ญี่ปุ่นเจริญตั้งแต่ก่อนแพ้แล้วครับไม่งั้นจะมีสงครามเหรอ พวกแดงนี่ก็ชอบคิดอะไรตื้น ๆ แบบว่า ถ้าอย่างนั้นอย่างนี้ ประวัติศาสตร์ไม่มีคำว่าถ้าครับ ขนาดพยากรณ์อากาศพรุ่งนี้ยังไม่ค่อยจะถูกเลยครับ แล้วคุณเป็นใครเก่งขนาดรู้ได้ว่าถ้า 60-70 ปีก่อนเป็นแบบนั้นแล้ววันนี้จะเป็นยังไงเลยเรอะ และสำหรับเสื้อแดง ทุกอย่างเป็นตัวขัดขวางความเจริญหมดละครับ ยกเว้นพวกตัวเอง
ดูสารคดีสงครามมากี่เรื่องๆ ยี่ปุ่งเค้ามีเรือบรรทุกเครื่องบิน, มีตอร์ปิโด พายข้ามทวีปไประรานชาวบ้านเค้าตั้งกะไทยยังถีบสามล้อชมกรุงนะขอรับ... ไม่ได้ขี่เกวียนไป จุดบั้งไฟรบกะทหาร แหล่กหญ้าโชว์เป็นอาหารแบบพวกเมิง... คิกๆๆๆ
ขลำได้พวกเพ้อเจ้อยกญี่ปุ่นมาเทียบว่ะ ไม่รู้จริงแม่มก็พ่นเรื่อยเปื่อย.... สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1945) ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม ความหวังในการสร้างจักรวรรดิญี่ปุ่นที่สร้างมานานนับสิบปีได้พังทลายลง สหรัฐอเมริกาได้เข้ามามีอำนาจในญี่ปุ่นและช่วยพัฒนาญี่ปุ่นจนกลานเป็นมหาอำนาจของโลกได้อีกครั้ง รัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. 1946 หลังจากผ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว สหรัฐอเมริกาได้เข้ามาจัดการญี่ปุ่น โดยให้ญี่ปุ่นมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี ค.ศ. 1946 ถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุดที่เคยมีมา สมเด็จพระจักรพรรดิทรงประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ณ ที่ประชุมสภาไดเอท ในเดือนพฤษจิกายน ค.ศ. 1946 นับว่ามีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยิ่ง ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้ - เป็นการประกาศว่าอำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวญี่ปุ่น และให้จักรพรรดิมีแต่เพียงอำนาจตามระเบียบอย่างที่กัตริย์อังกฤษมีเท่านั้น - มีรายการที่แสดงถึงสิทธิและเสรีภาพของผมเมืองไว้อย่างละเอียด เช่นสิทธิในการทำงาน และเสรีภาพทางสังคม - กำหนดให้ผู้ใหญ่ทุกคนมีสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง - ให้คณะรัฐมนตรีรีบผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร - แยกศาสนาและรัฐออกจากกัน แนวทางการปฏิรูปประเทศ - ออกกฏหมายห้ามการผูกขาดทางด้านการค้าเพียงบุคคลกลุ่มเดียว (ไซบัสสุ) จัดตั้งคณะกรรมาธิการควบคุมร้านค้าไม่ให้เกิดการขายตัดราคาหรือขายเกินราคา - ส่งเสริมให้มีการจัดตั้งสมาคมกรรมกรต่าง ๆ - ปฏิรูปการเป็นเจ้าของที่ดิน ให้ประชาชนมีที่ดินทำกินในราคาถูก - กระจายอุตสาหกรรม เพื่อไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของนายทุนเพีงกลุ่มเดียว การพัฒนาทางด้านการเมือง - หลังจากปี ค.ศ. 1961 ญี่ปุ่นทำสัญญาสันติภาพสิ้นสุดการยึดครองจากสหัฐอเมริกา ญี่ปุ่นมีสิทธิในการตั้งกองกำลังเพื่อรักษาตนเองได้เท่านั้น - หลังจากปี ค.ศ. 1962 ญี่ปุ่นเชื่อว่าสังคมในอุดมคติควรมีลักาณะคือ มีความผาสุขของสังคมประชาชนเหมือนสังคมโซเวีย มีมาตรฐานการครองชีพที่ดีแบบอเมริกา มีสมาชิกรัฐสภาที่ช่ำชองในการโต้เถียงเหมือนกับรฐสภาของอังกฤษ องค์ประกอบอันนำปสู่ความสำเร็จ - แม้ญี่ปุ่นจะได้รับความเสียหายจากสงครามมากมาย แต่ความรู้ความสามารถ ทางวิชาการ ความมีระเบียบวินัย ความขยันขันแข็ง ของชาวญี่ปุ่นเองที่ได้วางเอาไว้ในช่วงพัฒนาประเทศก่อนส่งคราม ทำให้ญี่ปุ่นฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว - ความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา เช่นการช่วยซื้อสินค้า และจ้างการบริการของชาวญี่ปุ่นะหว่างเกิดสงครามเกาหลี ทำให้ญี่ปุ่นมีรายได้ นำไปใช้พัฒนาประเศได้อย่างรวดเร็ว - รัฐบาลส่งเสริมการลงทุน ด้วยนโยบายเกี่ยวกับภาษีและเงินกู้ มีการจัดตั้งองค์กรการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ - รัฐธรรมนูญฉบับปี ค.ศ. 1946 ที่สั่งห้ามญี่ปุ่นไม่ให้มี ทหาร ยุทธปัจจัย อาวุธสงคราม ทำให้ญี่ปุ่นไม่ต้องช่เงินในการพัฒนากองทัพ งบประมาณได้นำมาใช้พัฒนาการพัฒนา เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ การศึกษา สาธารณะสุขได้อย่างเต็มที่ ปัจจุบัน ญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจประเทศหนึ่งของโลก เป็นประเทศเดียวที่ดำเนินการผลิตเพื่อสันติสุขแทนที่จะผลิตเพื่อสงคราม สินค้าอิเลคโทรนิค อุตสาหกรรมการต่อเรือของญี่ปุ่น เครื่องแต่งกาย อาหารสำเร็จรูป ฯลฯ เป็นที่นิยมไปทั่วโลก วาทิน ศานติ์ สันติ : เรียบเรียง จากการเรียนการสอนและหนังสือของ ศ.จันทร์ฉาย ภัคอธิคม.ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกสมัยใหม่ = History of modern East Asia : HI 461. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2544. บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย วาทิน ศานติ์ สันติ
เคยอ่านมา...ก่อนสงครามญี่ปุ่นปฏิวัติอุตสาหกรรมราวๆปี 1870 ในช่วงเวลา 30 ปี ได้เร่งรีบในการพัฒนาเป็นอย่างมาก ยิ่งพัฒนาเทคโนโลยีก็ยิ่งต้องการวัตถุดิบมากขึ้น ไม่ใส่ใจกับสารพิษที่เกิดจากการทำเหมือง หนึ่งในสารพิษคือสารแคดเมี่ยมได้ปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ไปอยู่ในนาข้าว สะสมในร่างกายคน พิษของแคดเมี่ยมทำให้แคลเซียมในกระดูกถูกทำลาย และอาการโลหิตจาง ผิวขาวซีด คนป่วยจะเจ็บปวดไปทั้งตัว จนเรียกโรคที่เกิดจากแคดเมี่ยมนี้ว่า โรคอิไตอิไต ดูเหมือนว่าสารพิษยังไม่หายไปไหนเพราะคนญี่ปุ่นยังร้อง อิไตอิไต มาจนทุกวันนี้
ที่สำคัญประวัติศาสตร์เหมือนเหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งเขียนโดยผู้มีอิทธิพลในยุคนั้นๆ (หรือที่เรียกว่าผู้ชนะโดยส่วนใหญ่) และอีกด้านคือเรื่องราวที่เรียกว่า "ตำนาน" ซึ่งมักจะเขียนอ้อมๆบอกอะไรเป็นนัยๆไว้ ซึ่งก็น่าจะสันนิษฐานได้ว่าเขียนโดยผู้ไม่มีอิทธิพลในยุคนั้น... แต่รู้เห็นเรื่องราวความเป็นไปอย่างดี... ... ประวัติสัตว์(อับ)ปรีดีนั้น... เขียนไว้ทั้งสองแบบ แต่แบบแรกเจื่อกรำพึงรำพันถึงอดีตอันหอมหวาน... แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์... โคตรอ่อน... และต่อมากลายเป็นแบบที่สองที่อ้างอิงถึงแบบแรก แต่เพ้อไปถึงความเป็น สัต(ว์)บุรุษ... ... ต่อมา... ผู้แพ้ในอดีตที่ได้เก็บรวบรวม "หลักฐานทางประวัติศาสตร์" ที่อ้างถึงได้จริงเริ่มนำออกเผยแพร่ จนสามารถเปรียบเทียบข้อมูลที่อับPD และฝูงชอบอ้างถึงตามเบื้องต้น และหักล้างความเชื่อถือด้วยหลักฐานได้แทบทุกกรณี... นี่คือที่มาของความเชื่อมั่นว่าแม่มเป็น... original อัปPD รุ่นบุกเบิกความจังไรให้แผ่นดินจิงจิ๊ง... ขอรับ...
ถ้าญี่ปุ่นไม่เจริญอยู่ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมยุคใหม่ คงไม่หาญกล้าประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรหรอกครับ เอาแค่เครื่องบิน เรือรบ นี่ก็มีเหลือเฟือ จนช่วงหลังนักบินไม่พอ ต้องเอาไปคามิคาเซ่แถวๆ เพิร์ลฮาร์เบอร์ หรอก ส่วนที่ว่าไทยแพ้แล้วจะเจริญ เป็นความคิดงี่เง่าครับ ไม่มีใครรู้ เผลอๆ จะแย่ยิ่งกว่านี้ก็ได้ ควายไทยหลายตัวชอบเป็นขี้ข้า ขนาด ร.5 ท่านเลิกทาสมาให้ตั้งนาน ยังทำตัวเป็นขี้ข้านักการเมือง ผู้มีอิทธิพล คนต่างชาติ ถ้าไทยแพ้สงครามแล้วต่างชาติมายึดครอง แม่มคงเลียตีนกันจนแฉะเลยล่ะ
ผมว่าเรื่องนี้พิสูจน์ไม่อยากนะครับ เเต่จะมีใครกล้าหรือเปล่า ? ก็เเค่ให้คนที่เชื่อในเเนวคิดนี้ ลาออกจากงาน เผาบ้านตัวเอง ไปเข้าคิวคอยรับปันส่วนอาหาร ประหนึ่งทำตัวให้เหมือนที่คนญี่ปุ่นต้องเจอในช่วงหลังเเพ้สงคราม เเล้วดูสิว่า อนาคตตนเองจะรวย จะเก่ง ขึ้นมาแบบคนญี่ปุ่นไหม
คนมันคิดแบบมักง่าย เพราะมันยังไม่เกิด อยากให้คนสมัยนั้นลำบากยังไงก็ได้ แต่พวกกรูต้องสบายกว่านี้แน่นอน
แล้วตกลงเราเข้าเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร ตอนไหนครับ รัฐบาลจอมพล ป ประกาศว่าเราอยู่ฝ่ายอักษะ เขียว ฝ่ายสัมพันธมิตร เขียวอ่อน ฝ่ายสัมพันธมิตรหลังการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ ฟ้า ฝ่ายอักษะ เทา เป็นกลาง http://th.wikipedia.org/wiki/ฝ่ายอักษะ
ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ความมีวินัย มันต่างกันครับ ประเทศเรา พวกชอบของแจก พวกรอของฟรี มันเยอะครับ
แหม่!!!!!!!......อ้างไปเรื่อยทุยแดงเอ๋ยหนำซ้ำเอาไปเทียบกับญี่ปุ่น อ่านแล้ว ขรรม!!!!..... แค่ประเทศไทย ประชากรติ๊บตัยห่าเหวอย่างเอ็งอะไรนั่น อย่าเพิ่งไปนึกถึงเลย แค่จัดการมีระเบียบของพวกเอ็งได้ก้อสุดยากแล้ว
ดูจากประวัติศาสตร์การเสียกรุงของไทยในอดีตแล้ว บอกได้เลยว่า ไม่จริงครับ ก่อนญี่ปุ่นจะแพ้สงคราม ตอนนั้นญี่ปุ่นก็มีเรือพิฆาต เรือประจัญบาน เรือบรรทุกเครื่องบิน และฝูงบินมากมาย มีโรงงานอุตสาหกรรมเพียบ ซึ่งหมายความว่า ศักยภาพของประเทศ ของพลเมืองญี่ปุ่น พร้อมที่จะเติบโตอยู่แล้ว การแพ้สงครามของญี่ปุ่นเป็นแค่ เปลี่ยนแนวทางในการพัฒนา จากการเติบโตเป็นมหาอำนาจทางสงครามพื้นที่ ไปเป็น มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ส่วนคนไทยเสียกรุงครั้งที่ 1 เพราะแตกความสามัคคี ภายใต้ภาวะการกดดันจึงเกิดวีรบุรุษอย่างสมเด็จพระนเรศวรและเหล่านักรบมากมาย แต่หลังจากนั้นแค่ร้อยปี ก็แตกความสามัคคี เห็นแก่ตัว กรุงแตกครั้งที่ 2 ภายใต้ความกดดันก็เกิดวีรบุรุษคนใหม่อย่าง สมเด็จพระเจ้าตากสินและเจ้าพระยาจักรี ซึ่งช่วงปลายสมัยแผ่นดินกรุงธนบุรีก็ทำท่าจะเกิดกลียุคแตกสามัคคีขึ้นอีก ดีกว่าช่วงเวลานั้น พม่าก็มีเรื่องยุ่งวุ่นวายภายในของตัวเอง จึงไม่มีเวลามารุกราน เจ้าพระยาจักรีหรือ ร.1 สามารถปราบความวุ่นวายได้โดยเร็วก่อนที่ไทยจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ แยกเป็นก๊กเป็นเหล่า ช่วงชิงเวลาหยุดพักหายใจจากศึกนอก สร้างบ้านแปลงเมืองให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง จนเมื่อพม่าจัดสงคราม 9 ทัพมา เราก็เตรียมพร้อมที่จะรับมือได้แล้ว มาบัดนี้หลังจากอยู่ดีกินดี (ย้ำว่าอยู่ดีกินดี - เพราะคนยากจนในไทยนับแต่อดีตมาน้อยคนนักที่จะเกิดภาวะ อดตาย) มาช้านาน วงจรอุบาทว์ก็เริ่มกลับมาใหม่ มีพวกที่ไม่สำนึก มีพวกเห็นแก่ได้ และมีพวกสิ้นคิด เพ้อฝันวิมานในอากาศที่ไม่มีอยู่จริง (เหมือนคนเสพยาแล้วจินตนาการฝันเพ้อเจ้อเหลวไหล ) เริ่มส่อแววการแตกสามัคคีอย่างรุนแรงอีกครั้งภายใต้การปั่นหัวของทุนนิยมสามานต์จัญไร ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่า คนส่วนใหญ่จะน้อมนำเอาพระราชดำรัสของในหลวงไปปฏิบัติ คือ เราไม่สามารถทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ แต่ต้องช่วยกันส่งเสริมคนดีให้มาปกครองบ้านเมือง แล้วกดคนไม่ดีไว้ บ้านเมืองถึงจะมีความสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง
ผมว่ามีความเป็นไปได้ เพราะสมัยก่อนคนไทยส่วนใหญ่ยังมีความสามัคคี มีความอดทน เสียสละต่อส่วนร่วม ที่สำคัญคือมีพระราชาที่เปี่ยมความสามารถและชี้นำหนทางที่ถูกที่ควร พูดแบบไม่อายปากเลยว่าคนไทยสามารถทำได้ดีกว่าญี่ปุ่น แต่สมัยนี้ผมไม่กล้าฟันธง เพราะมีคนเห็นแก่ตัวเยอะขึ้น ขาดความศรัทธาในสิ่งดีงาม เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น
ประเทศไทยไม่เจริญเพราะไม่มีท่านประชาทิบตัยนำทางให้ชาติไปสู่ความเจริญต่างหาก พวกสลิ่มขี้มโน อย่ามาเสี้ยมให้คนมองมนุษย์ตูดแดงอย่างกระผมผิดๆนะ
ช่วยชี้ให้ผมเห็นหน่อยครับ ว่ามีช่วงเวลาไหน ที่มันจะเจริญก้าวหน้ามั่นคงเหมือนญี่ปุ่น มีสัญญาณอะไรบ้างที่พอจะบอกได้ว่า เรากำลังมาถูกทาง พวกนักกินเมือง ยิ่งอยู่ยิ่งแดรกกันพุงกาง ดูเรื่องเกษตรกรรมอย่างเดียวก็พอ กี่ปีกี่ชาติก็จนดักดาน ขี้เกียจก็ด้วย โง่ก็ด้วย สารพัด น้ำแล้ง น้ำท่วมได้ทุกปี ที่ดินแปลงเดิม มันยังไม่มีปัญญาแก้ไข รอเอางบไปสวาปาม แก้ภัยแล้ง แก้น้ำท่วมทุกปี ทุกรัฐบาล มันบ้าไปแล้ว จะแก้ไปอีกกี่ชาติครับ ด่ามันทั้งเกษตรกร ทั้งรัฐบาลนั้นแหละ(โมโห)
เกือบจะเจริญทัดเทียมญี่ปุ่นอยู่แล้ว ถ้าสลิ่มไม่ขัดแข้งขัดขาซะก่อน ช่วงเวลาที่ว่า ก็เช่น ช่วงที่เกิด อาจสามารถโมเดล รวมถึง บางระกำโมเดลไง สลิ่มไม่รู้จักจำ
เงินที่อิปูเอาไปทิ้ง 5 แสนล้านนั้น แก้ปัญหาเกษตรกรได้ทั้งระบบทุกอาชีพ แล้วมันจะไปทันญี่ปุ่นได้ไง เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ตอนนี้ชาวเกษตรกรทุกสาขา มีแต่คนแก่ทำ เพราะคนรุ่นใหม่ ไปรับจ้างแต่งสวยหล่อเป็นลูกจ้างนายทุนในเมือง ..... อีกไม่กี่ปีก็ทันญี่ปุ่นแล้ว
เรื่องญี่ปุ่นสมาชิกท่านอื่นก็เขียนไปเยอะแล้ว แต่ขอขำลูกกะโปก PD นิดหน่อย สยามอาจจะไม่ต้องเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายใดเลยก็ได้ถ้ายังอยู่ในระบบกษัตริย์ เพราะเท่าที่ผ่านมาสยามใช้การทูตเอาตัวรอดจากสถานการณ์โลกมาตลอด พระมหากษัตริย์แห่งสยามทรงมีสายพระเนตรยาวไกลกว่านักการเมืองขี้ข้า PD เยอะ ไอ้ที่เละตุ้มเปะทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะลูกกะโปก PD ทำฉิบหายไว้เหรอ?