เรียกร้องโน่น นี่ นั่น ขอความกรุณาไปไกลๆตีนเลยนะ เจ๊เองก็ไม่ต่างจากนักการเมืองเผาไทยเท่าไหร่หรอก ขอร้อง ถ้าเยอะอย่างนี้ ขนคนของเจ๊กลับไปเถอะ เอาไปกองเป็นคนว่างงานในประเทศของเจ๊นะ สักพัก เจ๊จะรู้สึก ว่าแต่ว่าคนอย่างเจ๊มีปัญญาพัฒนาประเทศ หรือเปล่า คนในรัฐฉาน รัฐคะยา รัฐกอทูเล รัฐมอญ เขานินทาเจ๊ว่า กึ๋นไม่ต่างจากนังโง่ ไอ้รางวัลโนเบลที่ได้ เพราะเจ๊ยอมเป็นหุ่นเชิดให้อีแร้งเมกา ใครเป็นติ่งอีซูจี โปรดแสดงตัวด้วย มาถกกันหน่อย ว่าไงไอ้มือดี คนกลาง อภิรัตน์ นายพลตัดแปะ มาดิ้นแทนอีซูจีได้นะ อย่าช้า รออยู่
ก็เกมการเมืองนั่นแหละ ทำเอาใจชาวพม่าในไทย รู้อยู่แล้วว่าไทยไม่ยอมง่าย ๆ แล้วก็สารมารถสร้างภาพได้อีกว่า รบ. ไทยเอาเปรียบกดขี่แรงงานพม่าถ้าจะทำ ประมาณสร้างผู้ร้ายให้ตนเองเป็นแม่พระอะไรแบบนั้น
มันทำไมไม่เอาคนของมันกลับไปเลี้ยงดูเองถ้าเมืองไทยอยู่ลำบาก ดีแต่เรียกร้องให้คนอื่นทำให้กลับไปดูสนธิสัญญาปางโหลงดีกว่าไม๊พอได้ดีแล้วทำลืม ดีแต่สร้างภาพไปวันๆ
ที่ทำงานอยู่ในเมืองไทย ที่ถือบัตรสีชมพูว่าเป็นพม่า ลองไปถามเจ้าตัวดูได้เลย ส่วนใหญ่จะบอกว่าตนเอง เป็นกระเหรี่ยง เป็นคะฉิ่น เป็นไทยใหญ่ เป็นมอญไปโน่น ซึ่งเป็นชนเผ่าอื่นราว 90 % บางรายถามว่าเป็นพม่าหรือเปล่า พวกพาลชกปากเรา บางคนถึงกับพูดว่า ถ้ารักกันจริง อย่าคิดว่าพวกเขาเป็นพม่า ซูจีมันเคยรู้เรื่องบ้างไหมและ ฝากถึงนักวิชาการสาขามโนศาสตร์บางตัวที่เชิดชูอีซูจี พวกชนเผ่าที่อยู่ในไทย ยังไงๆก็ไม่กลับ ตราบใดที่พวกเขา ยังไม่ได้เอกราชจากพม่า ประชาธิไตยบ้านพ่องนะสิ
ดูเหมือนคนในพม่าฝั่งตะวันออกไม่ชอบพม่าในฝั่งตะวันตกด้วยซํ้าเพราะพม่าฝั่งตะวันออกส่วนมากมาอิงกับฝ่ายไทยมากกว่ารัฐบาลกลางของพม่าเองอาจจะเพราะด้วยความผูกพันหรือวัฒนะธรรมที่มีรากเหง้าคล้ายกัน ครึ่งหนึ่งของคนที่เลือกซูจีมาจากสัญญาที่ไปให้กับเขาไว้เขาเลยเลือกเพราะหวังว่าจะได้เป็นรัฐอิสระ พูดง่ายๆประช่าธิปไตยที่นางได้มาก็ไปหลอกเขามาอีกทีเหมือนนางปูเปี๊ยบ
ความจริงผมเห็นด้วยเกือบทุกข้อนะยกเว้นเรื่องหนังสือเดินทาง ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมถึงจะมีสิทธิมาทำหนังสือเดินทางไทยได้ แต่ที่ไม่เห็นด้วยคือวิธีการ
ผมมองว่ามากไป ถ้าจะให้เป็นธรรมทั้งสองชาติต้องทำข้อตกลงที่เท่าเทียม หรือ ใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ว่าจะต้องเหมือนกันในทุกข้อ แต่ต้องได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย นี่เราเป็นหนี้พม่ารึเปล่าเรียกร้องซะเยอะเชียว แล้วถามว่าคนไทยในพม่าจะได้รับการดูแลอย่างดีเช่นเดียวกับที่เรียกร้องให้คนพม่าในไทยรึเปล่าจ๊ะ
เอาจริงๆ แล้ว เรื่องนี้ไม่ควรเป็นประเด็นดราม่าระหว่างประเทศด้วยซ้ำ หากมองประเด็นให้รอบด้านแล้วจะพบว่าเรื่องนี้เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างประเทศธรรมดาๆ เท่านั้นเอง เราลองมาวิเคราะห์ดูประเด็นเรื่องนี้กันในมุมมองของทั้ง 2 ประเทศกันดู ในมุมของพม่า "ซูจี" แม้ว่าเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพมาก่อน แต่เราต้องไม่ลืมว่าปัจจุบันหัวโขนของนางคือนักการเมือง (นักการเมืองในนิยามของผม คือ ผู้แสวงหาอำนาจหรือพยายามรักษาอำนาจที่ตัวเองมีอยู่) การคงอยู่ของนักการเมืองคือความนิยมของประชาชน ดังนั้นการเพิ่มความนิยมของประชาชนต่อตนเองก็หมายถึงความมั่นคงของนักการเมืองผู้นั้น ก่อนหน้านี้บทบาทที่เราคุ้นเคยของนางคือการเรียกร้องประชาธิปไตย แต่บทบาทปัจจุบันคือผู้บริหารประเทศ ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนของนาง การเรียกร้องข้อเสนอทั้ง 12 ข้อนั้นก็ถือว่าเป็นการกระทำที่เหมาะสมตามหน้าที่ปัจจุบันของนางแล้วเช่นกัน กรุณาอย่าลืมว่านางคือผู้บริหารประเทศพม่า ไม่ใช่ประเทศไทย ดังนั้นสำหรับนาง ผลประโยชน์ของประเทศพม่าสำคัญที่สุด ข้อต่อมา สิ่งน่าสนใจที่สุดในการยื่นข้อเสนอทั้ง 12 ข้อนี้ คือ "ความประจวบเหมาะของเวลา" ต่างหาก ก่อนหน้านี้เมื่อตอนหาเสียงก่อนการเลือกตั้ง นางเคยเดินทางมาที่ จ.สมุทรสาคร เพื่อหาเสียงกับแรงงานเหล่านี้ ครั้งนั้น นางได้ให้สัญญากับแรงงานพม่าว่าจะนำแรงงานทั้งหลายกลับไปทำงานที่บ้านเกิด ณ ตอนนี้ นางได้รับเลือกให้เป็นผู้บริหารประเทศแล้ว คำสัญญาที่เคยให้ไว้อีกไม่นานก็คงมีคนทวงถามเป็นแน่ แต่สภาพในประเทศพม่าปัจจุบัน ตำแหน่งงานทั้งหมดคงไม่เพียงพอกับจำนวนแรงงานทั้งหลายแน่นอน ดังนั้นกระบวนการ "ซื้อเวลา" จึงเกิดขึ้น ข้อเสนอเหล่านั้นคือกระบวนการ "ซื้อเวลา" นั้นเอง เมื่อสร้างตำแหน่งงานให้ทันไม่ได้ ทำอย่างไรให้แรงงานที่อยู่นอกประเทศได้รับความสะดวกสบายได้ ก็พอจะซื้อเวลาได้ระดับหนึ่ง ส่วนเหตุการณ์ในประเทศไทย 2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบปัญหาทั้งเรื่องการค้ามนุษย์ใน Tier 3 จากสหรัฐ และการใช้แรงงานผิดกฏหมาย IUU จากอียู ซึ่งทั้ง 2 ปัญหานี้ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ ดังนั้นการยื่นข้อเสนอทั้ง 12 ข้อเข้ามาจึงเป็นการจี้จุดอ่อนด้านแรงงานและการค้ามนุษย์ของประเทศไทยเข้าอย่างจังเลยทีเดียว จากเรื่องนี้ มันบ่งบอกถึงอะไร ??? มันแสดงถึงศักยภาพของมันสมองที่รายล้อมนางอยู่ขณะนี้ ว่าคนที่อยู่รอบกายนางตอนนี้ไม่ใช่ระดับธรรมดาเลยทีเดียว สามารถใช้จุดอ่อนของประเทศข้างเคียงหาประโยชน์มาสู่ประชาชนของประเทศตัวเอง และส่งผลเพิ่มความนิยมฐานเสียงตัวเองได้อีก หากสังเกตแต้มต่อในการต่อรองครั้งนี้จะพบว่า พม่าไม่ได้มีแต้มต่ออะไรในมือเลย แค่ใช้ชื่อเสียงของซูจีและจุดอ่อนของประเทศไทย ก็สามารถต่อรองกับประเทศไทยได้แล้ว น่าจับตาดูเลยทีเดียวสำหรับผู้บริหารประเทศพม่าในยุคนี้ ไม่ใช่หุ่นเชิดกากๆ ของมหาอำนาจเลย ต่อมาในมุมของไทย ฝ่ายผู้บริหารประเทศไทยก็ไม่ใช่ว่าจะยอมตามที่พม่าขอเลย หากเราไปดูข่าวของกระทรวงแรงงานจะพบว่า ได้มีการปฏิเสธข้อเสนอของพม่าแบบในทีอยู่แล้ว โดยบอกว่าสิ่งที่ไทยทำอยู่นั้นเพียงพอแล้ว และจะรับเรื่องไว้พิจารณา แต่ไม่สัญญาว่าจะทำตาม นอกจากนี้ ไทยยังส่งข้อเรียกร้องกลับไปยังพม่าเรื่องโครงการทวายอีกด้วย สรุป 2 ฝ่าย ก็ดูเหมือนจะทันเล่ห์เหลี่ยมกันดี การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างประเทศก็คงต้องดูกันต่อไป **************************************************** ข่าว 7 สี - กระทรวงแรงงาน ยันไทยดูแลแรงงานเมียนมาในทุกเรื่องตามมาตรฐานสากล พร้อมรับ 5 ข้อเรียกร้องไปพิจารณา หลังจากผู้นำแรงงานเมียนมาได้ยื่น 5 ข้อเรียกร้องต่อ นางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ให้ช่วยเจรจาและร่วมกับรัฐบาลไทยดูแลแรงงานเมียนมานั้น หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ยืนยันว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไทยดูแล แรงงานเมียนมาตามมาตรฐานสากลอยู่แล้ว โดยเฉพาะค่าจ้างแรงงาน 300 บาท ซึ่งได้รับเท่าเทียมกับแรงงานไทย และที่ผ่านมาได้เข้มงวดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างตามกฎหมาย หากได้รับค่าจ้างต่ำกว่า 300 บาทให้รีบแจ้งมายัง สายด่วน 1546 ส่วนเรื่องสิทธิการถือบัตรสีชมพูที่ต้องการเดินทางข้ามจังหวัด ยังต้องรอให้ทางการเมียนมาเร่งพิสูจน์สัญชาติและออกหนังสือเดินทางให้ก่อน แต่ทางการไทยก็พร้อมผ่อนผันให้ เช่น ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา และการดูแลสวัสดิการบุตรหลานของแรงงานได้ทำตามมาตรฐาน เช่นเดียวกับการปราบปรามขบวนการนายหน้าหลอกลวงแรงงานเมียนมา ตอนนี้ได้เพิ่มกฎหมายและบทลงโทษรอการบังคับใช้แล้วคาดว่าจะมีผลภายในปีนี้ ด้านองค์กรนายจ้างต่างๆ ขอให้รัฐบาลไทยและเมียนมาเร่งพิสูจน์สัญชาติและออกหนังสือเดินทางให้แรงงานเมียนมา ได้เข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมาย จากปัจจุบันที่มีแรงงานผิดกฎหมายอยู่กว่า 1 ล้านคน ********************************************************* ประเด็นด้านความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ถือเป็นเรื่องสำคัญ ของการพบปะหารือกันระหว่างนางอองซาน ซูจี กับนายกรัฐมนตรี ในเย็นวันนี้ โดยประเด็นหนึ่งที่ฝ่ายไทยจะหยิบมาหารือ คือ การเร่งรัดโครงการท่าเรือน้ำลึก และเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ที่ยืดเยื้อมากว่า 8 ปี เนื่องจากต้องรอการสานต่อจากรัฐบาลชุดใหม่ของเมียนมา ตามแผนงานระยะเริ่มต้น จะมีการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมทวายในพื้นที่ 17 ตารางกิโลเมตร และ เชื่อมต่อถนน 2 ช่องจราจร จากทวายไปยังด่านข้ามแดนพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี แต่ขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะติดปัญหาเรื่องการออกแบบที่ต้องลดความลาดชันเพื่อความปลอดภัย รวมถึงปัญหาเงินทุนที่ไทยอนุมัติวงเงินกู้ไปแล้ว 4,500 ล้านบาท และ กำลังเสนอให้ญี่ปุ่นอนุมัติเพิ่มเติม ซึ่งไทยจะเสนอให้เมียนมาปรับโครงสร้างคณะกรรมาธิการระดับสูงระหว่าง 2 ประเทศ เนื่องจากตั้งแต่มีรัฐบาลใหม่ยังไม่มีการตั้งผู้แทนเมียนมามาเจรจากับคณะกรรมาธิการร่วมกับไทย โดยทั้ง 2 ประเทศ ยังต้องอนุมัติแบบรายละเอียดการก่อสร้าง และ พิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมก่อนให้เอกชนเข้าพื้นที่พัฒนาโครงการท่าเรือได้ โดยช่วงเดียวกันนี้ ต้องปรับแบบการก่อสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นระยะที่ 2 ที่ต้องปรับลดพื้นที่ท่าเรือจาก 200 เป็น 197 ตารางกิโลเมตร ตามคำแนะนำของฝ่ายญี่ปุ่นด้วย
ในประเทศ เริ่มมีปัญหา คือ เรื่อง เศรษฐกิจ ถูกสื่อมวลชน ถามเรื่อง นโยบายเศรษฐกิจ ก็ไม่มีคำตอบอะไรที่ชัดเจน ผมว่า ไม่เกินปี ช่วงเวลา ฮันนีมูน จะหมดไป ความคาดหวังที่สูง จะหันกลับมาทำลายความนิยม ปัญหาในพม่าแก้ไขยากมาก เพราะ หมักหม่มมานาน
ความจริงแล้วเรื่องการเรียกร้องสิทธิประโยชน์ของแรงงานข้ามชาตินี่ ก็เรียกร้องกันทุกประเทศนั่นแหละ ไทยเองก็เรียกร้องกับประเทศที่มีแรงงานไทยไปทำงานเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เรียกร้องตามกฎหมายของประเทศนั้น ๆ ที่เขากำหนดไว้เท่านั้น ข้อเรียกร้องของ ซูจี ถ้าดูให้ดีมันก็เป็นไปตามที่กฎหมายของเรากำหนดไว้ ไม่มีอะไรที่เกินกฎหมายเลย มันอยู่ที่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่ว่า ทุกวันนี้เราเองมีการละเมิดกฎหมายแรงงานกันเยอะไม่ว่าจะเป็นการละเมิดกับแรงงานไทยเอง หรือการละเมิดกับแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงาน โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงาน เขาถูกเอารัดเอาเปรียบค่าจ้าง เรื่องสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ถูกหลอกลวง จนยุโรปและอเมริกามาตั้งเงื่อนไขทางการค้ากับเรา เพราะมองว่าประเทศเรามีการค้ามนุษย์หรือไม่ ข้อเรียกร้องของ ซูจี มันก็ไม่ต่างกับเรื่องที่ พล อ ประยุทธ พูดทางทีวีนั่นแหละว่าเราจะต้องปรับปรุงพัฒนาเรื่องสิทธิของแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ให้สากลเขายอมรับ ที่สำคัญก็คือ มันเป็นกฎหมายของเราเองแต่เราไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เราออกมาใช้ แล้วจะไปอ้างกับประเทศต่าง ๆ เขาได้อย่างไร ประเทศพม่าก่อนหน้าที่ ซูจี จะเข้ามา รัฐบาลก็มีปัญหาอยู่กับชนกลุ่มน้อยเผ่าต่าง ๆ มากมาย ทำให้การรับรองตัวบุคคลที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย มันค่อนข้างมีปัญหา เพราะชนกลุ่มน้อยที่เข้ามาทำงานจะไม่มีบัตรอะไรเลย ใครเข้ามาทำงานเราจึงกลายเป็นผู้ออกบัตรประจำตัวให้เพื่อเป็นหลักฐานว่านายคนนี้ชื่อนี้มีภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน เพื่อจะได้เอาไปใช้ประกอบการขออนุญาตทำงาน เพราะฉะนั้นเขาเข้ามาบอกว่าชื่ออะไร อยู่ที่ไหน เราก็จดไปไม่รู้จริงหรือเท็จแต่มันก็ดีกว่าไม่มีอะไรเป็นหลักฐานเลย แต่เมื่อ ซูจี เข้ามาร่วมอยู่ในรัฐบาล การเจรจาของรัฐบาลพม่ากับชนกลุ่มน้อยมันมีแนวโน้มดีขึ้น การรับรองตัวบุคคลจากรัฐบาลพม่าก็น่าจะทำได้ ซึ่งคงเป็นที่มาของเรื่องพาสปอร์ต ที่ซูจีพูดนั่นแหละ คงหมายถึงว่า ต่อไปนี้แรงงานพม่าที่เข้าทำงานจะใช้พาสปอร์ตที่ทางการพม่าออกให้ ไม่ต้องมาใช้บัตรสีต่าง ๆ ของไทยแล้ว เรื่องแรงงานข้ามชาตินี่ เราต้องแยกออกจาก แรงงานอพยพ นะ เพราะแรงงานข้ามชาติเขาก็มีส่วนมาช่วยประเทศเราเหมือนกัน ธุรกิจในประเทศเราที่ดำเนินการอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะอาศัยแรงงานข้ามชาติเหล่านี้เป็นแสน ๆ คน เมื่อเขามาทำงานให้เรา เขาก็ควรได้รับค่าจ้างและสวัสดิการตามกฎหมายที่เรากำหนดไว้ เพราะไม่งั้นมันก็เหมือนเราออกกฎหมายมาไว้หลอกตัวเองเฉย ๆ นั่นแหละ
นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนางอองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมา ก่อนร่วมลงนามเอ็มโอยู 3 ฉบับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนางอองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ได้พบปะหารือข้อราชการ และเป็นสักขีพยานในการลงนาม ในเอกสาร 3 ฉบับ คือบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมา และบันทึกความตกลงว่าด้วยการข้ามแดน โดยสาระสำคัญคือการจัดทำซีไอ หรือหนังสือแสดงตัวบุคคล เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสัญชาติ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในเดือนกรกฎาคม ถึงสิงหาคมนี้ การจัดส่งแรงงานในกิจการประมงทะเลแบบรัฐต่อรัฐ รวมถึงการจัดตั้งศูนย์แลกรับและส่งกลับบริเวณชายแดน เพื่อทำความเข้าใจในสิทธิประโยชน์ในการกลับประเทศต้นทางและสัญญาจ้าง นอกจากนี้ไทยจะจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือแรงงานที่เข้ามาทำงาน ที่กระทรวงแรงงานจะเข้ามาเป็นเจ้าภาพ ในการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าว และแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านแรงงานระหว่างสองประเทศ นอกจากนี้ ไทยจะให้การช่วยเหลือเพื่อพัฒนาเมียนมา ในโครงการพัฒนาระยะ 3 ปีระหว่างปี 2559-2561 มูลค่ารวม 150 ล้านบาท เน้นให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษา สาธารณสุขและการเกษตร นอกจากนี้ไทยยังยินดีต่อกระบวนการปรองดองแห่งชาติในเมียนมา ซึ่งรัฐบาลทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือ ในการเตรียมส่งผู้หนีภัยจากการสู้รบกับเมียนมา โดยระหว่างนี้ฝ่ายไทยได้ขอให้ทั้งสองประเทศจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาหารือกันด้วย ด้านนางซูจี บอกว่า 2 ประเทศมีเขตแดนร่วมกัน จึงต้องเผชิญหน้ากับปัญหาและความท้าทายเหมือนกัน โดยหวังว่าจะมีการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างทั้งสองประเทศ เพื่อเดินหน้าร่วมกันต่อไปได้ ส่วนภารกิจเมื่อช่วงเช้า นางอองซาน ซูจี ได้ร่วมปาฐกถากับนักศึกษา ในหัวข้อ "การก้าวไปข้างหน้าของ เมียนมาอาเซียน และสังคมโลก" ซึ่งรู้สึกประทับใจที่เยาวชน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเชื่อมโยง หากเยาวชนเชื่อมั่นว่าอนาคตจะดีขึ้นแล้ว ก็เชื่อว่าจะมีโลกที่ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง และปัญหาต่างๆนั้น ไม่สามารถแก้ไขและหายไปด้วยตัวเองได้ แต่ต้องมีการหยิบยกมาพูดถึง เพื่อร่วมกันหาทางออก ซึ่งเมื่อช่วงหัวค่ำนายกรัฐมนตรี ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ เพื่อเป็นเกียรติในฐานะแขกของรัฐบาล ซึ่งนางซูจี จะเดินทางกลับเมียนมา ในวันพรุ่งนี้เวลา 17.50 น.
ในการมาครั้งนี้ อองซานได้แถลงในบางประโยคที่ว่า"ทางพม่ามีความกังวลใจ กับเรื่องที่ไทยให้การสนับสนุนชนเผ่ากระเหรี่ยง ไทยใหญ่ และมอญในการ ต่อต้านรัฐบาลพม่า" มันสมควรไหมละครับกับมารยาททางการทูตที่อาคันตุกะ ผู้มาเยือนพูดกับเจ้าบ้านอย่างนั้น ขนาดฮุนเซนยังไม่เคยพูดถึงกรณีสม รังสี ลี้ภัยมาอยู่ในไทยหรือเจ้านโรดมรณฤทธิ์ลี้ภัยไปอยู่มาเลเซียเลยสักแอะ ขอให้ คิดกันเอาแล้ว ว่านังซูจีสมควรโดนต่อต้านหรือไม่
ไม่ไว้หน้าพวกเผด็จการสอพลอในไทยเลยทีเดียว ท่านเลอคู อยากจะฮ๊ากก กะเอาแม่ซูมาขายสร้างภาพ อีกอย่างแรงงานพม่า เขาเสียภาษีให้ไทย 3% ปีนึงไม่ใช่น้อยๆ จะแกว่งปากด่าอะไรก็ยั้งๆบ้าง มิงกาลาบาน
เปิดความตกลงด้านแรงงาน 2 ฉบับ “ไทย-พม่า” บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน และบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน มีผลบังคับใช้มีระยะเวลา 5 ปี และ 2 ปี ตามลำดับ มีรายงานว่า ภายหลังการหารือระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับนางอองซานซูจี ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน จะร่วมเป็นสักขีพยานพิธีลงนามความตกลงด้านแรงงาน 2 ฉบับ ระหว่าง พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายเต็ง ส่วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรวจคนเข้าเมืองและประชากรของพม่า http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9590000063291 เท่าที่ดู ไอ้ 5 ข้อที่ดราม่ากันวัน 2 วันนี้ ไม่เห็นพูดถึง แมร่งถือโอกาสหาเสียง เป็นนางเอก ผลักลุงตู่ให้เป็นตัวร้ายซะได้
ในอดีตแรงงานพม่า อยากไปทำงาน สิงคโปร์ และ มาเลเซีย แต่ปัจจุบัน อยากมาไทย เพราะ ค่าแรง และ ค่าครองชีพ ในไทย คือ ทำแล้ว ยังมีเงินเหลือ ส่งไปให้ครอบครัวใช้ บางคน พอตั้งตัวได้ ก็เอาครอบครัวเข้ามาทำงานในไทย เลย
ใครเป็นติ่งอีซูจี โปรดแสดงตัวด้วย มาถกกันหน่อย ว่าไงไอ้มือดี มาดิ้นแทนอีซูจีได้นะ อย่าช้า รออยู่ ...... การเรียกร้องสิทธิประโยชน์ของแรงงานข้ามชาติ ก็เรียกร้องกันทุกประเทศ ไทยเองก็เรียกร้องกับประเทศที่มีแรงงานไทยไปทำงานเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เรียกร้องตามกฎหมายของประเทศนั้น ๆ ที่เขากำหนดไว้เท่านั้น ...ข้อเรียกร้องของ ซูจี ก็เป็นไปตามที่กฎหมายของไทยกำหนดไว้ ไม่มีอะไรที่เกินกฎหมายเลย ไม่ได้เรียกร้องค่าแรงวันละ 3,000นี่หว่า่ มันอยู่ที่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่ ว่าทุกวันนี้เราเองมีการละเมิดกฎหมายแรงงานกันเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดกับแรงงานไทยเอง หรือการละเมิดกับแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงาน โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงาน เขาถูกเอารัดเอาเปรียบค่าจ้าง เรื่องสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ถูกหลอกลวง จนยุโรปและอเมริกามาตั้งเงื่อนไขทางการค้ากับเรา เพราะมองว่าประเทศเรามีการค้ามนุษย์หรือไม่ ข้อเรียกร้องของ ซูจี มันก็ไม่ต่างกับเรื่องที่ พล อ ประยุทธ พูดทางทีวีนั่นแหละว่าเราจะต้องปรับปรุงพัฒนาเรื่องสิทธิของแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ให้สากลเขายอมรับ ที่สำคัญก็คือ มันเป็นกฎหมายของเราเองแต่เราไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เราออกมาใช้ แล้วจะไปอ้างกับประเทศต่าง ๆ เขาได้อย่างไร? ...... ที่ซูจี เรียกร้องก็เป็นไปตามที่กฎหมายของไทยกำหนดไว้ ถ้าไม่ทำตามที่เรียกร้องมา แล้วจะไปอ้างกับประเทศต่าง ๆ ได้อย่างไร ว่าไงไอ้กระต่ายในกะลา?
พม่ากำหนดค่าแรงขั้นต่ำประมาณ 100.44 บาท มีแรงงานไทยไปทำที่โน้น เมิงจะให้รัฐบาลไทยไปเรียกร้องให้ได้เท่าเค้าไหม สิงคโปร์กำหนดค่าแรงขั้นต่ำประมาณ 2000 บาท มีแรงงานไทยไปทำที่โน้น เมิงจะให้รัฐบาลไทยไปเรียกร้องให้ได้เท่าเค้าไหม บรูไนฯกำหนดค่าแรงขั้นต่ำประมาณ 1800 บาท มีแรงงานไทยไปทำที่โน้น เมิงจะให้รัฐบาลไทยไปเรียกร้องให้ได้เท่าเค้าไหม ซูจี เค้าก็เรียกร้อง ก็เรียกร้องตามกฏหมายไทยกำหนด ที่ค่าแรงขั้นต่ำประมาณ 300 บาท ถ้าเมิงไม่ยอมทำตามกฏหมายของตัวเอง เวลาจะไปเรียกร้องให้เเรงงานใน สิงคโปร์ บรูไนฯ ให้ได้รับค่าแรงขั้นต่ำตามประเทศสิงคโปร์ บรูไนฯ กำหนด เมิงจะหน้าด้านไปอ้างกับเค้ายังไง
แหมqq เพิ่งเข้ามาอ่านกระทู้นี้ เลยไม่เห็นว่า จขกท. ได้เชื้อเชิญเราไว้ ทำเป็นสู่รู้จำขี้ปากใครมาก็ไม่รู้ "ได้รางวัลโนเบลเพราะซูจีเป็นหุ่นเชิดเมกา" มันจะรู้ดีมาจากไหน มามะ อันปัญญามีเท่าหางอึ่งเนี้ย มาถกกัน
ที่ทราบมาเป็นข้อเสนอของ NGO ให้นางเป็นคนเสนอ แต่สื่อกับพวกโซเชี่ยล เอามาโพสกลายเป็นข้อเสนอของนาง ลองตามเรื่องให้ดีๆ
กทม. 25 มิ.ย. – การเยือนไทยของนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมาร์ ในมุมมองนักวิชาการ มองว่า นัยสำคัญคือความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจตามแนวชายแดนที่มีมายาวนาน แต่ประเด็นการแก้ไขปัญหาแรงงานข้ามชาติ เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง ไม่ถูกกดขี่จ้างนายจ้าง จะทำให้ไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติ โดยเฉพาะอียูและสหรัฐ ส่วนข้อเรียกร้องค่าแรง 300 บาท จะทำให้แรงงานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ค่าแรง 300 บาท เทียบเท่าค่าแรงขั้นต่ำของไทย คือ 1 ใน 5 ข้อเรียกร้องของแรงงานพม่า ต่อนาง อองซาน ซูจี เป็นกระแสที่ถูกวิจารณ์อย่างมาก อ.ปองขวัญ สวัสดิ์ภักดี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่แรงงานข้ามชาติควรได้ตามสิทธิของลูกจ้างแรง งานต่างด้าว ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน กรณีเช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับแรงงานพม่าที่สิงคโปร์มาแล้ว ถึงขั้นเรียกร้องคุณภาพชีวิตและที่อยู่อาศัยที่ดี ดังนั้นจึงไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่มากเกินไป เพราะเป็นประเภทงานหนักและเสี่ยงอันตรายที่คนไทยไม่ทำ จึงน่าตกใจที่มีความเข้าใจที่ผิดว่าคนไทยเสียผลประโยชน์ แรงงานพม่าจะแย่งงานคนไทย แต่ที่น่ากังวลคือ หากพม่าเปิดประเทศ เศรษฐกิจดีขึ้น ไทยจะขาดแรงงานประเภทนี้ สำหรับข้อเรียกร้องอื่นๆ ทั้งการขอขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติกำจัดขบวนการนำเข้าแรงงานอย่างไม่เป็น ธรรม แรงงานที่มีบัตรสีชมพูมีอิสระในการเดินทางได้ทุกแห่งในไทย และให้สิทธิขั้นพื้นฐานในเรื่องการศึกษาและบริการสาธารณสุขกับลูกหลานแรงงาน ข้ามชาติ ยังต้องเจรจาเพื่อหาจุดที่เป็นตรงกลางให้ได้ การเยือนไทยของอองซาน ซูจี ครั้งนี้เปรียบดังความหวังของแรงงานพม่า ที่จะช่วยพลักดันข้อเรียกร้องเหล่านี้ต่อรัฐบาลไทย เพื่อให้พวกเขาเข้าถึงสิทธิการทำงานที่พึงได้รับและเข้าสู่ระบบแรงงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันมีแรงงานพม่าเกือบ 2 ล้านคน ยังเหลืออีกร้อยละ 60 ที่รอการแก้ไข. -สำนักข่าวไทย ปัจจุบันคาดว่ามีแรงงานเมียนทำงานในไทยทั้งที่ได้รับอนุญาตทำงานอย่างถูกกฎหมายและทำงานไม่ถูกต้องรวมแล้วกว่า 2ล้านคน พวกเขาถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สถานการณ์แรงงานเมียนมาวันนี้เป็นอย่างไรไปติดตามรายงานจากคุณธรรมรัช กิจฉลอง ผู้สื่อข่าวเนชั่นทีวี “แรงงานเมียนมาร์นับล้านคนที่ทำงานในไทยต่างคาดหวังว่าจะได้รับการดูแลและคุ้มครองจากไทยมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ แห่งสาธารณรัฐสหภาพเมียนมาเดินทางมาเยือนไทย" ผอ.ศูนย์วิจัยการย้ายถิ่นแห่งเอเชีย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ปัจจุบันคาดว่ามีแรงงานข้ามชาติ 3 สัญชาติทั้งเมียนมา กัมพูชาและลาวซึ่งได้รับอนุญาตทำงานอย่างถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมายกว่า 3 ล้าน 7 แสนคนโดยในจำนวนนี้เป็นแรงงานเมียนมากว่า 2 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของแรงงานข้ามชาติทั้งหมด ดังนั้น แรงงานเมียนมาจึงเป็นกำลังหลักที่ภาคอุตสาหกรรมไทยต้องพึ่งพิงในการผลิต เนื่องจากคนไทยรุ่นใหม่ไม่นิยมทำงานในโรงงาน โดยแรงงานเมียนมาจะทำงานในไทยเพื่อเก็บเงินเฉลี่ยคนละ 5 ปีก็จะกลับประเทศไปลงหลักปักฐานดูแลครอบครัว ผศ.ดร.นฤมลมองว่าการที่อองซาน ซูจี ได้ระบุว่าขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย คาดว่าเธอคงต้องการให้แรงงานเมียนมาทำงานในไทยอย่างถูกกฎหมาย มีการจดทะเบียนและได้รับสิทธิเดินทาง มีเอกสารรับรองโดยอาจจะออกเป็นพาสสปอร์ตชั่วคราวหรือเป็นพาสสปอร์ตเลย เพื่อให้สามารถเดินทางเข้าออกระหว่างไทยกับเมียนมาได้ และต้องการให้แรงงานเมียนมาได้รับสิทธิและการคุ้มครองเช่นเดียวกับแรงงานไทย รวมถึงได้รับค่าจ้างวันละ 300 บาทด้วย ซึ่งในเรื่องนี้รัฐบาลไทยและเมียนมาต้องร่วมมือกัน นักวิชาการจากจุฬาฯประเมินว่าภายใน 5 ปีนี้แรงงานเมียนมาจะยังไม่กลับประเทศ เนื่องจากเมียนมายังต้องใช้เวลาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและยังมีโรงงานเกิดขึ้นน้อย รวมทั้งค่าจ้างเมียนมาได้วันละ 120 บาท ขณะที่ทำงานในไทยได้วันละ 300 บาท แต่ภาคอุตสาหกรรมไทยก็ควรปรับตัวโดยนำนวัตกรรมใหม่ๆนำใช้ในการผลิตเพราะแนวโน้มการลงทุนในเมียนมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ความต้องการแรงงานสูงขึ้นตามไปด้วย
ไม่รู้ผมเข้าใจผิดหรือเปล่าว่าแรงงานพม่าส่วนใหญ่แทบจะเรียกได้ว่าแรงงานอพยพแรงงานบางกลุ่มมีเครือญาติที่มีรกรากอยู่ไทยมานาน บางคนมีญาติที่มีสัญชาติไทยด้วยซํ้าแถวภาคเหนือจะเยอะ แรงงานอพยพบางคนเข้าใจว่าเมืองไทยคือศูนย์ของรัฐเขาด้วยซํ้าเพราะพวกเขาบางส่วนเหมือนคนไทพลัดถิ่นหรือคนไทยที่ถูกหลงลืมแค่คนไทในประเทศไทยสามารถรวมกันเป็นปึกแผ่นแล้วประกาศอิสระภาพได้เท่านั้นยังมีคนไทอีกหลายๆถิ่นที่ตกอยู่ในปีกของพม่า,จีน,ลาว,เวียดนามเหมือนที่เพื่อนสมาชิกเคยกล่าวไว้ว่าถ้าผนวกหรือรวมคนไทในภูมิภาคอาเซียนเข้าอาจจะมีประชากรเกือบ200ล้านด้วยซํ้า ประเทศไทยมีอะไรที่ซับซ้อนมากกว่าที่เรารู้ตำราอีกเยอะ ถ้าAECเปิดเมื่อไหร่เราจะรู้ว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยวอยู่แค่จังหวัด70กว่าจังหวัดในประเทศไทยมันจะเชื่อมโยงกับพี่น้องเราที่อยู่ไกลออกไปในดินแดนอื่นๆอยู่ที่ว่าเราจะเปิดใจนับญาติกับเขาหรือไม่หรือเขาจะเปิดใจยอมนับญาติกับเราหรือเปล่าเท่านั้้น ผมคงฟุ้งซ่านมากไปสงสัยธาตุไฟใกล้จะแตกเลยเฟ้อเจ้อนอกเรื่องไปไกล
แรงงานทุกชาติ ไม่ใช่เฉพาะไทยหรือพม่า ตามกฎหมายก็ต้องได้ขั้นต่ำ 300 ครับ ผมมองว่าการเข้มงวดตรงนี้อาจจะเป็นการช่วยแรงงานไทยด้วยซ้ำ เพราะมีผู้ประกอบการจำนวนมากที่จ้างแรงงานพม่าเพราะไม่ต้องจ่าย 300 ทำให้แรงงานพม่าได้เปรียบในตลาดแรงงาน ถ้าปรับเป็นขั้นต่ำให้หมด ผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งอาจจะไม่พิจารณาแรงงานพม่าเป็นตัวเลือกแล้วเลยก็ได้
Credit: ดร.เสรี วงษ์มณฑา อองซานจูจี..เป็นผู้นำ อองดอกที..ถูกชักนำ อองซานซูจี..จิตวิญญาณประชาธิปไตย อองดอกที..จิตวิญญาณประชาธิปตอ(แหล) อองซานซูจี..สละชีพเพื่อชาติ อองดอกที..สละชาติเพื่อชีพ อองซานซูจี..เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ อองดอกที..เป็นเวรเป็นกรรมของประเทศ อองซานซูจี..พูดทุกอย่างจากใจ อองดอกที..พูดทุกอย่างจากโพย อองซานซูจี..เป็นที่รัก และศรัทธา อองดอกที..เป็นที่อับอาย และขายหน้า อองซานซูจี..พูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งอาย อองดอกที..พูดภาษาอังกฤษ อายฝรั่ง อองซานซูจี..ไม่เคยยอมแพ้ อองดอกที..ไม่เคยยอมรับ อองซานซูจี..เป็นสุดยอดปัญญาชน อองดอกที..เป็นสุดยอดปัญญาอ่อน อองซานซูจี..เป็นปูชนียบุคคล อองดอกที..เป็นปูชนียอัปมงคล อองซานซูจี..เป็นคนของโลก อองดอกที..เป็นคนขวางโลก อองซานซูจี..เป็นคนรักโลก อองดอกที..เป็นคนรกโลก... ทุกข้อเป็นความจริง... หรือใครจะกล้าเถียง ??????
แรงงานต่างด้าว พวกพม่า เขมร กลับบ้านไปซะ 300 บาท ไม่ต้องเอา คนไทยบางคนยังไม่ได้เลย รักษาพยาบาลไม่ต้องรักษา เป็นภาระประเทศกู ลูกมึงอยากเข้าเรียนเหรอ เรียกร้องจังเลยวะ ไปเรียนประเทศมึงนู่น ถ้าคุณคิด / พูดอย่างนั้นจริงๆ คุณคิดว่าเค้าทาสหรือเปล่า ถ้านายจ้างมาพูดแบบนี้กับคุณ น้ำตาของคุณจะไม่ตกในหัวใจบ้างเหรอครับ --------- คุณทราบหรือไม่ หากแรงงานข้ามชาติกลับประเทศต้นทางไปสักแค่ครึ่งนึง ไทยจะเสียหายมากกว่าการที่ UK ออกจาก EU เสียอีก --------- ประเทศไทยเป็นประเทศที่ GDP ส่วนใหญ่มากจากการส่งออกครับ และเป็นการส่งออกสินค้าที่ใช้แรงงานผลิต (เชิงปริมาณ) ดังนั้นไม่ว่าจะภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร หรือแม้แต่ภาคบริการ ล้วนต้องการแรงงานจำนวนมาก --------- แรงงานไทยไม่พอจริงๆ (มุ่งเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ) แม้แต่การสร้างรถไฟฟ้า BTS ที่พวกเราบ่นว่าทำไมสร้างช้าจัง ข้อเท็จจริงคือ ไม่มีแรงงานมากเพียงพอ สุดท้ายก็เป็นมนุษย์ชาวกัมพูชา ที่มาสร้าง --------- แรงงานประมง ธุรกิจส่งออกที่ทำรายเข้าประเทศปีละเป็นแสนล้านบาท มนุษย์ชาวพม่าแทบทั้งสิ้น ไม่นับธุรกิจก่อสร้าง บริการ และอื่นๆ เรากำลังมองเห็นอะไร มันคือความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างประเทศ นักธุรกิจไทย + ประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้าน ร่วมมือกันทำงาน ร่วมกันสร้างรายได้กลับเข้าสู่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ทัศนคติเรากำลังกัดกร่อนกลไกที่กำลังหล่อเลี้ยงประเทศหรือเปล่า --------- มนุษย์ชาวไทยที่มักมองว่า แรงงานต่างด้าวเป็นภาระ จริงๆ ไม่มีใครเป็นภาระครับ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างคึกคักคือ กลไกธุรกิจระหว่างประเทศ ที่มีฐานอยู่ในเมืองไทย ไอเดียไทย + แรงงานไทย / เพื่อนบ้าน + ส่งขายทั่วโลก เมื่อเป็นเช่นนั้น และหากท่านเป็นเจ้าของกิจการ ท่านอยากให้กลไกนี้แข็งแรงและยั่งยืนหรือไม่ หากอยาก ควรตอบคำถามเหล่านี้ --------- คุณเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณอยากมีทีมงานที่สุขภาพแข็งแรงหรือไม่ การให้สิทธิการรักษาพยาบาล กับแรงงานต่างด้าว ผ่านระบบประกันสังคม (เหมือนคนไทย) ถือเป็นภาระหรือไม่ หรือจะทำให้กองทุนประกันสังคมมีเงินสะสมเพิ่ม --------- การศึกษาแก่บุตรหลานแรงงานต่างด้าว ถือเป็นภาระหรือไม่ คุณอยากมีบ้านอยู่ในชุมชนที่มีคนมีการศึกษา หรือดงคนไร้การศึกษา คุณอยากให้ทีมที่ทำงานกับคุณ เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ หรือไร้ฝีมือ การศึกษาเป็นต้นทางสำหรับคุณภาพทุกอย่างในสังคมนะครับ --------- คนไทยบางคนยังไม่ได้ 300 ต่อวันเลย แรงงานต่างด้าวจะได้ 300 ได้ไง การที่คุณไม่ได้ 300 ไม่ใช่ความผิดของแรงงานข้ามชาตินะครับ คุณต้องไปกดดันนายจ้าง / รัฐ ไม่ใช่กูไม่ได้มึงก็ต้องไม่ได้ ทำแบบนั้น ปลายทางไม่มีใครได้ 300 แน่นอน --------- แรงงานต่างด้าวไม่เสียภาษี ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา มีเพดานครับ หากรายได้ไม่ถึง ไม่ต้องจ่าย แรงงานต่างด้าวก็อยู่ในระบบภาษีเดียวกันกับคนไทย แต่ก็ยังมี VAT 7% และค่าธรรมเนียมราชการอื่นๆ สรุปคือระบบเดียวกันกับคนไทย และ ธรรมเดียวเดียวกันกับ แรงงานไทยที่ไปทำงานต่างแดน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานทักษะ หรือไร้ฝีมือ (เป็นกติกาสากล) --------- สุดท้ายเหตุผลยอดฮิต พม่าเผากรุงศรี หากคุณใช้ตรรกะเดียวกันกับ พม่าเผากรุงศรี จึงไม่ควรคบพม่า โซเวียตก็เคยสนับสนุนลาวให้รบกับไทยในศึกร่มเกล้า เวียดนามก็เคยรบกับเราในศึกอินโดจีน ฝรั่งเศสก็เคยเอารัฐอาณานิคมเราไป ญี่ปุ่นก็เคยกดดันรัฐบาลเราจนต้องให้เข้าประเทศใน WW2 อเมริกา / อังกฤษ ก็เคยทิ้งระเบิดใส่เราใน WW2 ตรรกะแบบนี้ จะเหลือใครให้เราเป็นมิตรได้บ้าง ---------- ลองมองไปนอกประเทศ - สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ยุโรปรบกันจนบรรลัย ทุกวันนี้รวมกองกำลังกันเป็น NATO เพื่อรับมือภัยคุกคามในอนาคต - เวียดนาม อเมริกา รบกันจนเละเทะ ทุกวันนี้ก็กลับมาค้าขาย เวียดนามเพิ่งซื้อเครื่องบินอเมริกาไป 100 ลำ - จีน รัสเซีย รบกันตามชายแดน ทหารตายเป็นล้าน ทุกวันนี้จับมือกันเป็นมหาอำนาจใหม่ ตั้งกลุ่มการค้าขึ้นมาสู้กับ WTO - ประชาชนไทย ไล่แรงงานพม่ากลับ เพราะเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว อาณาจักรดั้งเดิมใช้ดาบใช้หอก รบกัน แล้ววันนี้ยังแค้นอยู่ ?? ---------- ลดความเป็นไทยชาตินิยมลงนะครับ เพิ่มความเป็นมนุษย์เข้าไป เราอยู่ประเทศเดียวในโลกไม่ได้ และไม่มีประเทศไหนเจริญได้ ท่ามกลางสังคมที่ล้มเหลว ลองมองทัศนคคติของคุณ แล้วปรับกระบวนทัศน์เสียใหม่ ไม่ต้องไล่ชาวพม่ากลับประเทศหรอกครับ รอนักลงทุนต่างชาติสร้างนิคมอุตสาหกรรมในพม่าเสร็จก่อน รับรอง เค้ากลับแน่ แม้แต่นักลงทุนไทยเอง ก็จะมีย้ายฐานไปที่นั่น (ตอนค่าแรง 300 ใหม่ๆ ก็ย้ายไปเวียดนาม และ อื่นๆ เยอะแล้ว) แนวโน้มแรงงานไทยก็ต้องไปทำงานที่นั่นด้วย (ตอนนี้ก็เริ่มไปแล้ว) ไม่แน่ครับ ในอนาคต พวกเราเองนี่แหละ ที่จะต้องไปเรียกร้องสิทธิให้แรงงานไทยในพม่า ภาวนาแล้วกัน ไม่ให้รัฐบาลพม่าทำกับแรงงานไทย เหมือนกับที่รัฐไทย กระทำย่ำยี กับแรงงานพม่า #สวัสดีเรามาจากโลกอนาคต
เมิงต๊องหรือเมิงบ้า จะเข้าข้างซูจี๋ก็หัดดูความเป็นจริงมั่ง ให้300ยังจะมีพม่าทำงานให้หรอ? กูจ้างอย่างต่ำวันละ400ด้วยซ้ำไป ไอ้1-5ถ้าพม่าเข้าเมืองถูกกฎหมายไม่ลักลอบเข้ามาเขาก็ได้ครอบอยู่แล้ว ซือเจ๊ก็แค่สร้างดราม่าหาเสียงตามถนัด แล้วจะลดความเป็นคนไทยเพื่อ? #ผมว่าแดงเหวงเพิ่มความเป็นคนอีกนิดก็ดี
พวกที่ไล่เเรงงานออกนอกประเทศ มันอาจจะไม่ใช่ลูกจ้างหรือไม่รู้เรื่องงานหรอกครับ ....... จริงๆแล้วมันพากันบรมโง่ และความเป็นคนมีน้อยเท่านั้นเอง ........
นั้นซิถ้าพวกพม่ามาแทนที่นายพลกับมือดีจะพูดอย่างนี้หรือเปล่า เพราะเห็นดีแต่พูดกับแปะ น่าจะไม่มีปัญญาสู้แรงงานพม่าได้
จริงครับไม่ควรไล่ แล้วก็ไม่ได้มีใครเค้าไล่ ในความหมายคือถ้ามาทำงานแล้วชีวิตดีก็ทำ ไทยก็ได้ประโยชน์ แต่ในความหมายที่เค้าพูดถึง หรือผมเอง หมายถึงคนที่ฟ้อง บ่น โวยวาย ว่าถูกกระทำย่ำยี ไม่ยุติธรรมต่างๆ นั้น จะอยู่ทำห่านอะไร ถ้ามันไม่ดีก็กลับไปซิครับ ngo ที่หาแดรกกับเรื่องเหล่านี้ก็มีทำไมไม่ไปหาเค้า หรือจริงๆแค่หาเรื่องกวนตรีน จริงๆแม้แต่คนไทยเองก็ใช่ว่าจะได้รับความยุติธรรมกันอย่างสมบูรณ์แบบ สุดท้ายคนที่น่าไล่กว่าแรงงานพม่าก็คือพวกที่อยากแยกประเทศนั่นแหละ
แรงงานไทย ในต่างประเทศ เอาลูกเรียนฟรี ได้สวัสดิการจากรัฐบาลที่คนไทยไปทำงานด้วยหรือ มีนายจ้างในต่างประเทศไหน ที่ให้เอาลูกมาทำงานด้วย เป็นโขยง แล้วเรียนฟรี ใช้สวัสดิการฟรีๆ ของประเทศอื่นแบบไทย เหตุผลที่ทำไม เขมร ลาว พม่า แห่กันเข้ามาทำงานในไทย เพราะไทยเราไม่ได้คัดคุณภาพแรงงานเหมือนประเทศอื่นๆ เลย
ผมนี่นึกถึงภาพ สส เพื่อไทย กราบไข่ฮุนเซน เลียนแบบนายใหญ่มือกุมไข่ขอสัมปทานเลยครับ มันอยู่ในดีเอ็นเอกลุ่มควายแดง
จริงๆคนที่ไม่พอใจ ผมฟังออกว่าเขาด่าซูจีว่าเสือก แต่NGOไทยมันลากไปประเด็กดูถูกชาติพันธุ์แล้ว http://www.posttoday.com/social/think/439635
ข่าว 7 สี - กระทรวงแรงงาน แจง 5 ข้อเรียกร้องเรื่องแรงงานเมียนมา ที่เผยแพร่ในโลกโซเซียลมีเดีย ไม่ใช่ข้อเรียกร้องของรัฐบาลเมียนมา นายธีรพล ขุนเมือง ผู้ตรวจราชการกระทรวง ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงการเผยแพร่ข่าวในโลกโซเชียลมีเดียต่อข้อเรียกร้องของNGO และ กลุ่มต่างๆ 5 ข้อ ด้านแรงงานเมียนมาเช่น การให้รัฐบาลไทยดูแลการจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างเมียนมา300 บาทตามกฎหมาย , การให้แรงงานเมียนมา ที่ถือบัตรชมพูเดินทางข้ามจังหวัดได้โดยนำเสนอว่า เป็นข้อเรียกร้องของทางการเมียนมา ระหว่าง ที่นางอองซาน ซูจีที่ปรึกษาแห่งรัฐสาธารณรัฐ แห่งสหภาพเมียนมา เยือนประเทศไทย ว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าว ไม่ได้เป็นของทางการเมียนมา แต่สิ่งที่รัฐบาลทั้ง 2 หารือมี 3 ประเด็น ได้แก่ การคุ้มครองแรงงานเมียนมาในไทย , การร่วมมือกันพัฒนาที่เน้นช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และด้านเศรษฐกิจเท่านั้น โดยผลสรุปทั้ง 2 ประเทศ จะยึด แนวทาง "ก้าวหน้าไปด้วยกัน"ผ่านการทำข้อตกลงความร่วมมือ 2 ฉบับ ที่เน้นให้ทั้งสองฝ่ายยอมรับหลักการของความเท่าเทียมและมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งจะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เพื่อป้องกัน การจ้างงานผิดกฎหมาย และ การค้ามนุษย์ ส่วนการจ้างแรงงาน จะเน้นปราบปรามการข้ามแดนผิดกฎหมายโดยนายจ้าง ที่เมียนมา ต้องจัดอบรมแก่ลูกจ้าง ก่อนการเดินทาง โดยต้องไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่าย เพื่อร่วมแก้ปัญหาด้านแรงงาน ให้เป็นไปตามหลักสากล เกิดความมั่นคงของประชาชนทั้งสองประเทศ สัปดาห์ที่แล้ว AEC plus นำเสนอ การเดินทางของ อองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งสาธารณรัฐเมียนมา พร้อมด้วยรัฐมนตรีอีก 3 ท่าน ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ถือว่ามีนัยทางการเมืองอย่างมาก เพราะเป็นการเยือนเพื่อมาพบฐานเสียงสนับสนุนจากแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาในไทย ที่ให้การสนับสนุนซูจีจนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งที่ผ่านมา รวมถึงการเซ็นสัญญา MOU ความร่วมมือทางแรงงาน ที่น่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของนักธุรกิจชาวไทยที่พึ่งพิง แรงงานเมียนมา รวมถึงความคืบหน้าของโครงการทวาย
