ผมติดตามกรณีงานศพของสิงห์ มุสิกพงษ์มาระดับหนึง หลายวันมา มีข่าว มีการพูดถึงกันในหลายๆ แง่ มีคนที่รู้จัก สนิทในความเป็นเพื่อน โศกเศร้าและไว้อาลัยกันไป มีคนจำนวนนึง ที่รอดูท่าทีของคนเสื้อแดงต่อกรณีอยู่บ้าง ดังที่เป็นบางกระทู้พูดถึง มีคนเสื้อแดงจำนวนนึง แสดงการคาดเดาเอาไว้ ว่าคนอีกฝั่ง จะนำเรื่องนี้มาคลุกกับการเมืองไปแค่ไหน มีคนเสื้อแดงอีกกลุ่มนึง ที่พยายามชี้ชวนให้เป็นไปตามทางการเมืองไปบ้าง รวมไปถึงกรณีของบางแกนนอน ที่ร่วมแสดงความเห็น ไปจนถึงการไว้อาลัย มาจนถึงกรณีของนักข่าว ที่กลุ้มรุมถ่ายทำข่าว กรณีของนักร้องสาวเฟย์ อดีตแฟนสาวของผู้ตาย มากเอาเสียจนผู้คนในแวดวงโซเชี่ยล กระหน่ำด่าทอในความไร้มารยาท ขาดการอบรม ไปเสียจนเดือดร้อนไปถึงผู้อบรม ตั้งแต่เพื่อนร่วมงาน หัวหน้าสายข่าว ครูบาอาจารย์ ไปจนถึงพ่อแม่ (ซึ่ง อันนี้ผมเห็นด้วยเด็ดขาด ว่านักข่าวคนนั้นมันช่างทรามเหลือใจ) ผมติดตามต่อ เพียงเพราะอยากรู้ท่าทีของผู้เป็นพ่อ ใจไม่คิดอยากให้ผู้เป็นพ่อ นำการเมืองมาสู่เรื่องของครอบครัวจนเกินไป และเชื่อว่าเขาคงจะทำดังที่ผมว่า เพื่อให้เกียรติกับผู้ตาย ผู้เป็นลูกชาย จนเมื่อผมพบเห็นเรื่องนี้ เรื่องที่แชร์กันในเฟส ผมอ่านแล้ว นึกถึงวิธีดูแลครอบครัว วิธีเลี้ยงลูกของวีระ มุสิกพงษ์ ยอมรับครับ ว่ารู้สึกชื่นชม แม้ว่า ไม่ได้ถึงกับพิเศษแตกต่างเสียจนมหาศาลอะไร แต่ก็นับว่า เป็นวิธีการที่ดี ผมจึงขออนุญาต มาตั้งกระทู้นี้ เพื่อแสดงความชื่นชมคุณวีระ ในแง่ของความคิดอ่านในการเลี้ยงลูก การปลูกฝัง และการสร้างของเขา แม้ผมจะอ้างเรื่องไปทางการเมืองเล็กน้อยในข้างต้น แต่กระทู้นี้ ผมไม่ได้รู้สึกชิงชัง ในแง่ที่วีระเป็นศัตรูทางความคิดทางการเมือง และขออนุญาตชื่นชมและแสดงความนับถือ ในแง่ของความเป็นพ่อ โดยขอข้ามความต่างทางการเมืองครับ ลิงค์ด้านล่าง คือการพูดในงานของคุณวีระ มุสิกพงษ์ ในงานศพของลูกชายตนเอง
จากพ่อถึง “สิงห์ มุสิกพงศ์“ ผม...ไม่สามารถที่จะเผาสิ่งที่ผมสร้าง นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com กลายเป็นข่าวเศร้าที่ช็อกวงการบันเทิง หลังจากเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 29 ก.ค. "สิงห์ มุสิกพงศ์" หรือ สิงห์ Sqweez Animal (สควีซ แอนิมอล) วัย 31 ปี ลูกชายของ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นักการเมืองชื่อดัง แกนนำนปช. พลัดตกคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ ซอย 5 กลายเป็นข่าวที่สร้างความเสียใจให้กับครอบครัว เพื่อน และแฟนเพลงเป็นอย่างยิ่ง สำหรับในวันนี้ (4 ส.ค.) พิธีฌาปนกิจศพ "สิงห์ มุสิกพงศ์" ณ เมรุ วัดธาตุทอง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ บิดาของสิงห์ ก็ได้ขึ้นมากล่าวประวัติของลูกชาย โดยมีข้อความดังนี้ "ผมขออาสาที่จะทำหน้าที่นี้ ทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ แต่ครั้งจะไม่ทำอะไรเสียเลย ก็จะขาดความเป็นพ่อที่ดีไป ในงานฌาปนกิจศพลูกก็ควรจะได้มีบทบาทพอสมควร เพื่อให้ท่านได้ทราบว่า บุคคลที่ท่านมาร่วมในการฌาปนกิจศพครั้งนี้ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร กระผมจะเล่าให้ท่านฟังพอสังเขป นายสิงห์ มุสิกพงศ์ อายุ 31 ปี ชื่อเดิม นายประชาธิป มุสิกพงศ์ เป็นบุตรคนที่สองของนายวีระ นางศรีวิไล มุสิกพงศ์ จากจำนวนบุตรทั้งหมด 3 คน นายสิงห์เรียนอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลเทพสนิท เอกมัยนี่เอง เรียนปฐมศึกษาจากโรงเรียนสาธิตประสานมิตร กรุงเทพมหานคร จบป.6 แล้ว ไปต่อมัธยมต้นและมัธยมปลายที่ประเทศอังกฤษ จบมัธยมแล้ว ครูแนะแนวได้ให้คำปรึกษาว่านายสิงห์ ไม่จำเป็นต้องเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย เพราะดูจากพฤติกรรมที่อยู่โรงเรียนประจำ เห็นว่าควรจะเอาดีทางด้านดนตรีจะดีกว่า แต่ด้วยค่านิยมของสังคมที่ต้องจบมหาวิทยาลัย สิงห์คล้อยตามค่านิยมนั้น ด้วยการศึกษาต่อแผนกกราฟฟิกดีไซน์ต่อมาก็พบว่าไม่ใช่แนวทางที่ตนถนัด จึงโยกมาศึกษาวิชาซาวด์เอ็นจิเนียร์ แต่ก็ค้นพบว่าไม่ใช่อีก จึงย้ายไปเรียนมิวสิกเทคโนโลยีได้ 2 ปี เห็นว่าตนรู้หมดแล้ว จึงดรอปการเรียนไว้เพียงเท่านั้น และหันไปฝึกกีต้าร์อย่างจริงจังตามที่ตนเองชอบ และได้กระทำอย่างมุ่งมั่น ไม่ได้เข้าโรงเรียนดนตรี และไม่ได้มีครูคนใดสอนเป็นการเฉพาะ จึงเหมือนเป็นการฝึกตนเองจนเกิดความชำนาญ ซึ่งเรื่องนี้ผมพิจารณาแล้วว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะบรรพบุรุษของเราคือปู่ทวดของนายสิงห์ เป็นนักดนตรีพื้นบ้านพื้นเมืองที่มีชื่อเสียง มีความสามารถทางด้านดนตรีหลายชนิด เป็นนักดนตรีที่ฝึกฝนในตนเองเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อนายสิงห์ขออนุญาต โดยขอดรอปการเรียนไว้ ผมจึงไม่ขัดข้อง ดนตรีมีคุณขนาดนี้ จะให้ผมขัดลูกได้อย่างไร ผมก็ปล่อยตามความชอบของเขา ย้อนกลับมายังสิงห์เมื่อครั้งยังเป็นทารก สิงห์เป็นทารกที่อารมณ์ดี อ้วนจ้ำม่ำ ชอบนอนเอาหัวซุกกับอกพ่อหรืออกแม่ น่ากอดเป็นที่สุด จนผมตั้งสมญาให้เขาว่า "เจ้าด้วงซุก" เพราะชอบนอนซุก ตัวขด เหมือนตัวด้วงอยู่ในอ้อมกอดของพ่อและแม่ วัยอนุบาลสิงห์เคยเขียนการ์ตูนเป็นช่องๆ โดยตั้งชื่อหนังสือว่า "บ้านหรรษา" มีพ่อมีแม่ มีสุนัขเลี้ยง มีพี่มีน้องเป็นตัวละคร เขาเอามาฝากให้พ่ออ่าน เพื่อแสดงถึงความรู้สึกที่คนในสมาชิกครอบครัวของเรามี พ่ออ่านหนังสือแล้วปลื้มว่าลูกเรานั้นคงได้การณ์ นอกจากอ้วนแล้ว สิงห์ยังมีอารมณ์ดี ชอบตลก โดยเฉพาะท่าเต้นลูบเป้าของไมเคิล แจ็คสัน ชำนาญมาก พ่อเคยพูดเสมอว่า สิงห์ไม่ต้องเรียนหนังสือสูงแล้วก็ได้ เพราะมีงานรออยู่แล้วคือสมัครเป็นสมาชิกของคณะเชิญยิ้ม พ่อสามารถประสานงานได้ แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เมื่อเปลี่ยนไปตามวัย บุคลิกก็เปลี่ยนไป สิงห์ก้าวสู่วัยรุ่นในขณะที่เรียนอยู่ประเทศอังกฤษ สิงห์เริ่มควบคุมอาหาร ควบคุมหุ่นตนเอง เลิกตลก เลิกอารมณ์ขัน จากเด็กอ้วนที่ชอบเข้าครัว ผัดข้าวให้พี่น้องกิน กลายเป็นเด็กที่หุ่นดีขึ้น แต่ใบหน้าเรียบเฉยถึงขั้นเงียบขรึม ปิดเทอมทีก็กลับกรุงเทพ น้องๆ ที่เป็นลูกของน้า-ลุง ออกปากตรงกันว่า พี่สิงห์เป็นคนที่น่าเกรงขาม ไม่มีใครตอแยด้วย
ตลอดเวลาที่เล่ามานั้น สิงห์ได้จับกีต้าร์อยู่เป็นประจำ เขากินนอนอยู่กับมัน รูปคลำ ฝึกฝนอย่างจริงจัง เล่นเองฟังเองอยู่คนเดียวทั้งวันก็ยังได้ นิสัยประจำตัวอีกอย่างคือ ความเป็นตัวของตัวเอง และความซื่อตรงต่อตัวเองอย่างค่อนข้างจะมาก ขณะที่เรียนอยู่โรงเรียนมัธยมที่ประเทศอังกฤษ โรงเรียนบังคับให้ต้องเข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์เพื่อศึกษาคริสต์ศาสนา นักเรียนคนใดไม่ยอมเข้าโบสถ์จะถูกตัดคะแนน ซึ่งสิงห์ก็ไม่ยอมเข้าโบสถ์ ทางโรงเรียนทำหนังสือแจ้งผู้ปกครองว่าเด็กเรามีปัญหา สิงห์ได้บอกเหตุผลให้ฟังว่า ได้แจ้งให้ทางโรงเรียนทราบตั้งแต่แรกแล้วว่า เหตุผลที่สิงห์ไม่ยอมเข้าโบสถ์ เพราะสิงห์ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ จึงไม่อยากเล่นละครหลอกครู เพื่อแลกกับคะแนน ยังไงก็จะไม่ทำเด็ดขาด สิงห์สอบตกได้คะแนนศูนย์ในวิชานั้น แต่คะแนนวิชาอื่นๆ ช่วยไว้ได้ เลยทำให้ไม่ต้องซ้ำชั้น แต่ผมพิจารณาแล้วจะโทษใครได้ ในเมื่อสมัยเรียนอยู่มัธยม นายวีระก็เคยทำวีรกรรมเช่นนี้เหมือนกัน เรื่องที่สอง ผมสนใจเรื่องพุทธศาสนา พอๆ กับเรื่องการเมือง จึงพาตัวเองไปเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อหลายๆ รูป เมื่อไปต่างจังหวัดก็พบผู้เมตตาหลายคนที่มอบพระเครื่องให้ พอมีของรักของหวงแบบนี้ก็อยากจะแบ่งให้ลูก จำได้ว่าวันหนึ่งที่สิงห์กำลังมีชื่อเสียง ต้องเดินทางบ่อย ผมได้เสนอสร้อยคอหลวงปู่ทวดให้ลูกได้ห้อยคอคุ้มครองตนเองในยามเดินทาง แต่ด้วยเหตุผลที่สิงห์ปฏิเสธมาว่า สิงห์นับถือศานาพุทธอยู่แล้วพ่อก็รู้ นับถือพุทธก็ย่อมนับถือพระ แต่ในขณะเดียวกันสิงห์อยู่ในวงการบันเทิง ย่อมจะหลีกหนีการดื่มเหล้าเบียร์ไม่พ้น ถ้าสิงห์ห้อยพระ สิงห์ก็ต้องยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม โดยข้ามศีรษะของพระที่ห้อยคอไว้ สิงห์ไม่สามารถที่จะกลั่นใจให้ทำเช่นนั้นได้ จึงไม่มีการห้อยพระเครื่องตลอดมา ในวันเกิดเหตุที่ลูกได้ทำลายชีวิตตัวเองนั้น ผมเชื่อเหลือเกินถ้าลูกได้ห้อยหลวงปู่ทวด ท่านจะคุ้มครองโดยไม่ให้เกิดเหตุอย่างนี้ขึ้นมา นี่คือความคิดของผม
เรามามองในแง่ของความแปลกประหลาดและไม่น่าสนับสนุนบ้าง วันหนึ่งสิงห์มาบอกกับพ่อว่าจะขอสักยันต์ตามตัวกับเขาบ้าง ผมได้ปฏิเสธและบอกว่า ผิวหนังของสิงห์ได้สวยงามอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปเขียนอะไรให้เปอะเปื้อน และการสักยันต์นั้นหากจะลบออกก็แสนยาก เถียงกันอยู่เป็นชั่วโมง สุดท้ายสิงห์ขอเลื่อนการพิจารณาไปก่อน ต่างกันต่างยังไม่ยอม ต่อมาอีก 2-3 วัน ก็กลับมาใหม่ คราวนี้แสดงเหตุผลพิสดารกว่านั้นอีก แต่ก็เหมือนเดิม คือปฏิเสธไปเป็นครั้งที่สอง ก็ถอยกลับไปอีก ประมาณ 7 วัน กลับมาใหม่ พร้อมข้อเสนอเดิม ยังแถมเพิ่มขึ้นว่า ไม่เพียงแต่จะสักเท่านั้นนะ สิงห์จะขออนุญาตเจาะหูและห้อยตุ้มหูด้วย ผมพิจารณาว่าไม่รู้ห้ามอย่างไรแล้ว เพราะเห็นนิสัยว่าจะต้องเอาอย่างไร แล้วต้องทำให้ได้อย่างนั้น เลยตอบเขาไปว่า เมื่อสิงห์พิจารณารอบครอบแล้ว ได้มาหาพ่อ 2-3 รอบ ก็ยังจะทำ ก็แสดงว่าสิงห์เห็นว่าเป็นของดี เป็นของที่ควรกระทำ ฉะนั้นพ่อจะไม่ขัดข้อง อนุญาตให้ทำตามที่ใจชอบ แต่พ่อจะสักด้วย และจะเจาะหูด้วยเหมือนกัน สิงห์ก็ร้องว่าพ่อจะทำแบบนั้นได้อย่างไร พ่อเป็นนักการเมืองและเป็นผู้ใหญ่แล้ว พ่อทำแบบนั้นสิงห์ก็อายคนแย่ ผมบอกว่าสิงห์ก็เป็นศิลปินที่มีคนรู้จักมาก สิงห์ยังสักได้ เจาะหูได้อย่างไม่อายใคร พ่อก็เหมือนกัน ไม่อายคนเหมือนกัน พ่อจะไปสภาให้ตัวเขียวแบบนี้แหละ และจะใส่ตุ้มหูด้วย ในที่สุดเขาอึ้งไป และกลับมาบอกว่าขอยุติถอนคืนโดยไม่มีกำหนด โดยเขาเป็นฝ่ายยอม ความรักดนตรีของเขามีมาตั้งแต่อนุบาล จะชอบฟังเพลงฟังดนตรีแนวร็อคที่ฮิตในตอนนั้นคือ หมื่นฟาเรนไฮน์ แต่การฟังดนตรีของเขาทั้งเฉยทั้งเฉิ่ม จะชอบนำวิทยุทรานซิสเตอร์แบกใส่บ่าไปทานอาหารนอกบ้านด้วย ทำให้แชมป์และเสืออายจนต้องฟ้องแม่ แต่สิงห์ก็ยังคงไม่สนใจทำต่อไปเรื่อยๆ เขาถูกชักชวนจากนักเรียนไทยที่ไปเรียนที่อังกฤษ ให้ร่วมสร้างวงดนตรีให้ไปเล่นผับที่นู่น ซึ่งสิงห์ก็ไปร่วมแบบคนยังไม่มีวง คอยไปแทนนักดนตรีที่ป่วยอยู่หลายครั้ง จนพี่ชายทนไม่ไหว แชมป์เป็นเพื่อนรักกับวิน เลยชวนให้สิงห์ไปคุยกับวิน และเขาก็เริ่มบรรเลงเพลงร่วมกัน (วินร้องไห้) เป็นต้นเหตุให้เกิดคู่ดูโอ้ สควีซ แอนนิมอล จนมีชื่อเสียงและลืมเรื่องการเรียนที่จะต้องเรียนต่อ และเดินทางกับมาทำเพลงด้วยกันที่ประเทศไทยจนมีชื่อเสียง
อย่างไรก็ตาม เมื่อสิงห์มีอายุอยู่ได้ถึง 31ปี และได้เกิดเหตุอย่างที่ท่านทั้งหลายได้ทราบ แต่ก็ได้เกิดปรากฏการณ์พิเศษขึ้นมาที่วัดธาตุทอง ซึ่งก็เป็นปรากฏการณ์ในงานวันสวดพระอภิธรรมศพให้แก่สิงห์ นั้นก็คือนักการเมืองและผู้นำทางการเมืองหลายพรรคหลายฝ่าย ได้เข้ามาพบปะ อัธยาศัยกันด้วยน้ำใจไมตรี แม้ว่าหลายท่านจะไม่เป็นคู่คดีขัดแย้งกัน หรือบางท่านที่เป็นคู่คดีขัดแย้งกัน แต่เมื่อมาร่วมงานฟังอภิธรรมศพงานเดียวกัน ผมเห็นว่าน่าจะถือได้ว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ของการเริ่มต้นการปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งถ้าเป็นจริงตามที่ผมคิดก็นับว่าฝีมือสิงห์ดีไม่ใช่น้อย เพราะอย่างน้อยที่สุดสิงห์ก็ได้ใช้ชีวิตของตนเองช่วยเยียวยาสังคมไทยทางหนึ่ง เห็นควรจารึกไว้ด้วยว่างานฟังอภิธรรมศพ ฌาปนกิจศพสิงห์ ได้มีพี่น้องจำนวนมาก จากทั่วสารทิศมาร่วมงาน จึงทำให้วัดนี้คับแคบไปถนัดตา ซึ่งกระผมต้องขอกราบขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย ผมและคณะเจ้าภาพ ได้จัดทำของที่ระลึกแจกแด่ท่านทั้งหลาย หนึ่งคือหนังสืออนุสรณ์งานศพ สองคือหลวงพ่อเงินแห่งวัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร และเหรียญสำหรับห้อยคอของหลวงปู่หลุย จันทสาโร ในประเด็นสุดท้ายที่จะต้องกราบเรียนท่านไว้ก็คือ ผมรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าสิงห์จากไปในขนาดที่อายุยังน้อยนัก อาชีพดนตรีก็สั้น ยังเป็นละอ่อนของวงการ อินทรีย์ยังไม่แก่กล้าเพียงพอ คนในวงการจะยอมรับกันกี่มากน้อยไม่ทราบในเรื่องฝีมือ แต่ที่เห็นศิลปินใหญ่ๆ วงดนตรีใหญ่ๆ มานั่งฟังสวดอภิธรรมโดยไม่สามารถเข้าไปนั่งในศาลาได้ และยืนตากฝนพนมมือฟังพระสวดด้วยความแน่วแน่อย่างไม่มีปัญหากับสิ่งเหล่านั้น
จึงทำให้ผมมองเห็นว่าสิงห์ควรจะได้เป็นนักดนตรีที่ดี และมีบทบาทต่อเพื่อนศิลปินในเมืองไทยต่อในอนาคต ผมอยากจะเสริมปณิธานของลูก เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เขาในระยะยาว เสร็จงานนี้แล้ว ผมและครอบครัวจะตั้งมูลนิธิ "สิงห์ มุสิกพงษ์ เพื่อการดนตรี" เพื่อดูแลสวัสดิการของนักดนตรี และส่งเสริมสถาบันการสอนของนักดนตรี เท่าที่กำลังทรัพย์จะมีอำนวยให้ ทั้งนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายจะร่วมอนุโมทนาสาธุ ท่านประธานที่เคารพ บัดนี้ฝนฟ้าทำถ้าจะเตือน กระผมจึงใคร่กราบเรียนท่านไว้เพียงเท่านี้ โดยขอเชิญท่านประธานขึ้นประเดิมเพลิง เพื่อส่งสรีระของ สิงห์ มุสิกพงศ์ คืนสู่ดิน น้ำ ลม และไฟ เหมือนเดิมต่อไป ส่วนผม..ไม่สามารถที่จะเผาสิ่งที่ผมสร้าง" (ร้องไห้) ทีมข่าว Sanook! News ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ สิงห์ มุสิกพงศ์ มา ณ ที่นี้ http://news.sanook.com/1841903/
เท่าที่อ่าน พ่อกับลูกมีความผูกพันกันมาก โดยเฉพาะตอนที่ขอสักแล้วต้องมาขออนุญาตผู้เป็นพ่อ และเมื่อผู้เป็นพ่อจะ สักบ้าง ทำให้สุดท้ายลูก ต้องยอมยกเลิกความตั้งใจ แสดงให้เห็นว่า พ่อกับลูกมีความผูกพันกันมาก แคร์ความรู้สีกซึ่งกันและกัน ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากครอบครัวที่ดีและอบอุ่น มองในแง่ของครอบครัว นับถือคุณวีระครับ
จำไม่ได้ว่าใครเขียนไว้ เขาบอกว่าเกลียดใครก็ยุให้เล่นการเมือง เยินยอหน่อยว่ามีความเป็นผู้นำ มีผู้คนเลื่อมใสศรัทธามากมาย น่าจะได้เป็นผู้บริหารประเทศ เมื่อผู้นั้นตกหลุมพราง เข้ามาในวังวนของการเมืองแล้ว ชีวิตของคนๆนั้นจะกลายเป็นโศกนาถกรรมตั้งแต่วันแรกที่เข้าสู่การเมืองจนสิ้นลมหายใจ หลายคนคงไม่เห็นด้วย แต่ผมมองว่าหลายคนอาจเป็นปูชนียบุคคลของชาติได้หา
คนย่อมมี รัก โลภ โกรธ หลง เป็นของธรรมดา วีระกานต์ก็ไม่พ้นในข้อนี้ การที่พยายามสร้างความมั่นคง ให้กับครอบครัว ให้กับคนที่เรารัก ย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่จะดีกว่านี้มากหากแบ่งความรักทำให้กว้างไพศาลขึ้น ไปถึงพี่น้องคนไทย พี่น้องร่วมโลก คนธรรมดาอาจมองข้าม แต่เมื่ในวันที่แย่ที่สุดมาถึงย่อมหวังได้ว่ายังมีสิ่งดีเหลืออยู่
รูปนี้ผมเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยครับ น่าจะเห็นแก่ผู้ตายนะครับ ไม่ควรมาแบ่งสีอะไรกันแบบนี้ ผมเห็นแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ ผมเองพึ่งเข้ามาใหม่ไม่เลือกข้าง แต่อย่างน้อยก็ขอยืนข้างความถูกต้องแล้วกันครับ
ปล่อยให้นักการเมืองสุนัขขี้เรื้อนของประเทศนี้ขึ้นมามีอำนาจอีกเมื่อไหร่ โคดแม่มันก็ปรองดองด้วยแก้ว 3 ประการ อีก.. ขอย้ำ นักการเมืองไทยคือความอุบาทว์ชาติชั่วความอัปปรีย์จัญไรของประเทศนี้ครับ น้าโทนี่
สำหรับผม การรบรากันทางการเมืองด้วยความคิดเห็นที่แตกต่างกันนั้น จะยังอยู่เสมอ คุณวีระยืนอยู่บนเวทีหนึ่ง แน่นอน ผมย่อมจะต้องยืนอยู่ข้างอีกเวทีหนึ่ง นั่นเป็นความจริงแน่นอน แต่อย่างที่บอกครับ น้าเช ประเด็นที่ผมหยิบจับมา มันคือเรื่องของพ่อและลูก ที่ผมให้ความรู้สึกชื่นชม ผมเชื่อว่า ไอ้ตู่ ไอ้เต้น มีลูก มันก็คงเป็นคนดีสำหรับลูกเมียของมันไม่ต่างกัน แม้แต่มหาโจร ผมก็เชื่อว่า เขาก็รักลูก และเป็นคนดีของลูกเสมอ นั่นคือความจริง ที่แทบจะครบร้อยเปอร์เซ็นต์ สำหรับคนเป็นพ่อแม่ (เว้นแต่พ่อเชี่ยๆ บางคนที่ข่มขืนลูกทำนองนั้นนะครับ มันโรคจิต) ถ้าพ้นการความโรคจิตเช่นที่ว่า จะมีใครซักกี่คนในโลกนี้ ที่เอาลุกขึ้นมารับบาป สร้างความเกลียดชัง และอาจหมายถึงการรับเคราะห์ เช่นไอ้แม้วที่ทำกับลูกชาย จะมีใครซักกี่คนในโลกนี้ ที่เอาน้องสาวที่บอกว่ารัก มาเป็นแม่ทัพจับศึก ทั้งที่รู้ว่าอันตราย และสติปัญญาน้องและลูกมีไม่พอที่จะยกมาเป็นทัพหน้า โลกนี้ คงมีแต่ไอ้เชี่ยแม้วคนเดียวล่ะครับ
มันมีสิ่งที่เรียกว่าการหลงผิดอยู่ครับ สิ่งที่พ่อแม่คิดว่าดี หรือ"หลอกตัวเองว่าดี" เช่น ใครเขาก็โกงไม่เอาก็โง่สิ แล้วเอาสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีไปสอนลูก ณัฐวุฒิ ตั้งชื่อลูกว่า ด.ช.นปก และ ด.ญ.ชาดอาภรณ์ ใสยเกื้อ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำมันผิดอะไร ถึงกับเอาไปตั้งเป็นชื่อลูก อย่างนี้เรียกรักลูกได้มั๊ย
พ่อแม่ทุกคนโศรกเศร้าเสียใจจากการจากไปของลูกไม่มีน้อยกว่ากัน คุณแม่ของคุณวสุ ก็ไม่ได้เสียใจน้อยไปกว่าพ่อหรือแม่คนอื่น
ผมเจอมาหลายคนแล้วครับ ที่ครอบครัวส่งไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่ยังเป็นเด็ก กลับมาก็มีปัญหาเกี่ยวกับความคิด คือเค้าโตมาในสังคมและวัฒนธรรมตะวันออก ยังไม่ทันได้ซึมซับเต็มที่ ก็ต้องเปลี่ยนไปซึมซับสังคมและวัฒนธรรมตะวันตก ทำให้สับสน พอกลับมา เค้าก็จะคิดว่าเค้ามีชีวิตรอดมาได้ในต่างแดนเพราะตัวเค้าเองเอง ดังนั้นคนพวกนี้จะมั่นใจในตัวเอง จนบางครั้งก็ส่งผลกระทบถึงสังคมรอบข้าง
ที่นั่งอยู่ข้างหลังเจ๊กระบังลม ใช่เป็ดหรือเปล่า ถ้าใช่ ตำแหน่งที่นั่งนี่ บ่งบอกถึงอะไรบางอย่างได้เลยนะ