถาง เงินใช่ไหมทำให้โลกเราสับสน คือเหตุผลทำคนให้มีช่องว่าง บวชเป็นพระแล้วท่ านไม่ยอมปล่อยวาง ปลูกต้นสตางค์ไว้บนแผ่นหลังญาติโยม
เป็นไงล่ะโล้นห่มเหลืองทั้งหลายที่ไม่รู้จักปล่อยวาง สะสมรถยังงี้ รวยๆๆๆ ยังงี้ โดน ครูชลธี ด่าซะ แสบมั้ยล่ะ เสียพระหมด
04 มี.ค. | ข่าว 16.00 น. เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยืนยัน นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจในการเสนอนามแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ตามมาตรา 7 ของกฎหมายคณะสงฆ์ วันนี้มีความเคลื่อนไหวทางฝั่งพระพุทธะอิสระ ที่ได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึงมหาเถรสมาคม เพื่อให้ตรวจสอบตัวเอง ว่าอาบัติปาราชิกหรือไม่ // ติดตามกับคุณกลกร เวียงดอนก่อ ข่าว 7 สี - ผู้ตรวจการแผ่นดิน ชี้มติเสนอนามสมเด็จพระสังฆราช ของมหาเถรสมาคม ที่ผ่านมากระทำผิดขั้นตอนทางกฎหมาย นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้แถลงผลการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชของผู้ตรวจการแผ่นดินพบว่าได้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด โดยสมณศักดิ์ ซึ่งจะมีเพียงรูปเดียวเท่านั้น โดยมหาเถรสมาคม มีอำนาจหน้าที่เพียงให้ความเห็นชอบ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอนามมา ดังนั้นมติของมหาดถรสมาคม ในการเสนอนามแต้งตั้งสมเด็จพระสังฆราช จึงเป็นการกระทำผิดขั้นตอน ทั้งนี้ผู้ตรวจการแผ่นดิน จะทำความเห็น และข้อเสนอแนะ ส่งไปให้นายกรัฐมนตรี เพื่อสั่งการให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแล สำนักงานพระพุทธศาสนา ที่ได้รับมติของมหาเถรสมาคมไว้ ส่งเรื่องคืนกลับไป เพื่อให้การดำเนินการถูกต้องตามขั้นตอน และเจตนารมณ์ของกฎหมาย ทางด้าน พระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในพระที่ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านมติของมหาเถรสมาคม วันนี้ ได้ไป ยื่นเรื่องให้สำนักงานพระพุทธศาสนา และมหาเถรสมาคม พิจารราลงโทษตัวเอง ทั้งทางวินัย และกฎหมาย โดยอ้างว่าที่ผ่านมาถูกกล่าวหาในหลายข้อหาทั้งกรรโชกทรัพย์ โรงแรมเอสซีปาร์ค เผยแพร่พระลิขิตปลอมทำให้ต้องการพิสูจน์ตัวเองและยังขอให้สำนักพระพุทธศาสนารวบรวมรายชื่อผู้ที่ละเมิดพระธรรมวินัยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พร้อมหลักฐานทั้งหมดเสนอให้กรรมการมหาเถรสมาคมเพื่อสั่งการให้คณะปกครองสอบสวนทำความจริงให้ปรากฏ
ตอนนี้ ถอย แล้วครับ นี่ก็ต้องถอย!!! ปลดป้ายหนุน "สมเด็จช่วง" อ้างแบบให้ดูดี.พระผู้ใหญ่ไม่สบายใจ..โธ่ถัง "พระประสาน" เผยมติองค์กรพุทธฯ ให้วัดที่กำลังจะขึ้นป้ายหนุนมติ มส. กรณีตั้งพระสังฆราชชะลอก่อน ส่วนวัดไหนขึ้นป้ายแล้วให้ปลดลง อ้างแบบดูดี...พระผู้ใหญ่บางรูปไม่สบายใจ??!!...โถ วานนี้ (3 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ พระประสาน เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีการขึ้นป้ายสนับสนุนมติ มส.สถาปนาสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชว่า การที่องค์กรภาคีเครือข่ายและวัดต่างๆ ทั่วประเทศได้ร่วมกันการติดป้ายสนับสนุนมติ มส. นั้น เป็นการสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของคณะสงฆ์ ด้วยวิธีที่สงบ สันติ ไม่เบียดเบียนใคร ไปยังผู้มีอำนาจในบ้านเมืองให้รับทราบ และลงมาแก้ปัญหาเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับศูนย์พิทักษ์ฯ และ สมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.) แต่อย่างใด แต่หลังผู้ใหญ่ของฝ่ายบ้านเมืองและฝ่ายคณะสงฆ์ได้หารือร่วมกันภายใน และเผยว่าท่านและพระผู้ใหญ่บางท่านบางรูปไม่สบายใจ ไม่อยากเห็นภาพแบบนี้ ดังนั้น ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯจึงได้ร่วมประชุมด่วนกับองค์กรพุทธ เรื่องเกี่ยวกับหนังสือแจ้งคณะสงฆ์ ของคณะเลขานุการผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช โดยที่ประชุมเห็นร่วมกันใน 2 ประเด็นว่า 1.จะต้องปฏิบัติตามหนังสือดังกล่าว โดยวัดใดที่กำลังจะขึ้นป้ายสนับสนุนมติ มส.ก็ให้ชะลอไปก่อน ส่วนวัดไหนที่ขึ้นป้ายแล้ว ก็ขอให้ปลดป้ายลง 2. องค์กรพุทธฯ จะติดตามข้อเสนอเครือข่ายคณะสงฆ์และองค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 ทั่วประเทศ (คสพ.) ที่ได้เสนอต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จำนวน 5 ข้อว่า มีความคืบหน้าไปอย่างไร
อ้าว...... นายประสารถอยอีกแล้ว เห็นเพิ่งออกมาขู่ฟ่อๆว่าจะขนห่มเหลืองมาสำแดงพลังอีกหากลุงตู่ยังไม่ยอมทูนเกล้าฯเสนอสมเด็จช่วงเป็นสังฆราช ไปๆมาๆนายประสารนี่แหละที่เป็นตัวหลักทำสมเด็จช่วงชวดตำแหน่ง
แหม่ พระผู้ใหญ่เห็นการบิดเบือนพระธรรม "ชิตังเมโป้งรวยจ้า" "อีเวนท์ย่ำดอกไม้ให้ชื่นใจ" ก็คงไม่สบายใจ แล้วหนังสือสมเด็จพระสังฆราชหลายฉบับ ปฏิบัติตาม'ครบถ้วน'รึยัง? เห็นเฮียๆทั้งหลายว่าเป็นแค่คำสอนคำแนะนำ ไม่บังคับ
รายงานพิเศษ : คำให้การ "สมนึก บุญประไพ" เดินทะเบียนรถ "สมเด็จช่วง" “วิษณุ” มอบพศ.ตรวจสอบกรณีเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการฯระบุการเสนอชื่อสมเด็จพระสังฆราชผิดขั้นตอน
"เมธีฯ" พร้อมชน?? กำหนดการเคลื่อนม็อบ พรุ่งนี้ -หลังไม่พอใจคำวินิจฉัยผู้ตรวจการฯ วันนี้ ( 6 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระเมธีธรรมมาจารย์ - เจ้าคุณประสาร ประกาศผ่านโซเชียล กำหนดเคลื่อนพล 7 มีนาคมนี้ กรณีคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน มีเนื้อหาใจความว่า "แจ้งเพื่อทราบ ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา จะแถลงท่าทีอย่างเป็นทางการ กรณีคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน และกำหนดการเคลื่อนไหว ในวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2559 เวลา 10.00 น. สถานที่จะแจ้งให้ทราบภายหลัง พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย" ... .... เย้ พรุ่งนี้เตรียมรับทรัพย์ ถ้าให้ยกรถทหารด้วย ขอคิดตังค์เพิ่มนะครับ คราวนี้เอาให้เนียนกว่าคราวที่แล้วหน่อยนะ ที่ใส่ตุ้มหูมา ก็ให้ถอดออกก่อน เวลาเปลี่ยนชุด ก็ให้เปลี่ยนในที่ลับตาคนหน่อย อย่าให้เขาถ่ายภาพได้ ประกาศ ร้านตัดผมที่ปิดวันอาทิตย์ รีบมาเปิดร้านด่วน มีคนมารอคิวโกนหัวที่ร้านเยอะแยะเต็มไปหมด อย่าลืมโกนหนวด โกนคิ้วด้วยนะครับ จะอายเขาเปล่าๆ
ระวังถอดเสื้อเขียว มาไส่สีเหลือง เหมือน บอลจุฬา มธ ก็มีสลับเสื้อมาแล้ว แถมหัวเกรียนอีกด้วยยิ่งเนียน สมองนิ่มจัง สีเขียวไทยเขาไม่ไสซื่อ เหมือนสมองนิ่มๆอย่างคุณเสพด้านเดียวหรอก
พ่อคุณสมองแข็ง มีหลักฐานมาอ้างอิงหรือเปล่า มาพ่นมโนอย่างเดียว ว่าแต่ ไปถาม สตง. หรือยัง ว่าจะตั้งสังฆราชอย่างไร ขอขรรม แปบ
เมธี นี่ก็แปลกเนอะ ชอบถอยออก แล้วก็ดันเข้า ชักว่าวนี่หว่า ชักเข้าชักออก ว่าแต่พรุ่งนี้บุกจริงหรือเปล่า พวกรับจ๊อบจะได้โกนหัวทัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ถอย กลัวได้โกนหัวฟรีอ่ะ แล้วจะต้องยกรถด้วยหรือเปล่า ถ้ามียกรถ ต้องเพิ่มค่าตัวด้วยนะครับ ขอออกไปซ้อมยกรถของคนข้างบ้านก่อน
พุทธทำนาย ข้อที่ 15 นี่ตรงเผง สุบินนิมิตข้อที่ 14 : นักบวชหลงลาภยศ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็น นางเขียดน้อยไล่กินงูเห่าตัวมหึมา เมื่อไล่ทันก็กระโดดคาบกลืนกินทันที พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น นักบวชองค์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีคำพูดเป็นวาทศิลป์ เคยแผ่พังพานในการแสดงธรรม มีบทบาทในสังคม มีประชาชนให้ความเคารพเชื่อถือเป็นอย่างมาก ได้รับลาภ ยศ สรรเสริญจนลืมตัว ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา รักษาใจไม่มีความฉลาด จึงขาดในการสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ปล่อยให้ไปสัมผัสในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จึงทำให้ใจเกิดอัฏฐารมณ์ คือ อารมณ์แห่งความรักความใคร่ในกามคุณ มีความกำหนัดย้อมใจ นางเขียดน้อย (สตรี) ได้มองเห็นช่องโหว่ จึงได้วางแผนหว่านล้อมด้วยมารยานานาประการ มีคำหวานอันหยดย้อยเหมือนน้ำอ้อยน้ำตาล ชโลมหัวใจงูเห่าจนหน้ามือตาลาย หายใจไม่เต็มปอดอีนางเขียดน้อยได้จังหวะก็กระโดดคาบกลืนกินทันทีเรียบร้อยไป สุบินนิมิตข้อที่ 15 : แวดล้อมด้วยพระทุศีล พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็น หงส์สีทองทั้งหลาย ไปห้อมล้อมอีกา อีกาไปไหน ฝูงหงส์สีทองทั้งหลาย ก็ห้อมล้อมเป็นบริวาร พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น พระเณรผู้บวชใหม่ ใจยังมีความบริสุทธิ์อยู่ในศีลในธรรม จะห้อมล้อมพระที่ทุศีลทุธรรม จะยกให้เป็นครูอาจารย์เพื่อเคารพกราบไหว้อย่างเหลือเฟือ อีกาฉลาด มีเล่ห์เหลี่ยมในการหาอาหารฉันใด พระทุศีลทุธรรมเหล่านี้ก็ฉลาด มีเล่ห์เหลี่ยมในการหาลาภสักการะได้ฉันนั้น และแบ่งลาภสักการะให้แก่หงส์เล็กหงส์ใหญ่ได้อย่างทั่วถึง ฝูงหงส์ทั้งหลาย จึงให้ความสำคัญในอีกาเป็นอย่างมาก ในยุคต่อไปช่วงปลายศาสนาโน้น การเปลี่ยนไปในสังคมของสมณะก็จะเป็นอย่างนี้ พระที่ทุศีลทุธรรมจะเพิ่มมากขึ้น พระเณรที่ขาดการศึกษา จะไม่รู้ธรรมวินัย ไม่เข้าใจว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรผิดศีล อะไรผิดธรรม จะไม่รู้หน้าที่ของตน เพียงบวชกันตามประเพณีเท่านั้น เหตุการณ์อย่างนี้ ก็จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น
ทำไมสมองนิ่มจัง เพราะภาพโล้นตัวนึงแม่ม พกพวกแก็บทุกเหล่าทัพเตรียมพร้อมปลอมตัวซะด้วย แถมที่สนามรัชมังคลาเอาพระปลอมมาไม่รู้กี่ตัวเพราะ จับมีภาพกำลังเปลี่ยนชุดโผล่เลย สมองควายแบบนี้ ใสซื่อว่าพวกตัวเองดีเลิศก็แบบนี้แหละครับ โง่แบบอันลิมิตจริง แถมยังชาติชั่วอีก เวลากล่าวหาใครต้องมีหลักฐานแบบนี้ เข้าใจมั้ย ไอ้ชาติชั่ว ถ้าดูจากภาพ ทหารเขาไม่เกรียนแบบนี้หว่ะ แก็งไหนวะ พระปลอมเต็มเลย
“เจ้าคุณประสาร” นัดแถลงท่าทีต้านคำวินิจฉัยผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุจ่อล่ารายชื่อพระสงฆ์ถอดถอน.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/social/general/419982 -------------------------------------------------------------------------------- ไอ้เจ้ามึง ตัวทำศาสนาเสื่อมชัดๆ
ถ้าอยากปกครองกันเอง ช่วยออกไปหาเกาะที่อยู่ในน่านน้ำสากลหน่อยเถอะ เพราะแผ่นดินนี้มีกฎหมาย ทุกคนต้องอยู่ใต้กฎหมาย ไอ้พวกโล้นขยะ
