ช่วงนี้่ข่าวที่กำลังดัง คงจะเป็นข่าว เงินคงคลังที่ลดลงฮวบฮาบ รัฐกำลังถังแตก ใครที่พอมีความรู้ด้านเศรษฐกิจ การเงิน คงไม่แปลกใจอะไรมาก ก็แค่เก็บเงินในกระเป๋าน้อยลง แค่ทรัพสินย์โดยรวม ยังคงเป็นปกติ แต่สื่อกลับพาเหรดกันออกมาเล่นเรื่องนี้กันอย่างครึกโครม พร้อมเพรียง จนทำให้นายกหงุดหงิด ออกอาการอารมส์เสีย คงเพราะต้องออกมาชี้แจงเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากมองเผินๆ ก็คงเหมือนสื่อมักง่าย มีประเด็นก็เล่นเอาข่าว ทำดราม่าไว้ก่อน แต่หากมองลงลึกจริงๆ มันไปไกลกว่านั้น คือมันเล่นเรื่องนี้กันพร้อมเพรียงมากเกินไป ปกติการดราม่า ดูถูกสติปัญญาประชาชนแบบนี้ ควรเป็นสื่อแดงหรือมติโจรมากกว่า ซึ่งคนไม่ให้ราคาค่างวดอะไร แต่พอสื่อใหญ่เกือบทุกเจ้าเล่นกันแบบพร้อมเพรียงเช่นนี้ คนก็ตกอกตกใจ พาลจะคิดว่า"หรือมันจะจริงหว่า?" มีข้อสังเกตุ คือขณะที่สื่อกระพือข่าวนี้ หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับคอลัมนิสต์แทบทุกคน จะจวกแหลกเรื่อง พรบ. ควบคุมสื่อ พ่วงมาด้วยเสมอ โดยพยายามชักนำคนอ่านให้คิดทำนองว่า รัฐจะถังแตกแล้วจึงต้องควบคุมสื่อ นี่คือการตอบโต้ของสื่อ ที่มีต่อ พรบ. ควบคุมสื่อ ชัดๆ คือค้าน พรบ.คุมสื่อตรงๆไม่ได้ เลยต้องเล่นวิธีนี้ ซึ่งก็ได้ผลไม่น้อยเพราะเล่นเอารัฐบาลออกอาการเซ ต้องออกมาแก้ข่าววุ่นวาย อารมณ์เหมือนน้ำมันปาล์มสมัย อภิสิทธิ์ เป็นเรื่องสุดวิสัยที่เกิดขึ้นชั่วคราวแท้ๆ แต่สื่อยังเล่นราวประเทศจะล่มสลายไปได้ และส่งผลให้รัฐบาลอภิสิทธิ์พ่ายแพ้การเลือกตั้งในเวลาต่อมา ที่น่าเศร้า เหตุการณ์นี้ทำให้ผมคิดว่า สื่อดีๆ ที่เสนอความจริงในประเทศนี้แทบไม่มีอีกแล้ว เพื่อผลประโยชน์ของพวกตัวเอง ชั่วช้าแค่ไหนก็ยอม ประเทศจะเสียหายยังไงก็ช่าง จะดูถูกสติปัญญาประชาชนแค่ไหนก็ทำได้ บิดเบือน ปั่นหัวกันยังไงก็ยอม และผมคิดว่าต่อไปนี้ คงไม่มีข่าวดีๆ ของรัฐบาลนี้อีกแล้ว เพราะสื่อจะดาหน้าถล่มหมดจนกว่า......เค้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่เหมือนกันของ ปชป. จนถึง คสช. คือการรู้ไม่เท่าทัน ลูกเล่นสกปรกของการเมือง
เขาหาแพะไว้แล้วครับ... 09.00 INDEX บทเรียน ล้ำค่า จากกรณี “เงินคงคลัง” บทเรียน “สื่อ” หรือบทเรียน “โฆษก” http://www.matichon.co.th/news/456129 ถามว่าคำว่า “รัฐบาลถังแตก” มีรากงอกมาจากที่ไหน เป็นการนิมิตขึ้นเองโดย “สื่อ” กระนั้นหรือ เป็นการจุดประเด็นโดย “นักวิชาการ” กระนั้นหรือ หากฟังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจเป็นเช่นนั้น ยิ่งหากฟังจาก พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ยิ่งคิดว่าอาจเป็นเช่นนั้น “ในที่ประชุมครม. นายกรัฐมนตรีได้พูดถึงอาจารย์คนหนึ่งพูดถึงเรื่องเงินคงคลัง” เหมือนกับ “อาจารย์คนหนึ่ง” เป็น “ต้นน้ำ” เหมือนกับเมื่อ “อาจารย์คนหนึ่ง” เริ่มต้น “สื่อมวลชน”ก็นำไปขยายความ กระทั่งกลายเป็นประเด็น “ถังแตก” หากลองใช้กระบวนการ “ตรวจสอบ” ขั้นต้น ไม่จำเป็นต้องระดับ “เชอร์ล็อคโฮล์ม” หรือ “พราน เจนเชิง” ก็สามารถค้นพบคำตอบได้ว่า ไม่ใช่ จุดเริ่มต้นอย่างแท้จริงมาจาก “ทำเนียบรัฐบาล” มาจากการทำหน้าที่ของ “โฆษก” ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงในเรื่อง “ภาษี” กรณีมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินภายในประเทศ เพราะมีข้อสงสัยว่าขึ้น “ภาษี” เพราะ “ถังแตก” ในการนี้ “โฆษก” ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีออกมาปฏิเสธว่า “ไม่เป็นความจริง” พร้อมกับยืนยันว่า “ฐานะการคลังยังอยู่ในระดับเข้มแข็ง” พร้อมกับแจกแจงฐานะการคลังของรัฐบาลเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2559 ว่า คงเหลือ 74,907 ล้านบาท ตัวเลขอัน “เข้มแข็ง” นี้ต่างหากที่กลายเป็น “ประเด็น” ถามว่า “โฆษก” ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ออกมาแถลงเรื่องนี้เป็นใคร เชื่อว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด คงตอบได้ บทบาทของ “โฆษก” ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในเรื่องฐานะของ “เงินคงคลัง” ก็เหมือนกับกรณีที่ “สงขลา” นั่นก็คือ ได้ออกมาแถลงให้ได้รับทราบว่า “กลุ่มการเมือง” ในจังหวัดกำลังไปปลุกปั่น “เกษตรกร” ให้ออกมาร้องเรียน โดยมี “นัยยะ” ในทางการเมือง ส่งผลให้ นายถาวร เสนเนียม รวมถึง นายชัยวุฒิ ผ่องแผ้ว เรียงแถวกันออกมาตอบโต้ เสนอ “ความจริง” อีกด้านให้ “ปรากฏ” เมื่อ “โฆษก”ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลง “สื่อ” ก็รายงาน เมื่อมี “ความเห็น” จากอีกฝ่ายแถลง “สื่อ” ก็รายงาน “สื่อ” ทำหน้าที่ในการ “เสนอข่าว” ไปตามความเป็นจริง ผิดอะไรหรือ
ที่น่าขำคือสื่อฯออกมาดิ้นตีแปลงเรื่องพรบ.สื่อกันอย่างพร้อมเพรียง แต่ไม่เห็นชาวบ้านร้านตลาดเขาเดือดเนื้อร้อนใจอะไร เพราะตอนชาวบ้านออกมาท้วงเรื่องสื่อฯรับจ้าง ทั้งสื่อฯเล็กสื่อฯใหญ่ต่างทำไม่รู้ไม่ชี้ วางเฉยกันทั้งนั้น ทำตัวเลวอย่างนี้ ถึงตอนรัฐบาลลุงตู่จะจัดระเบียบสื่อฯบ้าง อย่าหวังเลยว่าประชาชนจะยืนอยู่ข้างสื่อฯ
ผิดดิ เพราะจงใจนำเสนอ ความหมายของเงินคงคลังผิดแปลกไปจากปกติ ประมาณเงินที่อยู่ในประเป๋าตังค์ เป็นเงินที่มีในธนาคาร ระหว่างในกระเป๋ามี 300 กับเงินฝากในธนาคาร มี 300 หรือทรัพย์สินทั้งหมดมี 300 จะเห็นว่าความหมายต่างกันสุดกู่เลย หากสื่อเสนอข่าวอย่างเที่ยงธรรมจริง ตอนมีข้อมูลของนักวิชาการน้ำดีออกมาอธิบาย ทำไมถึงเงียบและไม่เสนอข่าวแบบรอบด้าน นี่ต้องให้ชาวบ้านเค้าจับผิดได้ จึงจะออกมาแก้ข่าว แต่บอกว่าตัวเองไม่ผิดอะไรเลยแถมโทษทีมโฆษกต่างหากที่ผิด
วันหนึ่งมีมนุษย์เงินเดือน ๓ คน พูดคุยกันเรื่องการเงินของแต่ละคน คนที่ ๑ บอกว่า เหลือเงิน ๓๐๐ บาท แต่จะได้รับเงินเดือนพรุ่งนี้ ๒ หมื่นบาท คนที่ ๒ บอกว่า เหลือเงิน ๕๐๐ บาท จะได้รับเงินเดือน ๓ หมื่นบาท แต่อีก ๓ วัน ถึงจะได้ คนที่ ๓ บอกว่า เหลือเงิน ๑ พันบาท แต่เพิ่งได้รับเงินเดือนไปเมื่อวาน ๔ หมื่นบาท คำถามใครใกล้ถังแตกมากกว่ากัน
ตามความคิดความเข้าใจของผม ความผิดเรื่องเงินงบประมาณแผ่นดินคงเหลือนี่ ไม่ใช่ความผิดของสื่อ ไม่ใช่ความผิดของโฆษกรัฐบาล และไม่ใช่ความผิดของท่านนายกฯลุงตู่ หรอกครับ แต่ความผิดเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่ เราๆ ทุกคน นี่เอง ..ที่ไม่ค่อยทำความเข้าใจว่า สื่อก็ต้องการขายข่าว ถ้าข่าวหมากัดคน สื่อจะไม่ค่อยตีข่าวครึกโครมนะครับ เว้นแต่กัดเด็กสาหัส..แต่ถ้าข่าว คนกัดหมานี่ สื่อตีข่าวหัวไม้ใหญ่โต หรือข่าวดาราที่ยังร่ำลือกันอ่านแล้วต้องไปเล่า(นินทา)ต่อหรือไปคิดกันต่อ ถ้าเป็นข่าวชัดเจนคนทำดี สื่อมักไม่ให้ความสนใจนะครับ ส่วนท่านโฆษกฯและท่านนายกฯ เราๆก็รู้กันดีว่า พวกท่านมีอาชีพรับราชการเป็นทหารกันมาแทบทั้งชีวิต จนติดนิสัยเรื่องพูดจาตรงๆ ไม่เล่นลิ้นบิดพริ้วพลิกกลับหน้า-หลัง แบบคนที่มีอาชีพนักการเมืองของไทยเราซึ่งต้องใช้การฟังด้วยหูไว้ข้างหนึ่ง ส่วนหูอีกข้างเก็บไว้คิดตริตรองคำพูดของเขา ดังนั้น ประเด็นเรื่องเงินงบคงคลังฯ นี่ อย่าเที่ยวโทษโยนความผิดให้ใครเลยครับ ตัวเราเองนี่ล่ะ คนผิด ..แหะๆ
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/739552 โดยวงจรเงินงบประมาณแต่ละปีจะสูงมากในช่วงต้นเดือนตุลาคม 400,000-500,000 ล้านบาท แต่เมื่อเบิกไปใช้จ่ายผ่านโครงการต่าง ๆ จะเริ่มลดลงแต่ละปีจะมีเงินไหลเข้าคลัง 3 ช่วง คือ ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน เงินได้ของบุคคลธรรมดา ต่อมาช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน เงินได้ของนิติบุคคล จากนั้นช่วงเดือนสิงหาคม เงินได้นิติบุคคลครึ่งปีไหลเข้ามา
แมวน้ำอาศัยอยู่แถวขั้วโลกมันยังไม่หนาวเลย มีชั้นไขมันหนาๆป้องกัน อินี่มันก็คงไม่รู้สึกไรครับ มีชั้นของความโง่ป้องกันอย่างหนา