อ่านแล้ว งง จังเลย ตกลง แบงค์กรุงเทพ ไปค้ำประกัน jas แล้วเหรอ แล้วเค้าขาดทุนยังไง แล้วเกี่ยวอะไร กับอำมาตย์ แล้ว อำมาตย์ที่ว่า คือใคร แล้วมันเกี่ยวยังไง กับ คนเชียร์ ลุงตู่ อย่างผม สรุปคือ หัวกระทู้ มาอย่าง งง มาก ๆ เลย ที่มาที่ไป ไม่มีสักอย่างเลย หรือ จะมาเฉลย เป็นข้อ ๆ ล่ะ งง กับ log in นี้ จริง ๆ เลย
ธ.กรุงเทพ แค่อยู่ในขั้นเจรจาเอง ไม่ใช่เหรอ ยังไม่ได้ตกลงค้ำประกันเลย ทุกขลาภ 4G เอไอเอสบีบเกมดั๊มพ์ราคา “ทรู-แจส” วิ่งหาเงินกู้แสนล้าน ตามเงื่อนไขการประมูลคลื่นความถี่ 900 MHz ผู้ชนะจะต้องจ่ายเงินค่าประมูลงวดแรก พร้อมแบงก์การันตีในส่วนที่เหลือทั้งหมดภายใน 90 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 21 มีนาคม 2559 นี้ ผ่านมาแล้ว 2 เดือน หลังจาก “ทรูและแจส” คว้าชัยชนะมาได้ ทั้งคู่ยังไม่มีใครแสดงเจตจำนงมายัง “กสทช.” ว่าจะนัดหมายวันเวลาเพื่อนำเงินมาจ่ายแต่อย่างใด ซึ่งแตกต่างไปจากเมื่อครั้งประมูลคลื่น 1800 MHz ลิบลับ ที่ครั้งนั้นผู้ชนะต่างรีบนำเงินมาจ่ายแทบจะในทันทีหลังการประมูล ก่อนหน้านี้ ตัวเลขราคาประมูลคลื่น 900 MHz ที่สูงลิบลิ่ว 2 ไลเซ่นส์ ปาเข้าไป 1.5 แสนล้านบาท สร้างความปลาบปลื้มให้กับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ “กสทช.” ผู้จัดการประมูลเป็นอย่างยิ่ง เพราะสามารถทำเงินเข้าประเทศได้มหาศาลเกินคาด โดยบริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด และบริษัท ทรูมูฟเอช ยูนิเวอร์แซล คอมมูนิเคชั่น จำกัด ชนะการประมูลคลื่น 900 MHz ด้วยราคา 75,654 ล้านบาท และ 76,298 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ยิ่งใกล้วันครบกำหนดการจ่ายเงินงวดแรก กลับกลายเป็นความไม่แน่ใจของคนในแวดวงการเงิน และวงการธุรกิจโทรศัพท์มือถือว่า “ผู้ชนะ” มีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าประมูลงวดแรกได้ทันเวลา ด้วยราคาใบอนุญาตที่สูงกว่า 7 หมื่นล้านบาท ทำให้ผู้ชนะทั้งคู่ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก และเมื่อเทียบกับมูลค่าธุรกิจตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ซึ่งแจสมีเพียง 21,401 ล้านบาท ส่วนทรู อยู่ที่ 162,412 ล้านบาท (ณ 1 กุมภาพันธ์ 2559) สะท้อนถึงการลงทุนช่วงชิงใบอนุญาตที่ราคาสูงกว่ามูลค่าธุรกิจ ในกรณีของแจสโมบาย ซึ่งยังไม่รวมถึงการที่ต้องลงทุนโครงข่ายที่แทบจะเรียกว่าต้องเริ่มนับหนึ่ง ส่วน “ทรู” ไม่ต่างกันนักเมื่อรวมใบอนุญาตคลื่น 1800 MHz ที่ชนะประมูลมาได้ก่อนหน้านี้ ต้องควักเงินถึง 116,090 ล้านบาท กรณีของแจสโมบาย ถือเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายกำลังจับตาว่าจะดิ้นหาแหล่งเงินจากไหน เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่มีธนาคารพาณิชย์รายใดตอบรับให้การสนับสนุน และมีเพียงธนาคารกรุงเทพรายเดียวเท่านั้นที่ยอมรับว่าอยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องการปล่อยเงินกู้และแบงก์การันตี แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ เพราะจากฐานะการเงินและความพร้อมของแจสกับการเข้าสู่สมรภูมิมือถือ 4จี ครั้งนี้มีความเสี่ยงสูงมาก และคงไม่มีธนาคารพาณิชย์ใดที่จะกล้าปล่อยกู้และออกแบงก์การันตีให้ทั้งหมด โดย นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวถึงเรื่องการสนับสนุนเงินกู้แก่แจส เพียงว่า อยู่ระหว่างการหารือกัน และยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะได้ข้อสรุปเมื่อไร แม้ก่อนหน้านี้จะมีกระแสข่าวว่าธนาคากสิกรไทยหรือเคแบงก์ จะมีการพิจารณาปล่อยกู้ให้กับแจสโมบาย แต่ล่าสุดทางผู้บริหารโดย นายสุวัฒน์ เตชะวัฒนวรรณา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ดูแลกลุ่มลูกค้าสหบรรษัทธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย ออกมายืนยันว่า ธนาคารไม่เคยได้รับการติดต่อจากแจส เพื่อให้ปล่อยสินเชื่อและออกหนังสือค้ำประกัน ขณะเดียวกัน ธนาคารก็ไม่เคยติดต่อเข้าไปด้วย “กรณีของแจสอาจต้องรอให้สถานการณ์และแผนธุรกิจของเขานิ่งก่อน หากถามถึงศักยภาพก็มองว่ามีศักยภาพในอนาคต แต่สิ่งที่ทุกคนต้องพิจารณาคือรอให้ธุรกิจนิ่ง และทุกอย่างลงตัวก่อน” อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารเคแบงก์ยอมรับว่า อยู่ระหว่างพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยเป็นการร่วมปล่อยกู้ของ 3-4 แบงก์ โดย 1 ในนั้นมีแบงก์ต่างชาติจากจีน ขณะเดียวกัน นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า บอร์ดธนาคารได้อนุมัติการปล่อยสินเชื่อให้บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แล้วเมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถระบุถึงวงเงินได้ สําหรับ “ทรู” แม้ว่าจะได้รับการตอบรับจากธนาคารพาณิชย์หลายรายในการปล่อยกู้และออกแบงก์การันตีร่วม แต่ด้วยที่บริษัทแบกหนี้เดิมอยู่มหาศาลเช่นกัน ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบงก์ผู้ปล่อยกู้ “ทรู” จึงต้องตัดสินใจเพิ่มทุนอีก 60,000 ล้านบาท เป็น 158,431 ล้านบาท เพื่อให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนดีขึ้น และเท่ากับเป็นการให้ผู้ถือหุ้นเข้ามารับภาระกับความเสี่ยงในครั้งด้วย ขณะที่น้องใหม่ในสังเวียนมือถืออย่าง “แจส” ได้รับการจับตามองมากที่สุด ด้วยมูลค่าใบอนุญาตที่สูงมากกับความเสี่ยงทางธุรกิจทำให้มีกระแสข่าวมาเป็นระยะ และยิ่งดังขึ้นทุกทีที่ใกล้ครบกำหนดจ่ายเงินว่าไม่มีธนาคารพาณิชย์รายใดตกลงปล่อยกู้ และออกแบงก์การันตีให้ จนอาจต้องยอม “ทิ้งไลเซ่นส์” แม้ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. จะออกมาระบุว่าได้คุยกับผู้บริหารของทั้งสองบริษัทและได้รับคำยืนยันว่า พร้อมจ่ายค่างวดประมูลภายใน 90 วัน ตามเงื่อนไขแน่นอน “เท่าที่ได้หารือกับผู้บริหารของแจส เขายืนยันว่าตั้งใจจริงในการเข้ามาในธุรกิจนี้ และยืนยันที่จะมาชำระเงินค่าประมูลงวดแรก 8,040 ล้านบาท พร้อมหนังสือค้ำประกันจากสถาบันการเงินในวงเงินประมูลที่เหลือทั้งหมด โดยกำลังประสานกับธนาคารเพื่อออกแบงก์การันตี ขณะที่เรื่องพาร์ตเนอร์ก็กำลังคุยกัน” นายฐากร ย้ำ แหล่งข่าวในธุรกิจโทรคมนาคมกล่าวว่า ถ้าแบงก์กรุงเทพไม่ปล่อยกู้ให้ แจสก็คงไม่สามารถหาเงินไปจ่ายค่าประมูลได้ตามกำหนด ซึ่งจะทำให้โดนยึดเงินประกันการประมูล 644 ล้านบาท แต่ความเสียหายทางการเงิน คงไม่เท่ากับผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นต่อบริษัท การคาดการณ์ของหลายฝ่ายที่ว่า “แจส” อาจต้องยอมทิ้งไลเซ่นส์ จะส่งผลถึงการจ่ายเงินค่าประมูลของ “ทรู” ด้วย ทรูอาจคิดหนักว่าจะจ่ายเงินค่าประมูลดีหรือไม่ เพราะการเปิดประมูลใหม่ มีโอกาสที่คนที่ได้ไลเซ่นส์จะได้ราคาถูกกว่าทรู ทรูจึงต้องพิจารณาให้ดีว่าจะทำอย่างไร อย่างไรก็ตาม ล่าสุดคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) เห็นชอบรับรองหลักการว่า ในการดำเนินการจัดประมูลใหม่ เพื่อไม่ให้รัฐเสียหาย การเริ่มต้นประมูลอาจใช้ราคาสุดท้ายของการประมูลครั้งก่อน คือ 75,654 ล้านบาท สำหรับใบอนุญาตในช่วงคลื่นที่ 1 ซึ่งทางบริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูล และ 76,298 ล้านบาท สำหรับใบอนุญาตในช่วงคลื่นที่ 2 ที่บริษัท ทรูมูฟเอช ยูนิเวอร์แซล คอมมูนิเคชั่น จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูล หมายความว่า จะไม่มีการเปิดประมูลคลื่นย่านนี้ใหม่ในราคาที่ต่ำกว่าเดิมแน่นอน? นอกจากนี้ ว่ากันว่า ที่แบงก์คิดหนักเรื่องการปล่อยกู้ให้ “แจส” มีความเกี่ยวเนื่องกับการเปิดตัวบริการ 4G ของยักษ์ “เอไอเอส” เมื่อเร็วๆ นี้ เพราะ “เอไอเอส” ไม่เพียงเปิดตัวบริการพร้อมกัน 42 จังหวัดทั่วประเทศได้ภายในเวลาแค่ 2 เดือน นับจากวันที่ได้ใบอนุญาตคลื่น 1800 MHz ซึ่งถือว่ารวดเร็วมาก แต่ยังมาพร้อมแพ็กเกจค่าบริการดาต้าที่ถูกมาก นายปรัธนา ลีลพนัง รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการตลาด บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) ยอมรับว่า แพ็กเกจค่าบริการ 4G ของเอไอเอส ถือว่าถูกที่สุดในตลาด เนื่องจากที่ผ่านมาราคาเฉลี่ยของบริการดาต้าจะอยู่ที่ 150-200 บาท/GB แต่ของเอไอเอสอยู่ที่ 100 บาท/GB เชื่อว่าจะดึงให้ลูกค้าเอไอเอสเดิมที่ใช้บริการ 3G และมีเครื่องที่รองรับ 4G ได้ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4 ล้านราย หันมาใช้แพ็กเกจ 4G ของบริษัท และรวมไปถึงลูกค้าของค่ายคู่แข่งด้วย เพราะแพ็กเกจใหม่ไม่ได้มีแค่ราคาที่ดึงดูดใจลูกค้า ยังตอบสนองการใช้งานได้ครอบคลุมทุกความต้องการ ไม่ว่าจะใช้อินเตอร์เน็ตเยอะ, ใช้งานพร้อมกันหลายเครื่อง หรือใช้ร่วมกันภายในครอบครัวภายในแพ็กเกจเดียว ความพ่ายแพ้ในศึกประมูลคลื่น 900 MHz แม้จะไม่ได้มีผลกับการเปิดบริการ 4G ของ “เอไอเอส” ในขณะนี้ แต่ส่งผลถึงความเชื่อมั่นต่อบริการในมุมของผู้บริโภคด้วยไม่มากก็น้อย นั่นทำให้ “เอไอเอส” ต้องเร่งเกมเปิดบริการ 4G อย่างรวดเร็วเพื่อเรียกความมั่นใจของลูกค้ากลับคืนมา และหนนี้ไม่ใช่แค่เร็วเท่านั้น ยังมาพร้อม “ราคา” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เบอร์หนึ่งเป็นผู้เปิดเกม “ราคา” การเปิดเกมแรงของ “เอไอเอส” จึงสะเทือนไปถึง “แจส” และคู่แข่งรายอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ การประมูลคลื่น 4G (900 MHz) ถือเป็น “ทุกขลาภ” สำหรับทุกค่ายโดยแท้ http://www.matichon.co.th/news/30246
แถมจะว่าไป Jas เอง นี่ก็เครือข่ายสนับสนุนอำแม้วนะ ไม่ใช่อำมาตย์ พิชญ์ โพธารามิก ประสบความสำเร็จอย่างสูง กับธุรกิจบรอดแบนด์ในประเทศไทย 17/07/2556 ห้าปีแล้ว นายพิชญ์ โพธารามิก ซึ่งมีอายุ 35 ปี ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ในการเข้ารับตำแหน่งประธานบริษัทจัสมินอินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งพ่อของเขาได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2525 ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก จากการเพิ่งฟื้นตัวในการถูกฟ้องล้มละลาย หลังจากที่พ่อของเขากู้เงินในช่วงปี 2533 เป็นต้นมา ทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดของบริษัทจัสมิน คือหุ้นจำนวนร้อยละ 30 ของบริษัททีทีแอนด์ที ที่เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานประสบปัญหาล้มละลายด้วยเช่นกัน น้อยคนนักที่คาดหวังให้นายพิชญ์เข้ามาพลิกวิกฤตเหล่านั้น เพราะเขามีเพียงแค่ “ตำแหน่งเล็กๆ” ในบริษัทจัสมินในช่วงที่ธุรกิจดอทคอมกำลังเฟื่องฟู และทำงานอยู่ที่นั่นไม่กี่ปีก่อนที่จะลาออกในปี 2546 นักวิเคราะห์หุ้นคนหนึ่งกล่าวว่า “น่าประหลาดใจ หลายๆ คนคิดว่าเขาเป็นลูกเศรษฐีที่ได้รับมรดกมหาศาลไม่มีใครคิดว่าเขาจะสามารถที่จะล้างหนี้ที่พ่อเขาสร้างไว้ได้” แต่นายพิชญ์ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับคอนเทนต์สำหรับสื่อในรูปแบบใหม่และทำในสิ่งที่ตนเองรัก คือวัฒนธรรมร่วมสมัยและความบันเทิง เขามีความคิดอย่างแรงกล้าในการที่จะเปลี่ยนสิ่งที่เขาเรียกว่า "การทำธุรกิจแบบดั้งเดิม" เขาลงทุนมหาศาลกับการขยายเครือข่ายบรอดแบนด์ของบริษัทจัสมินในต่างจังหวัด ซึ่งการแข่งขันไม่สูงและบริษัทมีรากฐานที่แข็งแกร่งจากความสำเร็จในการดำเนินการและให้บริการติดตั้งสายโทรศัพท์ของบริษัททีทีแอนด์ที เขาทำให้ธุรกิจด้านภาพยนต์ รายการทีวี มิวสิควีดีโอ เกมส์ และคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาหลากหลาย ซึ่งบางส่วนผลิตโดยบริษัทที่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมือง แต่เขาเล็งเห็นว่าลูกค้าในต่างจังหวัดมีความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตที่สูงกว่า ในขณะที่บริษัทอื่นๆไม่ได้เห็นความสำคัญ เขากล่าวว่า “ผมไปประเทศเกาหลี ผมไปที่ SoftBank ผมเห็นบรอดแบนด์ในทุกที่ ทำให้เราเข้าใจว่าบรอดแบนด์คือกุญแจสำคัญสำหรับทุกสิ่ง“ นายพิชญ์ได้หวนกลับมาอีกครั้งในช่วงสื่อมัลติมีเดียในประเทศไทยกำลังได้รับความนิยมอย่างสูง หลังจากการลงทุนจำนวน 265 ล้านเหรียญสหรัฐในธุรกิจเครือข่ายใยแก้วนำแสง ลูกค้าธุรกิจบรอดแบนด์เพิ่มขี้นสามเท่าตัวตั้งแต่ต้นปี 2552 และสร้างผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า โดยในเดือนที่แล้วบริษัท โมโนเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ได้เสนอขายหุ้นร้อยละ 17.5 เพื่อระดมทุนจำนวน 90 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเตรียมการประมูลในการดำเนินการสถานีทีวีดิจิตอล 3 สถานี จาก 24 สถานีทีวีดิจิตอลแห่งแรกของประเทศไทย การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปคิดเป็นร้อยละ 72 หรือเท่ากับ 425 ล้านเหรียญสหรัฐ และรวมกับหุ้นของเขาในบริษัทจัสมินจำนวนร้อยละ 26 ซึ่งกำลังไปได้สวย Forbes Asia ประเมินมูลค่าทรัพย์สินของเขาไว้ที่ 860 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งกำลังเพิ่มขึ้นไปแตะหลักพันล้าน เมื่อสองปีที่แล้วเขาติดอันดับมหาเศรษฐีชาวไทยที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ด้วยมูลค่า 245 ล้านเหรียญสหรัฐ และปีที่แล้วรายได้ของเขาเพิ่มเป็น 295 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะนี้เขามีรายได้เกินครึ่งของยอดที่พ่อของเขาทำไว้ซึ่ง Forbes บันทึกไว้ที่ 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2538 ก่อนที่เงินบาทร่วง และวิกฤตการเงินในเอเชียส่งผลให้บริษัทจัสมินประสบปัญหาล้มละลาย บริษัทจัสมินได้รับประโยชน์จากธุรกิจบรอดแบนด์ในประเทศไทย นายพิชญ์ชี้ให้เห็นว่าประเทศที่กำลังพัฒนาในระดับเดียวกับประเทศไทยอย่างเช่น เม็กซิโกและตุรกีมีอัตราการเข้าถึงบรอดแบนด์สูงกว่า (ดูตาราง) เขาคาดว่าภาคครัวเรือนไทยจะใช้บรอดแบนด์เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าและมีจำนวนมากถึง 10 ล้านครัวเรือนในเวลา 3 ปี เขากล่าว่า “มันเป็นไปได้” ในการให้บริการบรอดแบนด์ จัสมินต้องแข่งขันกับบริษัททรูซึ่งได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเจียรวนนท์ ซึ่งเป็นตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดของประเทศไทย จัสมินมีสมาชิกบรอดแบนด์จำนวน 1.21 ล้านราย ซึ่งกำลังจะแซงบริษัททีโอที และขึ้นเป็นอันดับสองของตลาดและขยับฐานะเข้าใกล้บริษัททรูซึ่งมีสมาชิกจำนวน 1.62 ล้านราย ทรูได้สมาชิกใหม่ในไตรมาสแรกจำนวน 55,000 ราย ในขณะที่จัสมินได้ 75,000 ราย ขณะนี้การแข่งขันเริ่มรุกเข้าไปในฐานลูกค้าของกันและกัน จัสมินเริ่มรุกตลาดของทรูในกรุงเทพโดยการให้ส่วนลดและการทำการตลาดอย่างหนัก โดยให้บริการความเร็วที่สูงกว่า ในขณะที่ทรูเพิ่งเปิดตัวทางเลือกอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ได้รุกตลาดต่างจังหวัด ซึ่งจำนวนครัวเรือนที่เข้าถึงบรอดแบนด์มีเพียงร้อยละ 10 ทรูอ้างว่าได้ให้บริการบรอดแบนด์ครอบคลุมใน 53 จังหวัด จากทั้งหมด 76 จังหวัดทั่วประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 61 จังหวัดในปลายปีนี้ ส่วนจัสมินได้ให้บริการครอบคลุมไปแล้วใน 75 จังหวัด และเนื่องจากบริษัทมีหนี้น้อยกว่าทรู ก็อาจทำให้มีความสามารถในการขยายบริการที่เหนือกว่านักลงทุนของจัสมินกำลังสนุกกับการแข่งขันครั้งนี้เพราะมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในปีที่แล้ว ตามข้อมูลซึ่งรวบรวมโดย Bloomberg นักวิเคราะห์ที่ติดตามผลงานของจัสมินคาดว่ารายได้ของบริษัทจะขึ้นแตะระดับ 385 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ และเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่แล้วร้อยละ 15 กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 51 หรือคิดเป็น 102 ล้านเหรียญสหรัฐ ในส่วนของ บริษัทโมโนเทคโนโลยี คาดว่าจะทำกำไร 23 ล้านเหรียญสหรัฐ จากรายได้ 70 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ ขณะนี้นายอดิศัย ซึ่งคือบิดาของนายพิชญ์ขณะนี้อายุ 73 ปี และเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัด ไม่ได้ถือหุ้นบริษัทและไม่ได้เป็นคณะกรรมการแล้ว แต่ “เขายังให้คำแนะนำกับผมเสมอ” นายพิชญ์ซึ่งมีน้องสาวที่ทำงานอยู่ที่จัสมินกล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมยังต้องเรียนรู้”นายอดิศัย อดีตวิศวกรของทีโอที ผู้มีเครือข่ายกว้างขวางได้ก่อตั้งบริษัทจัสมินโดยการเซ็นสัญญาและสัมปทานกับหน่วยงานภาครัฐ เขากู้ยืมเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐเพื่อขยายบริษัททำธุรกิจโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม การผลิตพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ และลงทุนในประเทศอินโดนิเซีย อินเดีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รายได้ของบริษัทในรูปของเงินบาทที่อ่อนค่าทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ในสกุลดอลลาร์สหรัฐได้ เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ที่ประสบปัญหาล้มละลายในปี 2540 การปรับโครงสร้างของบริษัทจัสมิน เป็นไปอย่างยาวนานและเจ็บปวด บริษัทได้ชำระหนี้งวดสุดท้ายในปี 2551 นายพิชญ์กล่าวว่า “เพราะเรายอมเจ็บปวด เราเลยรอดมาได้ ในขณะที่บริษัททีทีแอนด์ที และทรูใช้วิธียืดเวลาชำระหนี้ ซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับสูง” นายพิชญ์ ขณะนี้อายุ 40 ปี ซึ่งในอดีตเขาต้องจากบ้านไปใช้เวลาศึกษาในประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่พ่อของเขากำลังก่อตั้งบริษัทจัสมินและกำลังจะกลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน เขาเริ่มเรียนที่โรงเรียนประจำเมื่ออายุ 11 ปี และหลังจากนั้นศึกษาต่อทางด้านธุรกิจที่ London School of Economics ทั้งสองคนไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานบริหารในช่วงทศวรรษของการประนอมหนี้และการปรับโครงสร้างบริษัทหลังจากการล้มละลาย นายอดิศัยได้เข้ามาร่วมคณะรัฐบาลและได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการเป็นเวลา 5 ปี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้กับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร จนกระทั่งเกิดรัฐประหารในเดือนกันยายน ปี 2549 ที่เหลืออ่านต่อได้ที่นี่ http://www.mono.co.th/News-(1)/Upda...-Big-On-Broadband-In-Thailand.aspx?lang=th-TH http://www.settrade.com/C04_05_stock_majorshareholder_p1.jsp?txtSymbol=JAS&ssoPageId=14&selectPage=5
ระดับเจ้าสัวซีพี เงินระดับแสนล้านไม่ใช่ปัญหา แต่ JAS เครือข่ายอำแม้วนะ จะเอาตัวรอดได้หรือเปล่า ทรูเตรียมจ่ายค่าประมูล 4จี คลื่น 900 http://mono29.mthai.com/episode/ทรูเตรียมจ่ายค่าประมูล-4
จะมาบอกแค่ว่า "ทรู" เค้าหาแบงค์มาการันตีพร้อมจ่ายค่าประมูลแล้ว แต่ JAS ศิษย์อำแม้ว นี่ยังไม่มีใครออกมาการันตีเลย
"JAS ศิษย์อำแม้ว" จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ โปรดติดตามกันต่อไป นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ( JAS) ซึ่งทำธุรกิจโทรคมนาคมแจ้งตลาดหลักทรัพย์ช่วงบ่ายวันนี้ว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการซื้อหุ้นคืนประมาณ 1,426 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 20% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ที่ราคาหุ้นละ 5 บาท มูลค่ารวม 6 พันล้านบาท ซึ่งจะเป็นการตั้งโต๊ะรับซื้อจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไป โดยจะดำเนินการซื้อคืนภายหลังการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น มติดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นจัสมิน ปรับขึ้นสูงสุดที่ 3.96 บาท หรือกว่า 27% ก่อนย่อตัวเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.92 บาท บวก 0.82 บาทหรือ 26.45%เนื่องจากกาารตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นที่ประมาณ 5 บาทสูงกว่าราคาซื้อขายในตลาดค่อนข้างมาก ขณะที่เวลา 14.27 น.ของวันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ ได้ขึ้นเครื่องหมายพักการซื้อขายชั่วคราว หรือH ในหุ้น และตราสารอนุพันธ์ (DW) ของบริษัทจัสมิน เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับราคาเสนอซื้่อคืนหุ้นซึ่งอาจส่งผล กระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของผู้ลงทุนในหุ้นจัสมิน อย่างไรก็ตาม ตลาดได้ปลดเครื่องหมาย H ออกจากหุ้นและตราสารอนุพันธ์ของจัสมิน เมื่่อเวลาประมาณ 16.00 น.หลังบริษัทแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมว่า ราคาซื้อหุ้นคืนที่ 5 บาท ยังไม่แน่นอน ขึ้นกับมติคณะกรรมการครั้งต่อไป ส่งผลให้ราคาหุ้นจัสมินไหลลงเล็กน้อย ขณะที่ บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ช่วงบ่ายวันเดียวกันว่า การซื้อหุ้นคืนมีข้อจำกัดอยู่ คือหุ้นที่ซื้อมาห้ามขายอย่างน้อย 6 เดือน และช่วงที่ยังไม่สามารถขายได้ห้ามเพิ่มทุน ซึ่งการที่ไม่สามารถเพิ่มทุนได้ จะยิ่งทำให้เกิดคำถามว่าแล้ว จัสมิน จะนำเงินที่ไหนมาจ่ายค่าใบอนุญาตและลงทุนทำ 4G เมื่อตลาดมีความสงสัย ย่อมต้องคิดต่อไปว่า หากอุตสาหกรรมผู้ให้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่กลับไปสู่รูปแบบเดิม คือมีผู้ประกอบการเพียง 3 ราย ทำให้ ราคาหุ้นของผู้ประกอบการ 3 รายเดิม ที่เคยถูกกดดันจากความกังวลต่อการ แข่งขันรุนแรงในอุตสาหกรรม ก็มีโอกาสที่จะวิ่งกลับขึ้นมาที่เดิม ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มสื่อสารที่เป็นผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง แอดวานซ์ อินโฟรเซอร์วิส ทรู คอร์ปอเรชั่น และโทเทิ่ล แอ็คเซ็ท หรือ ดีแทคปรับตัวขึ้นอย่างแรงในช่วงบ่ายของวันนี้ ทั้งนี้ผู้ชนะการประมูลคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิร์ตซ์ เพื่อให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 4 จี มีจำนวน 2 รายคือ บริษัททรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่นบริษัทในกลุ่มทรู ด้วยราคา 7.6 หมื่นล้านบาทและบริษัทแจส โมบาย บรอดแบนด์ บริษัทลูกของจัสมินฯ ด้วยราคา 7.5 หมื่นล้านบาท ทั้ง 2 ราย กำหนดจ่ายค่าใบอนุญาตงวดแรกในวันที่ 21 มีนาคมนี้ โดยทรูได้ดำเนินการเพิ่มทุนใหม่ 6 หมื่นล้านบาท พร้อมกับเซ็นสัญญากับ 6 สถาบันการเงินเพื่อค้ำประกันเงินกู้หรือออกแบงก์การันตีแล้ว ขณะที่จัสมินฯ ยังคงต้องลุ้นอยู่ว่าจะจ่ายงวดแรกได้หรือไม่เนื่องจาก ธนาคารกรุงเทพยังไม่ได้อนุมัติแบงก์การันตี แม้ว่าผู้บริหารจัสมินจะให้สัมภาษณ์หลังชนะการประมูล 4 จีว่ามีธนาคารกรุงเทพสนับสนุนเงินกู้
มันส์กว่าหนังฝรั่งอีก เล่าข้ามๆคือ เขาประมูลคลื่น 900 JAS ดันราคาสัมปทานจนแพงติดอันดับโลก ราคานี้ทุกสำนัก บอกตรงกันว่าแพงเกินไป ไม่น่าคุ้ม (ลงทุนค่าไลเซนบวกค่าวางโครงข่ายเกือบแสนล้าน ในขณะที่ลูกค้าในมือ 0 ราย) เพราะคู่แข่ง ลูกค้าในมือเยอะกว่า ต้นทุนก็เท่ากันหรือถูกกว่า แถมธนาคารไม่ปล่อยกู้ให้ JAS ... ตลาดเลยคาดว่า 21 มีนานี้หาเงินไม่ทันแน่ (ถ้าไม่จ่ายก็จะเป็นผู้ขาดคุณสมบัติได้สัมปทานรัฐ มีปัญหากับธุรกิจ 3BB และทีวีดิจิตอล) สุดท้าย ณ ตอนนี้ ตอนเที่ยงครึ่ง อยู่ๆ JAS ประกาศซื้อหุ้นคืน 5 บาท (จากราคาตลาด 2.9)! คือ..แต่ insider? ครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ข่าวนี้ออก พรุ่งนี้เม่าตายเรียบ
พาลให้คนอื่นเค้าเดือดร้อนไปด้วย “เจี่ยป้าบ่อสื่อ” แท้ๆ สรุปคือถ้าหาเงินไม่ได้ การประมูลที่ผ่านมาก็แค่ความบ้าคลั่งที่ไร้เหตุผลที่สุด
"ทรู ศิษย์ซีพี" เค้ากำเงินไปจ่ายเรียบร้อยแล้วนะ "JAS ศิษย์อำแม้ว" นี่เงียบเชียบเชียว ทีมข่าว TNN24 รายงานสดจากสำนักงาน กสทช. กรณีทรูชำระค่าใบอนุญาตคลื่น 900 MHz พร้อมวางแบงก์การันตี ผู้บริหารทรูนำเงินกว่า7.9พันลบ.จ่ายค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่900MHz งวดแรกให้กสทช.
ลุ้นกันวันนี้นะครับ วันสุดท้ายที่ต้องจ่าย ดูซิว่า JAS จะใจถึงอย่างที่เค้าวิเคราะห์ตอนประมูล หรือจริงๆแล้วเสียสติ
ภัทราพร ตั๊นงาม ไม่มาจ่าย..! เริ่มสด #Facebooklive กสทช.แถลง ปมร้อน "แจส" 4G ผู้แถลง : กรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. สถานที่ : สำนักงาน กสทช.
มีแววคลื่น 900 อาจถูกดองยาว เปิดประมูลใหม่ก็ต้องตั้งราคาเท่ากับแจ๊สที่ประมูลไป ถ้าไม่มีใครสนก้เลื่อนไปอีกปี ปัญหาเกิดเลยว่าจะตั้งราคาเริ่มเท่าไหร่ที่จะเป็นธรรม แถมคลื่นของดีแตกก็จะหมดลงอีก
ดีแทค เค้าหนีไปเช่าคลื่น 850 ของแคทแล้วครับ win-win ทั้ง 2 ฝ่าย ดีแทคได้คลื่นทำต่อ แคทได้เงินแบบเสือนอนกินต่อไป http://www.nationtv.tv/main/content/economy-business/378482075/ *********************************************** นายกฯ สั่งเอาผิด "แจส" ไม่จ่ายเงินประมูลคลื่น 900MHz ทางด้าน กทค. ประชุมสรุปแนวทางดำเนินการวันนี้
Update ข่าว 4G ครับ หัวหน้าคสช.ใช้ม.44สั่งประมูลคลื่น900MHz 27พ.ค.นี้-คุ้มครองผู้ใช้บริการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซิมดับ วันนี้ (12เม.ย.59) ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2559 เรื่อง การประมูลคลื่นความถี่เพื่อกิจการโทรคมนาคม จากกรณีที่ได้มีการจัดการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 900 MHz ตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สําหรับกิจการโทรคมนาคม ย่าน 895-915 MHz/940-960 MHz ลงวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมา ได้ปรากฏข้อเท็จจริงที่ผู้ชนะการประมูลไม่ดําเนินการตามข้อกําหนด ในการอนุญาตให้ถูกต้องครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กําหนด ส่งผลกระทบเสียหายต่อรัฐและการให้บริการ โทรคมนาคมในช่วงคลื่นความถี่ดังกล่าวแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการเยียวยาและป้องกันความเสียหาย รวมทั้งเพื่อให้การประมูลคลื่นความถี่เพื่อกิจการโทรคมนาคมดังกล่าวที่ต้องดําเนินการขึ้นใหม่เป็นไปด้วยความโปร่งใส รวดเร็ว เป็นธรรม คุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนและรัฐเป็นหลัก ตลอดจนเพื่อเป็นการให้ประชาชนเข้าถึงบริการด้านโทรคมนาคมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันมีการใช้ประโยชน์คลื่นความถี่อันเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ และเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งปฏิรูปและพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้ หลังจากแจส โมบาย บรอดแบนด์ ผู้ชนะประมูลคลื่นความถี่ 900 ไม่มาจ่ายเงินค่าประมูลประมาณ 75,000 ล้านบาท และเอไอเอส ขอเป็นผู้จ่ายเงินแทน เพื่อใช้คลื่นดังกล่าว ทำให้กสทช.ต้องหาทางออก โดยเสนอให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติใช้อำนาจ ตามมาตรา 44 พิจารณาหาทางออก หลังจากกสทช.หารือกับฝ่ายกฎหมายของคสช.โดยรองนายกรัฐมนตรี วิษณุ เครืองาม แล้ว 2 ครั้ง // ในวันนี้เมื่อเวลาประมาณ 16.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา มีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2559 ระบุว่าเพื่อเป็นการเยียวยาและป้องกันความเสียหาย และเพื่อให้การประมูลคลื่นใหม่เป็นไปด้วยความโปร่งใส รวดเร็ว เป็นธรรม คุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนและรัฐเป็นหลัก จึงใช้อำนาจตามมาตรา 44 ดำเนินการดังนี้ -ให้กสทช.จัดประมูล วันที่ 27 พฤษภาคมนี้ ให้กําหนดราคาประมูลในรอบแรก 75,654 ล้านบาท // ต้องวางหลักประกันการประมูลเป็นจํานวน 3,783ล้านบาท -ให้ใบอนุญาตคลื่น 900 ก่อนหน้านี้ ซึ่งหมายถึงคลื่นที่ทรูได้รับไปก่อนหน้านี้ ใบอนุญาตสิ้นสุดลงกับการประมูลใหม่ครั้งนี้ -ให้ กสทช. คุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราว ซึ่งก็คือซิมของผู้ใช้บริการคลื่น 900 ของเอไอเอสเดิม จากเดิมสิ้นสุด 14 เม.ย.นี้ ไปเป็น 30 มิถุนายน 2559 หรือจนกว่า กสทช. จะได้ออกใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ให้แก่ผู้ชนะการประมูลใหม่ -ตามคำสั่งนี้ไม่ตัดสิทธิหน่วยงานรัฐในการเรียกร้องค่าเสียหาย หรือค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการประมูล