...............................................................ง หรืออย่างนี้ เพลียใจหากธรรมศาสตร์ สอนให้ ครู "บ้าอำนาจ" และคิดว่าตัวเอง "สูงส่ง" ทั้งที่มึ_มันก็มนุษย์เหมือนกันนี้แหละค่ะ เพียงแค่มึ_ไม่ยอมใช้เหตุผลในการรับความแตกต่าง R.I.P Thammasat ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : Aum Neko http://pantip.com/topic/31023453
เรื่องอั้มไม่สน อ่านแล้วก็งั้นๆ คุณคนนี้แค่เรียกร้องความสนใจธรรมดาไม่น่าตื่นเต้น แต่รูปประกอบที่เอามาประกอบนั้น.. ฝรั่ง Andrew ไม่เข้าใจวัฒนธรรมไทยเอาจริงๆ ถ้าดูให้ละเอียด ที่เด็กนักเรียนกราบนั้น น้องทุกคนกราบแบบแบมือ นั่นคือกราบพระ ไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหวเลยระบุไม่ได้ว่าครูกำลังสอนกราบเบญจางคประดิษฐ์หรือเปล่า แต่การกราบแบมือ แม้เห็นช็อตเดียวแบบนี้ คนไทยรู้ว่า "กราบพระ" แน่นอน กราบพระ ไม่ใช่กราบคน แล้วจะเป็น "ทาส" (slaves) ที่ตรงไหน นี่เป็นบริบททางศาสนานะคะ ฝรั่งอวดฉลาดมาวิจารณ์สิ่งที่ไม่รู้มีถมเถไป ไม่ต้องไปชื่นชมค่ะ
เห็นหน้าไอ้อั้มแล้ว ขอออกทะเลนิสนุง --------------------------------------------------------- เวลาผมเห็นกระเทยที่ไม่สวย ผมรู้สึกสงสารนะ ขนาดเป็นผู้ชายหน้าตามรึงยังดูไม่ได้ ดันเสือกอยากเป็นผู้หญิงซะอีก....เฮ้อ....เวรกรรมของมรึงจริงๆ
ฝรั่งยกส้นตรีนขึ้นมาไว้บนโต๊ะก็ไม่เห็นจะต้องชมว่าพวกแกเกร๋เป็น boss อะไร วัฒนธรรมใครวัฒนธรรมมันเฟ้ย ไม่เห็นเดือดร้อนสักกะนิด
7มิ.ย.2558 รุมจวก “แอนดรูว์ แม็คเกรเกอร์ มาร์แชลล์” อดีตผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ประจำประเทศไทย หลังเจ้าตัวโพสต์รูปเด็กไทยกำลังไหว้ในท่าเบญจางคประดิษฐ์ แต่ไปบิดเบือนว่าเป็นวิธีการผลิตทาส ชาวเน็ตไทยอัดทำเป็นไม่รู้เรื่องวัฒนธรรมไทยทั้งๆ ที่มีภรรยาเป็นคนไทย ชี้ท่าไหว้พระไม่เกี่ยวอะไรกับทาส http://chaoprayanews.com/blog/socialtalk/2015/06/07/“แอนดรูว์-แม็คเกรเกอร์-ม/
พวกที่บ้าชนชั้น บิดเบือนมารยาทเป็นการกดขี่ แม้สำคัญว่าตัวเองเป็นอิสระ แต่ไม่รู้ตัวว่า ตนเป็นทาสของอวิชชา ทาสของความคิดอันสกปรก
...อย่าไปด่าเขานะครับ เดี๋ยวจะโดนเขาตีตราว่าเป็น ultra royalist ทั้งที่แค่จะบอกว่านั่นรูปเด็กกราบพระ ...อย่าไปด่าเขานะครับ เดี๋ยวเขาหาว่าเราไม่มีการศึกษา แต่เขาดูถูกเราว่ามีสันดานเป็นแค่ข้าทาสได้เพราะเขาผมทอง ...อย่าไปด่าเขานะครับ เดี๋ยวเขาจะบอกว่า นี่ไงละเขาพูดถูกแล้วว่าคนไทยไร้การศึกษา ทั้งที่มีคนที่ไม่ได้ไปตอบโต้เขาอีก 60 กว่าล้านคน สรุปแล้ว อย่าไปด่าเขาเลยครับ โบราณท่านว่า อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา เล่นกับหมาหมาเลียปากครับ
เปิดใจ 'แอนดรูว์ เอ็ม มาร์แชล' ทำไมลาออกรอยเตอร์หันมารายงาน ‘ความลับ’ ในการเมืองไทย Thu, 2011-06-23 17:53 แอนดรูว์ แม็คเกรเกอร์ มาร์แชล ผู้กุมข้อมูลวิกิลีกส์เรื่องเมืองไทยเปิดใจ เป็นหน้าที่ในฐานะสื่อและในฐานะมนุษย์ที่ต้องเผยแพร่ให้คนไทยได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน ระบุ สยามเมืองยิ้มเป็นแค่เทพนิยาย แต่ความจริงไทยคือดินแดนแห่งความลับ นายทหาร และข้าราชบริพารบ่อนทำลายประชาธิปไตย โดยอ้างว่ากระทำการในนามของราชสำนัก แอนดรูว์ แม็คเกรเกอร์ มาร์แชล ( Andrew MacGregor Marshall) เป็นผู้สื่อข่าวสังกัดรอยเตอร์มากว่า 17 ปี และตัดสินใจลาออกจากรอยเตอร์หลังจากเขาประสงค์จะเผยแพร่ข้อมูลจากวิกิลีกส์ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับประเทศไทยถึง 3,000 ฉบับ โดยเขาเริ่มเขียนรายงานเชิงวิเคราะห์จากข้อมูลในเอกสารลับของทางการสหรัฐ โดยเผยแพร่ผลงานชิ้นแรกพร้อมๆ กับที่เว็บไซต์ไทยเคเบิลก็ปล่อยข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทยที่รั่วไหลจากทางการสหรัฐมาจำนวนหลายสิบฉบับในเช้าวันนี้ (23 มิ.ย.) รายงานขนาดยาววิเคราะห์การเมืองไทยเรื่อง ไทย: ห้วงยามแห่งความจริง (Thailand: Moment of Truth) มีทั้งหมด 4 ตอน โดยตอนแรก ซึ่งเผยแพร่เช้าวันนี้ มีเนื้อหา 108 หน้า เขายกเอาภาษิตไทยมาอ้างไว้ในงานเขียนหน้าแรกว่า “ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิดไม่มิด” Andrew MacGregor Marshall: Why I decided to jeopardise my career and publish secrets ที่มา: The Independent ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ผมทำงานหนักกว่า 16 ชั่วโมงต่อวันโดยที่ไม่ได้รับค่าจ้าง เพื่อเขียนเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีการพูดถึงในวงกว้าง เป็นเรื่องราวที่ผมแลกมาด้วยการลาออกจากรอยเตอร์ งานที่ผมรักอย่างยิ่งและทำมากว่า 17 ปี เมื่อเรื่องนี้ได้รับการนำเสนอ ผมก็คงเสียโอกาสที่จะเดินทางกลับไปยังประเทศที่ผมชอบมากในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เพราะว่ามีความเสี่ยงอยู่ ซึ่งแม้จะเล็กน้อย แต่ก็เป็นจริงนั่นก็คือผมจะต้องเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายระหว่างประเทศ และคนจำนวนหนึ่งที่ผมนับถือในฐานะเพื่อนก็อาจจะรู้สึกหวาดหวั่น และอาจจะไม่พูดกับผมอีก คำถามสำคัญก็คือ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ -อย่างไม่น่าเชื่อ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ในศตวรรษที่ 21 นี่คือราคาที่ต้องจ่ายเมื่อคุณพยายามที่จะพูดความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศที่ทันสมัยและเปิดกว้างอย่างประเทศไทย ประเทศไทยอ้างตัวว่าเป็นประชาธิปไตย และจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้ ประเทศไทยอ้างว่าปกครองในระบอบ กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy), ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งมีพระชนมายุ 83 พรรษา ทรงเป็นที่รักยิ่งของประชาชน ไม่ทรงมีบทบาทในทางการเมือง แต่ทรงเป็นผู้ชี้แนะทางศีลธรรมจรรยา ไม่เป็นที่สงสัยเลยถึงความเคารพรักเทิดทูนที่ประชาชนไทยมีต่อกษัตริย์ของพวกเขา แต่เรื่องเศร้าของประเทศไทยก็คือว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในช่วงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ นายทหารและข้าราชบริพารได้บ่อนทำลายประชาธิปไตยโดยอ้างว่ากระทำการในนามของราชสำนัก ประเทศไทยนั้นถอยหลังเข้าสู่ลัทธิเผด็จการและการกดขี่ และเครื่องบ่งชี้อย่างตายตัวก็คือ แม้แต่การพูดถึงอุดมการณ์ชนิดนี้ก็ผิดกฎหมายแล้ว ไทยเป็นประเทศที่มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรุนแรงที่สุดในโลก การหมิ่นประมาทใดๆ ต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินิ หรือองค์รัชทายาท มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ถึง 15 ปี การใช้กฎหมายดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการรัฐประหาร 2549 นักวิชาการและสื่อมวลชนที่ได้รับการยอมรับจำนวนหนึ่งถูกฟ้องร้องด้วยกฎหมายนี้ ใจ อึ๊งภากรณ์ นักวิชาการสัญชาติไทย-อังกฤษ ก็อยู่ระหว่างลี้ภัยในลอนดอนเนื่องจากถูกกล่าวหาว่า หมิ่นประมาทราชสำนัก ผมอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2543 ในฐานะหัวหน้าฝ่ายข่าวของรอยเตอร์ สำนักงานสาขากรุงเทพฯ ผมตกหลุมรักในความงามของวัฒนธรรม และวิถีชีวิตอันเปี่ยมสุขและอบอุ่นของผู้คนอย่างรวดเร็ว ที่นี่ดูไม่เหมือนประเทศที่ตกอยู่ภายใต้การกดขี่ ทว่าสิ่งที่เห็นนั้นต่างจากสิ่งที่เป็น เรื่องบอกเล่าอย่างเป็นทางการว่าที่นี่คือ “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม” คือเทพนิยาย ประเทศไทยคือประเทศแห่งความลับ คนไทยจำนวนมากวาดภาพ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX ไปในทางหวาดกลัว ส่วน XXX XXXXXX ดูเหมือนว่าจะมีระยะห่างกับประชาชนมากกว่าพระเจ้าอยู่หัวฯ และคนจำนวนหนึ่งก็เข้าใจว่า มีความเห็นอกเห็นใจฝ่ายขวาสุดโต่ง “เสื้อเหลือง” ซึ่งยึดสนามบินเมื่อปี 2551 และไม่ว่าอย่างไรก็ถูกใช้เป็นข้ออ้างต่อการโค่นรัฐบาลขณะนั้น กองทัพนั้นก็ใช้กฎหมายจัดการอย่างต่อเนื่องกับการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทอันร้ายกาจของตนที่บ่อนทำลายประชาธิปไตย สื่อมวลชนภายในประเทศไม่สามารถรายงานสิ่งเหล่านี้ได้เลย และสื่อต่างประเทศก็เซนเซอร์ตัวเองอย่างชัดแจ้ง สื่อมวลชนจำนวนมากหันมาใช้วิธีบอกเป็นนัยๆ เมื่อต้องนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับประเทศไทย เช่นประวิตร โรจนพฤกษ์ หนึ่งในผู้สื่อข่าวที่ดีที่สุดคนหนึ่งของไทยเขียนในรายงานของเขาเดือนนี้ โดยใช้คำว่า “มือที่มองไม่เห็น”, “อำนาจพิเศษ”, “อำนาจที่ปฏิเสธไม่ได้” ถ้อยคำเหล่านี้ถูกเอ่ยอ้างโดยประชาชน สื่อ และนักการเมืองบ่อยขึ้นในช่วงเวลาไม่นานมานี้ เมื่อพวกเขาอภิปรายเกี่ยวกับการเมืองไทย และการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น 3 เดือนที่แล้ว ผมมีโอกาสเข้าถึง “ช่องทาง” ข้อมูลลับของทางการสหรัฐ ที่พลทหารแบรดลีย์ แมนนิง ดาวโหลดเก็บไว้ระหว่างที่ประจำการอยู่ในอิรัก มีเอกสารมากกว่า 3,000 ฉบับที่เกี่ยวกับประเทศไทย สิ่งที่แตกต่างจากการรายงานส่วนใหญ่ในบรรดาข่าวเกี่ยวกับประเทศแห่งนี้ก็คือ ในเอกสารลับเหล่านั้น ไม่พูดอ้อมค้อมเมื่อกล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ เมื่อผมได้อ่าน ผมก็ได้ตระหนัก 2 ประการคือ เอกสารเหล่านี่จะช่วยปฏิวัติความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศไทย และประการที่สองคือ ผมไม่มีทางที่จะเขียนถึงเรื่องเหล่านี้ได้หากอยู่ในฐานะผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ รอยเตอร์จ้างพนักงานชาวไทยมากกว่า 1,000 คน ความเสี่ยงที่จะเกิดกับพวกเขาเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในระยะเวลา 17 ปีที่ผมทำงานกับรอยเตอร์ ผมได้พบกับความขัดแย้งหลายอย่าง ผมใช้เวลา 2 ปีในแบกแดดในตำแหน่งหัวหน้าสำนักสาขา ขณะที่อิรักตกอยู่ในสถานการณ์สงครามกลางเมือง เพื่อนร่วมงานหลายคนถูกฆ่าตาย ผมภูมิใจเสมอมาที่ได้ทำงานให้รอยเตอร์ และเมื่อผมได้รับคำอธิบายว่างานของผมตีพิมพ์ไม่ได้ ผมก็เข้าใจ แต่ผมก็ไม่สามารถจะเลิกล้มหรือเพิกเฉยต่อความจริงเกี่ยวกับประเทศไทย ประชาชนไทยสมควรที่จะมีสิทธิรับรู้ข้อมูลอย่างครบถ้วน เพื่อการถกเถียงเกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาเองโดยปราศจากความกลัว ผมลาออกจากรอยเตอร์ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อผมเริ่มเผยแพร่บทความของผมเพื่อใครก็ได้ที่ต้องการอ่าน วันนี้ ผมได้ทำแล้ว ผมกลายเป็นอาชญากรแล้วในประเทศไทย เสียใจอย่างที่สุดที่ผมไม่อาจกลับไปยังประเทศที่น่าอัศจรรย์เช่นนั้นได้อีก แต่ผมจะเสียใจยิ่งกว่าหากว่ามีโอกาสที่จะบอกความจริงแล้วกลับล้มเหลวที่จะใช้โอกาสนั้น มันคือหน้าที่ของสื่อมวลชน และหน้าที่ของมนุษย์ที่จะทำให้ดียิ่งกว่า และนั่นคือเหตุผลที่ผมเผยแพร่ผลงานของตนเอง ที่มา http://www.prachatai.com/journal/2011/06/35633 แค่ได้ข้อมูลลับจาก วิกกิลีก 3000 ฉบับก็พร้อมจะเชื่อ อยากได้ซัก 10000 ฉบับไหม กุมีแต่ยังไม่ได้โหลดเข้าไปว่ะ คือคนแก่ทำไม่เป็น
แอนดรูว์ นี่ ทำให้คิดไปถึง การเมืองใน อิรัก สภาพแวดล้อม และ สังคม นะครับ เนื้อใน ใส้ใน เป็นยังไง ไม่น่าจะมีคนเข้าใจ เท่า คนในประเทศ การข่าว ข่าวลือ ข่าวโคมลอย การเสี้ยม การปลูกฝัง แซกซึม เนื้อร้าย ต่างๆ ถ้าเรา มีน้ำมันมหาศาล คงหนีไม่พ้น แบบเดียวกัน แบบเดียวกัน ถ้าจะจัดการแบบง่ายๆ คือ ยุแยงให้แตกแยก และออกจากบ้านที่มั่นคงแข็งแรง ที่คุ้มครอง และรวมใจ โดยสถาบัน เมื่อแตกแยก และ วิ่งหนี ออกจากบ้าน แล้ว ก็จะจัดการได้โดยง่ายดาย
แอนดรูโดนให้ออกค่ะ ไม่ใช่ลาออกเอง คุณไมเคิล ยอน แกเอามาแฉหลายรอบแล้ว เพราะแอนดรูโรคจิตนี่ตามรังควานเขามาพักใหญ่ๆ
พวกลิเบอรัล (จริงๆอยากใช้คำไทยนะครับ พวกลิเบอรัลมันดูดีเกินไปหน่อย ขอตั้งว่า พวกหัวก้าวหน้าเกินกว่ายุคสมัย) กับคณะราฎษรมีความคล้ายกันอยู่อย่างหนึ่งครับ พยายามสิ่งควร ในเวลาที่ผิดครับ เหมือนเด็กสาวที่พยายามจะมีปั๋วตอนอายุสิบสอง แน่นอนว่าการมีปั๋วมันมีสิ่งที่ดีสำหรับผู้หญิง แต่ไม่ใช่ตอนอายุสิบสองแน่นอนฮะ คณะราฎษรตายกันไปหมดแล้ว ไม่อยู่รับผิดชอบอะไรแล้ว เหลือแต่พวกก้าวหน้าเกินกว่ายุคสมัยนี่แหละ ถ้าเขาช่วยใช้สติไตร่ตร่องก่อน ว่าไอ้สิ่งที่ท่านต้องการ มันจะไปกันได้ประเทศไทยตอนนี้มั้ย ไม่ใช่อยากจะเปลี่ยนแปลงกันอย่างเดียว พอล้มสถานบันพระมหากัษตริย์ไม่ได้ จะไปล้มสถานบันชาติแทน อันนี้เชี้ยจริงครับ คอนเฟริม์เลย เด็กๆเคยถูกสั่งสอนว่าสถานบันพระมหากัษตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจ ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจหรอกว่ามันคืออะไร โตมาถึงเข้าว่า ทุกประเทศในโลกนี้ต้องมีหัวใจของชาติครับ อะไรก็ตามที่เป็นอุดคติที่ทำให้คนในชาติเป็นหนึ่งเดียว ชาติอเมริกันอาจจะมี เสรีภาพ และประชาธิปไตย ชาติจีนอาจจะมีพรรคคอมมิวนิสต์ ชาติเมียมาร์ ก็ไม่ค่อยมั่นใจ ขอยิงกันก่อน สักวันก็คงหาได้ พวกหัวก้าวหน้าเกินกว่ายุคสมัย พวกเขาต้องยอมรับว่าชาติเราถูกสร้างมาแบบนี้ มันเป็นตัวตนของเรา ไม่ใช่งอแงอยากเปลี่ยน มองเห็นว่าการรักสถาบันพระมหากัษตริย์ เป็นเรื่องงมงายไร้สาระ ไม่มีเหตุผล เพราะเราก็มีเหตุผลของเราเหมือนกันครับ พวกกระแดบางคนไม่นับนะครับ พวกนี้ไม่มีอุดมการณ์อะไรเลย บางคนอยากแตกต่าง ด้วยคิดว่าเท่ห์ หรือต้องการผลประโยชน์ ทำไปแล้วถอนตัวไม่ได้บ้าง พวกนี้ไม่รู้จะสงสาร หรือสมนํ้าหน้าดีเหมือนกัน
ขอนอกเรื่องนะครับ สัมพันธ์กับประเด็นเรื่องชาตินิยม ซีเกมส์ที่สิงคโปร์ครั้งนี้ ผมเห็นโลโก้ SG 50 ติดอยู่ในสนามหลายจุด เครื่องกีดขวางที่ตั้งในสนามขี่ม้าก็ยังติดโลโก้นี้ โลโก้นี้เป็นโลโก้ในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี ประเทศสิงคโปร์ ที่ได้รับเอกราช หลังจากแยกตัวจากมาเลเซีย เริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลย กลายเป็นประเทศชั้นนำในเอเชีย ผ้าพันคอที่กองเชียร์สิงคโปร์ใช้ก็มีโลโก้นี้ (ดูจากเทปบันทึกภาพ ฟุตบอลซีเกมส์ พม่าพบสิงคโปร์ พม่าชนะ ดีใจเหมือนได้แชมป์ฺ แต่ตามด้วยดราม่าในโซเชียล) การผลิตซ้ำของโลโก้โอกาสนี้ งานนี้ ผมเข้าใจว่าทางการต้องการให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญ
เอาไปเร ประธานาธิบดี ต้องการประมุขของประเทศเหรอ นี่ไง วัฒนธรรมสากล นี่แรสมควรวุ้ย 'อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์'วัย 67 ปีได้ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างมั่นใจเชื่อว่า ตนเองนั้นสามารถทำหน้าประธานาธิบดีได้ดีกว่าคนอื่นๆ รวมถึง'บารัค โอบามา'หากเพียงแต่เขาเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกาโดยกำเนิด.... อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1dkUGlw