ทางอัยการจึงสั่งฟ้องเอกชนอีก 7 รายที่ร่วมกระทำผิดในคดีนี้ และจะรวมคดีเข้ากับคดีของบุญทรง-ยิ่งลักษณ์ด้วย เพื่อความสมบูรณ์ของสำนวนและหลักฐานต่างๆ ในคดี G2G เก๊ วันนี้ทีมอัยการคดีจำนำข้าว ได้เดินทางไปยื่นฟ้องเอกชน ในคดีอาญาร่วมสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริตการระบายข้าวแบบ จีทูจี ************************************ วันนี้ (13 ม.ค.) l ข่าวค่ำ 19.00 น.อัยการสูงสุดสั่งฟ้องจำเลยในคดีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ เพิ่มอีก 7 คน พร้อมระบุว่า มีความเกี่ยวข้องในสำนวนคดี ของนายบุญทรง เตริยาภิรมณ์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
สมควรแล้ว พวกเอกชนที่ชอบซูเอี๋ยกะนักการเมือง กัดกินประเทศไทย จะได้เกรงกลัวกันบ้าง ไม่งั้นพอเกิดเรื่องทุจริตทีไร จับได้แต่ข้าราชการตัวเล็กๆ ไอ้พวกหัวขบวนตัวจริง อยู่รอดปลอดภัย
ยื่นฟ้องเอกชน 7 ราย ได้แก่ 1.ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงสีกิจทวียโสธร โดยนายทวี อาจสมรรถ หุ้นส่วนผู้จัดการ 2.นายทวี อาจสมรรถ 3.บริษัท กิจทวียโสธรไรซ์ จำกัด โดยนายทวี อาจสมรรถ กรรมการ 4.บริษัท เค.เอ็ม.ซี. อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด โดยนายปกรณ์ ลีศิริกุล กรรมการ 5.นายปกรณ์ ลีศิริกุล 6.บริษัท เจียเม้ง จำกัด โดยนางประพิศ มานะธัญญา กรรมการ และ 7.นางประพิศ มานะธัญญา
จะมาบอกว่าศาลรับฟ้องอาญาเอกชน 7 ราย ในคดี G2G แล้วนะ หลังจากอัยการสูงสุดมีมติฟ้องเพิ่มเอกชน 7 รายต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในข้อหาร่วมสนับสนุนนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวกอดีตนักการเมือง ข้าราชการและเอกชน รวม 21 รายทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ในวันนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งรับฟ้องคดีดังกล่าวแล้ว โดยนัดพิจารณาเพื่อสอบคำให้การเอกชน 7 ราย ครั้งแรก ในวันที่ 2 มีนาคมนี้ เวลา 09.30 น. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ศาลนัดไต่สวนพยานครั้งแรกคดีที่นายบุญทรง กับพวก 21 รายตกเป็นจำเลย สำหรับเอกชน 7 รายที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ประกอบด้วย 1.ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงสีกิจทวียโสธร, นายทวี อาจสมรรถ หุ้นส่วนผู้จัดการโรงสีกิจทวียโสธร, บริษัท กิจทวียโสธรไรซ์ จำกัด ที่มีนายทวี อาจสมรรถ เป็นกรรมการ , บริษัท เค.เอ็ม.ซี. อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด, นายปกรณ์ ลีศิริกุล กรรมการบริษัท เค.เอ็ม.ซี. อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด, บริษัท เจียเม้ง จำกัด และนางประพิศมานะธัญญา กรรมการบริษัทเจียเม้ง จำกัด สำหรับคดีปล่อยปะละเลยโครงการจำนำข้าวที่อัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดไต่สวนพยานโจทก์ ครั้งที่ 3 ในวันพรุ่งนี้(26 ก.พ.) เวลา 09.30 น. ซึ่งอัยการ โจทก์ เตรียมพยานบุคคล เพื่อให้ศาลไต่สวน รวม 3 ปาก ประกอบด้วย นายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย, นายระวี รุ่งเรือง เครือข่ายชาวนาไทย และ พล.ต.ท.ยุทธนา ไทยภักดี ประธานคณะอนุกรรมาธิการติดตามตรวจสอบการระบายข้าว ในคณะกรรมการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา
ศาลฎีกาฯไต่สวนคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐนัดแรก หลังรวมคดีหน่วยงานรัฐ ฟ้องเรียกค่าเสียหายเอกชนเอี่ยวทุจริต วันนี้ (15มิ.ย.59) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนนัดแรกในคดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) และพวกรวม 28 ราย ฐานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยวันนี้ศาลนัดไต่สวนพยานฝ่ายอสส. จำนวน 6 ปาก ได้แก่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ,นายสกล หาญสุทธิวารินทร์ อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์,นางสาวชุติมา บุณยประภัทร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ,นางมนัศนิตย์ จิรวัฒน์ นักวิชาการเชี่ยวชาญ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์,น.ส.พันธุ์สุดา จันทรโมลี ข้าราชการกรมการค้าต่างประเทศ ,และน.ส.รัตนาภรณ์ ไตรรัตนานุสรณ์ นักวิชาการชำนาญพิเศษ กรมการค้าต่างประเทศ ทั้งนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ เคยเลื่อนการไต่สวนนัดแรก วันที่ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา เนื่องจากมีผู้ยื่นคำร้อง 5 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการค้าต่างประเทศ ,องค์การคลังสินค้า ,องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ,กระทรวงพาณิชย์ ,และการะทรวงการคลัง เรียกค่าเสียหายจากเอกชนที่เกี่ยวข้องกับคดีจำนวน 7 ราย นอกจากนี้ศาลสั่งยกเลิกการนัดไต่สวนในวันที่ 4 และวันที่ 11 พ.ค. นี้ แต่เพิ่มวันนัดไต่สวน 8 นัด ได้แก่ วันที่ 1 ,15 มี.ค. ปี 2560 ,วันที่ 19,26 เม.ย. ปี 2560 ,วันที่ 17,31 พ.ค. ปี 2560 ,และวันที่ 14,28 มิ.ย. ปี 2560 โดยกำหนดให้การไต่สวนพยานของผู้ยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนแล้วเสร็จใน 1 นัด และการไต่สวนพยานของเอกชนในสำนวนคดีที่เพิ่มใหม่ จำนวน 11 ปาก แล้วเสร็จใน 3 นัด อย่างไรก็ตาม ศาลได้กำชับคู่ความ โดยเฉพาะ นพ.วรงค์ในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ที่อาจเป็นการชี้นำ บิดเบือน หรือมีอิทธิพลเหนือความคิดของประชาชนอีกด้วย
เจออายัดทรัพย์ไปก่อนแล้วนะจ๊ะ เลขาธิการ ปปง.แถลงยึดทรัพย์นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวกรวม 21 คน มูลค่ากว่า 7 พันล้านบาท ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่เชื่อมโยงกับเสี่ยเปี๋ยง และบริษัทสยามอินดิก้า ขณะที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เห็นด้วยกรณีการใช้ อำนาจตามมาตรา 44 ยึดทรัพย์คดีจำนำข้าว พร้อมเรียกร้องความเป็นธรรม พลตำรวจเอกชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กล่าวว่า หลัง ปปง.รวบรวมพยานหลักฐานและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของกลุ่มบริษัทสยามอินดิก้า บริษัท สิราลัย จำกัด ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทกีธา พร็อพเพอร์ตี้ส์ จำกัด และบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ เสี่ยเปี๋ยง ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวโดยพบว่ากล่มบุคคลดังกล่าวมีพฤติการณ์ทุจริต โดยการปลอมสัญญาให้ดูเหมือนมีการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี นอกจากนั้น ป.ป.ช.ยังได้ตรวจพบการได้มาซึ่งทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดฐานทุจริตตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยที่ประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ปปง.มีมติเมื่อวันที่ 8 กันยายน ให้ยึดและอายัดทรัพย์สิน เป็นเงินฝากในบัญชีธนาคารจำนวน 51 บัญชี มูลค่าประมาณ 921 ล้านบาท และที่ดินในเขตกรุงเทพมหานคร, ลำพูน, ภูเก็ต, พังงา, พระนครศรีอยุธยา และจังหวัดอ่างทอง รวมทั้งหมด 612 รายการ รวมมูลค่าทั้งหมดกว่า 7,000 ล้านบาท คดีดังกล่าว สืบเนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับพวกรวม 21 คน กระทำความผิดด้วยการแบ่งหน้าที่กันทำงานโดยช่วยเหลือ มุ่งหมาย และเอื้อประโยชน์ให้บริษัทรับซื้อข้าวไม่ต้องแข่งขันราคากับผู้เสนอราคารายอื่น แล้วนำข้าวที่ซื้อได้จากโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลในราคาที่ต่ำกว่าราคาขายในประเทศ หรือต่ำกว่าราคาที่จำนำ ไปขายต่อให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในประเทศ หรือนำไปให้บริษัทสยามอินดิก้าขายต่ออีกทอดหนึ่ง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมการค้าต่างประเทศและประเทศชาติ คิดเป็นมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท "ยิ่งลักษณ์" ค้านคำสั่งยึดทรัพย์ ส่วนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไต่สวนพยานจำเลยนัดที่ 3 คดีโครงการรับจำนำข้าว ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ไม่เห็นด้วยกรณีการใช้ อำนาจตามมาตรา 44 ยึดทรัพย์คดีจำนำข้าว พร้อมเรียกร้องความเป็นธรรม นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเรียกค่าเสียหายจากการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ G2G 4 สัญญา รวม 6,200,000 ตัน เป็นมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท จากนักการเมือง และข้าราชการ รวม 6 ราย ว่าล่าสุดได้รับหนังสือตอบกลับจากนายกรัฐมนตรี ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบอำนาจให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ลงนามคำสั่งทางปกครองในการเรียกค่าเสียหายแทน โดยยืนยันว่า เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้งหรือลงโทษใคร ทั้งนี้ เมื่อมีการลงนามในคำสั่งแล้ว จะแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหารับทราบ และภายใน 30 วัน ถ้าผู้ถูกกล่าวหายังเพิกเฉย หรือไม่มีการโต้แย้ง จะส่งหนังสือแจ้งเตือนรอบที่ 2 ซึ่งมีระยะเวลา 15 วัน จากนั้นจะสรุปส่งไปยังกรมบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ หากผู้ถูกกล่าวหามีข้อโต้แย้ง ต้องยื่นเรื่องไปที่ศาลปกครอง และเข้าสู่กระบวนการทางกฏหมายต่อไป โดยยืนยันว่า การดำเนินการเรียกค่าเสียหายจากการขายข้าว G2G จะทันก่อนหมดอายุความ ในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าแน่นอน ด้าน นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน ซึ่งจะขึ้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ กล่าวว่า การมอบอำนาจให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนาม จะต้องมีเหตุผล ตนไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการคดีข้าวจีทูจีมาตั้งแต่ต้น และไม่รู้รายละเอียด หากต้องเข้าไปดูแล ก็ต้องศึกษาให้รอบคอบ ไม่ใช่รีบดำเนินการทันที เพราะทุกอย่างมีขั้นตอนและกระบวนการ ที่ผ่านมาปลัดกระทรวงพาณิชย์คนปัจจุบัน และทีมงานของกรมการค้าต่างประเทศ เป็นผู้ดำเนินการเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง กระทรวงพาณิชย์ ลงนามคำสั่งทางปกครอง เรียกค่าเสียหายในคดีทุจริตขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี จากนักการเมืองและข้าราชการรวม 6 คนแล้ว นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมกับ นางชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงนามในหนังสือคำสั่งดังกล่าวเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยยืนยันเป็นการลงนามตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งหลังจากนี้จะส่งหนังสือแจ้งทั้ง 6 คน เพื่อรอการตอบกลับภายใน 30 วัน หากไม่ตอบกลับก็จะแจ้งเตือนอีก 15 วัน ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนของกรมบังคับคดีต่อไป สำหรับความเสียหายกรณีระบายข้าวจีทูจี ได้เรียกค่าชดเชยจาก นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และพวก รวม 20,000 ล้านบาท ซึ่งผู้ชดใช้สามารถอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลปกครอง เพื่อให้คุ้มครองชั่วคราว รวมถึงยื่นต่อไปยังศาลปกครองสูงสุดได้ตามลำดับ แต่หากศาลปกครองยกคำร้อง หรือเห็นชอบกับคำสั่งทางปกครองดังกล่าว ก็จะบังคับคดีและยึดทรัพย์ตามคำสั่ง คสช.ที่ 56/2559 ต่อไป ซึ่งขั้นตอนเช่นนี้จะใช้ในคดี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะลงนามเรียกค่าเสียหายเร็วๆนี้ด้วย ขณะที่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ คัดค้านการใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งดังกล่าว ทั้งที่คดีอยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อีกทั้งไม่มีความชัดเจนว่าความเสียหายเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เป็นเงินจำนวนเท่าไร แต่กลับเร่งรีบ รวบรัดให้เตรียมยึดทรัพย์ จึงเห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติ และไม่เป็นธรรม นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เตรียมฟ้องกลับ หลังรัฐมนตรีว่าการกระพาณิชย์ และ ปลัด ก.พาณิชย์ ลงนามในหนังสือบังคับทางปกครองเรียกร้องค่าเสียหายจากการขายข้าวแบบจีทูจี พวกรวม 6 คน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยืนยันว่าจะยื่นขอทุเลาคำสั่งและจะฟ้องกลับทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ตามสิทธิ์ที่จะทำได้ เพราะเห็นว่าการนำ ม.44 มาใช้ทั้ง ๆ ที่มีกฏหมายอื่นดำเนินการได้ เป็นการลัดขั้นตอนและเร่งรัดให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการตามธงที่ตั้งไว้ ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายปกครองไม่เคยฟังคำชี้แจงใด ๆ จึงหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากศาล เช่นเดียวกับนายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่าคดีนี้มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ยืนยันว่าจะต่อสู้ตามกฏหมาย และย้ำว่าการดำเนินการของรัฐบาลในขณะนั้นไม่ได้ทำให้ประเทศเสียหาย ขณะที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ชี้แจงถึงการเรียกค่าเสียหาย ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดกับการดำเนินคดีอาญาในศาลฎีกาฯ ว่าเป็นคนละส่วนกัน จึงสามารถดำเนินการควบคู่กันไปได้ ซึ่งในอดีตเคยทำเช่นนี้มาก่อน ส่วนการเรียกค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อธิบดีกรมบัญชีกลางบอกว่า ยังไม่มีการสรุปตัวเลขที่ชัดเจน แต่ยืนยันว่าจะทำคดีให้เสร็จก่อนเกษียณอายุราชการ หลังการลงนามคำสั่งทางปกครองเพื่อเรียกค่าเสียหายจากการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ รวม 20,000 ล้านบาท ของนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ลงนามแทนนายกรัฐมนตรี และนางสาวชุติมา บุญประภัสร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ที่ลงนามแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม วันนี้ รัฐบาลได้อออกมาชี้แจงว่าการลงนามเป็นไปตามกฎหมาย โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า การลงนามคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายแทนกัน เป็นเรื่องที่ทำได้ เพราะถ้าทำไม่ได้คงไม่มีการลงนามแทนกัน ในขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังการลงนามในคำสั่งทางปกครองแล้ว กระทรวงพาณิชย์ต้องแจ้งให้ผู้ต้องชดใช้ค่าเสียหายทราบภายใน 30 วัน หากยังไม่ชดใช้จะแจ้งเตือนภายใน 15 และจะมีผลทันที โดยกรมบังคับคดีสามารถดำเนินการบังคับคดีได้ทันที ยกเว้นผู้ถูกคำสั่งทางปกครองจะร้องศาลปกครอง และ ศาลปกครองออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้กระบวนการจ่ายค่าเสียหายต้องหยุด เพื่อรอคำพิพากษาศาลฯ ด้านนายพูลเดช กรรณิการ์ ผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ยื่นหนังสือถึง นายวิษณุ ผ่านผู้แทน เพื่อขอให้ทบทวนหลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงนามคำสั่งบังคับทางปกครอง เนื่องจากคณะกรรมการกฤษฎีกา เคยทำหนังสือตอบกลับไปที่กระทรวงพาณิชย์ว่า ผู้มีอำนาจลงนาม คือ นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แต่การลงนามแทนกันอาจทำไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้การเรียกค่าเสียหายจากจีทูจี เป็นโมฆะได้ และทำให้ผู้ถูกคำสั่งทางปกครอง 6 คน ยกมาต่อสู้คดีภายหลัง สำหรับผู้ถูกคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียจำนำข้าว 6 คน รวม 20,000 ล้านบาท เป็นอดีตข้าราชการการเมือง 3 คน คือนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สารผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พันตรีวีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ส่วนอดีตข้าราชการประจำ 3 คน เป็นข้าราชการกรมการค้าต่างประเทศ
ดารินทร์ กานต์ @lakkhana_m อภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.กระทรวงพาณิชย์ พร้อมปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงนามคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายผู้เกี่ยวข้องจีทูจีแล้ว....เช้านี้.
“รมว.พณ.”ระบุไม่กังวล “บุญทรง”ประกาศเตรียมฟ้องกลับอาญา-แพ่งปมเรียกค่าเสียหายข้าวจีทูจี ลั่นดำเนินการตามขั้นตอน ความคืบหน้าการเรียกร้องค่าเสียหาย กรณีข้าว G2G 4 สัญญา จำนวน 6,200,000 ตัน มูลค่าความเสียหาย 20,000 ล้านบาท ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 6 ราย โดยหลังจากปลัดกระทรวงพาณิชย์ได้ลงนามในคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายดัง กล่าวแล้วนั้น นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้ทางกระทรวงพาณิชย์ ได้ปิดประกาศหนังสือบังคับทางปกครอง ที่หน้าบ้านของผู้เกี่ยวข้องจำนวน 4 ใน 6 ราย เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา และอีกรายได้ปิดประกาศหนังสือ ในวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยผู้รับจะต้องลงนามเพื่อแสดงว่าได้รับหนังสือฯ แล้ว หากครบ 30 วันแล้วไม่มาชำระ จะทำหนังสือเตือน หากภายใน 15 วันไม่จ่ายค่าเสียหาย จะทำหนังสือแจ้งกรมบังคับคดีต่อไป ทั้งนี้ ผู้เสียหายมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองได้ใน 90 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือเรียกค่าเสียหาย ส่วนคดีจำนำข้าว กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการออกคำสั่งเรียกค่าเสียหายประมาณ 35,717 ล้านบาท จาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สำหรับความเสียหายที่เหลืออีก 80% เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องชดใช้ความเสียหายในส่วนนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการ และอยู่ระหว่างการนัดหารือร่วมกับหลายหน่วยงาน โดยมีกรมการค้าต่างประเทศ ร่วมประชุมด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะโครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการเชิงนโยบาย มีข้าราชการระดับสูงทั่วประเทศมาเกี่ยวข้อง ทั้งคณะรัฐมนตรี, คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ กขช. และข้าราชการส่วนภูมิภาค
ในช่วงบ่ายที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางได้ ได้พิจารณาคำร้องที่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ และพวกอีก 4 คน ได้ยื่นเรื่องขอให้ศาลปกครองทุเลาการบังคับคดีชดใช้ค่าเสียหายจากการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ศาลปกครองยกคำร้อง "บุญทรง-พวก" ขอทุเลาหนี้จำนำข้าว จากการพิจารณา ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งยกคำร้องของนายบุญทรง โดยศาลพิเคราะห์ แล้วเห็นว่า การที่ศาลจะมีอำนาจออกคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งพิพาทในระหว่างพิจารณาคดีได้นั้น ต้องครบเงื่อนไขตามกฎหมายทั้ง 3 ประการ 1.คำสั่งพิพาทน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2.การให้คำสั่งพิพาทมีผลใช้บังคับต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง และ 3.การทุเลาการบังคับตามคำสั่งพิพาทไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่บริการสาธารณะ ซึ่งเมื่อศาลพิจารณาข้อเท็จจริงในชั้นไต่สวน เห็นว่า ภายหลังจากนายกรัฐมนตรี กับ พวกรวม 4 คน เป็นผู้ถูกฟ้องคดีได้ออกคำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 คดี ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน นายกรัฐมนตรีฯมีหนังสือแจ้งเตือนให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เสร็จสิ้นใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ นอกจากหนังสือแจ้งเตือนแล้ว ฝ่ายของนายกรัฐมนตรีผู้ถูกฟ้องคดียังไม่มีการใช้มาตรการบังคับทางปกครอง โดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 และขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าสินไหมทดแทน ดังนั้นจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า คำสั่งพิพาทน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 อ้างว่า คำสั่งพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการนั้น เป็นประเด็นในเนื้อหาของคดีที่ศาลจะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป ขณะที่ตัวแทนผู้ฟ้องคดี ระบุว่า สาเหตุที่ศาลยกคำขอเนื่องจาก เห็นว่าการบังคับคดียังไม่เกิดขึ้นจริง เป็นเพียงแต่มีการแจ้งเตือนจากกระทรวงพาณิชย์ว่า มีคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น ส่วนกระบวนการบังคับคดีเป็นเรื่องที่กระทรวงพาณิชย์กับกรมบังคับคดีต้องไปดำเนินการ อย่างไรก็ตามหากมีการบังคับคดีเกิดขึ้นจริง ผู้ฟ้องคดีฯทั้งหมดจะยื่นต่อศาลปกครองอีกครั้งเพื่อขอทุเลาการบังคับใช้คำสั่ง ส่วนคดีหลักที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงพานิชย์ให้ชดใช้สินไหมทดแทนในกรณีดังกล่าวขณะนี้อยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณาของศาล กระทรวงพาณิชย์ยันส่งบังคับคดีนานแล้ว รายงานข่าว กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า เมื่อศาลยกคำร้อง กรมบังคับคดีต้องดำเนินการยึดทรัพย์นายบุญทรง และพวกรวมทั้งหมด 6 คนตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ซึ่งทราบว่า กรมบังคับคดีได้ดำเนินการสืบทรัพย์บุคคลทั้ง 6 คนมาอย่างต่อเนื่อง แต่อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง กว่าจะถึงขั้นยึดทรัพย์ได้ ขณะที่คุณรื่นฤดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม บอกว่า กรมบังคับคดี ยังไม่ได้รับเรื่องนี้จากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ที่ถือว่าเป็นผู้เสียหาย จึงยังไม่ได้ดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์ใด ๆ เพราะยังไม่ได้ตั้งเรื่องมาว่า มีทรัพย์สินใดบ้างที่ต้องการให้กรมบังคับคดี ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมการค้าต่างประเทศที่ต้องไปสืบหาทรัพย์สินแล้วแจ้งต่อกรมบังคับคดี หลังจากนั้น กรมบังคับคดี จึงจะดำเนินการยึดอายัดทรัพย์ตามคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ต่อไป พาณิชย์เตรียมตั้งเรื่อง ยึดอายัดทรัพย์ "นักการเมืองและพวก" ในคดีทุจริตขายข้าวจีทูจี ให้กรมบังคับคดี 14 กุมภาพันธ์นี้ ยืนยันคดีล่าช้า เพราะขั้นตอนทางกฎหมายเยอะ ทำให้เรื่องล่าช้า หลังศาลปกครองยกคำร้องของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการพาณิชย์ และพวกรวม 5 คน ไม่ทุเลาคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ให้ชดใช้ค่าเสียหายทุจริตคดีจำนำข้าวระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล หรือ จีทูจี กว่า 2 หมื่นล้าน วันนี้ นาง ดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และ น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ร่วมแถลงแนวทางในการบังคับคดี ระบุว่าที่ผ่านมาทำงานกันอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด เพื่อใช้มาตราการบังคับทางปกครอง สืบทรัพย์ ยึด อายัด และ ขายทอดตลาด หลังจากนี้กระทรวงพาณิชย์ จะมีหนังสือมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ดำเนินดารตั้งเรื่องกับกรมบังคับคดี พร้อมยอมรับว่าเป็นเรื่องใหม่มีรายละเอียดค่อนข้างมาก โดยวันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ จะส่งข้อมูลดำเนินการตามขั้นตอนทางเทคนิค น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ระบุว่า ขั้นตอนการบังคับคดี ขณะนี้กรมบังคับคดีจะทำงานกับกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ที่ถือว่าเป็นผู้เสียหาย โดยจะให้กรมการค้าต่างประเทศตั้งเรื่องว่า มีทรัพย์สินใดบ้างที่ต้องการให้กรมบังคับคดีดำเนินการ ซึ่งเป็นหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศต้องไปสืบหาทรัพย์สินแล้วแจ้งต่อกรมบังคับคดี จากนั้นกรมบังคับคดีจะปฏิบัติตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งคือไปดำเนินการยึดอายัดทรัพย์ตามคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ต่อไป คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกค่อนข้างนาน แต่ขอให้มั่นใจว่าจะทำให้ดีที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของรัฐ สำหรับเจ้าหน้าที่ทั้ง 6 รายที่ อยู่ในกระบวนการสืบทรัพย์ จากเจ้าหน้าที่ ได้แก่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รวม.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช. พณ. นายมนัส สร้อยเพชร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทรวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายอัฐฐิติพงศ์ หรือ อัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ นางรื่นวดี กล่าวต่อว่า แม้กระบวนการต้องใช้เวลานาน แต่ไม่ต้องห่วงการสิ้นสุดคดี เพราะคดีแพ่งโจทก์สามารถดำเนินคดีได้ภายใน 10 ปี นับตั้งแต่วันพิพากษา กรมการค้าฯยอมรับกระบวนยึด-อายัดทรัพย์ “บุญทรง-พวก"คดีทุจริตขายข้าวจีทูจีมีความล่าช้า เตรียมตั้งเรื่องเพื่อดำเนินการตามกฏหมาย14ก.พ.นี้ วันนี้(11ก.พ.60)นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และ นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ร่วมกันชี้แจงถึงกรณีเรียกค่าเสียหาย จากนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และพวก ในคดีการทุจริตการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 20,000 ล้านบาท หลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ของนายบุญทรง และพวก ที่ขอให้ทุเลาชดใช้ค่าเสียหายในคดีดังกล่าว นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ระบุว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประสานงานและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ในการใช้มาตรการบังคับทางปกครองสืบทรัพย์ ยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ 6 รายที่ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตขายข้าวจีทูจี พร้อมกันนี้ ยืนยันว่าการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์ และกรมบังคับคดีไม่ได้เกิดความขัดแย้ง จนเป็นเหตุให้การดำเนินคดีล่าช้า แต่ติดขัด ที่ขั้นตอนและระเบียบปฎิบัติที่จะต้องดำเนินการคดีทางแพ่ง ซึ่งกรมบังคับคดีไม่สามารถดำเนินการได้หากโจทย์ไม่ได้มีการตั้งเรื่องเสนอมายังกรม เพื่อดำเนินการยึดอายัดทรัพย์ เพราะกรมเป็นเพียงหน่วยงานสนับสนุน ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับคดีนี้ ซึ่งหากหน่วยงานที่เป็นโจทย์ฟ้องส่งเอกสารครบถ้วนก็จะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ด้านนางดวงพร รอดพญาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า กรมฯได้รับเอกสารการตั้งเรื่องยึด อายัดทรัพย์ จากกรมบังคับคดีแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการและรวบรวมเอกสารทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะสามารถตั้งเรื่องและส่งให้กรมบังคับคดีได้ภายในวันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ โดยยอมรับว่า คดีนี้มีความคืบหน้าไม่มากนัก เพราะหน่วยงานที่เกี่ยวไม่มีประสบการเกี่ยวกับคดีทางปกครองและทางแพ่ง ประกอบกับมีรายละเอียดทางเทคนิคเป็นจำนวนมาก จึงต้องอาศัยเวลาในการทำความเข้าใจ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด และรักษาผลประโยชน์ประเทศ ทั้งนี้ การดำเนินคดีดังกล่าว เป็นไปตาม พระราชบัญญัติ วิธีปฎิบัติราชการทางปกครอง มาตรา 57 ที่ให้เจ้าหน้าที่ใช้มาตรการบังคับทางปกครองยึด หรือ อายัดทรัพย์สิน เพื่อชำระมูลหนี้ให้ครบถ้วน โดยมีการอนุโลมให้ปฎิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้ร่วมดำเนินการ กรมการค้าต่างประเทศ เตรียมเสนอกรมบังคับคดี ดำเนินการยึด อายัดทรัพย์ “นายบุญทรง เตริยาภิรมย์” พร้อมพวก รวมเป็นเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท คดีทุจริตขายข้าวจีทูจี ซึ่งทางด้านนายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่ กรณียึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริต พร้อมยืนยัน ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ไม่ล่าช้าแต่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ
ก็ไม่รู้จะจบยังไงนะครับ เพราะมูลค่าความเสียหายมากกว่ามูลค่าทรัพย์สินของผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนทรัพย์สินใดๆที่พอมีอยู่ พวกโจรใส่สูทเหล่านี้คงเคลื่อนย้ายถ่ายโอนออกจากตัวจนหมดแล้ว
ข่าว 7 สี - ช่วงเด็ดเศรษฐกิจวันนี้ มีหลายประเด็นน่าสนใจ ติดตามได้จากคุณชาญวิทย์ ลัภโต เด็ดสุดวันนี้ เป็นความคืบหน้าการดำเนินการกับผู้ทุจริตโครงการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ วันนี้กระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นโจทก์ ได้ยื่นเรื่องต่อกรมบังคับคดีแล้ว อีกเรื่องปัญหารถเมล์เอ็นจีวี ขสมก.จะยกเลิกสัญญาหรือไม่ ยังต้องมีการหารือกันต่อไป วันนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ตั้งเรื่องเอาผิดทุจริตข้าวจีทูจี กรณีการเรียกชดใช้ค่าเสียหายทุจริตขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท จากนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งนักการเมือง และข้าราชการ รวม 6 ราย ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศได้ตั้งเรื่องและยื่นเอกสาร ส่งให้กรมบังคับคดีเพื่อให้ดำเนินคดี ยึดอายัดทรัพย์แต่ละรายแล้ว โดยทรัพย์สินของนายบุญทรง ที่แจ้งไว้เมื่อพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ครบ 1 ปี มีกว่า 16 ล้านบาท ต้องชดใช้ค่าเสียหายจากการทุจริตขายข้าวจีทูจี 1,770 ล้านบาท ส่วนนายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินไว้หลังพ้นตำแหน่ง 1 ปี มีกว่า 41 ล้านบาท และต้องชดใช้ค่าเสียหายรวมกว่า 2,300 ล้านบาท ขณะที่ ข้าราชการ 4 รายที่เข้าข่ายทุจริต ต้องชดใช้ค่าเสียหายเฉลี่ยถึงรายละ 4 พันล้านบาท ซึ่งหลังจากตั้งเรื่องให้กรมบังคับคดีแล้ว จะทำให้การดำเนินคดีรวดเร็วขึ้น ซึ่งคดีนี้กระทรวงพาณิชย์ยืนยันจะรักษาผลประโยชน์ของประเทศให้ได้มากที่สุด และจะดำเนินการให้เสร็จก่อนที่คดีจะหมดอายุความ 10 ปี เปิดประมูลข้าวล็อตแรกปีนี้คึกคัก หลังจากที่รัฐบาลชะลอการระบายข้าวมาตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว เพื่อป้องกันราคาข้าวตกต่ำ วันนี้กระทรวงพาณิชย์ก็เปิดให้ผู้ค้าข้าวที่สนใจ ยื่นตรวจสอบคุณสมบัติ เพื่อเข้าประมูลซื้อข้าวในสต็อกรัฐบาลล็อตแรกของปีนี้ ปริมาณกว่า 2.87 ล้านตัน ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการมากถึง 73 ราย เนื่องจากเป็นข้าวล็อตสุดท้ายที่เป็นเกรดคุณภาพ สามารถบริโภคได้ ซึ่งจะมีการประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติ พร้อมกับให้ยื่นเสนอราคา ในวันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์นี้ โดยจะต้องเป็นราคาที่เหมาะสม ไม่ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำที่ทางการกำหนดไว้ สำหรับข้าวที่เหลือในสต็อกอีกว่า 5.3 ล้านตัน จะเปิดประมูลสำหรับภาคอุตสาหกรรม ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ก่อนที่ผลผลิตข้าวนาปรังจะออกสู่ตลาด กก.พาณิชย์ยื่นเรื่องให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์ "บุญทรงและพวก"วันนี้
นนทบุรี 21 ก.พ.- กรมการค้าต่างประเทศส่งหนังสือมอบอำนาจยึดทรัพย์ เรียกค่าเสียหายทางแพ่งกรณีการขายข้าวจีทูจีให้กับนักการเมืองและข้าราชการรวม 6 คน นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมการค้าต่างประเทศได้ส่งหนังสือมอบอำนาจยึดทรัพย์ เพื่อเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง กรณีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี มูลค่า 20,000 ล้านบาท ให้กับนักการเมืองและข้าราชการรวม 6 คน และได้ส่งข้อมูลการสืบทรัพย์ล็อตแรกให้กับกรมบังคับคดี เพื่อไปดำเนินการยึดทรัพย์ หลังจากนี้เตรียมสืบทรัพย์เพิ่มเติม โดยตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสืบทรัพย์ดำเนินการขั้นตอนต่อไป.-สำนักข่าวไทย
หลังจากศาลปกครอง มีคำสั่งยกคำขอทุเลาการบังคดีทางปกครองของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ในการยึดและอายัดทรัพย์เพื่อเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง กรณีการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ความเสียหาย 20,000 ล้านบาท สามารถเดินหน้าต่อทันที มีความเคลื่อนไหวมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถูกหลายคนตั้งคำถามว่าจะดำเนินการจริงหรือไม่ ขั้นตอนไปถึงไหนแล้ว คุณพชรปพน พุ่มประพันธ์ ได้ตรวจสอบไปที่กระทรวง และ กรมต่างๆที่เกี่ยวข้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบอำนาจในการดำเนินการครั้งนี้ให้กับนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้มอบอำนาจต่อให้กับ นางวิบูลลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเมื่อได้รับมอบอำนาจมาแล้ว ได้เป็นคนเซ็นลงนามมอบอำนาจด้วยตัวเอง โดยมอบอำนาจต่อให้กรมการค้าต่างประเทศ ดำเนินการส่งหนังสือมอบอำนาจการยึด และอายัดทรัพย์สิน ไปที่กรมบังคับดคี โดยกรมการค้าต่างประเทศ ถือว่าเป็นโจทย์ที่จะขอให้ยึด และอายัดทรัพย์สินของบุคคลทั้ง 6 คน ให้จ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในโครงการ คือ 1. นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ต้องชดใช้ค่าเสียหาย 1,700 ล้านบาท 2. นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ ต้องชดใช้ค่าเสียหาย 2,300 ล้านบาท 3. นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ต้องชดใช้ค่าเสียหาย 4,000 ล้านบาท 4. นางทิฑัมพร นาทวรทัต อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ต้องชดใช้ค่าเสียหาย 4,000 ล้านบาท 5. นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีต ผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศ ต้องชดใช้ค่าเสียหาย 4,000ล้านบาท 6. พ.ต.ท.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ ต้องชดใช้ค่าเสียหาย 4,000 ล้านบาท รวมทั้งหมด 20,000 ล้านบาท จากความเสียหายที่เกิดขึ้นในโครงการนี้ ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศ ได้กรอกคำร้อง และค่าธรรมเนียม เรียบร้อยแล้วพร้อมทำการสืบทรัพย์ของทั้ง 6 คน โดยการสืบทรัพย์ครั้งแรก แหล่งข่าวระบุว่ามีเพียงบัญชีเงินเดือนของทั้ง 6 คน ที่รวบรวมได้ จากนั้นได้ส่งคำร้องขอยึดและอายัดทรัพย์สินส่งต่อไปที่กรมบังคับคดี จุดนี้สำคัญเพราะถูกจับตามองว่าเมื่อกรมบังคับคดีได้รับเรื่องแล้วจะดองไว้หรือไม่ จะดำเนินการอย่างไรต่อ จากการตรวจสอบและยืนยันจากแหล่งข่าวกรมบังคับคดี บอกว่า ตอนนี้ได้รับคำร้อง และเอกสารทั้งหมดแล้ว ได้ทำการพิจารณาคำขอยึดและอายัดทรัพย์สินตามกระบวนการยึดทรัพย์ทางแพ่ง จากนั้นจะส่งเจ้าพนักงานดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์ต่อทันที แต่ยังไม่ได้หมายความว่าจะเดินไปยึดทรัพย์ตามที่โจทย์ หรือ กรมการค้าต่างประเทศ แจ้งมาได้ทันทีเพราะยังมีขั้นตอนอีก คือ - ต้องแจ้งให้เจ้าของทรัพย์ทราบก่อน รวมทั้งนายทะเบียนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ก็ขึ้นอยู่กับทรัพย์สินที่สืบมาได้ และในขั้นตอนนี้ เจ้าของทรัพย์สามารถโต้แย้งได้ - ถ้าผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ กรมบังคับคดี จะรายงานต่อศาลแพ่งเพื่อขออนุญาตขายทอดตลาด ในกระบวนการตรงนี้ กรมการค้าต่างประเทศ ได้ดำเนินการเพิ่มเติมอีก คือ ตั้งคณะทำงานขึ้นมาอีก 1 ชุด เพื่อทำการสืบทรัพย์ ครั้งที่ 2 ของทั้ง 6 คน เฉพาะบัญชีเงินเดือนที่ได้มาอาจไม่เพียงพอก็ต้องไปดูว่ามีบัญชีธนาคารอื่นๆเพิ่มเติมหรือไม่ บ้านและที่ดิน รถยนต์ หรือ ของมีค่าอื่นๆ ทั้งหมดก็สามารถยึดและอายัดทรัพย์สินได้ กระบวนการตรงนี้มีอายุความ 10 ปี ด้าน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บอกว่า หลังจากศึกษารายละเอียดคำสั่งของศาลปกครองที่ยกคำร้องไปก่อนหน้านี้ ศาลได้ให้เหตุผลว่า เนื่องจากเหตุยังไม่เกิด ยังมีช่องทางอื่นที่สามารถขอทุเลาได้ และยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ใน 3 ประเด็น คือ 1.คำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2.กรณีฉุกเฉินหากไม่ทุเลาจะเกิดความเสียหาย 3.ทำให้เกิดปัญหา หรือขัดขวางการให้บริการของภาครัฐ แต่หลังจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าได้เริ่มขั้นตอนการยึดทรัพย์แล้วเบื้องต้น ตนจึงได้ไปยื่นเรื่องต่อกระทรวงพาณิชย์ ตามมาตรา 62 ในระเบียบวิธีพิจารณาทางปกครอง ตามข้อเสนอแนะของศาลปกครองไว้แล้ว แต่หากยังไม่เป็นผลจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองเพื่อขอคุ้มครองการบังคับคดี รวมถึง จะทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี ขอให้ชะลอการยึดทรัพย์ไปจนกว่ากระบวนการพิจารณาในชั้นศาลจะสิ้นสุด แต่หากเจ้าหน้าที่ยังดำเนินการต่อจะยื่นฟ้องต่อไปเพราะถือเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนทางกฎหมาย การดำเนินคดีในโครงการรับจำนำข้าวใช่ว่าจะเงียบหายไปเพราะขณะนี้ขั้นตอนอยู่ในกระบวนพิจารณาของศาลทั้งศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงดำแหน่งทางการเมือง และ การยึดทรัพย์ชดใช้ความเสียหาย แต่วันนี้เราจะไปดูในฝั่งของการยึด อายัดทรัพย์จากเอกชนที่เข้าไปมีส่วนพัวพันการทุจริตกับโครงการรับจำนำข้าว นั่นคือ เสี่ยเปี๋ยง หรือ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ทรัพย์สิน ปปง.อายัดมาแล้ว จนถึงวันนี้กว่าหมื่นล้านบาทวันนี้เราไปเจาะดูกันว่ารายการทรัพย์สินเหล่านั้นมีอะไรบ้าง ที่ได้มาจากการทุจริตทำความเสียหายให้กับประเทศ ในรายงาน กางบัญชีอายัดทรัพย์ “เสี่ยเปี๋ยง” โกงจำนำข้าว กางบัญชีอายัดทรัพย์ “เสี่ยเปี๋ยง” โกงจำนำข้าว ผลพวงความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวกรณีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด 4 สัญญา 6.2 ล้านตัน มูลค่าความเสียหาย 20,000 ล้านบาท นอกจากนักการเมือง 6 ราย คือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และพวกแล้ว ยังมีเอกชนรายหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวพันกับคดีนี้ด้วย คือ เสี่ยเปี๋ยง หรือ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ผู้ก่อตั้ง บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ว่า บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด บริษัท สิราลัย จำกัด ภายหลังเปลี่ยนชือเป็น บริษัท กีธา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ร่วมกันกระทำความผิด ช่วยเหลือ บริษัทกวางตุ้ง และ ไห่หนาน แอบอ้างว่าเป็นตัวแทนรัฐบาลจีนเข้าทำสัญญาซื้อข้าวจากโครงการจำนำแบบจีทูจี ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดมาเวียนเทียนขายในประเทศสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติย่างร้ายแรง ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ฮั้ว และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต นำมาซึ่งการถูก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง. ยึดทรัพย์ 8 กันยายน 2559 ป.ป.ง. รวบรวมพยานหลักฐาน ตรวจสอบธุรกรรมการทางการเงินพบว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวมีพฤติการณ์ทุจริตโดยการปลอมสัญญาให้ดูเสมือนมีการซื้อขายข้าวแบบจีทูจีจริง และพบการได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดกับการทุจริตตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ป.ป.ง.จึงมีมติ ยึด อายัดทรัพย์สิน มูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท ทั้ง เงินฝากในบัญชีธนาคาร 51 บัญชี 921 ล้านบาท และที่ดินใน กทม. ลำพูน ภูเก็ต พังงา พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง 611 รายการ 5970 ล้านบาท รวมเป็น 662 รายการ ต่อมา ป.ป.ง.พบข้อมูลที่เกี่ยวกับการทุจริตโครงการจำนำข้าวและระบายข้าวแบบจีทูจีเพิ่ม อีก 2 รายการ เป็นอสังหาริมทรัพย์ ประเภทที่ดิน โฉนดที่ดิน มีบริษัท เจริญ แลนด์ 2012 จำกัดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ราคาประเมิน 474 ล้านบาท ซึ่งมีคนนามสกุล จันทร์สกุลพร นามสกุลเดียวกับเสี่ยเปี๋ยง เป็นผู้จ่ายค่าเช่าบ้านตั้งบริษัท ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว ของ บริษัท กีธา พร็อพเพอร์ตี้ นั้น รวมอยู่ในรายการที่ถูกอายัดมูลค่า 7,000 ล้านบาทก่อนหน้านี้ ต่อมา ปปง.มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของ บริษัท กีธา พร็อพเพอร์ตี้ส์ จำกัด อีก 706 รายการ มูลค่า 2.8 พันล้านบาท เป็นที่ดิน 2 รายการ และ ห้องชุด 704 รายการ นั้นเป็นการอายัดทรัพย์ 3 รอบแรก ในรอบ ที่ 4 ป.ป.ง.อายัดที่ดินชายหาดชะอำ จ.เพชรบุรีอีก 8 ไร่ มูลค่า 500 ล้านบาท และ รอบที่ 5 อายึดทรัพย์สินเพิ่มอีก 16 รายการ 1.3 พันล้านบาท มีทรัพย์สินสำคัญๆ เป็นโรงแรมย่านรามคำแหง พร้อม ที่ดินในเขตมีนบุรี บางกะปิ และ ต.ช้างเผือก จ.เชียงใหม่ รวมแล้วการอายัดทรัพย์สินของเสี่ยเปี๋ยงทั้ง 5 รอบ มี มูลค่า สูงถึง 12,000 ล้านบาท ขณะที่ ณ วันนี้ตัวเสี่ยเปี๋ยงก็ถูกศาลสั่งจำคุก 6 ปี ปรับ 12,000 บาท และให้ชดใช้เงินอีกประมาณ 200 ล้านบาท ในคดียักยอกข้าวกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องส่งไปขายอิหร่าน 2 หมื่นตัน นอกเหนือจากคดีทุจริต จีทูจี
Update ผลคำตัดสินคดี G2G https://news.voicetv.co.th/thailand/518566.html เกาะติดวันพิพากษา “จำนำข้าว” ทุกประเด็น !!
ด่วน! ศาลฎีกาฯ สั่งจำคุกคดีระบายข้าว ภูมิ 36 ปี บุญทรง 42 ปี เสี่ยเปี๋ยง 48 ปี ให้สยามอินดิก้าชดใช้ค่าเสียหาย 16,912 ล้าน #Springnews แล้ว ปูเปรียว จะประมาณสักเท่าไร ???
อดีตกรรมการป.ป.ช.และเป็นผู้เกาะติดเรื่องจำนำข้าวมาโดยตลอด ให้สัมภาษณ์เปิดใจในรายการเนชั่นข่าวเช้า กับสุทธิรักษ์ อุฒมนตรี พบว่าโครงการจำนำข้าว ทุจริตตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ผู้ได้ประโยชน์คือพรรคพวกของรัฐบาลเพื่อไทย ทั้งลักลอบนำเข้าข้าวมาสวมสิทธิ์จำนำ ทั้งตั้งโรงสีกินค่าเช้าโกดังเก็บข้าวเปลือก ทั้งการรู้เห็นเป็นใจกับเสี่ยเปี๋ยง อภิชาติ จันทร์สกุลพร แห่งสยามอินดิก้า อุปโลกน์บริษัทจีน ตั้งเด็กในบริษัทเป็นตัวแทนบริษัทจีน ผู้นำรัฐบาลอย่างยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังให้สัมภาษณ์หลอกประชาชน ว่ามีการระบายข้าวจีทูจี ทั้งหมดนี้คือ การทุจริตทุกขั้นตอน สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ : เปิดใจ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. หลังปิดคดีจำนำข้าว ถ้าพูดถึงคีย์แมนคนสำคัญ ในการทำคดีทุจริตจำนำข้าว คงต้องนึกถึงชื่อ อดีตกรรมการ ป.ป.ช.วิชา มหาคุณ ที่ทีมงานเนชั่นทีวี มีโอกาสได้พูดคุยเปิดใจ ถึงความยากลำบากในการทำคดีเพื่อนำ อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ขึ้นศาล ติดตามรายงานของคุณอนุพรรณ จันทนะ อดีตกรรมการ ป.ป.ช.วิชา มหาคุณ เปิดใจ ถึงการเข้ามาทำคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ว่า ในตอนแรก ผู้ที่ถูกตรวจสอบ คือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ในขณะนั้น แต่เมื่อต่อมาพบ ว่า มีสำนวนการร้องเรียน ไปตัวคุณยิ่งลักษณ์ จึงได้เริ่มทำการตรวจสอบ อ.วิชา บอกในช่วงเริ่มต้น ใช้เวลานานไปกับการหาข้อมูล แต่เมื่อลงพื้นที่ และดูนโยบาย จึงได้พบว่า การจำนำข้าว ล้วนก่อให้เกิดการทุจริต และทันทีที่เริ่มมีการนำโครงการนี้ ไปประชาสัมพันธ์หาเสียงกับชาวนา ป.ป.ช. ก็ส่งหนังสือเตือน ไปถึง 2 ครั้ง แต่สุดท้าย ก็ตอบกลับมาว่า "ต้องทำ" เพราะเป็นนโยบายที่หาเสียงไว้แล้ว คำตอบนี้ จึงถูกตีความ ว่า เป็นประพฤติไม่ชอบ อ.วิชา บอกว่า หลักฐานสำคัญ ที่มัดกระบวนการจำนำข้าวจนอยู่หมัด คือ การขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐปลอม เพราะไม่ผ่านองค์กร ที่ชื่อว่า คอฟโก้ ของจีน ที่มีหน้าที่คอยควบคุมการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ แต่เป็นการขายข้าวให้กับบริษัทที่เป็นรัฐวิสากิจในระดับมณฑล โดยไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน อีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญ คือ การที่กลุ่มธุรกิจซื้อขายข้าว 4 บริษัทใหญ่ ยอมให้ข้อมูลทั้งหมด เพื่อขอแลกกับการถูกกันไว้ เป็นพยาน ทำให้เห็นภาพชัดทั้งหมด อ.วิชา ยืนยันว่า แม้คุณยิ่งลักษณ์ จะอ้างว่า ไม่รับทราบความเสียหายไม่ได้ เพราะโดยตำแหน่งแล้ว นายกฯ เป็นประธานคณะกรรมาการนโยบายข้าว โดยตำแหน่งและมีหนังสือแจ้งปิดบัญชี รายงานตัวเลขขาดทุน ส่งถึงประธานฯ ถึง 3 ครั้ง แต่ระหว่างการไต่สวน ที่ ป.ป.ช.ได้เรียก ผู้เกี่ยวข้องในรัฐบาล เข้ามาให้ข้อมูลทุกคน ก็กลับยืนยันว่า โครงการไม่มีปัญหา การทำคดีใหญ่ระดับนี้ นอกจากต้องทำงานหนัก ต้องอ่านเอกสารจำนวนมาก ยังต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา สำนวนคดีจะไม่เก็บไว้ที่สำนักงาน แต่ต้องนำติดตัวไว้ตลอดเวลา และต้องย้ายที่อยู่ ไปพักอยู่ในเซฟเฮาท์ เพื่อความปลอดภัย ตลอดเวลาก็ต้องเตือนตัวเองเสมอว่า ถ้ายับยั้งโครงการนี้ไม่ได้ หมายถึง ความตายของประเทศ
ศาลฎีกาฯยังชี้ให้เห็นถึง 10 กลโกงในการทำจีทูจีเก๊ ไว้ ดังนี้ 1) ใช้เงินสกุลบาท ซื้อ-ขาย ไม่เปิดแอลซี ชำระเป็นแคชเชียร์เช็ค 2) ส่งมอบหน้าคลังสินค้า เปิดช่องเวียนขายข้าวภายในประเทศ 3) ไม่กำหนดหลักฐานการส่งออก 4) ขายข้าว 2.195 ล้านตันมากกว่าข้าวที่มีในสต๊อค 2.18 ล้านตัน และยังทำสัญญาขายข้าวในนาที่ยังไม่ได้มีการเก็บเกี่ยวด้วย 5) ทำสัญญาซื้อ-ขายข้าว โดยไม่แยกชนิด ทั้งที่ราคาแตกต่างกันมาก บ.กว่างตง คู่สัญญาที่ไม่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีน รับแต่ข้าวหอมมะลิจนหมดคลัง ไม่รับซื้อข้าวทั้งหมดตามสัญญา อีกทั้งมีการแก้ไขสัญญาหลายครั้งที่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้คู่สัญญา ในขณะที่รัฐเสียหาย หลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม โดยแอบอ้างว่าเป็นการระบายข้าวแบบจีทูจี 6) ทำสัญญาเสียเปรียบ ไม่มีข้อตกลงให้ชดใช้ค่าเสียหายกรณีไม่ปฏิบัติตามสัญญา อนุญาตให้บ.คู่สัญญานำข้าวที่ซื้อไปขายในเชิงพาณิชย์ให้กับประเทศอื่นได้ ส่งผลเสียหายต่อการค้าข้าวต่างประเทศของไทย 7) ขายข้าวราคาต่ำกว่าท้องตลาดร้อยละ 20 ทำรัฐเสียหายทันที 6,350 ล้านบาท อนุมัติสัญญาซื้อ-ขายข้าวจีทูจีเก๊ ภายในเวลา 9 วัน ทั้งที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท 9) ไม่มีเหตุให้ขายข้าวราคาต่ำ เพราะจีนมีเศรษฐกิจใหญ่ โดยมีการเปรียบเทียบ กับการขายข้าวจีทูจีจริงให้กับ COFCO รัฐวิสาหกิจแห่งเดียว ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีน ในยุคของนายนิวัฒน์ธำรงค์ บุญทรงไพศาล รมว.พาณิชย์ ต่อจากนายบุญทรง ซื้อข้าวจากไทยแบบจีทูจีจำนวน 1 ล้านตัน ซึ่งมีการขายในราคาตามท้องตลาด 10) ไม่ได้ยกระดับราคาข้าวตามนโยบายที่แถลงต่อสภา แต่เป็นการขายข้าวราคาต่ำ ให้บริษัทคู่สัญญาไปเวียนขายข้าวในประเทศ เพื่อกินส่วนต่างราคา ทำให้รัฐเสียหายรวมกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท ศาลฎีกาฯพิพากษาว่าการทำจีทูจีเก๊ 4 สัญญากับกว่างตงและไห่หนาน มีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 151 พ.ร.ป.ปปช.พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือ กฎหมายฮั้ว มาตรา 4 วรรค 1 และมาตรา 10,12
น่าจะเอาของทุกคนมารวมกันแล้วหาร 2 ติดปีนี้ ออกมาอีกทีก็หลานไอ้ไปค์บวช ติดปีนี้ แถมตำรวจอารักขาตลอดอายุใช้งาน
และ 11) จำเลยและพรรคพวกเอาข้าวที่ซื้อมาด้วยราคาถูกโดยอ้างสัญญาG2Gเก๊ หมุนเวียนมาจำนำใหม่ในราคาที่ปูให้ตันละ 15,000 ไม่รวยเละวันนี้แล้วพวกมันจะรวยวันไหน
โครงการรับจำนำข้าวริเริ่มโดยนายทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดำเนินการ สุดท้ายฝ่ายปฏิบัติอย่างนายบุญทรงถูกตัดสินใจจำคุก 42 ปี มีชัย แนะนำ บุญทรง นำเรื่องพูดไม่ได้มาต่อสู้คดี - เข้มข่าวค่ำ อัยการเผย“โกงขายข้าวจีทูจี ”เป็นคดีแรก ศาลสั่งเอกชนร่วมใช้ค่าเสียหาย - เข้มข่าวค่ำ
ช่วงนี้ช่อง 11 NBT ขยี้เหลือเกิน มาเป็นซีรี่เลยวุ้ย ข้อกังขา...โครงการรับจำนำข้าว การสนับสนุนให้ชาวนาได้อยู่ดีกินดีนั้น ถือเป็นภารกิจที่ทุกรัฐบาลได้ให้ความสำคัญ แต่โครงการรับจำนำข้าวที่ผ่านมาของรัฐบาลก่อนหน้านี้ ได้ดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดเป็นเหตุให้ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำตัดสินจำคุกอดีตนักการเมืองและข้าราชการ ในข้อหา ทำให้ประเทศเกิดความเสียหาย ซึ่งย้อนไปดูก่อนหน้านี้จะพบว่าหลายฝ่ายต่างออกมาให้ความเห็นเตือนการดำเนินการนโยบายจำนำข้าวในหลายแง่มุม ติดตามได้จากรายงาน ปมประเด็นทุจริตจำนำข้าว แม้การช่วยเหลือชาวนา ผ่านการดูแลในรูปแบบต่างๆที่รัฐบาลในอดีตจะพึ่งปฏิบัติ เช่นเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถือว่าเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร แต่การดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาจำคุกนายบุญทรง เตริยาภิรมณ์ ถึง 42 ปี และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนดังกล่าว เป็นเพราะพบว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น โดยเฉพาะการระบายข้าวแบบ จีทูจี
ม.หอการค้าเผย ดัชนีคอรัปชั่นปี 59 อยู่ที่ 55 ดีสุดในรอบ 6 ปี ชี้อัตราจ่ายเงินใต้โต๊ะลดลง 25-35% ช่วยรัฐฯ ประหยัดงบกว่า 3 แสนลบ. https://www.efinancethai.com/Lastes...2017&month=1&lang=T&postdate=2017-01-19 14:04
แต่ตัดแปะก็ไม่กล้าพูดว่าปูถูก และไม่กล้าพูดว่าตัวเองจะรับผิดชอบจำนำข้าวแทนปูผู้มีพระคุณ ใจดำแล้วยังขี้ขลาดอีก
เออ...... อ่านที่คนชังชาติอ้างความเห็นคนชังชาติที่สื่อชังชาติพยายามยัดเยียดให้สังคมแล้วอเนจอนาถใจ ไปเจอความเห็นอะไรที่พอจะเอามาทำร้ายบ้านเกิดเมืองนอนได้ก็รีบคาบมาแปะแล้ววิ่งเห่าขรมไป จะมาอ้อมค้อมอ้างไอ้เบื๊อกคนนั้นคนนี้กันทำไม แค่โพสท์ว่าจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่มีการทุจริตใดๆ และที่ยิ่งลักษณ์กับทักษิณหนีไปก็ถูกต้องแล้ว เพราะถึงอยู่ต่อสู้คดีก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม แค่นี้ควายแดงก็ขวิดเสาคอกกันสนั่นแล้ว
ตัดแปะเขาไม่มีความคิดเป็นของตัวเองครับ จากการวินิจฉัยน่าจะเป็นเด็กมีปัญหา มักเกิดจากบ้านที่พ่อแม่ไม่เคยเอาใจใส่ แต่ก็ไม่เคยให้อิสระ พ่อแม่บงการชีวิตลูกว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ จนลูกโตขึ้นมาทำอะไรไม่เป็น คิดอะไรไม่เป็น ทำอะไรก็กลัวไปหมดฝังใจ จะเห็นได้ว่าเราไม่เคยเห็นความคิดเห็นของตัดแปะเลย เพราะฉะนั้นเขาถูกพวกมือด้วนบอกให้ทรยศปูหรือบอกว่าทรยศปูเป็นเรื่องดี ก็เลยทรยศตาม
แน่ใจหรือครับว่ามือดีฯกับตัดแปะจะไม่ใช่คนเดียวกัน แค่แยกร่างเป็นมือเซ็ทมือตบ หาเงินซื้อมาม่ากินไปวันๆ
อัยการเตรียมยื่นอุทธรณ์เอาผิดโรงสี-เอกชนคดีจีทูจีที่ศาลยกฟ้อง ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งอนุญาตให้อัยการโจทก์ได้ขยายเวลาการยื่นอุทธรณ์คดีจีทูจี 30 วัน หลังอัยการยื่นขอ 60 วัน
คดียิ่งลักษณ์นี่เป็นระบบไต่สวนแบบ Turn Key ฟ้องไปหาหลักฐานไป บิ๊กป้อม หนุน'ยิ่งลักษณ์' อยู่ดูไบก็ดีแล้ว เผยอดีตนายกฯยอมตกลง ไม่ยุ่งการเมือง บิ๊กป้อม หนุน'ยิ่งลักษณ์' อยู่ดูไบก็ดีแล้ว เผยอดีตนายกฯยอมตกลง ไม่ยุ่งการเมือง บิ๊กป้อม หนุน'ยิ่งลักษณ์' อยู่ดูไบก็ดีแล้ว เผยอดีตนายกฯยอมตกลง ไม่ยุ่งการเมือง
โทษนักการเมืองไร้อายุความ “ยิ่งลักษณ์” ต้องหนีตลอดชีวิต http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/774866
ฟังให้ดีนะครับ เพราะในคลิปนี้อัยการได้ให้คำอธิบายเรื่องคดีรับจำนำข้าวเทียบเคียงกับเรื่องคดี GT200 และเรือเหาะด้วย
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอายัดทรัพย์ บุตรสาวนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ เสี่ยเปี๋ยง นักธุรกิจค้าข้าวเพิ่มอีก 2,300 ล้านบาท หลังจากพบหลักฐานความพยายามอำพรางทรัพย์สิน
ปปช. มีมติส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ขอให้มีคำสั่งยึดทรัพย์อดีตเลขาฯ 'บุญทรง' 896 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน ป.ป.ช.มีมติส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ยื่นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยึดทรัพย์ พตรี วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการนายบุญทรง กว่า 896 ล้านบาท กรณีร่ำรวยผิดปกติ จากคดีทุจริตโครงการระบายข้าวแบบจีทูจี พร้อมเร่งตรวจสอบนักการเมือง 5 คน และเจ้าหน้าที่รัฐอีก 3 คน
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/124/4.PDF คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง 27 ก.ย. 2560 อัยการสูงสุดฟ้องอดีตนายกฯ ปู คดีจำนำข้าว ความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต
กทม. 22 ธ.ค.-โครงการรับจำนำข้าว นโยบายของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่อดีตรัฐมนตรีถูกศาลตัดสินจำคุก และอดีตนายกรัฐมนตรีหนีคดี ติดตามจากรายงานของทีมข่าวการเมือง ในมองอดีต มองอนาคต .-สำนักข่าวไทย หากย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นโครงการจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้นำมาใช้เป็นนโยบายประชานิยม เพื่อหาเสียงเลือกตั้ง เมื่อช่วงต้นปี 2554 ทำให้ได้รับคะแนนอย่างท่วมท้น จากนั้นรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกจึงประกาศเริ่มโครงการรับจำนำผลผลิตข้าวจากชาวนา ในวันที่ 7 ต.ค. 2554 ซึ่งเพียงแค่เริ่มต้น โครงการดังกล่าวได้ถูกเพ่งเล็งว่าจะเกิดปัญหาขาดทุน แต่ทางรัฐบาลยังยืนยันที่จะรับจำนำให้ในราคามากกว่าราคาตลาด โครงการรับจำนำข้าวเปลือก เมื่อปี 2554, 2555 จนถึงปี2557 กลายเป็นแผลร้ายทั้งวงการข้าว และวงการการเมืองไทย เพราะเป็นโครงการที่ทำลายอุตสาหกรรมข้าวให้บิดเบี้ยว และเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่นักการเมืองที่หาประโยชน์จากโครงการต้องถูกดำเนินคดี ถูกจำคุก และบางคนต้องหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ เชื่อว่าโครงการรับจำนำข้าวอาจจะถูกปิดตำนานไปแล้วหรือไม่
