ไม่ว่าระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ ขนาดอ่านเรื่องของต่างประเทศ ยังรู้สึกว่า มนุษย์กลุ่มนี้ ช่างเห็นแก่ตัว และกลับรู้สึกชอบใจ ที่จะมีกฏหมาย กฏระเบียบ คอยควบคุมคนกลุ่มนี้อย่างเข้มแข็ง
การเมืองประสานเสียงพิทักษ์ประชาธิปไตย : เน้นแก้ง่ายฉีกยาก โดย ทีมข่าวการเมือง 4 ก.ค. 2559 05:01 6,247 ครั้ง นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รัฐธรรมนูญนี้มันบิดเบี้ยว ตรรกะอีกประการที่ทำให้บิดเบี้ยวคือ ตรรกะความเลวร้ายของนักการเมือง คนชั้นกลาง คนชั้นบนส่วนหนึ่งรังเกียจนักการเมือง เพราะทัศนคติที่ท่านมองผม ต่างจากประชาชนมอง ส่วนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ทำไมเรื่องสำคัญของประเทศต้องผูกพันไปถึง 20 ปี ทำไมไม่ให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเขาไปพิจารณา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ศูนย์รวมอยู่ที่ระบบราชการ กองทัพ ตุลาการ และองค์กรอิสระทั้งหลาย การจัดสรรอำนาจใหม่ เพื่อพยายามควบคุม กำกับรัฐบาล เป็นระบบประชาธิปไตยแบบกำกับควบคุม รัฐบาลภายใต้การเลือกตั้งครั้งหน้าแทบจะทำอะไรด้วยตนเองไม่ได้ อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/653579
มันเป็นอาชีพน่ะท่าน มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ คนที่รักสะอาดคงไม่คงไปในโคลน ส่วนไอ้คนที่ลงไปในโคลนก็ต้องไปหาอะไรซักอย่าง มันเป็นเช่นนั้นเอง มั้ง!
ทั้งสองคนที่ผมยกมานั้น แต่ละคนล้วนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในแวดวงการเมือง คนละเกิน10 ปี ออกความเห็น อยากมีอิสระ อยากออกนโยบาย อยากบริหารประเทศเอง แล้วที่ผ่านๆมาพวกคุณมัวทำอะไรอยู่.....ทำไม ***ยิ่งเลือกตั้ง ยิ่งซื้อเสียงกันมากขึ้น มีผลประโยชน์ให้ตักตวงคืนมากขนาดนั้นเลยหรือ ***การโกงกิน การเรียกรับ%ยิ่งมากขึ้น แถมพัฒนาจนไปถึงระดับออกนโยบายมาเพื่อโกง ***คุณภาพการศึกษาของประเทศ ยิ่งนานยิ่งตกต่ำ จนแทบจะล้าหลังประเทศอื่นๆ อายเขาบ้างไหม ***ระบบยุติธรรม แทบจะล้มเหลว ทั้งช้าทั้งโอนเอน จนคนเลวไม่เกรงกลัวกฎหมายกันแล้ว ฯลฯ เขียนแล้วอนาถใจ
ที่ผ่านมายุคแม้ว การได้เข้าสู่อำนาจรัฐคือการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรของรัฐ หากมองอย่างเป็นธรรม นักการเมืองที่ดีมักไม่สามารถไปถึงฝั่งฝันได้ ถ้าไม่ตายด้วยการถูกลอบสังหาร ก็ติดคดี สุดท้ายพอจะได้ก็มีการรื้อสั่งนัับคะแนนใหม่จนตกไป จึงไม่แปลกที่ประชาชนจะเกลียดนักการเมืองส่วนใหญ่
ผมอยู่ในชนบท สังคมมันแคบ พวกนักการเมืองท้องถิ่นก็ใช่ย่อย ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. เทศบาล..........หาคนที่ดีจริง ช่างยากเหมือนหาทอง
ส่วนตัวผมหมดศรัทธากับนักการเมือง ไม่ว่ายุคใหนสมัยใหนเหมือนกันหมด ไม่เคยเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่กลับเอาผลประโยชน์ตัวและพวกพ้องเป็นเป้าหมาย ถามผมถ้าไม่มีส.ส.หรือนักการเมืองผมเดือดร้อนไม่ผมเฉยๆ เพราะนักการเมืองไม่ได้มาช่วยทำมาหากิน แค่เอานโยบายมาหาเสียงแล้วเอาเงินแผ่นดินมาหลอกล่อ มอมเมาประชาชนให้เป็นหนี้จนโงหัวไม่ขึ้น อยากบอกว่าสังคมเกษตรกรรมกำลังรอวันล้มละลาย หนี้เก่าไม่ได้ใช้หนี้ใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี คนที่จะอยู่ได้ในอนาคตคือพวกนักธุรกิจกับพวกมนุษย์เงินเดือน นอกนั้นตายเกลื่อน
ถูกต้องที่สุด เกษตรกรไทยมีคุณค่ากับนักการเมือง เพียงแค่หลอกเอาคะแนนเสียง แต่ไม่เคยคิดนโยบาย ที่จะทำให้เกษตรมีชีวิตที่ดีขึ้นแบบยั่งยืน ส่วนนักธุรกิจที่อยู่ได้ ก็ต้องเป็นรายใหญ่ ส่วนรายย่อยค่อยๆ โดนบีบจากระบบทุนสามาลย์ จนต้องยอมเป็นทาสเขาเท่านั้น จุดนี้ ก็ไม่เคยเห็นนักการเมืองจะช่วยอะไรได้ และอาจจะออกกฎหมายเอื้อให้พวกนี้อีกด้วย
ถามจริงนะ ขนาดแผนพัฒนาและเศรษฐกิจ ผูกผัน ๕ ปี ยังไม่เคยเห็นรบ.ไหนนำไปใช้จริงจังเลย ออกมาจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แท้ๆ
ประชาธิปไตยไทยมันมั่วตั้งแต่คณะร่าน2475แล้ว ปฎิวัติที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วม คนไทยก็เลยไม่รู้สึกร่วมอะไรที่จะต้องไปเกี่ยวข้องกับพรรค
เรื่องกฏหมายการประกันตัวระหว่างสู้คดีเอื้อใครเหตุที่มาที่ไปเจตนารมภ์ของกฏหมายมีอย่างไร คดีกรณีเดี๋ยวกันถ้าเป็นคนมีฐานะแทบจะไม่ต้องนอนคุกสู้กันไป3ศาล ถ้าเป็นคนจนโดนจับนอนคุกตั้งแต่ตำรวจเริ่มสอบปากคำทั้งที่ศาลยังไม่ตัดสินคดียังไม่ถึงที่สุด เข้าใจว่าใครทำผิดต้องถูกลงโทษแต่การลงโทษกลับมีมาตราฐานต่างกันเพียงแค่มีีปัจจัยเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องและเป็นเป็นตัวแปร กฏระเบียบข้อบังคับระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาวิธีกันปฏิบัติมันไปคนละเรื่องคนละทางการทำงานมันเหมือนไม่ใช่หน้าที่ของแต่ละคนแต่การทำงานมันขึ้นอยู่กับว่าคุณมีอำนาจต่อรองได้มากน้อยแค่ใหน ทำให้ข้าราชการต้องแสวงหาอำนาจมาปกป้องตัวเองอำนาจที่ได้มาง่ายเห็นผลไวคืออำนาจทางลัดที่ได้จากนักการเมืองถ้ารอตามขั้นตอนหรือผลงานข้าราชการหลายๆคนคงต้องรอถึงชาติหน้าตอนบ่ายๆเพราะเพื่ื่อนเขาเดินทางลัดกันหมด
ช่วยที....ทำไมยิ่งรู้มาก อ่านมาก ยิ่งไม่ชอบนักการเมือง? ฮุนเซน แฉ มาร์ค ส่ง สุเทพ เจรจาลับน้ำมัน Mthai News : เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ ได้รายงานคำกล่าวของสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์โจมตีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการเจรจผลประโยชน์เรื่องน้ำมันกับทางกัมพูชานั้น ว่า ตนขอยืนยันการเจรจาเรื่องผลประโยชน์น้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในยุคพ.ต.ท.ทักษิณ และยุคนายสมัคร สุนทรเวชนั้น เป็นไปอย่างเปิดเผย แตกต่างจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่มักบอกตัวเองว่าเป็นรัฐบาลโปร่งใส แต่กลับให้นายสุเทพ เทิอกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีสมัยนั้นเดินทางมาเปิดเจรจาลับกับตนเอง โดยนายสุเทพเดินทางมากัมพูชา 3 ครั้ง ครั้งแรกในเดือนเมษายน มาไกล่เกลี่ยเพื่อรับรองให้ไปพัทยาร่วมการประชุมอาเซียน หลังจากมีเรื่องในสภาไทยที่กษิต ภิรมย์ เรียกตนว่าเป็นนักเลง ครั้งที่2 นายสุเทพก็มาอีกแต่ไม่ได้คุยกันในเรื่องน้ำมัน เป็นการคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ทั่วไป ส่วนครั้งที่ 3นายสุเทพมาวันที่ 27 มิถุนายน วันนั้นตนจำได้ว่านายสุเทพมาแปลก ได้นำเอาเอกสารแผนที่เกี่ยวกับบล็อกน้ำมันในทะเลมาด้วย และได้แจ้งว่านายอภิสิทธิ์ได้แต่งตั้งให้เขามาเจรจาให้เสร็จภายในสมัยของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ “วันนั้นภริยาตนได้ทำแกงเลียงเลี้ยงส่วนตัวให้นายสุเทพรับประทาน และตนก็ได้แจ้งกลับไปยังนายสุเทพแล้วว่า ตนมีรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเจรจาเรื่องนี้อยู่ ไม่สามารถเป็นคู่เจรจากับฯพณฯ ได้ แต่นายสุเทพไม่ยอม ต้องการยกตัวให้เสมอตน” สมเด็จ ฮุน เซน กล่าว นอกจากนี้ สมเด็จ ฮุน เซน ยังกล่าวพาดพิงถึงนายอภิสิทธิ์ว่า ตั้งแต่ออกจากตำแหน่ง อภิสิทธิ์ก็มาโจมตีว่า เนื่องจากรัฐบาลไทย (ยุคอภิสิทธิ์) ไม่สนองผลประโยชน์ของกัมพูชาทำให้ไม่ถูกกัน ตนจะแจ้งกลับไปที่นายอภิสิทธิ์ว่า ถ้ารัฐบาลก่อนไม่ถูกกันแล้ว ใครคนไหนที่ส่งคนมาเจรจาลับ ไอ้ที่ลับเป็นอะไร? เขาต้องการรู้เรื่องลับนี้ไหม ถ้าต้องการรู้ว่าลับหรือไม่ลับ ต้องเริ่มต้นที่ตาเคมา จ.กัณดาล ฟังให้ชัดผู้นำเอกสารมา คือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ,เตีย บัญ,ลี ยงพัต และคำปูน ได้เห็นเอกสารนี้ “ถ้าไม่ชัดเจนก็อย่าพูด นำคนต่อต้าน ผมไม่ต้องการพูดถึง หรือว่าผมต้องสอนอภิสิทธิ์อีก เมื่อตอนที่เป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนกัน ผมก็สอนแล้วสอนอีก ตอนนี้ผมยังต้องสอนอีกหรือ ผมขอแนะนำไปถึงอภิสิทธิ์ และสุเทพที่กรุงเทพฯ ให้ไปตรวจสอบให้ถูกต้องถึงมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญไทย ถึงเรื่องที่มาลักลอบเจรจาลับ” ขณะเดียวกัน สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้กล่าวถึงเรื่องการเดินทางเยือนกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ตนจะให้การต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยจะเปิดสำนักนายกรัฐมนตรีต้อนรับอย่างเป็นทางการในฐานะมิตรแท้ และในฐานะวิทยากรคนหนึ่งสำหรับการสัมมนาเกี่ยวกับเศรษฐกิจเอเชีย และขออย่ามาสั่งให้จับพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้านของไทย หรือรัฐบาลไทย เพราะนี่คือดินแดนกัมพูชาและเป็นสิทธิของตน และจะมีการเลี้ยงรับรองที่สำนักนายกรัฐมนตรี Mthai News
ใช่ๆ ท่าน "ฮุน เซน" วีรบุรุษประชาธิปไตยแห่งกัมพูชา(ของพวกกาสรสีชาด)กล่าวไว้ถูกต้อง มาร์คมันเลวจริงๆ ชอบหาผลประโยชน์ใส่กระเป๋าตัวเองจากอำนาจในตำแหน่งหน้าที่ เผยรายงานการสอบสวนของ "Global Witness" พบว่า ตระกูลฮุน เซน กอบโกยความมั่งคั่งของประเทศ ด้วยการเข้าไปมีเอี่ยวในทุกภาคส่วนของธุรกิจเกือบทั้งหมด หนังสือพิมพ์พนมเปญ โพสต์ รายงานอ้างการสืบสวนของ "Global Witness" ที่มีชื่อว่าHostile Takeover: The Corporate Empire of Cambodia's Ruling Family ที่ระบุว่าครอบครัวของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน เย้ยกฎหมายของประเทศ สร้างอาณาจักรธุรกิจ มีทรัพย์สินมหาศาลจากการถือครองหุ้นในบริษัทในประเทศอย่างน้อย 114 แห่ง อยู่ในภาคส่วนสำคัญ 18 แห่ง รวมทั้งพลังงาน, เทเลคอมส์, และเหมืองแร่ และยังพบว่า ในจำนวนนี้ 103 แห่ง สมาชิกในครอบครัวฮุน เซน ดำรงตำแหน่งประธาน ผู้อำนวยการหรือไม่ก็ถือหุ้นมากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ รายงานนี้ ถูกระบุว่า เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง และเชื่อว่ามีการใช้ตัวแทนเพื่อปกปิดขนาดของอาณาจักรธุรกิจและความมั่งคั่งของคนในครอบครัว และยังมีอิทธิพลเหนือภาครัฐและเอกชนจนแทบจะคุมประเทศไว้ทั้งหมดแล้ว โฆษกกระทรวงพาณิชย์ ที่แม้จะรู้ดีว่าจำเป็นต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบของภาคเอกชน แต่ก็บอกว่า ถึงแม้จะไม่ดีพร้อม แต่ตอนนี้กัมพูชาเป็นตลาดเสรี ที่ใครที่มีเงินก็สามารถมาลงทุนได้ ไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะเป็นใคร เมื่อปี 2554 ฮุน เซน ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินภายใต้กฎหมายต่อต้านการคอรัปชั่นฉบับใหม่ว่า เขามีรายได้ทางเดียว คือเงินเดือนๆ ละ 1,150 ดอลล่าร์ หรือราว 40,000 บาท lobal Witness บอกด้วยว่า ครอบครัวนี้ยังเกี่ยวข้องกับบริษัทข้ามชาติ จนได้รับสมญาว่า "ยามเฝ้าประตูรายใหญ่" โดยไม่ว่าจะเป็น แอ๊ปเปิล, แคนนอน, แอลจีอิเล็คทรอนิกส์, เลโนโว, โนเกีย, อิเล็คโทรลักซ์และไพโอเนียร์ ล้วนต้องผ่านด่านครอบครัวนี้ ส่วนเนส กาแฟ โกลด์, กระดาษชำระคลีเน็กซ์ และถุงยางอนามัยดูเร็กซ์ ถูกระบุว่านำเข้าผ่านบริษัทของน้องสาวฮุน เซน ซึ่งเป็นประธานบริษัทที่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้จำหน่ายวิสกี้ จอห์นนี่ วอล์คเกอร์, เฮนเนสซี่ คอนญัคและเบียร์โคโรนา เป็นที่รู้กันดีว่า ฮุน เซน รวบอำนาจการบริหารประเทศ ผ่านยุทธศาสตร์การแต่งงาน,ผลประโยชน์ทางธุรกิจ และตำแหน่งวงราชการ โดยนอกจากจะมีพวกที่ถือหุ้นในบริษัทรายใหญ่แล้ว ก็ยังพวกที่รับราชการ รวมทั้าง ฮุน มานิต ลูกชายคนกลางที่เป็นนายพลกุมบังเหียนหน่วยข่าวกรอง ส่วนลูกเขย 1 คน คือ ดี วิเจีย เป็นตำรวจและยิม เลียง เป็นนายพลของกองทัพบก ปล. อ่านข่าวแล้วเหมือนเห็นตัว here ชี้หน้าด่าคนอื่นว่า here ยังไงก็ไม่รู้
สรุป "สุเทพ" เคยถูกฟ้องเรื่องคดีโกง สปก. 4-01 หรือไม่ ??? ถ้าถูกฟ้องแล้ว ผลการตัดสินเป็นอย่างไร ??? ปล. ไม่ตอบนี่หมาเลยละ คำถามนี้
"ลุงกำนัน" ไม่เคยถูกฟ้องเรื่องคดีโกง สปก. 4-01 รวมถึงพรรค ปชป ไม่เคยโกงเลย ที่ดินดังกล่าวไปอยู่ในมือของ “เศรษฐีและกลุ่มนายทุน" ที่ใกล้ชิดนายสุเทพ ซึ่งไม่มีสิทธิ์ตามกฎหมาย กว่า 10 ราย และหนึ่งในนั้นมีชื่อของนายทศพร เทพบุตร สามีของ นางอัญชลี วานิช เทพบุตร เลขานุการของนายสุเทพขณะนั้น และศาลฎีกาพิพากษาได้สั่งให้นายทศพร เทพบุตร ออกจากที่ดินหลวงที่ยึดครองเป็นสมบัติส่วนตัวนานถึง 12 ปีเอง ลุงกำนันบริสุทธิ์ผุดผ่อง แกเป็นผู้แทนราษฎรตั้งแต่อายุ 29 ปี วันนี้จะ 65 ปีแล้ว ...ได้ทำเรื่องที่ถูกใจประชาชนบ้าง ขัดใจประชาชนบ้าง แต่สิ่งหนึ่งไม่เคยทำคือทุจริต คอร์รัปชันโกงประเทศชาติโกงประชาชน "ควายฟังแล้วอาจจะเชื่อลุงกำนัน"
จั่วหัวบอกว่าสุเทพทุจริต "ด้วยการเอื้อประโยชน์" ให้ตัวเองและพวกพ้อง แต่ต่อมาบอกว่าไม่เคยมีคำตัดสินบอกว่าสุเทพทุจริต สรุปหลักฐานทุจริตของสุเทพคืออะไร ??? สรุปแล้วยังไง ???
สรุปแล้วศาลพิพากษาว่า ทศพร (สามีของอัญชลี วานิช เทพบุตร) ทุจริตครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.4-01 โดยผิดกฏหมาย ??? หรือศาลพิพากษาว่า ทศพร (สามีของอัญชลี วานิช เทพบุตร) รับที่ดินจากผู้ที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแห่งนั้นกันแน่ ??? วานบอก http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9500000066093
