หลวงปู่ไปประท้วงฑูตสหรัฐที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ม็อบจิ้งเหลืองมันประท้วงรัฐบาล ไม่เห็นความแตกต่างจริงๆ เหรอ ที่สำคัญ ม็อบหลวงปู่ไม่ได้ปะทะกับทหาร-ตำรวจที่ไปคุมด้วย
รถที่มองให้พระถ้าไม่รับเองก็ดูว่าเกี่ยวข้องแค่ไหน อ้อ เรื่องชุมนุมหน้าสถานทูตคือการปกป้องสถาบันเบื้องสูง ไม่เกี่ยวกับการเมืองนะ องค์กรอิสระบางพวกที่หมายถึงหมายถึงป.ป.ช.สมัยแม้วที่ขึ้นเงินเดือนตัวเองใช่มั้ยครับ ผมตลกตรงนี้มากกว่า ความเป็นธรรมสำหรับควายแดงคือ กูถูกทุกอย่าง กูไม่ผิด ตลกมั้ย
ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับ คดียุบพรรค ปชป. http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000169858 คำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ลงมติด้วยเสียข้างมาก 4 ต่อ 2 ให้ยกคำร้องของ นายทะเบียนพรรคการเมือง ที่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สร้างความสับสน เข้าใจผิดให้กับประชาชนส่วนใหญ่ เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ เพราะไปเชื่อตามความเข้าใจของสื่อว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำร้อง เพราะ คดีขาดอายุความ ความจริงแล้ว ก่อนที่จะมาถึงเรื่องอายุความนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 3 คน คือ นายจรัล ภักดีธนากุล นายสุพจน์ ไข่มุกด์ และนายนุรักษ์ มาประณีต ได้วินิจฉัยแล้วว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง ไม่มีอำนาจในการร้องให้ยุบพรรคการเมือง ตามมาตรา 93 พรบ. ประกอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 อำนาจนั้นเป็นของ นายทะเบียน การให้ความเห็นชอบของ กกต. เมื่อวันที่ 21 เม.ย.2553 จึงเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนของกฎหมายในส่วนสาระสำคัญ ไม่มีผลทางกฎหมายที่จะให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องได้ หลังจากนั้น จึงมาถึงประเด็นเรื่องอายุความ ซึ่งเป็นข้อวินิจฉัยของนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ที่เห็นว่า นายทะเบียนยื่นคำร้องได้ เพราะต้องปฏิบัติตาม มติ กกต. ตั้งแตวันที 17 ธันวาคม 2552 แล้ว การนับอายุความจึงตองนับตั้งแต่วันนั้น ซึ่งเกินกำหนด 15 วัน ดังนั้น การไปสรุปว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำร้อง ด้วยมติเสียงข้างมาก 4 ต่อ 2 เพราะคดีขาดอายุความ จึงผิดข้อเท็จจริง ที่ถูกต้องคือ ตุลาการเสียงข้างมาก 3 ใน 4 คน ยกคำร้องเพราะ การยื่นคำร้องให้ยุบพรรค ต้องเป็นความเห็นชอบของนายทะเบียนพรรคการเมือง ไม่ใช่อำนาจของ กกต. ในขณะที่ตุลาการ เสียงข้างมาก 1 ใน 4 คน ให้ยกคำร้องเพราะ คดีขาดอายุความ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังเคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2553 ว่า มติ กกต. ที่ให้ยุบ พรรคปชป. ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบ เพราะกฎหมายระบุให้นายทะเบียนเป็นผู้ชี้ขาด
เป็นพระ ต้องสละแล้วซึ่งกิเลส เขาจะแต่งตั้งไม่แต่งตั้งก็ควรจะสงบไว้ ไม่ควรออกมาโวยวายก่อม็อบ เสียภาพพระหมด
บ้านเรามีนิกายเดียวคือเถรวาท เรื่องเรือเหาะเนี่ยมันจบไปแล้ว ถ้าติดใจก็ยื่นใหม่สิครับ คดียุบปชป.เนี่ย เขาไม่ได้ปล่อยให้หมดอายุความแต่เจ้าตัวดันมาพลิกคำให้การทีหลังต่างหาก ไปติดตามหน่อยนะ เรื่องช่วงๆเนี่ย DSI เป็นเจ้าของคดีครับ และเรือเหาะ ป.ป.ช. ยกคำร้องไปแล้วนะ เฮ!! ป.ป.ช.ยกคำร้อง 'สุเทพ-ยิ่งลักษณ์' คดีเรือเหาะ-เงินกองทุนยุติธรรม http://www.thairath.co.th/content/553828 ขอร้อง อย่ายก เอวา เปรองมาเลย เดี๋ยวขำกลิ้ง เพราะสามีนางทำให้ชาติล่มเพราะประชามนิยมสุดขั้วไง คนที่ยิ่งใหญ่หลายก็ชี้นิ้วเหมือนกัน ยกตัวอย่างจอมพลสฤษฎ์ เพื่ออะไรครับ หรือเพราะ ท่านใช้กฎหมายเข้มงวด คนกลางเลยดิ้น ใครจะยิ่งใหญ่ผมไม่รู้ แต่แม้ว ปูไม่ได้ยิ่งใหญ่หรอกครับ กลับมาที่ศาสนา ตอนนี้ช่วงๆมีคดีความ จึงควรจะได้ขึ้นมั้ย ธรรมกายยักยอกทรัพย์แต่ไปปกป้องแถมบอกอีกว่าเป็นวัดพี่น้อง รับเงินมา แบบนี้นะเหรอ
ไอ้พวกนี้ ตั้งใจจะเป็นควายครับ พวกเขารู้อยู่เเล้วว่าการชุมนุมในประเด็นปกป้องสถาบัน มันคนละเรื่องกับที่พวกพระทำ เพราะถ้าดูเจตนาทั้ง 5 ข้อ ก็จะทราบดีว่าพวกพระเหล่านั้นต้องการไม่ให้กฏหมายดำเนินการเอาผิด ดังนั้นต้องปิดเกมเร็วให้รีบมีการเเต่งตั้งพระสังฆราชโดยเร็วที่สุด ไอ้ที่จะหวังให้พรรคการเมืองบางพรรคชนะการเลือกตั้ง มันไม่ทันการครับ เพราะหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคนั้น มันเองยังเอาตัวไม่รอดเลย
"เจ้าของอู่เอ็นพีการาจร้องดีเอสไอถูกปลอมลายมือจดทะเบียนรถสมเด็จฯช่วง" "นางกาญจนา มากเหมือน เจ้าของอู่ N.P.การาจ ซึ่งถูกปลอมแปลงเอกสารและลายมือชื่อยื่นชำระภาษีสรรพสามิตเพื่อจดประกอบรถเบนซ์คลาสสิคของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จฯช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้เข้าร้องทุกข์กับดีเอสไอให้เอาผิดขบวนการปลอมแปลงเอกสาร โดยยืนยันว่าอู่ N.P.การาจ เป็นเพียงอู่เคาะพ่นสีรถยนต์ ไม่ประกอบรถยนต์ และเบนซ์คันที่มีปัญหาก็ไม่เคยเห็นหรือทราบเรื่องมาก่อน แต่ยอมรับว่าก่อนหน้านี้เคยยื่นเอกสารกับกรมสรรพสามิตเพื่อขออนุญาตจดประกอบรถ ตามคำแนะนำของนายชลัส นิติฐิติวงศ์ ซึ่งมาชักชวนให้ตนและสามีไปยื่นจดทะเบียนขออนุญาตทิ้งไว้ เพราะในอนาคตอาจขยายอู่ซ่อมรถ แต่ที่ผ่านมาอู่ไม่เคยทำรถจดประกอบ จึงไม่ทราบว่าถูกนำเอกสารไปใช้"
e » "จตุพร"เสนอทางออก!พระสงฆ์ทั่วประเทศโหวตตั้ง"สังฆราช" ยังไม่ได้เลือก สส. ขอเลือกตั้งสังฆราชก็ได้ว่ะ
จริงๆทหารเชิญตัวไปครั้งนึง ก็น่าจะหักขาทีนึง หรือไม่ก็คอมแบทตบปากซักทีนึง ออกมาจะได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
ไอ้คุณ'คกจะขุดประเด็นมายุแยงใครอีกเหรอไง? searchเร็วๆ เอาลิ้งค์นี้ไปคร่าวๆก่อนครับ http://tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=3463 มีพาดพิงพ่องPDด้วยแฮะ พระหนุ่มหัวก้าวหน้าในยุคนั้นที่เรียกว่า คณะปฏิสังขรณ์ ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นประชาธิปไตย จึงเข้าไปหานายปรีดี พนมยงค์ ทำให้เกิด พ.ร.บ.สงฆ์ ที่เป็นประชาธิปไตยในปี 2484 เพิ่ม: ข่าววันนี้ http://www.matichon.co.th/news/44455 กะอยู่แล้วว่าคงมีใบบอกให้ปั่นกระแส เมื่อวันก่อนเริ่มเห็นมีการแวะเข้าเรื่องนี้จากเพื่อนแดงเป็นหย่อมๆ วันนี้มติทรชนอ้างว่าทำข่าวตามที่มีกระแส
มาเหมือนหนังเรื่องเดียวกัน แต่คนละม้วนเลยนะ อู่บอกว่าทำแต่ตัวเครื่องอย่างเดียวไม่เกี่ยวข้องกับเอกสาร แต่ทีมกฎหมายวัดบอกว่าอู่จัดการเรื่องเอกสารทั้งหมด มันต้องใครซักคนแล้วละที่โกหก แล้วตอนนี้ DSI ก็เตรียมเชิญสมเด็จช่วงมาตรวจสอบแล้วด้วย เจ้าของอู่วิชาญ ยืนยัน กับดีเอสไอ รับว่าจ้างประกอบรถเบนซ์คลาสสิคให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ยันไม่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-จัดทำปลอมเอกสาร นายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ ซึ่งรับประกอบรถเบนซ์คลาสสิค ทะเบียน"ขม 99 กทม." ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมกรณีตรวจสอบรถจดประกอบหลีกเลี่ยงภาษีของสมเด็จช่วง โดยนายวิชาญ ยืนยันว่ารับหน้าที่เพียงประกอบชิ้นส่วนรถให้สามารถใช้งานได้เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำเอกสาร เพื่อยื่นจดทะเบียนกับทางราชการ นำเข้ารถยนต์ ชิ้นส่วนอะไหล่หรือการทำเอกสาร ซึ่งการประกอบรถ เกิดขึ้นมานานกว่า 5-6 ปี เพราะเห็นว่า เป็นเกียรติที่ทำถวายพระชั้นผู้ใหญ่ แต่เมื่อเกิดปัญหาก็ต้องยอมรับว่า ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ ทีมกฎหมายวัดปากน้ำภาษีเจริญ ออกมาชี้แจงว่า "อู่วิชาญ" เป็นผู้จัดการรถหรูทั้งหมด ของสมเด็จช่วง พร้อมยอมรับว่าลายเซ็นเจ้าคุณแป๊ะของจริง ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ศุภภัทร์พจน์ นิติศศรธร ออกมา ปฏิเสธกรณีที่มีการกล่าวหาว่า พระมหาศาสนมุณี หรือ เจ้าคุณแป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เกี่ยวของกับการจัดหารถโบราณ ให้สมเด็จช่วง โดยยืนยันว่าเจ้าคุณแป๊ะเป็นเพียงผู้ประสานงานติดต่อกับ อู่วิชาญ และเงินที่ซื้อรถ จ้างจดประกอบ จ้างซ่อมรถ เป็นเงินบริจาคของญาติโยมที่มีจิตศรัทธาสมเด็จช่วง จึงร่วมบริจาคทั้งหมดซื้อรถถวาย เพื่อทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ผ่านเจ้าคุณแป๊ะ ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำ ชี้แจงด้วยว่า เจ้าคุณแป๊ะ เป็นผู้ประสานกับอู่วิชาญเท่านั้น ส่วน อู่วิชาญ จะไปประสานกับอู่รถที่ไหนอย่างไร ใครนำเข้า ทางวัดไม่ทราบ เพราะโยมที่ถวายเงินบริจาคเพื่อซื้อรถ เป็นนักธุรกิจหญิงสองคน เป็นของนักธุรกิจชาย 1 คน ส่วนที่เหลือจะเป็นญาติโยมหลายฝ่ายร่วมสมทบทุน ส่วนสาเหตุที่เลือก อู่วิชาญ ศุภภัทร์พจน์ บอกว่า เจ้าคุณแป๊ะ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส นำรถของวัดปากน้ำไปซ่อมที่อู่วิชาญ บ่อยครั้ง พอไปเจอโครงรถเก่า จึงพูดคุยกับคุณวิชาญ ว่าหากนำโครงรถมาประกอบซ่อมแซมเป็นรถที่ใช้ได้เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ ต้องใช้เงินจำนวนเท่าไหร่ คุณวิชาญบอกอยู่ที่ 4 ล้านบาท จึงทำบันทึกการจ่ายเงินระบุไว้ว่าคุณวิชาญซ่อมแซม จนกระทั่งจดทะเบียนเสร็จสมบูรณ์ และเอกสารบันทึกการซ่อม การจ่ายเงิน พร้อมลายเซ็นเจ้าคุณแป๊ะที่ถูกเผยแพร่ในขณะนี้ ก็เป็นของจริง ดีเอสไอขอนมัสการ"สมเด็จช่วง"ถามปมรถหรู อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง เตรียมเข้านมัสการ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เพื่อสอบถามถึงการดำเนินการเกี่ยวกับรถเบนซ์คลาสสิค หลังดีเอสไอตรวจสอบแล้วว่าเป็นการนำเข้าและจดทะเบียนโดยผิดกฎหมาย พันตำรวจเอกไพสิฐ กล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันนี้ว่า ได้ทราบจากกระแสข่าวว่า สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ และผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ไม่ต้องการครอบครองรถเบนซ์คลาสสิค ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ฉะนั้นดีเอสไอจะขอเข้านมัสการสมเด็จช่วง เพื่อสอบถามความต้องการ และพร้อมนำรถของกลางมาดูแล พร้อมจะสอบถามสมเด็จช่วง เพื่อยืนยันลายเซ็นที่ปรากฏในเอกสารครอบครองรถว่า ใช่ลายเซ็นของท่านหรือไม่ หากไม่ใช่จะนำลายเซ็นส่งตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ เจ้าของอู่"N.P.การาจ"ยันไม่รู้เรื่องรถหรู ตลอดวันนี้ มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับรถเบนซ์จดประกอบที่มีชื่อ สมเด็จช่วง ครอบครอง เข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอหลายคน นางกาญจนา มากเหมือน เจ้าของอู่ N.P.การาจ ซึ่งเป็นอู่ประกอบรถยนต์ที่จดทะเบียนถูกต้อง เข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับผู้ที่ปลอมลายมือชื่อ และแอบอ้างชื่ออู่ N.P.การาจ ไปจดประกอบรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ โบราณ เลขทะเบียน ขม 99 นางกาญจนา บอกว่า ไม่เคยรู้เห็นเกี่ยวกับการจดประกอบรถคันนี้ และยังไม่เคยเห็นรถคันที่เป็นข่าวมาก่อนเลย แต่ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ นายชลัช นิติฐิติวงษ์ เพื่อนของสามี เป็นผู้แนะนำให้นำเอกสารไปขอใบอนุญาตประกอบอุตสาหกรรม หรือ จดประกอบรถยนต์ โดยพาไปยื่นเอกสารที่กรมสรรพสามิต จากนั้นก็ไม่พบนายชลัช อีกเลย ยืนยันว่าแม้มีใบอนุญาต แต่ก็ไม่เคยประกอบรถยนต์ เนื่องจากไม่มีช่างผู้เชี่ยวชาญ ทางอู่รับทำเพียง เคาะ พ่น สี เท่านั้น ทั้งยังไม่รู้จักอู่วิชาญ รวมถึงห้างหุ้นส่วนจำกัด อ๊อด 89 เอนเตอร์ไพรส์ ที่มีชื่อเป็นผู้นำเข้าและประกอบรถยนต์ของสมเด็จช่วงด้วย อู่วิชาญรับแค่ประกอบรถ-ไม่เกี่ยวปลอมเอกสาร ผู้เกี่ยวข้องอีกรายหนึ่งที่เดินทางไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษในวันนี้ คือ นายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ ซึ่งถูกระบุว่าเป็นผู้รับประกอบรถเบนซ์คลาสสิค ทะเบียนขม 99 กรุงเทพมหานคร ของสมเด็จช่วง โดยนายวิชาญให้ปากคำเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวนว่า รับหน้าที่เพียงขั้นตอนการประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ให้สามารถใช้งานได้เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำเอกสารเพื่อยื่นจดทะเบียนกับทางราชการ ส่วนกรณีที่ฝ่ายกฎหมายของวัดปากน้ำภาษีเจริญระบุว่า อู่ของตนเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดนั้น ถือเป็นสิทธิที่พูดได้ แต่ยืนยันว่าทำเฉพาะขั้นตอนประกอบรถยนต์ เนื่องจากเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านพันตำรวจเอกไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า จะต้องตรวจสอบต่อไปว่า ใครเป็นผู้นำเอกสารไปยื่นที่กรมสรรพสามิตร และกรมการขนส่งทางบก เพื่อจดทะเบียนรถยนต์ ส่วนนายชลัช ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้นำเอกสารไปจดทะเบียนนั้น อยู่ระหว่างการประสานเพื่อให้เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ สรรพสามิตรอคดีจบค่อยประเมินภาษี นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการตรวจสอบรถหรูในความครอบครองของสมเด็จช่วง ว่า ดีเอสไอเป็นเจ้าของเรื่อง ขณะที่กระทรวงการคลังพร้อมสนับสนุนข้อมูล และที่ผ่านมาดีเอสไอมีการประสานขอข้อมูลมายังกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรตลอด ดังนั้นหากทางดีเอสไอต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็สามารถขอมาได้ ส่วนกรณีที่อาจมีข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ต้องว่ากันตามกฎหมาย ขณะนี้กระทรวงการคลังต้องรอดูผลคดีจากดีเอสไอก่อน ถ้าดีเอสไอเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังเกี่ยวข้องด้วย ขอให้ส่งข้อมูลมา กระทรวงการคลังพร้อมดำเนินการตามระเบียบและกฎหมาย นายประภาส คงเอียด รองปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เมื่อมีการกล่าวหาเป็นคดี กรมสรรพสามิตยังไม่สามารถประเมินภาระภาษีได้ แต่สามารถให้ความร่วมมือในการตรวจสอบได้ โดยเรื่องนี้ต้องรอคดีถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำผิด จึงจะประเมินภาษีได้ เป็นไปตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต มาตรา 161 // 162 // และ 163
Sant Aun มีหลวงตาอยู่รูปหนึ่ง เป็นเจ้าอาวาสวัดทางภาคอีสาน มีคนเคารพนับถือมาก อยู่มาวันหนึ่งเศรษฐี จากกทม. นำรถป้ายแดงไปถวาย หวังว่าจะให้หลวงตาเอาไว้ใช้ เวลามีกิจนิมนต์ ด้านพระลูกวัดก็ตกใจกันยกใหญ่ ที่อยู่ๆก็มีคนจะมาถวายของมีราคาเช่นนี้ หลวงตาเจ้าอาวาสจึงเรียก พระเณรทั้งหมดมาประชุมกัน ว่าจะรับหรือไม่รับถวาย ทุกคนต่างบอกให้หลวงตารับ เมื่อหลวงตาได้ยินได้เห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร หลวงตาจึงหันไปสนทนากับเศรษฐี หลวงตา:โยมรถคันนี้ราคาเท่าไร เศรษฐี:ล้านกว่าบาท ขอรับ หลวงตา : อาตมาไม่ขอรับรถคันนี้แต่ขอเป็นเงินสดแทนได้ไหม (ทุกคนต่างแคลงใจในคำพูดของหลวงตา) หลวงตา : ที่อาตมาขอเป็นเงินเพราะ จะนำเงินไปสร้างอาคารเรียนให้เด็กในชุมชน รถนั้นอาตมาไม่กล้ารับหรอกโยม โยมดูชาวบ้านที่เขาใส่บาตรให้อาตมาสิ ขับรถอีแต๊ก รถกระบะ ถ้าอาตมารับรถที่โยมถวายมา ไหนเลยยังจะมีหน้าไปขอบิณฑบาต ข้าวจากชาวบ้านเขาได้ ก็ในเมื่อพระนั้นรวยเสียกว่าชาวบ้านอีก เมื่อทุกคนได้ฟังก็คิดได้ และอนุโมทนาตามศรัทธาของหลวงตา สาธุ..... ... ... ........หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง เออมันต้องแบบนี้สิครับ เพื่อนเฟชบุ๊ค
นัดระดมพล22กุมภาฯ ม็อบพระฮือ 'สังฆามติ'หน้าทำเนียบ 'พระเมธ๊'ยันคสพ.ไม่เกี่ยว ดีเอสไอจ่อสอบสมเด็จช่วง พิสูจน์ลายเซ็นคดีรถเบนซ์ ''วิษณุขู่ฟันขรก.เอี่ยวผิด ต้องรีบจัดอีเว้น นะครับ เดี๋ยวจะได้โกนหัวหลายรอบ โกนครั้งเดียวได้ตั้ง 2 จ๊อบ คุ้มนะครับ
วันก่อนเห็นบอกว่าเสียงส่วนใหญ่หนุนช่วงๆเป็นสังคังอยู่เลย พอมาวันนี้ นิด้าโพล เผย ประชาชนหนุนปฏิรูปศาสนาทั้งระบบอย่างเร่งด่วน มองพระสงฆ์ตัดทางโลกไม่ขาดทำให้เกิดปัญหา.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/social/general/417322 แล้วผมจะเชื่อใครดี นิด้าหรือ เฮียเมธี คางคกตู่
ไปตรวจลายเซ็นกันแล้ว เมื่อวานนี้เจ้าของอู่เอ็นพี การาจ ที่ถูกนำชื่อไปใช้ในการจดทะเบียนรถหรูของ สมเด็จช่วง ได้เข้าแสดงความบริสุทธิ์ และแจ้งความร้องทุกข์ในฐานะผู้เสียหายเพื่อเอาผิดกับผู้ที่นำชื่อไปแอบอ้าง ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเตรียมเข้าพบ สมด็จช่วง เพื่อให้ยืนยันเกี่ยวลายมือชื่อ และหาก สมเด็จช่วงไม่ต้องการครอบครองรถคันดังกล่าว ดีเอสไอก็พร้อมที่จะนำรถมาของกลางมาดูแล พันตำรวจเอกไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวถึงการตรวจสอบรถหรู ยี่ห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ โบราณ เลขทะเบียน ขม 99 ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ว่า จากนี้จะเข้านมัสการ สมเด็จช่วง เพื่อให้ตรวจสอบว่าลายเซ็นที่ปรากฏ ว่าใช่ลายเซ็นของสมเด็จช่วงหรือไม่ ซึ่งหากไม่ใช่ จะนำลายเซ็นส่งตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ อีกครั้ง ส่วนกรณีรถหรูหากสมเด็จช่วงไม่ต้องการครอบครองรถคันดังกล่าว ดีเอสไอก็พร้อมที่จะนำรถมาของกลางมาดูแล ส่วนที่เกียวกับเอกสารนั้น จะต้องตรวจสอบว่าใครเป็นผู้นำเอกสารไปยื่นที่กรมสรรพสามิต และกรมการขนส่งทางบกอีกครั้ง ส่วนนายชลัช นิติฐิติวงษ์ ที่ตวจสอบพบนั้น อยู่ระหว่างการประสาน เพื่อให้เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ ด้านนางกาญจนา มากเหมือน เจ้าของอู่ เอ็นพี การาจ ซึ่งเป็นอู่ประกอบรถยนต์ เข้าแจ้งความร้องทุกข์ กับผู้ปลอมลายมือชื่อ และแอบอ้างชื่ออู่ เอ็นพี การาจ ไปจดประกอบรถหรู โดยยืนยันว่า ไม่รู้เห็นขั้นตอนการจดประกอบรถ และไม่เคยเห็นรถคันดังกล่าวด้วย แต่ยอมรับว่านายชลัช เพื่อนของสามี เป็นผู้แนะนำ และนำเอกสารขอใบอนุญาตประกอบอุตสาหกรรม หรือ จดประกอบรถยนต์ มาให้และพาไปยื่นขออนุญาต ที่กรมสรรพสามิต ด้วย แต่หลังจากนั้นก็ไม่พบนายชลัช อีก และยืนยันว่าที่ผ่านแม้มีใบอนุญาต แต่ก็ไม่เคยประกอบรถยนต์ เนื่องจากไม่มีช่างผู้เชี่ยวชาญ รับเพียง เคาะ พ่น สี เท่านี้ แกะรอยลายเซ็น "สมเด็จช่วง" พิสูจน์เจตนาครอบครองรถหรูหรือไม่ เกาะติดกรณี DSI เร่งติดตามผู้ยื่นเอกสารขอจดทะเบียนรถ "สมเด็จช่วง"
ถ้าไม่ใช่ลายเซ็นของช่วงช่วง ก็กลายเป็นช่วงช่วงเอาของคนอื่นมาครอบครองตั้งหลายปี เล่มทะเบียนก็อยู่ที่ตัวแต่ทำไม่รู้ไม่เห็นว่าโดนปลอมลายเซ็น คือไม่ว่าทางไหนมันก็หนีไม่พ้น
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางไกลไปกับพวกเกวียน บุรุษคนหนึ่งเกลี้ยกล่อมภิกษุนั้นด้วยอามิสแล้ว เห็นด่านภาษี จึงส่งแก้วมณีซึ่งมีราคามากให้แก่ภิกษุนั้น ด้วยขอร้องว่าท่านผู้เจริญ ขอท่านจงช่วยนำแก้วมณีนี้ผ่านด่านภาษีด้วย จึงภิกษุนั้นนำแก้วมณีนั้นให้ผ่านด่านภาษีไปแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว. จะรอดไหมหนอ
ทนายวัดปากน้ำภาษีเจริญ ยืนยันสมเด็จช่วงยินดีให้ปากคำดีเอสไอปมรถหรู คาด 1-2 วันรู้ผลมอบรถหรือไม่ วันนี้ (21 ก.พ. 59) มีรายงานข่าวว่า นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ทนายความวัดปากน้ำภาษีเจริญ เปิดเผยกรณี พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI จะไม่มีการไปพบหรือขอรับรถยนต์ผิดกฎหมายออกจากวัดปากน้ำฯ หลังตรวจพบรถเป็นรถผิดกฎหมาย เนื่องจากสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ การดำเนินการต้องเป็นไปอย่างให้เกียรติ แต่หากสมเด็จช่วง มีความประสงค์จะส่งมอบรถของกลางให้ดีเอสไอโดยเร็ว ก็สามารถประสานทำหนังสือมาที่พนักงานสอบสวนได้ ว่าทางวัดปากน้ำต้องหารือกันอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน ถึงจะสามารถให้คำตอบได้ ส่วนที่ทางพนักงานสอบสวนจะทำหนังสือถึงสมเด็จ ช่วง และพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ หรือพระธนกิจ สุภาโว (ศรีอุ่นเรือน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เพื่อขอเข้าพบไปสอบปากคำเพิ่ม รวมทั้งขอเอกสารเพิ่มเติมนั้น ทางวัดต้องรอดูหนังสือทาง DSI ว่ามีรายละเอียดอย่างไร นายศุภภัทร์พจน์ กล่าวต่อ นอกจากนี้ทางวัดและสมเด็จช่วงมีความยินดีที่จะให้ปากคำ และไม่มีความขัดข้องแต่อย่างใด ยินดีที่จะตอบทุกข้อสักถาม เพื่อยืนยันความบริสุทธิว่าไม่ความเกี่ยวข้องกับการนำเข้ารถผิดกฏหมายในครั้งนี้ ทั้งนี้ จะมีการสอบปากคำที่ไหนต้องรอหนังสือจากทาง DSI ระบุ ทนายความวัดปากน้ำ ภาษีเจริญยืนยันยินดีนำรถเบนซ์ส่งคืน พร้อมให้ความร่วมมือทันทีหากดีเอสไอร้องขอมา วันนี้ (21ก.พ.59) นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ทนายความ ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ ระบุถึงแนวทางการดำเนินการหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีความเห็นว่ารถยนต์เบนซ์ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมัง คลาจารย์ (สมเด็จช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นรถผิดกฎหมาย ว่า สมเด็จช่วงไม่มีความกังวลในเรื่องนี้ พร้อมยืนยันหากดีเอสไอต้องการให้นำรถส่งคืน หรือหากต้องการให้ชี้แจงข้อมูลส่วนใดเพิ่มเติมก็ยินดีให้ความร่วมมือ รอเพียงทางดีเอสไอประสานมายังวัด นาย ศุภภัทร์พจน์ กล่าวต่อว่า จากการประสานกับดีเอสไอเบื้องต้น คาดว่าในวันอังคารที่ 23 ก.พ.นี้ ดีเอสไอจะทำหนังสือรายละเอียดเกี่ยวกับคดีส่งมาให้กับทางวัด ซึ่งหากได้รับหนังสือฝ่ายกฎหมายก็พร้อมดำเนินการทันที ขณะที่บรรยากาศที่วัดปากน้ำ ก็ยังคงเป็นไปตามปกติมีประชาชนทั้งชาวไทย และต่างชาติเดินทางเข้ามาทำบุญอย่างต่อเนื่อง ส่วนในพิพิธภัณฑ์ที่ใช้จัดแสดงรถยนต์ที่มีปัญหาก็มีประชาชนเดินทางเข้าไปชมอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
เห็นสมเด็จช่วง แย้มยิ้ม อ่อนโยน มีเมตตา ทำให้สะท้อนในใจ ท่านจะไม่รู้ และเข้าใจ กระไรเลย หรือแค่หลงงมงายตามความชราภาพ เมื่อมีคำถามผุดขึ้นในใจ กรณี ของธรรมกาย ที่มีคำสอน บิดเบือน หลัก ของพระพุทธศาสนา ผมเข้าใจว่า ร้ายแรง กว่าวัด ที่มีรูปบูชาของพราหมณ์ หรือเสดาะห์เคราะห์ ขายเลขยันต์ต่างๆ เนื่องจากธรรมกาย แทรกซึม ไปทุกที่ ไม่ว่าจะด้วยน้ำเงิน หรือ ลูกศิษย์ มาก เพราะคนนับถือด้วยความหลง หรือ มีการตลาด อะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นวัดเล็ก วัดใหญ่ โรงเรียน แม้แต่หนังสือเรียน และหนังสือ ธรรมะ เกิดจากการบิดเบือนคำสอนดังกล่าว พอวันเวลาผ่านไป คนรุ่นเราๆ ท่านๆ จะกลายเป็นแกะดำ เมื่อเถียง โต้แย้ง พูดคุย หรือแม้แต่สั่งสอน เด็กรุ่นหลัง ในเมื่อความเข้าใจ ในแก่นของพระพุทธศาสนาของเด็ก รุ่นหลัง ถูกบิดเบือนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ภาคปราบ โน่นปราบนี่ ไปจนไกลสุดกู่ ผิดจากหลักคำสอน ของพระศาสดา การถืออัตตา แม้แต่การทำบุญด้วยวัตถุ ซึ่งยังผลบุญน้อย และหยาบ ยังได้ขึ้นสวรรค์ ชั้นฟ้า ความร้ายแรงที่พูดมา ถึงขั้นทำลาย พระพุทธศาสนา อย่างสิ้นเชิง เพราะทำลายจากข้างใน คือ สาวก และพุทธบริษัทเอง จากคำสอนที่บิดเบี้ยว ของธัมมชโย กิเลส ปิดได้ แม้ ฟ้า และดิน
อ่านหัวข้อข่าวผ่านๆตา ของนสพ.ฉบับวันนี้(22/2/2559) มีพระออกมาบอกว่า มีคนจ้องทำลายพระพุทธศาสนา แต่ยังไม่ได้อ่านรายละเอียด ผมเห็นหัวข้อข่าวแล้วขำ มันจะบิดเบือนกันไปถึงไหน ขนาดผมคนห่างวัดได้อ่านข่าวพฤติกรรมของธัมมชโย ยังรู้ว่าปราชิกแน่ แต่มส.ดันไม่รู้ อีกเรื่องที่พยายามจะดัน ให้แต่งตั้งสมเด็จช่วงเป็นสังฆราชให้ได้ คนดันเองก็รู้ว่าขณะนี้สมเด็จช่วง จะผิดหรือถูก ไม่มีใครฟันธงได้ ถ้าแต่งตั้งไปแล้วเกิดศาลตัดสินว่าผิด คิดบ้างไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะเอาสังฆราชเข้าคุกเหรอ มันจะน่าอับอายขนาดไหนที่ระดับสังฆราชต้องติดคุก ทำไมถึงต้องรีบกันนักหนา รอให้ท่านพ้นมลทินก่อนไม่ได้เหรอ......อนาถใจ
ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำ ยืนยัน " สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เกี่ยวข้องกับรถเบ็นซ์โบราณเพียงแค่เซ็นรับโอนลอยเท่านั้น ชี้มีลายเซ็นท่าน 2 ครั้งต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนมีการนำเอกสารมาให้เซ็นภายหลังอีกหรือไม่ ทางวัดพร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมการครอบครองรถหากดีเอสไอประสานมา ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำภาษีเจริญ นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร บอกกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)จะเข้ามาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) กรณีเป็นผู้ครอบครองรถเบนซ์โบราณเรื่องลายเซ็นต์ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ในเอกสารที่มีผู้นำไปยื่นจดทะเบียนจดประกอบต่อกรมการขนส่งทางบกและกรมสรรพสามิต ที่พบมีลายเซ็นท่าน 2 ครั้งแต่แตกต่างกัน โดยเป็นลายเซ็นที่เป็นนามเดิมของท่าน "ช่วง สุดประเสริฐ" และลายเซ็นนาม "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์"นั้น เท่าที่ตนทราบผู้บริจาครถได้ตกลงกับอู่วิชาญว่าจะจ่ายเงินค่ารถงวดสุดท้าย ก็ต่อเมื่อรถเสร็จสมบูรณ์พร้อมมีเอกสารจดทะเบียนเรียบร้อย โดยอู่วิชาญได้นำเอกสารมาให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ท่านเซ็นชื่อในฐานะผู้รับโอนลอยเท่านั้ นโดยท่านเซ็นชื่อโดยใช้นามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการรับบริจาครถจากผู้บริจาค นายศุภภัทร์พจน์ บอกว่า ส่วนจะมีการนำเอกสารมาให้สมเด็จฯ ท่านเซ็นชื่อถึง 2ครั้งหรือไม่นั้น ไม่ทราบ ขอตรวจสอบข้อมูลก่อนว่ามีการมาขอให้ท่านเซ็นชื่อเพิ่มเติม หรือมีช่วงระยะเวลาห่างกันหรือไม่ ขณะที่กระแสข่าวว่าสมเด็จพระมหารัช มังคลา จารย์ไม่ต้องการครอบครองรถ ยังไม่เคยได้ยินสมเด็จฯท่านพูดในเรื่องนี้ ยังคงปฏิบัติศาสนกิจตามปกติ ส่วนเข้ามาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ยังไม่รู้ว่า ดีเอสไอจะเข้ามาในวันใด และจะเข้ามาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากใคร จะต้องรอหนังสือมาถึงวัดก่อนคาดว่าอาจจะมีหนังสือมาในวันที่ 23 ก.พ.นี้ วัดพร้อมให้ความร่วมมือ รวมทั้งการจะเข้ามาอายัดรถ หากมีหนังสือแจ้งมาก็ยินดีปฏิบัติตาม หลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงผลตรวจสอบการครอบครองรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง สัปดาห์นี้หลังวันมาฆบูชา ก็ติดตามกันต่อเรื่องความคืบหน้าต่อเนื่องเรื่องการดำเนินคดี พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุตามขั้นตอน เมื่ออัยการและพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พบเป็นรถผิดกฏหมายก็ต้องยึดไว้เป็นของกลาง โดยในวันอังคารที่ 23 ก.พ.จะลงนามคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนอย่างเป็นทางการ ให้ พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ ผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร เป็นหัวหน้าชุด พร้อมจะมีหนังสือแจ้งผลการสืบสวนทั้งหมดไปยังวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และขอนัดเข้าสอบปากคำสมเด็จช่วง เกี่ยวกับรายละเอียดในการครอบครองรถ และการเซ็นต์ซื่อในเอกสารการโอนรถยนต์ ส่วนที่นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ฝ่ายกฏหมายวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กทม. บอกว่า สมเด็จช่วง บอกกับคนใกล้ชิดว่าไม่ประสงค์จะรับรถยนต์ไว้อีกแล้วนั้น พ.ต.อ.ไพสิฐ บอกว่าหากสมเด็จช่วงประสงค์จะส่งมอบรถของกลางให้ดีเอสไอโดยเร็ว ก็สามารถประสานมาที่พนักงานสอบสวน ให้ดำเนินการเข้าไปรับรถได้ทันที แต่ขณะนี้ก็ยัง ไม่มีการยืนยัน ล่าสุดทนายความวัดปากน้ำภาษีเจริญ ยืนยัน วัดและสมเด็จช่วง ยินดีให้ปากคำ DSI ส่วนจะมอบรถหรูหรือไม่นั้น ทางวัดปากน้ำต้องหารือกันอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน ถึงจะสามารถให้คำตอบได้ ส่วนกรณีที่มีการส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือในกลุ่มพระสงฆ์ เพื่อนัดหมายให้มารวมตัวกันในเวลา 09.30 น.วันที่ 22 ก.พ.ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา ที่สนามหลวงกับพุทธมณฑล จ.นครปฐม พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บอกว่าได้รับรายงานจากผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ว่า จะมีกลุ่มพระสงฆ์เดินทางมารวมตัวกันจัดกิจกรรมในวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นการมารวมตัวนั่งวิปัสนา สวดมนต์ ทำกิจกรรมสงฆ์ แต่เพื่อความไม่ประมาท ได้มีการเตรียมกำลังทั้งตำรวจท้องที่ชุดสืบสวน และหน่วยปราบจราจล ดูแลพื้นที่โดยรอบพุทธมณฑล จ.นครปฐม และไม่อนุญาตให้นำรถยนต์เข้าไปด้านใน ข่าว 7 สี - ดีเอสไอ เตรียมเริ่มกระบวนการสอบสวนคดีรถหรูจดประกอบของสมเด็จช่วงในสัปดาห์หน้านี้ พร้อมส่งข้อมูลการสืบสวนให้กรมศุลกากร ตรวจสอบและพิจารณาเรียกเก็บภาษีย้อนหลังตามคำร้องขอ พันตำรวจโทอนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ ผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กล่าวว่า ในวันอังคารนี้อธิบดี ดีเอสไอ จะมีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าชุดสอบสวนคดีรถเบนซ์ที่อยู่ในความครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง โดยกระบวนหลังจากนี้จะนำผลการสืบสวนในคดีนี้มาพิจารณาตามพยานหลักฐานที่มีการสืบสวนพบว่า รถเบนซ์คันดังกล่าวผิดกฎหมายตั้งแต่กระบวนการนำเข้าจนถึงจดทะเบียนว่า มีความสมบูรณ์มากน้อยเพียงใด จากนั้นจะเรียกสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนพยานและผู้ถูกกล่าวหา ส่วนที่กรมศุลกากรประสานขอข้อมูลรถคันดังกล่าวเลี่ยงภาษีศุลกากรดีเอสไอ จะส่งเรื่องให้ในในวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ โดยจะเป็นข้อมูลที่พบในชั้นสืบสวน ซึ่งหลังจากนั้นกรมศุลกากรจะตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อประเมินภาษีในส่วนที่ชำระไว้ไม่ครบถ้วนพร้อมค่าปรับ ก่อนเรียกเก็บจากผู้ที่เกี่ยวข้อง สำหรับรถของกลางในคดี หากได้รับการส่งมอบจากวัดปากน้ำภาษีเจริญ จะส่งมอบให้ทางศุลกากรนำไปเก็บรักษาไว้ต่อไป ทนายความวัดปากน้ำภาษีเจริญยืนยันยินดีนำรถเบนซ์ส่งคืน พร้อมคืนรถหรูให้ดีเอสไอ แกะรอยความผิดปกติบริษัทสั่งซื้อชิ้นส่วนรถเบนซ์ "สมเด็จช่วง"วัดปากน้ำภาษีเจริญ
"แผนการทำลายพระพุทธศาสนา" คือคำกล่าวหาที่ธรรมกายยัดเยียดให้ใครก็ตามที่ต่อต้านลัทธิธรรมกาย ในอดีตมีการใช้คำกล่าวหานี้แล้วหลายครั้ง รวมทั้งใช้ใส่ความศาสนาอื่นด้วยว่าต้องการล้มล้างพุทธศาสนาในประเทศไทย กรณีสมเด็จช่วงก็เช่นกัน ช่วงนี้พวกแกนนำก็ปั่นสาวกว่าถ้าไม่รวมพลังปกป้องสมเด็จช่วงด้วยการดันให้ได้รับตำแหน่งสังราช พุทธศาสนาในประเทศไทยต้องถูกทำลายย่อยยับลงเป็นแน่ สงสารสาวก ความจริงมีคนดีจิตใจบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย แต่ถูกเล่ห์กลทั้งการตลาดและการมอมเมาผูกขาดศรัทธาครอบงำจนหลงผิดไปเป็นจำนวนมาก ช่วงเผาไทยทำการเผากรุงเทพฯก็ได้สาวกธรรมกายนี่แหละที่ถูกเกณฑ์กันมา"ปกป้องพระศาสนา"โดยออกมาให้การต้อนรับขบวนรถยนตร์รถมอเตอร์ไซค์เสื้อแดงที่เข้ามาบุกกรุง
เสือสารฯ ถอยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!! เพื่อชาติ เพื่อพ่อหลวง อ้าว..! ถอยซะงั้น แบบนี้ท่อน้ำเลี้ยงก็อมฟรีอ่ะดิ !! คริ คริ พระเมธีธรรมาจารย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา ยืนยันจะไม่นำพระสงฆ์และฆราวาสในนามเครือข่ายคณะสงฆ์ และองค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 ทั่วประเทศ ไปเคลื่อนไหวแน่นอน ส่วนข้อเรียกร้อง 5 ข้อที่ยื่นให้รัฐบาลไม่ได้กำหนดกรอบเวลา โดยให้ทำไปตามที่เห็นสมควร
ความคืบหน้ากรณีความขัดแย้งในหมู่สงฆ์ ประเด็นการเสนอชื่อพระราชาคณะขึ้นทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ที่ขณะนี้ก็ยังไม่ได้ข้อยุติ ล่าสุด นายชยพล พงษ์สีดา รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยว่า ทางมหาเถรสมาคม (มส.) ได้ตั้งกรรมการ มส. 3 รูป ประกอบด้วย พระพรหมมุนี วัดราชบพิธ (ธรรมยุต) พระพรหมบัณฑิต วัดประยุรวงศาวาส (มหานิกาย) และพระพรหมโมลี วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (มหานิกาย) เป็นผู้แทน มส.ในการเข้าหารือกับ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ขึ้นทูลเกล้าฯสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้เปิดแถลงเผยความคืบหน้าการตรวจสอบรถเบนซ์โบราณของสมเด็จช่วง ยืนยันเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย
เจ้าของบริษัทเอช ที วายเข้าพบดีเอสไอถูกอ้างชื่อว่าเป็นผู้ประกอบรถเบนซ์สมเด็จช่วงนำหลักฐานใบเสร็จรับเงินเข้าชี้แจง พร้อมยืนยันว่าเป็นบริษัทนำเข้าอะไหล่จยย. ไม่เคยรับประกอบรถยนต์ วันนี้(23ก. พ.59)นายวีระชัย อินทร์ประเสริฐ เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด เอช ที วาย ออโต้พาร์ท ที่ถูกอ้างชื่อบริษัทว่าเป็นผู้ประกอบรถยนต์ให้กับนาง กาญจนา มากเหมือน เจ้าของอู่เอ็น พี การาจ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจสอบพบว่าเป็นผู้ประกอบรถยนต์ยี่ห้อ เมซิเดส เบนซ์ ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง ได้นำเอกสารสำเนาใบเสร็จรับเงินของบริษัท มามอบให้กับพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยืนยันว่าไม่ใช่บรษัทที่ถูกกล่าวอ้าง นายวีระชัย บอกว่า หลังได้รับแจ้งจากพนักงานสอบสวนดีเอสไอว่ามีชื่อบริษัท เข้าไปเกี่ยวข้องกับการประกองรถยนต์คันดังกล่าว เมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา แต่เมื่อเห็นใบเสร็จรับเงินที่เป็นหลักฐาน พบว่าไม่ใช่ของบริษัทตัวเอง เนื่องจากแบบฟอร์มใบเสร็จมีรายละเอียดไม่ตรงกับของจริง แต่ถูกนำชื่อบริษัท และเลขประจำผู้เสียภาษีในใบเสร็จปลอมที่มีการ ระบุว่าได้รับเงินจากนางกาญจนา เป็นค่าประกอบรถยนต์คันกล่าว เป็นเงิน 50,000 บาท เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2554 จึงนำหลักฐานไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจนครบาลหลักสอง และนำหลักฐานมาชี้แจงต่อพนักงานสอบสวน นอก จากนี้ นายวีระชัย ยังยืนยันว่า บริษัทของตนเองนั้นนำเข้าอะไหล่รถจักรยาน และรถจักรยานยนต์เท่านั้น ไม่เคยประกอบรถยนต์ และไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบรถยนต์แต่อย่างใด รวมทั้งพักกิจการมาแล้วประมาณ 2 ปี เนื่องจากได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และไม่เคยรู้จักกับนางกาญจนา และนายชลัช นิติฐิติวงษ์ ที่เป็นผู้รับมอบอำนาจไปเสียภาษีสรรพสามิตรถจดประกอบที่ผิดกฎหมาย วันนี้ดีเอสไอ ได้ส่งสำนวนคดีเบนซ์สมเด็จฯ ช่วง ให้สำนักภาษีอากรเข้ามาตรวจสอบ โดยคาดว่าจะสรุปคดีได้ภายใน 3 เดือน รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ บอกถึงความคืบหน้าคดีรถหรูสมเด็จช่วง ว่า อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เซ็นคำสั่ง และโอนสำนวนคดีไปยังสำนักคดีภาษีอากร โดยมอบหมายให้ ผบ.สำนักคดีภาษีอากร พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน รับเรื่องคดีไปสอบสวนต่อ และคาดในวันนี้จะมีการตั้งคณะพนักงานสอบสวน ซึ่งขั้นตอนการดำเนินการ เมื่อสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสมเทศ ที่ทำหน้าสืบสวนมา ได้ทำคำกล่าวโทษชี้ประเด็นความผิดในการสืบสวน พร้อมกับส่งสำนวนและพยานหลักฐานไปให้สำนักคดีภาษีอากร เพื่อทำการสอบสวน โดยสำนักคดีภาษีอากรก็จะรวบรวมพยานหลักฐานตามคำกล่าวหา ถ้าเห็นว่ามีมูลความผิดเพียงพอก็จะแจ้งข้อกล่าวหา หลังแจ้งข้อกล้าวหา ผู้ถูกกล่าหาก็จะสามารถนำหลักฐานมาแก้ข้อกล่าวหาได้ ก่อนที่จะสรุปสำนวนส่งอัยการ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 2-3 เดือน เพราะมีเอกสารและบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ บอกด้วยว่า กรณีว่า จะอายัดหรือยึดรถของสมเด็จช่วงหรือไม่นั้น เรื่องนี้สำนักคดีภาษีอากร จะเป็นผู้พิจารณาตัวสำนวนและวางแผนการทำงานก่อน พศ.เผยเตรียมให้ข้อมูลคณะสงฆ์-ทุกฝ่ายกรณีเสนอสถานปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ต่อรัฐบาลกรณี ส่วนคดีรถเบนซ์โบราณในความครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ต้องรอผลพิสูจน์จากดีเอสไอ รองผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) บอกว่า กรณีนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธณะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล พศ.เตรียมเดินสายหารือกับคณะสงฆ์ทุกฝ่ายในประเด็นการเสนอสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ซึ่ง มส.เสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ รวมถึงการปฏิรูปพระพุทธศาสนาและได้ให้ พศ.ดูแลในเรื่องนี้นั้น ขณะนี้ พศ.กำลังรวบรวมข้อมูลทั้งการรับฟังความคิดเห็นว่าคณะสงฆ์มีความคิดเห็นอย่างไร และความรู้สึกกลุ่มต่างๆกรณีปัญหาในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช แต่คงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะต้องรอรายงานให้แก่นายสุวพันธ์รับทราบก่อน ส่วนประเด็นรถเบนซ์โบราณของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ที่ดีเอสไอตรวจสอบนั้น พศ.เข้าไปดูแลในเรื่องของข้อมูล แต่ในส่วนการดำเนินการด้านกฎหมาย ทางวัดปากน้ำมีฝ่ายกฎหมายดูแลอยู่ แต่เรื่องนี้จะเกี่ยวกับการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่หรือไม่ขึ้นอยู่กับมุมมอง เพราะขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของดีเอสไอกำลังพิสูจน์ข้อเท็จจริง รอง ผอ.พศ.บอกด้วยว่า ส่วนประเด็นมหาเถรสมาคม(มส.) ได้แต่งตั้งคณะทำงานที่มีกรรมการ มส. 3 รูป คือ พระพรหมมุนี วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พระพรหมบัณฑิต วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และพระพรหมโมลี วัดปากน้ำภาษีเจริญ เข้ามาพูดคุยกับรัฐบาลกรณีปัญหาการเสนอสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 เป็นกรณีพิเศษนั้น มส.ได้แต่งตั้งคณะทำงานมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ไม่ใช่มาดูเฉพาะเรื่องการเสนอสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ แต่รวมถึงประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์ การปฏิรูปคณะสงฆ์ด้วย ส่วนการเสนอสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ขณะนี้เรื่องยังอยู่ที่นายสุวพันธ์ซึ่งจะเร็วหรือช้าตนไม่สามารถตอบได้เพราะเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับรัฐบาล
กรณีการชุมนุมของเครือข่ายคณะสงฆ์และองค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 ทั่วประเทศ ที่พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม จนมีการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ทหาร เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วันนี้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้ประชุมพนักงานสอบสวนว่าจะดำเนินการอย่างไรกับแกนนำที่พาพระมาชุมนุม เนื่องจากถือว่ากระทำผิดพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ เพราะไม่ได้ขออนุญาตล่วงหน้า พลตำรวจโท ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เปิดเผยว่า วันนี้ชุดสืบสวนสอบสวนได้พิจารณาการชุมนุมดังกล่าวว่า่เข้าข่ายความผิด ตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 และขัดขวางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่หรือไม่ ซึ่งได้ทำการสอบปากคำพระพุทธะอิสระ ผู้ก่อตั้งวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม ที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พุทธมณฑลแล้ว และจะนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการประชุม โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อเอาผิดกับผู้ที่ เกี่ยวข้อง แต่ยังไม่มีการออกหมายเรียก พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยมาสอบสวน ตามที่เป็นข่าว ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 กล่าวอีกว่า กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อหาว่ากลุ่มพระสงฆ์ที่ออกมารวมตัววันนั้น ใครเป็นแกนนำ เดินทางมาอย่างไร ใช้ยานพาหนะชนิดไหน ยังไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด ซึ่งต้องใช้เวลา ส่วนกระแสที่พระเมธีธรรมาจารย์ ออกมาระบุว่า ถ้ามีหมายเรียกเมื่อไหร่ วันไหน พระสงฆ์จำนวนมากจะไปแสดงตนให้ล้นโรงพักพุทธมณฑล ตนเห็นว่า พระสงฆ์สามารถมาที่โรงพักได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย หากมีพระสงฆ์ขอเป็นผู้ร่วมข้อหา ทางกฎหมายจะดำเนินการเอาผิดหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่มีอยู่ แต่หากมีการปล่อยตัวกลุ่มพระสงฆ์ แล้วไม่กลับ และยังมีการชุมนุมอยู่ ทางตำรวจก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายอีกเช่นกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ย้ำให้ดีเอสไอดำเนินการคดีรถหรูของสมเด็จช่วงเหมือนคดีอื่นทั่วไป เน้นให้เกียรติ และความเคารพ โดยคาดว่าสัปดาห์หน้าจะส่งหนังสือไปยังวัดปากน้ำภาษีเจริญ เพื่อขอนัดพบกับสมเด็จช่วง ก่อนจะพูดคุยเรื่องรับรถของกลาง ความคืบหน้าการตรวจสอบรถเบนซ์จดประกอบ ทะเบียน ขม 99 ที่มีชื่อสมเด็จมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นเจ้าของนั้น พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึง ขั้นตอนการขอคืนรถของกลางว่า อย่าเป็นห่วง เพราะอย่างไรก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย และไม่อยากให้เร่งรัด โดยตนสั่งการให้พันตำรวจเอกไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ดำเนินการให้เหมือนคดีอื่นทั่วไป เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกว่ามีการเร่งรัดจนเกิดความไม่เป็นธรรม อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้หากดีเอสไอดำเนินการล่าช้า ก็ต้องถูกมองถึงความไม่เหมาะสม พลเอกไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ได้กำชับให้ดีเอสไอปฏิบัติตามกฎหมายโดยไม่เลือกปฏิบัติ กรณีรถของสมเด็จช่วง ขอให้ดีเอสไอทำหนังสือส่งถึงสมเด็จช่วง และให้อธิบดีดีเอสไอไปกราบชี้แจงรายละเอียดทั้งหมด โดยต้องดำเนินการด้วยความเคารพ นับถือ ให้เกียรติกัน ส่วนวัน เวลา และสถานที่ในการสอบปากคำนั้น ขอให้เป็นไปตามที่สมเด็จช่วงเป็นผู้กำหนด ด้านพันตำรวจเอกไพสิฐ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าจะสามารถทำหนังสือไปถึงวัดปากน้ำภาษีเจริญ เพื่อขอนัดเข้าพบสมเด็จช่วง เนื่องจากมีกิจนิมนต์ล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นต้องรอกำหนดนัดที่เหมาะสมจากวัดอีกครั้ง ส่วนการรับรถของกลางคืนนั้น จะพูดคุยภายหลังได้เข้าพบกับสมเด็จช่วงแล้ว
ดีเอสไอส่งสำนวนคดี"เบนซ์หรูสมเด็จช่วง”ให้สำนักภาษีอากรตรวจสอบ ด้านเจ้าคุณประสาร ขู่บุกล้อมโรงพัก!หากตั้งข้อหายกพวกชุมนุม วันนี้(24ก.พ.59)ความคืบหน้าคดีรถเบนซ์โบราณของ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ล่าสุด พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ได้ส่งมอบสำนวนการสืบสวนทั้งหมดให้พันตำรวจโทอนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ ผู้บัญชาการ สำนักคดีภาษีอากร เพื่อสอบสวนต่อไป โดยสำนวนสืบสวนที่ส่งมอบจะมีการสรุปข้อกล่าวหาในขั้นตอนต่างๆ ทั้งการนำเข้า การจดทะเบียน การปลอมแปลงเอกสาร ส่วนการสอบสวนในส่วนของสมเด็จช่วงขึ้นกับดุลพินิจ ของพนักงานสอบสวนชุดใหม่ เพราะการกระทำผิดอาญาต้องพิสูจน์เจตนา ซึ่งถือเป็นดุลพินิจพนักงานสอบสวน โดยประเด็นที่จะเป็นปัญหากับพระคือประเด็นว่านำเงินส่วนใดมาชำระค่ารถดังกล่าวเป็นมูลค่าถึง 4 ล้านบาท หากเป็นเงินส่วนตัวต้องชี้แจงที่มาของรายได้ แต่หากเป็นเงินวัดอาจเข้าข่ายความผิดยักยอกทรัพย์ได้ ทางด้านพระเมธีธรรมาจารย์ (เจ้าคุณประสาร จนฺทสาโร) เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หัวข้อ "ผู้ต้องหาคดีเจริญพระพุทธมนต์" ระบุว่า ขณะนี้พระสงฆ์จำนวนมากที่เดินทางไปร่วมเจริญพระ พุทธมนต์ที่พุทธมณฑลในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นั้น ได้แสดงเจตจำนงเป็นจำนวนมากว่า ถ้ามีหมายเรียกมาถึงเมื่อไหร่ วันไหน พระทุกรูปจะขอไปแสดงตนให้ล้นโรงพักพุทธมณฑลในวันนั้น เพื่อจะไปแสดงตนเป็นพระผู้ต้องหาร่วมในคดีเจริญพระพุทธมนต์ดังกล่าว และยอมให้จับกุมคุมขังพระสงฆ์หมู่ใหญ่ด้วยกันทั้งหมดในวันนั้น กรุงเทพฯ 24 ก.พ.-EXCLUSIVE TALK วันนี้ติดตามหลายประเด็นที่สังคมสงสัย ทั้งเรื่องรถหรูของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ว่าจะมีผลต่อการเสนอแต่งตั้งสังฆราชหรือไม่ อย่างไร รวมถึงโครงการอุทยานราชภักดิ์ การทำงานของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ ศอตช. ที่มี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เป็นประธาน ศอตช. ข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างไร พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไทย ใน EXCLUSIVE TALK ระบุมีการทำหนังสือเรียนเชิญสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เข้าให้ข้อมูลกรณีรถหรูแล้ว โดยอยู่ระหว่างประสานกำหนดวัน โดยทำไปตามขั้นตอน ไม่ได้เร่งรัด และไม่กดดัน เนื่องจากตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ตนเองเพียงตรวจสอบ แต่หากผู้รับผิดชอบต้องการนำผลตรวจสอบไปใช้ ก็แล้วแต่ แต่ยืนยันการตรวจสอบจะเสร็จในรัฐบาลชุดนี้ ส่วนคดีอุทยานราชภักดิ์ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ไม่จำเป็นต้องคุยกับ ศอชต. แต่หากเกี่ยวข้อง ก็ต้องเชิญมา ย้ำใครเกี่ยวข้องก็ต้องเรียกมาสอบทั้งหมด ยืนยันไม่มีการช่วยเหลือคนสีเดียวกัน หากช่วยก็อยู่ไม่ได้ ตนทำตามกฎหมาย จะใช้ความรู้สึกส่วนตัวตัดสินไม่ได้ ต้องยอมรับระบบการสอบสวน ระบบกฎหมาย ยืนยันว่าตนก่อนหน้านี้เคยพูดอะไรไป ก็พูดเหมือนเดิม ไม่มีการถอนคำพูด ทำเต็มที่ ขอประชาชนอย่าเพิ่งด่วนตัดสิน ย้ำถ้าเราทำทุกอย่างบนพื้นฐานกฎหมายข้อเท็จจริง ไม่มีอะไรที่น่ากลัว ผลที่ออกมาจะตอบข้อสงสัยได้ทุกเรื่อง ฉะนั้นจะตอบประชาชนไม่ได้ และ ศอตช.จะอยู่ได้อย่างไร.-สำนักข่าวไทย
สำนักงานพระพุทธศาสนา รวบรวมผลสรุปความขัดแย้งกรณีตั้งสมเด็จพระสังฆราช ระบุ ฝ่ายคัดค้านสมเด็จช่วง มีน้อย หากปล่อยให้เคลื่อนไหวอาจทำให้สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น ในขณะที่คดีรถหรูซึ่งดีเอสไอกำลังตรวจสอบนั้น สมเด็จช่วงเป็นผู้ซื้อมือสุดท้ายจึงถือว่าไม่มีความผิดทางกฎหมาย หลังจากที่เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบให้สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือ พศ. รวบรวมข้อมูลทั้งฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายคัดค้าน กรณีเสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระสังฆราช เพื่อศึกษาก่อนเสนอนามขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อม ซึ่งขณะนี้ทาง พศ.ได้สรุปข้อมูล ใน 5 ประเด็นหลักๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนี้ 1.ความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการเสนอนามพระนามสมเด็จพระสังฆราช ฝ่ายสนับสนุน ได้แก่ กรรมการมหาเถรสมาคม ทุกรูป คณะสงฆ์โดยรวมทั้งประเทศ ทั้งฝ่ายมหานิกาย และธรรมยุต เครือข่ายองค์กรชาวพุทธเกือบทั้งหมด และมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง โดยมีฝ่ายคัดค้านคือ พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือพระพุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธ ศาสนาสภาปฏิรูปแห่ชาติ หรือ สปช. และเครือข่ายสตรีปกป้องพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นกลุ่มลูกศิษย์ของพระพุทธะอิสระ 2.ความเห็น และท่าทีของสังคมต่อกิจกรรมของคณะสงฆ์ และวัดพระธรรมกาย ในส่วนของคณะสงฆ์ ชาวพุทธที่อ้างตนว่าเป็นชาวพุทธเชิงวิชาการ และลูกศิษย์สันติอโศก รวมถึงลูกศิษย์ของพระพุทธะอิสระ ได้โจมตีกิจกรรมของคณะสงฆ์ทั่วประเทศ ที่ร่วมกับวัดพระธรรมกาย ทำให้มีประชาชนบางส่วนปฏิเสธการทำบุญกับวัดพระธรรมกาย แต่อีกส่วนก็เข้ามาทำบุญกับวัดพระธรรมกาย 3.สถานะปัจจุบันของคดีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อ 1 และข้อ 2 เช่น คดีรถโบราณของสมเด็จช่วง ยังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ แยกเป็น 2 ประเด็นคือ คดีแพ่ง ข้อหาหลีกเลี่ยงการเสียภาษี และคดีอาญา ข้อหาสำแดงเอกสารเท็จต่อทางราชการ ความผิดจะตกอยู่กับผู้นำเข้ารถ และผู้สำแดงเอกสารต่อทางราชการ ส่วนสมเด็จช่วงเป็นผู้ซื้อในมือสุดท้าย ตามกฎหมายไม่มีความผิด 4.พศ.ได้จัดทำความคิดเห็นพิจารณาต่อข้อเสนอ 5 ข้อที่เครือข่ายคณะสงฆ์ และองค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 ทั่วประเทศ เพื่อเสนอต่อรัฐบาล 5.สรุปปัญหาปัจจุบัน หากปล่อยกลุ่มบุคลโจมตีคณะสงฆ์อย่างรุนแรงอย่างต่อเนื่อง จะทำให้สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น ส่วนข้อเสนอในการแก้ไขในระยะสั้น ต้องหาทางระงับการเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลที่โจมตีคณะสงฆ์ เร่งรัดเรื่องรถโบราณให้เกิดความกระจ่าง พร้อมมอบนโยบายให้รัฐระมัดระวังในการปฏิบัติกับพระสงฆ์ และประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ในขณะที่นายสุวพันธุ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ประเด็นความห่วงใยการชุมนุมของพระสงฆ์กรณีความขัดแย้งเรื่องแต่ง ตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ ว่า ตนขอไม่พูดเรื่องนี้ไปอีกระยะหนึ่ง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจะชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนและจะมีการนัดหมายกับ สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลเพื่ออธิบายทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องดัง กล่าวด้วย ส่วนการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเด็นดังกล่าวตนได้หารือในภาพกว้าง เท่านั้น ทีมกฎหมายวัดปากน้ำฯถอนตัวทำคดีรถหรู นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร คณะทำงานฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กล่าวว่า ได้ถอนตัวจากการเป็นฝ่ายกฎหมายของวัดปากน้ำฯ แล้ว เนื่องจากภายใน 2 - 3 วันนี้ ไวยาวัจกรจากวัดต่างๆ ทั่วประเทศจะจดทะเบียนสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย และได้เชิญตนให้รับตำแหน่งนายกสมาคม หลังจากนี้ผู้ที่ต้องการสอบถามความคืบหน้าคดี ให้ประสานไปยังวัดปากน้ำฯ โดยตรง หรือประสานไปยังคณะทำงานฝ่ายกฎหมายชุดใหม่ ที่มี นายสมศักดิ์ โตรักษา เป็นฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำฯ แทน ทั้งนี้ หนึ่งในทีมนักกฎหมายชุดเดิม เปิดเผยว่า ที่ทีมทนายความต้องถอนตัว เพราะมีพระราชาคณะจากวัดอื่นแนะนำทีมทนายความชุดใหม่ที่มีชื่อเสียงอันดับ ต้นๆของประเทศ ให้มาช่วยทำคดีรถโบราณ หลังจากมีพระผู้ใหญ่บางรูปในวัดปากน้ำฯ ไม่พอใจการทำงานของทีมทนายความ ที่ทำให้ดีเอสไอ สามารถดำเนินคดีถึงตัวพระที่เป็นผู้ดำเนินการเรื่องรถหรู ทีมข่าว TNN24 เกาะติดกรณี DSI จ่อเรียกบริษัทนำเข้าซากรถ-คนปลอมแปลงเอกสาร ดีเอสไอคาดคดีสมเด็จช่วงครอบครองรถผิดกม.จะดำเนินการเสร็จก่อนกำหนด
แดงเทียมก็มีแล้ว ถังแก๊สเทียมก็มีแล้ว มาคราวนี้ มีพระปลอมด้วย 16 ก.พ. 59 เมธีบอกว่า ....... ส่วนเรื่องที่มีการกระทบกระทั่งระหว่างพระสงฆ์และทหารพล. ร.9 จนเกิดคลิปพระล็อคคอทหารนั้น ขอให้ดูคลิปตั้งแต่ต้นว่าทหารผลักพระก่อน จนเกิดการชุลมุนทำให้พระต้องป้องกันตัว ซึ่งผู้ที่อยู่ในสถานการณ์จะเข้าใจดีว่าทหารบีบพระไม่ให้มาชุมนุม . . พอมาวันที่ 25 ก.พ. 59 ผ่านมา 9 วัน ตอแหลว่า และแล้วเหตุการณ์ การสร้างเรื่อง สร้างสถานการณ์ในครั้งนี้ ก็ประสบความสำเร็จตามที่พวกเขาวางแผนไว้ พวกเขาจงใจสร้างเรื่องให้เกิดขึ้น เป็นระหว่างพระปลอมปะทะกับทหาร พระปลอมอาละวาดทำร้ายทหาร พระปลอมด่าทอกับทหาร หรือว่าไอ้พวกนี้มันเป็นโรคตอแหลในกระแสเลือดเหมือนกันหมด
