ก่อนอื่น ตะนิ่นตาญี ต้อง เรียน ขออนุญาต คุณ HiddenMan ผู้ก่อตั้ง บ้านพักคนชราเสรีไทย ไว้ ณ ที่นี้ ก่อน เพราะ เรื่องราวเหล่านี้แม้ ตะนิ่นตาญี จะเป็นผู้เขียนเอง แต่ ก็ ได้ นำลง ไว้ ที่ บ้านพักคนชราฯ แล้ว การดำเนินการ คัดลอก และ มา ลงไว้ ณ สภากาแฟ ใน forum ห้องนั่งเล่น จึงจำเป็น ต้อง ขออนุญาต คุณ HiddenMan เสียก่อน ทั้งนี้ ก็ เพื่อ เป็น การแสดงความเคารพ และ ให้ เกียรติ ผู้ ซึ่ง รวบรวม เพื่อนเพื่อน ทุกคนไว้ด้วยกัน สำหรับ เพื่อนเพื่อน ที่ เคย ได้ อ่านเรื่องราวเหล่านี้ มา แล้ว ใน Facebook บ้านพักคนชราฯ ตะนิ่นตาญี ก็ ต้อง ขอประทานโทษด้วย ที่ เหมือนกับเอา เรื่องเก่า มา ขายกินใหม่ ขอโทษด้วยจริงจริงครับ ... สำหรับ เรื่องสั้นชุดขาสั้น-ขนหน้าแข้งยาว ตอนใหม่ใหม่ นั้น ก็ จะยังคงเขียน ต่อไปใน บ้านพักคนชราฯ ต่อไป นะ ครับ ... ขอบพระคุณมากครับ ตะนิ่นตาญี วันศุกร์ที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๑๙.๔๑ นาฬิกา ********************************************************************** ตะนิ่นตาญี เคยพบ เห็น เรื่องราว ประหลาด-ประหลาด มา มากมาย หลายหน แม้ ใน บางครั้ง เมื่อ หวนกลับ มา คิดคิด ดู แล้ว มันอาจดู น่าขำ-น่าหัวร่อ สำหรับ ตัวเอง ... น่าเหลวไหล สำหรับ คนอื่น แต่ ก็ เป็น ความทรงจำ ที่ สำคัญ ไม่น้อย กับ ตัวเอง บางเรื่อง ก็ ลบเลือน หายไป เหมือน ไม่เคย เกิดขึ้นมาก่อน เลย ใน ชาติ นี้ แต่ มี หลาย สิ่ง ที่ ไม่เคย หนี หาย ไป กับ กาลเวลา และ สายลม และ มี อีก หลายเรื่อง ที่ จำ ได้ แม่น มี ภาพคมชัด ประหนึ่ง ว่า ... ได้ ดู ทีวี ใน ระบบ High Definition หรือ ประดุจดั่ง มัน พึ่งกิดขึ้น เมื่อ กี้ นี้ เอง -ตะนิ่นตาญี เข้าไป เป็น ตัวแสดง-ตัวหนึ่ง ใน เวที ที่ มี ตึกสี่ชั้น ตึกหกชั้น อาคารไม้ ... มี บันไดแดง มี อาณาเขต ที่ สัตว์เพศผู้ ไม่ อาจล่วงล้ำ เข้า ไปได้ ไม่มี การละเว้น ไม่ว่า จะ เป็น มนุษย์ หรือ อมนุษย์ ตนใด ... ตรงนั้น มี อาบัง หนวดเครารุงรัง ถือ กระบองสีขาว จังก้า อยู่ ณ เส้นแบ่งเขตแดน แบ่ง เพศ ชาย-หญิง -สิ่งเหล่านี้ ที่ บรรยาย มาคือ ฉาก ... ฉาก ที่มี ท้องฟ้า สีฟ้า และ เมฆ สีขาวขุ่น เป็น หลังคา โรงละคร หลังคา ที่ ไม่ใช่ หลังคา เพราะ มัน ปล่อย ให้ แดดร้อนแรง มา แผดเผา ปล่อย ให้ ฝน ซาดซัด ได้ ตามใจ ชอบ จน เหน็บหนาว เข้า ไปถึง วิญญาณ เวที แห่ง นี้ มี โรงอาหาร ตั้ง อยู่ เป็น ที่ ร่ำลือ หนักหนา ว่า มี ก๋วยเตี๋ยว อร่อยแสนสาหัส ถัด ไป เป็น ถนนคอนกรีต ทอดยาว ไป จนถึง อาคาร อีก หลายหลัง -เวที แห่งนี้ มี ผู้แสดง มากหน้า-หลายตา มี ทั้ง เพื่อน - มี ทั้ง พี่ และ มี น้อง มี ผู้หญิง - มี ผู้ชาย - มี ผู้ใหญ่ และ มี เด็ก ... มีทุกข์ และ มี สุข ... มี เสียง หัวร่อ และ คราบน้ำตา เวที แห่งนี้ ใหญ่โตจริงจริง แม้แต่ ฉากหลืบ ที่ เป็น ร้านรวง ก็ เคลิ่อนไหว ได้ ดุจ มี ชีวิต ตะนิ่นตาญี ย้อน นึก ไป ถึง ฉาก นี้ ฉาก ที่ ถูก กำหนด ให้ เป็น โรงเรียน ใน ฉาก โรงเรียน แห่ง นี้ ตะนิ่นตาญี ได้ แสดง อะไร ไว้ บ้าง? -มันสมอง ของ คนเรา ไม่ใช่ กระเป๋า จึง เอา อะไร ต่อ มิ อะไร มา ยัด ใส่ สมอง ดุจดั่ง เอา ความโลภ ของ มนุษย์ เรา ยัดใส่ กระเป๋า เห็น จะ เป็นไปไม่ได้ เพราะ มันสมอง เป็น เพียง กระดาษซับ เท่านั้น ! มัน ซับ หมึก แห่ง เหตุการณ์ ของ กาละ และ เวลา ที่ ผันแปร เอาไว้ ให้ เป็น ความทรงจำ มัน ซึม ตัวเอง ซึ่ง กัน และ กัน เข้าไว้ให้สนิทแน่น มี บางส่วน ที่ ดู เหมือน จะ จางหาย แต่เมื่อ เพ่งมอง ก็ จะ พบ มัน โลดแล่น ประหนึ่ง พึ่ง เกิดขึ้น เมื่อ วันวาน แม้จะต้องใช้เวลา สะสาง มัน สักหน่อย -ชีวิต ของ ทหารเลว สามารถ บรรยาย วีรกรรม ของ แม่ทัพ เช่นเดียว กัน กับ ถ้อยคำ ธรรมดา-ธรรมดา ที่ สามารถ บรรยาย ศัพท์แสง ที่ ยากยาก มี บ้างไหม ที่ จะ มา ใส่ใจ กับ หัวนอนปลายตีน ของ ใคร สักคนหนึ่ง หรือ หลายคน ผู้ ซึ่ง เดิน ผ่าน มา แล้ว ก็ ผ่านไป ตาม ท้องถนน Someone you pass on the street may already be the love of you life ! วันนี้ ตะนิ่นตาญี ไม่มี ความประสงค์ จะ เขียน อะไร หวานหวาน ให้ เลี่ยน ใน อารมณ์ แต่ อยาก เขียน ถึง เพื่อนรัก ที่ เรียน หนังสือ มาด้วย กัน -พวกเรา เป็น กลุ่ม ทะโมน ที่ มัก จะ กิน เหล้า ให้ มัน หาย หนาว ... ให้ หาย เหนื่อย ... ให้ หาย คิดถึง ... กิน ให้ มัน เป็น ยากันปอดบวม ... เป็น ยานอนหลับ และ ให้ เป็น ยาฉีด หล่อเลี้ยง หัวใจ ไม่ให้ เพ้อหา สวรรค์ ที่ อยู่ ใน อก หรือ นรก ที่ อยู่ ใน ใจ ! -ใน แก๊งค์ ของ เรา มี ไอ้จ๋อ เป็น หัวโจก ... มัน พูด สัปดน ได้ คล่อง ราว กับ ร้องเพลง กินเหล้า ได้ ดุเดือด เลือดพล่าน ในยามที่มีการตั้ง วงเหล้า สูบบุหรี่ มวน ต่อ มวน จน น่า หมั่นไส้ เพราะ เปลือง สตางค์ ซื้อ บุหรี่ ... แม้แต่ ตอนเรียน ใน ห้องเรียน เผลอเผลอ มัน ก็ ยก มือ ขอ ไป เข้า ห้องน้ำ หรือ แกล้ง นอนหลับ ให้ ครู ทำ โทษ ด้วยการ วิ่ง รอบ สนามบาส เพื่อ หลบ ไป สูบบุหรี่ ! ใคร จะ เรียกว่า กิน เหล้า แทน น้ำ สูบบุหรี่ แทน การหายใจ ก็ ว่า ได้ แถม ข้าว มัน ก็ กิน จุ กว่า ... กับข้าว ก็ กิน เยอะ กว่า เวลากิน-เวลาเที่ยว อย่าง ลูกผู้ชาย วัยรุ่น ทั้ง สุรา-นารี-พาชี-กีฬาบัตร ไอ้จ๋อ ไม่ถอย ... แต่เช้า ของ วันนี้ ยันอีกเช้า ของ อีก วันหนึ่ง เรียก ว่า กลับบ้าน พร้อม พระ ออก บิณฑบาต อะไร ประมาณ นั้น นี่ คือ คนโต ตัวเล็ก ของจริง ไม่ต้องอิงนิยาย เรื่องใดทั้งสิ้น ... -ตอนนั้น พวกเรา มักชอบจะหลบครูไปชุมนุม กัน ที่ บันไดแดง ถามว่า ไป ทำไม? ตอบว่า ไป เล่น ไพ่ หรือไม่ ก็ ไฮโล ... -ออกตัว ให้ ล้อ ดังเอี๊ยด สักนิด แต่เดิมนั้น ตะนิ่นตาญี เล่น การพนัน ไม่เป็น แต่เมื่อตามเพื่อนเพื่อนไป บ่อยครั้งเข้า ก็ เล่นเป็นไปเอง เพราะ ของชั่วชั่ว อย่างนี้ มัน หัดง่าย ... อย่างบุหรี่ยังงี้ หัดสูบแล้วติดง่ายดีนัก เหล้า ยังงี้ กินเข้าไปแล้ว อย่าหวังเลยที่จะไม่กินอีก ! เงินทอง ที่ ได้มา เป็น ค่าขนม เหมือน มี ปีก บิน พึ่บพึ่บ ออกจากกระเป๋า เข้า ไป อยู่ ใน วงเหล้า หรือ วงไฮโล ... อบายมุข ทั้งนั้น เป็น สิ่งที่ ขายดี และ มี ราคาแพง -ไอ้จ๋อ สอน พวกเรา ให้ แกล้งเพื่อน ด้วยการเอาบุหรี่ ใส่ กระเป๋ากางเกง ของ เพื่อน ตอน เผลอ ปิด ประตูส้วม ขัง นักเรียน รุ่นพี่ อย่างไม่เกรงศักดิ์ศรี ของ คน ตัวโต กว่า ประมาณ ว่า ไม่กลัว ที่ จะ แกว่งปาก หา ตีน ! แต่มันไม่เคยสอนพวกเรา ให้ เล่นไพ่-เล่นไฮโล มันมักหนีไปคนเล่นคนเดียว ไม่ยอม ให้ พวกเรา ตามไป แม้พวกเราจะรู้ว่า มัน แอบไปเล่นที่ไหน ก็ ตามที -ไอ้จ๋อ บอกว่า การพนัน นั้น ต้องโกงเป็นเสียก่อน แล้ว โชคดี จึงจะช่วย ต้อง ชำนาญ ให้ มากมาก จึง จะ ประคับ-ประคอง โชคร้าย ให้ เสมอตัวได้ มี อยู่ วันหนึ่ง ไอ้จ๋อ เดิน เลี่ยง พวกเรา จะ ไป เล่น ไฮโล ตามลำพัง ไอ้ป๊อก หนึ่ง ใน แก๊งค์ ของ เรา ได้ ยื่น ultimatum "หาก มึง ไม่ให้ พวกกู ไป ด้วย ... กู จะ ฟ้อง ครู" นั่นแหละ ไอ้จ๋อ ถึง ได้ยอมพา พวกเรา ไปด้วย -ของชั่ว หัด ง่าย ! ไฮโล ก็ ไม่ยาก ... มีสูง-มีต่ำ-มีไฮโล แค่นั้นเอง ลูกเต๋า สามลูก หน้า ต่ำ สุด คือ ๓ แต้ม ... หน้า สูง สุด คือ ๑๘ แต้ม ที่ เรียกว่า ไฮโล คือ ๑๑ แต้ม ... หก-สี่-หนึ่ง = ไฮโล, ห้า-ห้า-หนึ่ง = ไฮโล ฯลฯ่ หน้า เต๋า สามลูก รวม แล้ว ได้ สิบเอ็ดแต้ม เป็น ไฮโล ทั้งนั้น แต้มต่ำ นับจาก สามแต้ม ถึง สิบแต้ม เป็น ต่ำ ... สิบเอ็ดแต้ม เป็น ไฮโล ... สิบสอง ถึง สิบแปดแต้ม เป็น สูง แทงสูง-แทงต่ำ แทงหนึ่ง จ่าย หนึ่ง ... แทง ไฮโล จ่าย สิบเอ็ด ต่อ แทง ด้วย ปาก ก็ จ่าย ด้วย ปาก ! ง่ายดี ไม่มี ต้องคิด ส่วน จะ มีโต๊ด-มีเต็ง-มีกั๊ก-มียักสูง-ยักต่ำ ... ไป ลง นรก กัน เอง ตะนิ่นฯ ไม่ เป็น ไกด์ นำทาง ให้ หรอก 555+ -อย่างที่บอก เล่น การพนัน ต้อง โกง ให้ เป็น ... โกง ให้ เนียน โกง ไม่ เป็น โกง ไม่ เนียน มี โอกาส ถูก ใช้ พุง เป็น ที่ เก็บมีด ต่าง ปลอกมีด เลือดสาด แน่นอน ... -ดังนั้นสิ่งที่พวกเราหัดเล่น ไฮโล กัน คือ การหัดเปิดถ้วยแทง ! เจ้ามือเผลอเมื่อไหร่เป็นได้เรื่อง แน่จริง เอ็ง เขย่า ไป อย่า เผลอจุด บุหรี่ เชียว นะ มึง เสร็จ กู มี อยู่ วันหนึ่ง ไอ้จ๋อ เป็น เจ้ามือ ... มัน เล่น ดุ เหลือเกิน กินเงิน พวกรุ่นพี่ รุ่นน้อง เรียบ ไม่ยั้ง จน หลายคน ต้อง ถอยออกจาก วงไฮโล เหลือแต่พวกเราสามสี่คนเท่านั้น ไอ้ตี๋ หนึ่ง ใน แก๊งค์ พวกเรา กระซิบ บอก อยากลองวิชา ให้ พวกเราที่เหลือ คอย ล่อหลอก ไอ้จ๋อ ไว้ ... มัน เผลอ เมื่อไหร่ เปิดถ้วยแทง แล้ว มัน ก็ เผลอ จริงจริง ควัก บุหรี่ มา จุด ดูด ไอ้ตี๋ ก็ เนียน เหลือเกิน ... จะ เหลือ อะไร -เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่ พวกเรา กำลัง นั่ง กระดิกตีน ละเลียด ควันบุหรี่ อยู่ หลัง ห้อง รอ เสียง ออด เข้า เรียน ดัง ... ไอ้จ๋อ ก็ เดิน ส่ายอาดอาด เข้ามา ด้วย ทีท่า ที่ เยาะเย้ย และ เหยียดหยาม หนึ่ง ใน หมู่พวกเรา ก็ ตะโกน ขึ้น เสียงดัง คับ ห้อง ... เฮ้ย เย็นนี้ กินเหล้า กัน รอยยิ้ม ที่ ผู้ชาย หลายคน เห็นแล้ว อยาก โดดถีบ แต่ ผู้หญิง เห็นแล้ว อยากกอด ให้ สมรัก ปรากฏ ขึ้น ที่ มุมปาก ของ ไอ้จ๋อ ... กู เห็น พวกมึง แดก ยังไม่ค่อยจะมีแดกกันเลย เสือก ทะลึ่ง ชวน กู กินเหล้า ... กู เห็น ไอ้นิ่นฯ มัน เอา สร้อย ไป ตึ๋ง ที่ โรงจำนำฯ เอา ตังค์ ให้ พวกมึงแดกข้าว ยัง จะ ชวนกูกินเหล้าอีกหรือ ... แล้ว ไอ้นิ่นฯ เมื่อวานได้ ไฮโล มีง เอา ตังค์ ไป ถ่ายสร้อย หรือ ยัง วะ ? เดี๋ยว แม่มึง จะมา ด่า พวกกู เข้า ... ส่วน พวกมึง เมื่อวานนี้ที่พวกมึง "เปิดถ้วยแทง" กู รู้ นะโว้ย อย่า นึก ว่า ไม่รู้ รอยยิ้ม ที่ เยาะเย้ย และ เหยียดหยาม ปรากฏ ขึ้น อีกครั้ง ที่ มุมปาก ของ มัน กู เห็น พวกมึง ไม่มีตังค์ แดกข้าว แถม ไอ้นิ่นฯ ยังเอา สร้อย ไป จำนำ หรอก หว่ะ กู เลย แกล้ง โง่ ... อีกอย่างนะ พวกมึง "กู ไม่กิน เงิน เพื่อน ว่ะ" -นั่น เป็น คำสอน สุดท้าย ของ ไอ้จ๋อ ! ก่อน ที่ พวกเรา จะแยกย้าย กันไป ตาม วิถี แห่ง ชีวิต หลังสำเร็จการศึกษา ใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาต้น ม.ศ. ๓ ไอ้จ๋อ ไป เรียน ต่อ สวนกุหลาบ ... ไอ้ป๊อก สอบเข้า เตรียมทหาร ไอ้ตี๋ เรียน ต่อ ที่ เดิม ... ส่วน ตะนิ่นฯ เข้า วัดเทพฯ สองปีต่อมาเราได้ทราบข่าวว่า ไอ้จ๋อ เสีย ชีวิต แล้ว จาก อุบัติเหตุ ทาง รถยนต์ -เขียนมาเสียตั้งเยอะ ไม่ได้ ต้องการ สื่อ อะไร เพียงแต่ หลายคืนก่อน ตะนิ่นตาญี ฝัน เห็น รอยยิ้ม ที่ เหยียดหยัน และ เยาะเย้ย ของ มัน ภาพ ของ ไอ้จ๋อ ยัง แม่นยำ ... ชัดเจน แน่นอน แน่นิ่งอยู่ก่อน แล้วจึงเคลื่อนไหวได้ ใน ความทรงจำ ชีวิต ของ มัน ตะนิ่นตาญี เล่า ได้ สดสด ทันที ไม่มีอะไร ต้องให้ เสียเวลา เรียบเรียง ไว้ ล่วงหน้า ด้วยความคิดถึง เพื่อนผู้ยิ่งใหญ่ คนโต ตัวเล็ก หลับ ให้ สบาย เถิด เพื่อน อีกไม่นาน กู จะตามไปเป็น หัวเบี้ย ให้ มึง ตะนิ่นตาญี วันศุกร์ที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๐.๐๐ นาฬิกา
ขอบพระคุณครับพี่ตะนิ่นฯ หลายครั้งนะที่ผมอดหวนรำลึกถึงอดีตไม่ได้ มีหลายครั้งที่เหตุการณ์กลับมาพ้องจอง กันอย่างพอดิบพอดี ความสนุกเฮฮาเมื่อวัยเยาว์เสมือนน้ำทิพย์ชโลมหัวใจในวัยชรา ประสบการณ์ที่สั่งสมเสมือน เข็มทิศที่ชี้นำชีวิตให้ก้าวเดินต่อไปจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิตนั้น การผ่านสุขทุกข์ในวันนั้นสำหรับผม มันสุดแสน จะวิเศษ หลายเรื่องจะเล่าต่อมันก็ยากจะบรรยาย หลายครั้งสรุปเอาดื้อ ๆ ว่าคงเป็นชะตาลิขิตไว้แล้วให้เราก้าวเดิน ถามว่าวันนี้ผมเสียใจกับจุดที่ยืนอยู่หรือไม่ คำตอบคือ ผมภูมิใจแม้ว่ามันจะรู้สึกหวั่นไหวบ้าง ประสบการณ์วัยเยาว์ ผมอาจจะไม่โลดโผน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะขาดสีสันหลายครั้งที่โดนพ่อแม่ทำโทษเพราะในบรรดาพี่น้องแล้ว ผมโง่ที่สุด แต่แล้ววันหนึ่ง(หมายถึงวัน 1 วันที่มีความคิดแวบมาในหัวแล้วเปลี่ยนชีวิตผม)ผมกลายเป็นเด็กที่ฉลาดเหมือนฟ้ากับเหว โดยที่ทุกคนประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น สิ่งที่เคยหมดหวังสำหรับพ่อแม่ในวันนั้นกลายเป็นความหวังเต็มเปี่ยม เมื่อเวลามาถึง
ขอบพระคุณ คุณอาวุโสโอเค มากครับ "ชีวิต ไม่ใช่ เส้นตรง" กระมังครับ คุณอาวุโสโอเค ครับ จะเอา ต้น มาวัด ตรงกลาง คงไม่ได้ และ จะเอา ตรงกลาง มาวัด ที่ ปลายทาง ก็ ไม่ได้เช่นกัน ตะนิ่นตาญี รับรองได้ครับ "พระเจ้า ไม่ สร้าง เส้นตรง" แน่นอนครับ เพราะ ชีวิต นั้น แม้นจะเป็นคำธรรมดาสามัญ แต่ ยากจะอธิบาย จริงจริง Life : it' s a simple word but hard to explain. ครับ คุณอาวุโสโอเค ครับ ตะนิ่นตาญี วันอาทิตย์ที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๒.๔๙ นาฬิกา
อาจจะเพราะความด้อยในปัญญาความเข้าใจ จึงต้องเวียนว่ายในวัฏฏสงสาร มั้งครับพี่ตะนิ่น เมื่ออายุมากขึ้น ศึกษามากขึ้น ถึงเข้าใจ มีคนเคยกล่าวว่า โง่กับฉลาดห่างกันแค่เส้นบาง ๆ กั้น ผมก็พอจะเห็นลางเลือน ยกตัวอย่างง่าย ๆ คนมีความรู้ยามตกใจไม่สามารถแสดงภูมิปัญญาได้ หากสามารถทำใจให้สงบความมีปัญญาของเขาย่อมส่องแสงให้ปรากฏ ผมเองก็คล้ายกัน ตึงไปกับ การมุ่งมั่นกลายเป็นลนลานทำให้เรากลายเป็นผิดตลอด หากใช้สติปัญญาพินิจพิเคราะห์อย่างสงบ สิ่งที่ผิดพลาดก็จะน้อยลง
จริงทีเดียวครับ คุณอาวุโสฯ ครับ เพราะ คำคำเดียวเท่านั้น กระมัง ครับ "คิดได้-คิดตก" จึงทำให้ เจ้าชายสิทธัตถะ ทรง ตรัสรู้ เป็น องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ แต่นั่นแหละครับ กว่าที่จะ "คิดได้-คิดตก" พระองค์ ทรง เจ็บปวด แค่ไหน เหนื่อยยาก อย่างไร ทรง ต้อง ทนทุกข์ทรมาน สักเพียงใด จึงจะ "คิดได้-คิดตก" รำลึก ถึง ธรรมะ ที่แท้จริงได้ ส่วนตัวแล้วคิดว่า มี ปราชญ์ ไม่ กี่ คน เท่านั้น จึงจะ "คิดได้-คิดตก" กระมังครับ คุณอาวุโสฯ ครับ ตะนิ่นตาญี วันจันทร์ที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๐๗.๔๔ นาฬิกา
สำหรับกรณีของผมคงต้องอาศัยบุญที่ได้ทำก่อนนั้น นั่นคือความพยายามตั้งใจสม่ำเสมอแต่ยังเยาว์ กรรมในอดีตชาติคงทำให้ใจหวั่นไหวเมื่อมีสิ่งมากระทบ คิดถูกแล้วไม่มั่นใจคิดใหม่จนผิดพลาดไปหมด ระบบการศึกษาสมัยก่อนถ้าครูไม่มั่นใจก็ให้ตกเลย ไม่เหมือนปัจจุบันครูไม่มั่นใจให้ผ่าน รุ่นผมรุ่นพี่ คงซาบซึ้งกับระบบการศึกษามหาโหดแบบนี้ ผมวนเวียนกับความคิดนี้ไม่ต่ำกว่า 3 ปี เรื่องขำ ๆคือ เมื่อครูประกาศผลสอบ เด็กในห้องมี 31 คน ผมได้ที่ 30 เพราะคะแนนรวมดันไปเท่ากับคนสุดท้ายพอดี ทำให้ได้ครองบ๊วยร่วมกัน แต่เมื่อโตขึ้นสิ่งนี้กลับเป็นคุณแก่ชีวิตผม ทำให้เรามีมุมมองที่แปลก ปัญหาคือ หากผมคิดสั้นวันนั้น วันนี้คงไม่มี อาวุโสโอเค ในสภากาแฟคอยบ่นเป็นคนแก่แบบนี้สิครับ 55555
555+ ถ้าไม่มี "อาวุสโอเค" เสียแล้ว ตะนิ่นตาญี ก็ คง ขาด มิตร-สหาย ผู้ซึ่งคงมั่น ใน อุดมการณ์ เดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง น่าเสียใจจริงจริง อย่างที่ได้เรียนไว้แต่เบื้องต้นแหละครับ "พระเจ้าไม่สร้างเส้นตรง" มี สุข ก็ ต้อง มี ทุกข์ ... มี แต่ สุข อย่างเดียว หรือ มี แต่ ทุกข์ อย่างเดียว ไม่เคยเห็นเหมือนกันครับ ตะนิ่นตาญี วันจันทร์ที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา๐๘.๒๒ นาฬิกา
อ่านเรื่องราวของ"คุณพี่ตะนิ่นตาญี"แล้วทำให้นึกถึงสมัยเรียนช่าง บุหร่ีนี่เป็นของสำคัญมาก เพื่อนบางคน(รวมทั้งผม)ชอบไถเอาจากเพื่อนประโยคที่มักได้ยินติดหูคือ"เฮ้ยบุหรี่ตัวดิ"เพื่อนก็ยื่นให้แล้วตอบกลับว่า"ขนาดมะเร็งมรึงยังขอยืมคนอื่นเป็นเลย" ตอนหลังมีเพื่อนบางคนหัวใสมันเอายาเส้นออกแล้วสอดไม้ขีดไฟเข้าไปแล้วอัดยาเส้นกลับไปเวลามีคนมาขอมันก็ยื่นบุหรี่ตัวนั้นให้พอดูดไปถึงหัวไม้ขีดไฟลุกพรึบแถมอัดควันไม้ขีดเข้าไปเต็มๆ
ขอบพระคุณ คุณแสงธูป มากครับ 555+ เคย โดน คนอื่นแกล้ง และ เคย แกล้ง คนอื่น เช่นกันครับ คุณแสงธูป ครับ ตะนิ่นฯ เรียน สายสามัญ จะเข้าเรียนประมาณ ๘ โมงเช้า ถึง ๑๐ โมง แล้ว มี พักสิบนาที ช่วงเวลาพักนี่ ห้องน้ำ จะ คราคร่ำ ไป ด้วย คนสูบบุหรี่ ควันบุหรี่ จะ คละคลุ้ง ไป หมด จน พวกเรา ล้อกันว่า แม้แต่ยุง ก็ ติดบุหรี่ เช่นกัน ปกติแล้ว เวลาเราสูบบุหรี่เสร็จ เราจะบ้วนปากด้วยน้ำก๊อก นัยว่าไม่ให้ปากเหม็นบุหรี่เกินไป แต่ มี เพื่อนคนหนึ่งเราเรียกมันว่า ไอ้เหลา-ไอ้เหลา มัน ไม่ดื่มน้ำ เพื่อ บ้วนปาก ตะนิ่นฯ ถามมันว่า ทำไม มันบอกว่า เสียรสชาติของบุหรี่หมด ทำอย่างนั้น ก็ ไม่รู้ขะติดบุหรี่ไปทำไม 555+ ตะนิ่นตาญี วันอังคารที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๒.๐๐ นาฬิกา
สวัสดียามเช้าครับพี่ตะนิ่นตาญี ยิ่งฟังเรื่องของพี่ยิ่งคิดถึงอดีต ไม่ว่าจะการไปแอบสูบบุหรี่ในห้องนำ้ การบ้วนปากด้วยน้ำก็อก แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่เป็นการสูบแบบเฮฮาไปตามเพื่อนๆ แถมผมยังถูกยัดเยียดความเป็นหัวหน้ากลุ่มให้จากเพื่อนๆอีกต่างหาก แต่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกพี่ที่โง่ๆยังไงไม่รู้ เจ็บตัวจากเรื่องคนอื่นตลอด เวลาเรื่องของตัวเองผมจะขอโทษเพราะไม่อยากมีเรื่อง แต่เวลาเพื่อนๆมีปัญหามันไม่ขอโทษไม่เท่าไหร่มันยังดันผมออกมายืนข้างหน้าให้รับกำปั้นแทนมันอีก บางทีแผลเก่ายังไม่ทันหายไดัแผลใหม่เพิ่มอีกแล้ว ตอนทำงานผมเริ่มสูบบุหรี่แบบเป็นจริงเป็นจังเนื่องจากชอบ ผมจะลองทุกยี่ห้อที่พอหาซื้อได้ ตอนนั้นอยากลองสูบซิการ์(เห็นจากในหนัง)แต่ไม่รู้เขาไปหาซื้อที่ไหนแล้วเห็นเขาบอกว่ามีราคาแพงเลยตัดใจ แต่ปัจจุบันนี้ผมเลิกสูบแล้วนะครับตั้งแต่ล้มป่วยด้วยหลายโรคตอนสามสิบ สงสารลูกอยากอยู่เห็นอนาคตของเธอ มีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนมาหาเลยสังสรรค์กันเล็กน้อยเนื่องจากไม่ได้พบกันนานเพื่อนส่งบุหรี่ให้เลยหยิบมาสูบ ลูกสาวแอบเห็นบ่นใหญ่เลยไปฟ้องภรรยาว่า"แม่ๆพ่อพ่นพ่นอะไรอีกแล้วเดี๋ยวก็ไม่สบายอีก"
555+ ลูก เป็น ทุกสิ่ง-ทุกอย่าง จริงจริงนะครับ ตะนิ่นตาญี ไม่มีลูก แต่ เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ ครับ เลิกบุหรี่ จึงเป็นสิ่งที่ดีจริงจริงครับ คุณแสงธูป ครับ ตะนิ่นตาญี วันพพฤหัสบดีที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๐๖.๐๑ นาฬิกา
เพิ่งเห็นครับ พี่ตะนิ่นตาญี... จริงๆแล้วสิ่งที่พี่เขียนจะลงที่ กลุ่ม FB หรือ ที่นี่ก็ได้ครับ เป็นบทความของพี่อยู่แล้วครับ ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆ (ยาวๆ) ให้อ่านกันทั้งที่กลุ่ม FB และที่นี่ครับ ปล. ติดตามบทความของตะนิ่นตาญีในกลุ่ม FB ได้นะครับ
สวัสดีครับพี่ตะนิ่นตาญี เห็นหัวข้อกระทู้แล้วก็ไม่รู้จะเข้ามาสนทนาให้ออกอัตถรสได้อย่างไง เพราะผมเองก็เป็นคนเก็บตัวมาก เพื่อนฝูงสนิทชิดชอบก็น้อย ส่วนใหญ่ก็แค่คนรู้จัก(อันนี้มีเยอะมาก) ยิ่งเวลาผ่านไปเพื่อนก็ยิ่งน้อยลงมาก ยังสังหรณ์ใจอยู่ว่างานศพตัวเองนิ อาจจะไม่ต้องเตรียมการอะไรมาก ข้าวต้ม หนังสืองานศพ อะไรก็จัดสักโหลสองโหล เท่านี้ก็คงอาจจะยังแจกไม่หมด ด้วยเหตุนี้ก็ไม่ค่อยมีคำสอนจากเพื่อนมาเล่าสักเท่าไร แต่ถ้าเป็นพวก บทเรียนจากคนที่เกลียด หรือคนมั่นใส้ แล้วละก็ เยอะเลย มีทุกวันโดนทุกวัน เรื่องบุหรีนี้ก็พอสนทนาได้ แต่ก่อนผมทำงาน ก็สูบจัดมา วันละ 2 ซองได้ ถ้าได้ไปกินสวนอาหาร วงเหล้าด้วยแล้ว ต้องเตรียมไปเป็นคอตตอน ถึงจะพอสูบกันประมาณ 4-5 คน เช้าตื่นขึ้นมา ก็หายใจได้ลึกสุดได้ไม่ถึงคอ เดียวนี้ก็เลิกมาได้16ปีละ ตอนคิดจะเลิกก็คล้ายคุณแสงธูป อยากมีชีวิตยาวขึ้น อยากเจอความทุกข์ความเศร้าหมองบนโลกนี้ นานขึ้นและมากกว่านี้ 55 และสำคัญไม่อยากจะต้องเลิก เพราะหมอมาบอกว่าคุณเป็นมะเร็ง วันเลิกก็หักดิบเลย วันที่งดสูบบุหรี่โลก น่าจะปี42 วันที่31 พฤษภาคม ไม่ได้ลงแดงอะไรตั้งแต่เช้าไม่สูบก็บอกตัวเองว่าเมื่อกี่ไม่ได้สูบ ชั่วโมงก่อนไม่ได้สูบ ครึ่งวันไม่ได้สูบ แล้วจะสูบทำไม ทนมาได้ละ สมัยก่อนไม่ชอบให้ใครมาชวนให้เลิกบุหรี่ โกรธและเกลียดมาก เพราะจะคิดว่าพวกเขาไม่รู้ว่า อารมณ์ตอนควันเข้าปาก ผ่านลิ้น เข้าลำคอ พร้อมเสียง ซี๊ด แล้วทำซัมเมอร์ซอลในปอด ก่อนเดินทางกลับทางเดิมออกผ่านริมฝีปาก ดังฟู่ มันเพลินและทอดอารมณ์ ได้แสนจะหาอะไรอย่างอื่นเปรียบได้ และแน่นอน หลังอาหาร การทานเหล้า บุหรี่มันช่างถูกสร้างมาให้คู่กัน แต่วันนี้หลังจากเลิกบุหรี่มา ไอ้ที่ว่าโมเม้นยอดเยี่ยมที่ได้จากบุหรี่ วันนี้ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แล้วก้ไม่ได้เสียดายโมเม้นอย่างนั้นเลย ในทางกลับกัน ตอนนี้อยู่ใกล้คนสูบบุหรี่ กลิ่นบุหรี่ช่างหอมน่าดม แล้วเป็นกลิ่นที่ไม่เคยได้เลย ตอนสูบเอง รวมๆสุขภาพก็ดีขึ้น อาการปวดหัวบ่อยๆก็หาย เดียวนี้ไม่ปวดเลย จากแต่ก่อนอาทิตย์หนึ่งต้องมี3-4วัน การหายใจลงปอดก็ได้ลึกขึ้น แล้วร่างกายก็มีเนื้อมีหนังมากขึ้น ถ้าใครจะเลิกผมสนับสนุนนะครับ เลิกเถอะครับ เพราะการเลิกมันจะให้คุณดีใจเมื่อคุณไม่ได้เป็นมะเร็ง และไม่ทำให้ลูกเมียคุณเสียน้ำตา ถ้าคุณต้องจากไปเพราะบุหรี่ สวัสดีครับ
ขอบพระคุณ คุณ hiddenman มังกรผู้ซ่อนกาย มาก ครับ พี่ จะพยายาม เขียน ให้ดีที่สุดเท่าที่ จะ ทำได้ครับ ตะนิ่นตาญี วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๑.๕๖ นาฬิกา
ขอบพระคุณ คุณ Hilton (ปาล์มมาลี) มากครับ ชีวิตช่วงวัยรุ่น เป็น ช่วงเวลา ที่ ส่วนตัว แล้ว คิดว่า เป็น ช่วงเวลา ของ การลองผิด-ลองถูก เป็น ช่วงเวลา ที่ เชื่อว่า ต้องมีวันพรุ่งนี้ ให้ก้าวต่อไป ต่างกับ ปัจจุบัน สิ่งที่มีอยู่คือ ความทรงจำ บางครั้งมันก็น่าขำ บางทีมันก็น่าหมั่นไส้ ใน ตัวเอง ... นั่น พาล ทำให้คิดไปได้ว่า เมื่อก่อนนี้ เราทำไปได้อย่างไร ตะนิ่นตาญี อ่าน ใน ทุก post ของ คุณ Hilton (ปาล์มมาลี) นับถือในน้ำใจอยู่มาก เพราะส่วนตัวแล้วเชื่อว่า คนทีมีความกตัญญู นั้น เป็น ผู้ประเสริฐ เป็น บัณฑิต ที่ พึง เคารพ สำหรับเรื่องสูบบุหรี่ นั้นเห็นด้วยครับ ไม่ดีแน่ อยากเลิกอยู่เหมือนกัน แต่ยังดลิกไม่ได้ครับ ตะนิ่นตาญี วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๒.๑๑ นาฬิกา
เหมือน ลูกปลา ใน อ่าง ที่ เคย เลี้ยง ไว้ ตอนเด็ก ใจ มัน เหิม โดด กระเด็น ออกจาก อ่าง ไป ดิ้นแถกเหงือก อยู่ กลางแดด-กลางฝน ไม่ ต่าง อะไร กับ ตัวเอง บน เวที มี ฉาก ที่ ถูก สมมุติ ให้ เป็น โรงเรียน เมื่อ เริ่มต้น นั้น ให้ รู้สึก โดดเดี่ยว และ ผิดกลิ่น แต่ เมื่อ เข้าข้องเดียวกัน-เป็นพวกกันแล้ว จะ เหม็นเปรี้ยวกลิ่นเหงื่อ ใน ตอนเย็น หลัง เล่น บอล หรือ เหม็นเหล้า ใน ยามเมา ... เมื่อ คละเคล้า ลงไป จน ให้ เคยชิน สุดท้ายแล้ว มัน ก็ แป๊ะเอี๊ยะ เพราะ เรา ก็ คือ ปลาข้อง เดียวกัน ... ******************************************************************* ตั้ง สติ ให้ มั่น แล้ว สะกดจิต ตัวเอง ให้ กาลเวลา หมุนย้อนกลับไป ใน ยาม เยาว์วัย เขยื้อน เก็บ ทุกสิ่ง จาก อดีต เอามา สู่ ปัจจุบัน ... ยก เอามา ทั้ง กะบิ นั่นแหละ ขึ้นมาจาก ตะกอน ของ กาลเวลา ล้าง-เช็ด-ขัด-ถู ให้ มัน สดใส เหมือน ใหม่ จาก เมื่อวันวาน แล้ว ห่อหุ้ม ด้วย ปก แห่ง ความทรงจำ เก็บ ไว้ ให้ เป็น นิรันดร์กาล แม้นจะเป็น นิรันดร์กาล เพียงแค่ เสี้ยวเวลา ก็ ตามที ! ******************************************************************* สมัยก่อน มี บางวัน ตะนิ่นตาญี นั่งมันอยู่กลางดิน นี่แหละ อาจเป็น เพราะ เหน็ดเหนื่อย หรือ ตรากตรำ ว้าเหว่ ก็ ไม่รู้ เหมือนกัน ว่า อยู่ ใน อารมณ์ ไหน แล้วแต่ จะ นึก ศัพท์แสง อะไร ที่ วิลิศมาหรา ขึ้นมา ได้ แล้ว ใส่ ลงไป ******************************************************************* เรา อยู่ กัน ที่ นั่น ถือตัว ว่า เรา คือ คน ของ ที่ นั่น ตั้งแต่ อนุบาล ยัน มัธยมต้น ๑๒ ปี ใน ความทรงจำ ที่ อยู่ บน เวทีมหึมา และ ฉาก สมมุติ ที่ เรียกว่า โรงเรียน ... แน่นอน มัน มหึมา สำหรับ เด็กผู้ชาย รุ่น กระทง ตัวเล็กเล็ก ๔ คน อย่างพวกเรา ที่ ไม่เคย รู้จัก หัวนอน ปลายตีน กันมาก่อน ... หมั่นไส้ กันขึ้นมา อย่างมาก ก็ ปากปลิ้น-ลิ้นครุฑ กิน น้ำพริก ไม่ได้ ไป หลายวัน เท่านั้นเอง จริงจริง ******************************************************************* เวที แห่ง นั้น มัน ถูก กำหนด ให้ เป็น ที่ ศึกษา และ ทดลอง ชีวิต ... ทดลอง ความ เป็น คน ... ทดลอง ความอดทน มัน เป็น ชุมชนคน ที่มีจำนวน ไม่ น้อย ... ชุมนุม กัน ด้วย คนชนิดข้น และ คนชนิดจืด แถม มัน กำหนด บทบาท ให้ แก่ พวกเรา ด้วย ... หลายต่อหลายครั้ง ให้ เป็น ตัวประกอบ แต่ ก็ มีบ้าง ที่ แสดงนำ ******************************************************************* ในยามพลบค่ำ - ในยามที่เราเหงา หันหน้ามองไปทางใด ก็ ให้ แล ดู เหมือน ไกล สุดขอบฟ้า ไม่เห็นดอกนะ หากจะมองด้วยสายตา แต่ก็เห็นด้วยสายใจ ! จวบจน ย่ำสนธยา มา เยือน ใบไม้ ทุก ใบ ก็ พร้อมใจ กัน ร้องเสียงหริ่งออกมา นั่นแหละ คือ จั๊กจั่น-เรไร มัน เริ่ม ตั้งวงแหกปากคุยกัน จน บางครั้ง ทำให้ นึกถึง นิราศอิเหนา ให้ เหงา จับจิต พวกเรารู้ว่า ถ้าไม่ตั้งวงกินเหล้า ก็ ต้อง แยกย้าย กัน กลับบ้าน หรือ เตะฟุตบอล ******************************************************************* พระผันแปรแลรอบขอบทวีป ... เห็นแต่กลีบเมฆเคลื่อนเกลื่อนเวหา จะแลดูสุริยนก็สนธยา ... จะดูฟ้าฟ้าคล้ำให้รำจวน ฝืนวิโยคโศกเศร้าเข้าในห้อง ... เห็นแท่นทองที่ประทมภิรมย์สงวน ไม่เห็นนุชสุดจะทรงพระองค์ซวน ... ละห้อยหวนหิวโหยด้วยโรยแรง ยลยี่ภู่ปูเปล่าเศร้าสลด ... ระทวยทดทอดทบซบกันแสง ฯลฯ ******************************************************************* นิราศอิเหนา โดย พระสุนทรโวหาร (ภู่) ******************************************************************* เป็น อย่างนั้น จริงจริง เป็น อย่างที่ ท่านครูสุนทรภู่ ท่าน ว่า ไว้ ... "... ยลยี่ภู่ปูเปล่าเศร้าสลด ... ระทวยทดทอดทบซบกันแสง" แล้ว ฉัน จะ มา นั่งดูฟ้า-นั่งดูดิน มอง อาทิตย์ ลับ ขอบฟ้า หรือ เข้าห้องนอน มอง ผ้าปูเตียง ยับยับ ทำไม? ไป กินเหล้า กับ เพื่อน ไม่ดีกว่า หรือ? นั่น คือ เมื่อครั้งเริ่ม แตกเนื้อหนุ่ม ... แรงงาน ส่วนเกิน มัน ล้นเหลือ จนไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ทั้งเล่นกีฬา ทั้งเรียนหนังสือ และ ทั้งอบายมุข พวกเราทั้ง ๔ คน ล้วนแล้วแต่ ทำหน้าที่ ของ วัยรุ่น ได้ ครบถ้วน ทุกประการ ******************************************************************* ในหมู่พวกเราทั้ง ๔ คน นั้น ไอ้ป๊อก เป็น คนเดียว ที่ ดูเหมือน จะ ไม่รู้จักทุกข์โศก ใดใด ปาก ของ มัน เป็น บ่อเกิด แห่ง รอยยิ้ม ... เรา ด่า มัน-มัน ก็ ยิ้ม ... เรา แกล้ง มัน-มัน ก็ หัวร่อ แต่ ถ้า เรา พลาด อะไร ไป ล่ะ ก็ มัน จะ ย้อน เอา เจ็บเจ็บ อย่าง สมหวัง ทุกทีไป ******************************************************************* เวลา เข้าแถว ตอนเช้า ก่อนเข้าเรียน จะมีนักเรียนหญิงเดินขึ้นตึก ๑๑ ชั้น ไอ้ป๊อก นี่แหละ จะ เป็น ตัวตั้ง-ตัวตี ชักชวน ให้ พวกเรา เงย หน้า ขึ้น ดู เด็กนักเรียนหญิง เดิน ขึ้นตึก ... บางคน รีบวิ่ง ให้ พ้น จากสายตา ของ พวกเรา บางคน ก็ ยก รองเท้าให้ พวกเรา ได้ ศึกษา ยี่ห้อ ของ รองเท้า ก่อเกิด เป็น เสียง ฮือฮา ใน หมู่นักเรียนชาย ... จาก ที่ วอบวอบ-แวมแวม ก็ ชัดเจน โปร่งใส ขึ้น ทันใด เมื่อ ได้เห็น-ได้ชื่นชม ความสวย ของ รองเท้า และ อื่นอื่น อีกหลายประการ ******************************************************************* ครั้นพอตกเย็น มัน ก็ เร่งให้พวกเรา เก็บ หนังสือ เข้า กระเป๋า รอเสียงออดเลิกเรียนดัง พอ ออด ดัง เท่านั้นแหละ มือหนึ่งมันคว้ากระเป๋า อีกมือหนึ่ง ก็ คว้า คอเสื้อ ของ ไอ้จ๋อ ปาก ก็ เร่ง ตะนิ่นฯ กับ ไอ้ตี๋ ... เร็วเร็ว กู หิวเหล้า ... ทำอย่างนั้นอยู่ประจำ ทุกเย็น วันศุกร์ แต่ ใน วันธรรมดา มัน จะลากพวกเรา ไป เตะ บอล ไม่ว่าจะเป็นบอลพลาสติค ที่ สนามบาส หรือ ฟุตบอล จริงจริง ที่ สนามทราย ******************************************************************* เมื่อ พูดถึง เล่นกีฬา แล้ว พวกเรา ล้วนแต่ เป็น ลูกไล่ ของ ไอ้ป๊อก ไม่ว่า จะเป็น ฟุตบอล ปิงปอง แบดมินตัน หรือ สนุ๊กเกอร์ มัน เล่นได้ดีจริงจริง ในสนามฟุตบอล มัน เป็น เหมือน หัวใจ ของ ทีม ถึง ขนาด ติดทีมโรงเรียน เลยทีเดียว และ ไม่ใช่ โรงเรียน ของ เรา โรงเรียน เดียว แต่ ติดทีมโรงเรียน ทุก โรงเรียน ที่ มัน เรียน ******************************************************************* ในสนามแบดมินตัน มัน ต่อ ให้ ไอ้จ๋อ กับ ตะนิ่นฯ เล่นคู่ ส่วนตัวมัน เล่นเดี่ยว เรียกว่า ต่อ ให้ เรา สองคน รุมมัน เล่น กับ มัน คนเดียว ... ถึงมันจะต่อ ให้ ขนาดนี้ ก็ ตามทีเถอะ เรา ยังไม่เคย เอาชนะมันได้สักหน จบเกมส์เมื่อไหร่ มัน ได้ กินน้ำฟรี ทุกที ไป ******************************************************************* ความทรงจำ ของ ตะนิ่นตาญี มี อยู่ ซับซ้อน มัน กระโดด ไป มา ระหว่าง คน ต่อ คน และ คน กับ วัตถุ ! โลก ของ ลูกผู้ชาย ที่ ต่อสู้ กัน ตั้งแต่ กำลังกาย สำนวนโวหาร ไป จนถึง เล่ห์เหลี่ยมไหวพริบ ทั้ง ใน วงเหล้า วงการพนัน และ ใน สถานที่ ที่ ไม่นับว่าเป็นวงอะไรเลย เช่น ... ******************************************************************* ระเบียง ตึกเรียน ใน ยามโพล้เพล้ ปรากฏ ขึ้น ใน ความทรงจำ ภาพการตะลุมบอน ของ เด็กนักเรียนชาย ผู้ใช้แรงงานส่วนเกิน ให้ หมดสิ้น ไป ด้วยการ ใช้ หมัด-เท้า-เข่า-ศอก โรมรัน-พันตู กันอย่างน่าดู วิวาท และ ปรองดอง ... บทเรียน ที่ ได้ คือ รอยแผล ตาม ร่างกาย ไม่ว่า ที่ ขอบตา หรือ โหนกแก้ม ริมฝีปาก และ ชายโครง ... กรรมการ ตัดสิน การศึกษา ได้แก่ ยาสมานแผล และ รสเหล้า ฉลองมิตรภาพ แถม ด้วย ไม้เรียวอันใหญ่ ถูก สะบัด ด้วย มืออันเชี่ยวชาญ ซึ่ง นั่นคือ การตีประจานหน้าเสาธง ใน เช้าวันถัดมา ! ******************************************************************* เรื่องของเรื่อง เริ่มขึ้นในยามบ่าย ของ วันอันขุ่นมัว เหตุ เพราะ บอล แพ้ แต่ คนไม่แพ้ เดิมพัน กัน ด้วย เกียรติยศ ของ ลูกผู้ชาย ไอ้จ๋อ ถูก หลังตีน ยันเข้า ที่ กลางหลัง ... ไอ้ป๊อก โดด เข้าใส่ คนให้ตีน กับ เพื่อน ทันที ไอ้ตี๋ ควงหมัด ยัด เข้าปาก รุ่นพี่ อีกคนหนึ่ง แจกทั้งหมาก-แจกทั้งแว่น ให้ ทุกคนที่ขวางหน้า เท่านั้นเอง เหตุชุลมุน เกิดขึ้นในทันที ใคร เป็น ใคร ไม่รู้ มั่วไปหมด ตะนิ่นตาญี ถูก ถีบ ตกบันได สองครั้ง-สองครา ไม่เป็นไร ไม่เจ็บ ตั้งหลักได้ ก็ ส่งคืนให้ทั้งดอก และ ต้น ครบถ้วน ไม่ขาด-ไม่เกิน จน กรรมการ มาห้าม เหตุการณ์ จึง ได้ สงบ ... ******************************************************************* นึกขึ้นมาทีไร ใจยังหาย เหมือนคนที่ตกนรก ครบ กำหนด ได้ขึ้น สวรรค์ แต่ ถูก ยมบาล สะเพร่า เอา ตัว กลับมาทำโทษ ใหม่ เช้าวันรุ่งขึ้น เราทุกคนไม่มีเว้น ถูก ทำโทษ ด้วยการตีประจานหน้าเสาธง แถมท้ายด้วย bad note ใน สมุดพก ตอนสิ้นสุดสัปดาห์ ******************************************************************* เช้าวันรุ่งขึ้น ไอ้ป๊อก มัน บอก พวกเรา ด้วย ใบหน้า ที่ ยิ้มพราย ว่า ... "เฮ้ย ... เรื่องนี้ ไม่มี action ว่ะ มีแต่ drama เพราะ กลับบ้านไป กู ถูก แม่กู ตีซ้ำ ว่ะ 555" เออ ... จริง ของ มึง ว่ะ ไอ้ป๊อก ไม่มี action แต่ drama ล้วนล้วน เพราะ กู ก็ โดน ไม้ขัดหม้อข้าว ว่ะ ตะนิ่นตาญี วันศุกร์ที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๒.๑๓ นาฬิกา
ขอบพระคุณ คุณตฤณ มาก ครับ ... ชื่อ เพราะดี แปลว่า พระอาทิตย์ ใช่ไหมครับ ตะนิ่นตาญี วันศุกร์ที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๑๔.๐๒ นาฬิกา
สวัสดียามเย็นครับพี่ตะนิ่นตาญี ขอร่วมเป็นอีกหนึ่งความหวังดีและกำลังใจเช่นเดียวกับคุณ ตฤณ ให้พี่ตะนิ่นตาญี ครับ พูดถึงการชกต่อยสมัยขาสั้น ตอนนั้นจะเป็นการท้าต่อยกันตัวต่อตัว เวลาเราไม่พอใจกัน ผมมีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่งซึ่งคบหากันมาตั้งแต่มัธยมจนถึงบัดนี้เรารักและรู้ใจกันมาก(เพื่อนผมเหลือน้อยมากแล้วในปัจจุบันเช่นเดียวกับคุณปาล์มาลี) แต่ก่อนที่เราจะสนิทกันเราสองคนชกต่อยกันประจำ ตอนนั้นเขาย้ายมาตอนม2 เป็นคนไม่ยอมคน ผมกับเขาเกิดเขม่นกันจึงถ้าต่อยกันตัวต่อตัวตอนพักเที่ยง เราแลกหมัดกันหน้าตาแตกทั้งคู่ก่อนจะได้ยินเสียงคนดูต้นทางว่าครูมาค่อยเลิก เป็นแบบนี้แทบทุกวันทั้งอาทิตย์แบบว่าถ้าปากไม่แตกแล้วกินข้าวไม่อร่อย อาทิตย์ต่อมาเราก็เลิกชกกันแต่มองหน้ากันไม่ติด จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งผมเจอนักเรียนกลุ่มอื่นรุมทำร้าย นั่งทายาให้ตัวเองอยู่ในห้องเรียน เขาคนนั้นที่เคยชกกับผมเป็นประจำก็เดินเข้ามาหา ถามผมว่า"มรึงเป็นอะไรวะโดนไอ้พวกนั้นรุมใช่ไหม" ผมเลยถามกลับไปว่า"แล้วมรึงจะทำไมวะ" เขาเลยบอกว่า"ไปเอาคืนกันเดี๋ยวกูช่วยมรึงเอง" ผมนิ่งแล้วคิดว่าทำไมมันมาดีกับเราวะ ตกเย็นเราสองคนไปดักรอพวกมันที่นอกโรงเรียน พวกมันมีอยู่สามคน ผมมีศัตรูเก่าที่กลายมาเป็นเพื่อน พอเจอหน้ากันยังไม่ทันได้ลงมือพวกมันก็กล่าวคำขอโทษ ผมก็ใจดีพอเพราะเรื่องเจ็บตัวมันเป็นธรรมดาของผู้ชายในเมื่อพวกมันยอมขอโทษผมก็ใจถึงพอที่จะให้อภัย ผมเจ็บตัวฟรีไม่เป็นไรเพราะผมได้เพื่อนรักมาคนหนึ่ง(จากวิวาทกลับมาปรองดอง) หลังจากนั้นเราก็กลายเป็นเพื่อนรักกันไม่เคยทิ้งกันในทุกปัญหาผมสนิทกับบ้านเขามากเพราะไปบ่อยตอนเรียนจบม3เราตั้งใจว่าจะไปเรียนที่เดียวกัน แต่ต่อมาทางบ้านเขาไม่ให้ไปเรียนเนื่องจากโรงเรียนเทคโนที่เราจะไปเรียนมีความอันตราย ผมจึงไปเรียนคนเดียว แต่วันไหนโดดเรียนผมก็จะแวะเข้าไปหาเขาประจำ จนทุกวันนี้เราสองก็เล่าเรื่องตอนนั้นให้ครอบครัวฟังเสมอ ถึงฐานะเราจะต่างกันมากด้วยเขามีฐานะดีต่างกับผมที่ยากจน ภรรยของเขาอาจจะไม่ค่อยชอบผมเนื่องจากเธอรู้ประวัติของผม แต่เพื่อนของผมเขาก็ดีกับผมตลอดมา ถ้าวันไหนเจอกันเป็นที่รู้กันว่าต้องปล่อยให้เราสองคนคุยกันใครอยากไปทำอะไรก็ไปเพราะอีกหลายชั่วโมงกว่าเราจะจบ
ขอบพระคุณ คุณแสงธูป มากครับ ... ขอบพระคุณ ที่ เป็น กำลังใจ ให้เลิกสูบบุหรี่ ขอบพระคุณมากครับ เพื่อนดี นั้น เป็น สิ่งประเสริฐสุด แล้วครับ ... สิ่งหนึ่งที่กาลเวลา สอน ตะนิ่นฯ มา นั้น คือ อย่าทิ้งเพื่อนครับ ตะนิ่นตาญี วันศุกร์ที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๑.๕๐ นาฬิกา
อ่า ... ขอบพระคุณมากครับ ความรู้ใหม่จริงจริงครับ ตะนิ่นตาญี วันศุกร์ที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๑.๕๓ นาฬิกา
เพื่อนเพื่อน ว่า ไหม ครับ ... เมื่อ กาลเวลา เข้าไปเยี่ยมเยียน ที่ แห่ง ไหน นั่น ก็ เพื่อ จะละทิ้ง สถานที่แห่งนั้น ไว้ ให้ อยู่ ใน ความหลัง ... วันคืนอันบรมสุข หรือ บรมทุกข์ ก็ ตามที ... มัน ได้ กลายเป็นอดีต ให้ จดจำ แม้ว่า ตะนิ่นตาญี จะละทิ้ง สถานที่ ต่างต่าง ใน ชีวิต ไว้ เบื้องหลัง แต่ ก็ ไม่สามารถ ละทิ้ง อดีต ได้ ! ************************************************************ ตะวันขึ้นแล้วก็ตก การเดินทาง ของ มัน ลากเส้น ผ่าน ท้องฟ้า และ แผ่นดิน ให้ กลาย เป็นกาลเวลา ... เป็นวัน-เป็นคืน ... เป็นเดือน-เป็นปี เป็นทศวรรษ-เป็นศตวรรษ ... เป็นยุค-เป็นสมัย และ นั่น ทำให้ มีเกิด-มีจากไป ! ************************************************************ อดีต ของ ตะนิ่นตาญี อยู่ ใน โรงเรียน ... จับ ด้วย บทเริ่มต้น คือ อนุบาล พร้อมกันนั้น มี เพื่อนร่วมรุ่น ชั้นเรียน อยู่ ไม่น้อยกว่า สามร้อยคน เป็นนักเรียนประจำบ้าง นักเรียนไปกลับบ้าง คละเคล้า กัน ไป เป็นเพื่อน ที่ เดินผ่าน พยักหน้าให้กัน สองร้อยกว่าคน เป็นเพื่อน ที่ยิ้มให้กัน ทักทายกัน พูดคุย สนิทสนมกัน กว่าสามสิบคน ... เป็นเพื่อน ที่ กอดคอ กินข้าว-กินเหล้า กัน กันอยู่ประจำ สี่ คน ************************************************************ อาจมีบ้าง บางครั้ง ที่ มิตรสหาย กลิ่นอาย เดียวกัน มา ร่วม วงข้าว-วงเหล้า แต่ ก็ เป็นครั้ง-เป็นคราว ไป ไม่ใช่ ขาประจำ อย่าง พวกเรา ตะนิ่นตาญี จับ พวกเขา มา ขัง ไว้ ใน กรง แห่ง ความทรงจำ หลายคนทีเดียว ไม่ว่า จะเป็น กำพล คนเงียบ ... ไอ้ยะ หัวก้าวหน้า ... ไอ้ติ๊ก ขี้เมา ไอ้นัส ขาใหญ่เยาวราช ... ไอ้จอห์น wingman หรือ ไอ้ชาย จอมทะลึ่ง ฯลฯ เมื่อเริ่มต้น ทุกคน ถูก เบ้า แห่ง ความว้าเหว่ หล่อหลอม ให้ กลาย เป็น ธาตุ ชนิดเดียวกัน ธาตุ คนไม่เต็มเต็ง ซึ่ง หนัก ไปทาง ทะลึ่ง และ สัปดน ... ************************************************************ ตาย ไป แล้ว บ้าง ... ยังอยู่ สุขสบายดี บ้าง ... ตาม วิถี แห่ง ชีวิต ของ แต่ละคน เจอ กัน บ้าง-ไม่ เจอ กัน บ้าง ตาม แต่ โอกาส จะ อำนวย ... แต่ พวกเขา ยัง อยู่ ใน ความทรงจำ ที่ เมื่อขัด-เมื่อถู ก็ ชัดเจน ขึ้นมาทันที ... แล้ว รู้ไหม แม้แต่ในเวลานี้ พวกเขา ทุกคน ก็ ยังคง เดินกันขวักไขว่ ไป-มา ตราบใด ที่ ... ตะนิ่นตาญี เห็น ถนนปูน เลียบ ซอยเล็กเล็ก แถว ลาดพร้าว ! พวกเขา ยังคง ยิ้มได้ หัวเราะได้ ...ในเวลา ตะ นิ่นตาญี ได้ยินเสียง แห่ง ความเบิกบาน ใน อดีต และ ได้ กลิ่นเหล้า จาก ความทรงจำ ! ************************************************************ เมื่อ ตะนิ่นตาญี ปล่อย พวกเขา ออกมา ให้ แสดง บทชีวิต ที่ หยาบกร้าน ยืน-เดิน-นั่ง-นอน-หกคะเมน-ตีลังกา-หัวเราะ-ร้องไห้ ตามประสา หรือ สันดานเดิม ของ พวกเขา แล้ว พลิกแง่-เปลี่ยนมุม ให้ เป็นเรื่อง น่าหัวเราะ ยามเมื่อคิดถึง นั่น ทำให้ มิตรสหาย เหล่านั้น จะไม่มีวันตาย ไป เด็ดขาด ... เพราะ พวกเขา ไม่มีวันที่จะจางหาย ไป จาก ความทรงจำ ของ ตะนิ่นตาญี ไม่ว่า จะ ด้วย ความเฒ่าชะแร แก่ชรา หรือ ด้วยเหตุประการใดก็ตาม ! ที่นั่น เป็น จุดเล็กเล็กใน ประเทศไทย เล็ก จน คนเขียนแผนที่ ไม่แยแส แต่ เป็น จุดเริ่มต้น ของ ความเป็นคน และ ความเป็นเพื่อน น้ำมิตร ที่แท้จริง ************************************************************ ใน กระบวน เพื่อนสนิท ทั้ง สามคน ตะนิ่นตาญี จะ คลุกคลี-ตีโมง กับ ไอ้ป๊อก มากที่สุด อาจเป็นเพราะบ้านเราอยู่ใกล้กัน เด็ก ท.อ. เหมือนกัน รู้จักกันมา ตั้งแต่ หัวเท่ากำปั้นกระมัง? เรา คุ้นเคย ขนาดว่า กินด้วยกัน เมาด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน จีบผู้หญิงคนเดียวกัน หลับคาวงเหล้าด้วยกัน นั่นเลยทีเดียว ... ************************************************************ ใน ตอนที่ ถนนวิภาวดี ยังคงเป็นทุ่งนา และ ปลักควาย เรา เคย ไป เขี่ย ปลิงควาย เพื่อ นำมา พิสูจน์กฎเกณฑ์ ทาง วิทยาศาตร์ และ ชีววิทยา ให้ สิ้นสงสัย ตัวมันใหญ่ ขนาด เห็น แล้ว อยากฆ่าตัวตาย ดีกว่า จะยอมให้ มัน มา เกาะ ที่ ตัว ของ เรา ด้วย ความสงสัย และ เมตตา คิดว่า-เชื่อว่า มัน น่าจะ ตายแล้ว ของ เด็กอนุบาล สองคน เรา จึง ฌาปนกิจ ปลิงควาย ตัวนั้น ด้วย กระดาษ และ ไม้ขีดไฟ อีก สอง-สาม ก้าน และ นั่น คงจะเป็น ข้อพิสูจน์ กฎเกณฑ์ ทาง ศีลธรรม ด้วย กระมัง ว่า บาปกรรม นั้น มี จริง! ตะนิ่นตาญี ถึง ได้ ร้อนรน-ทุรนทาย ต้อง มา เขียนหนังสือ ให้ เพื่อนเพื่อน อ่าน จนถึงทุกวันนี้ จึง จะ คลายร้อน ไปได้บ้าง 555+ ************************************************************ ในยามที่พวกเรา เมาหลับ ไป ด้วยกัน ตะนิ่นตาญี จะ รำคาญ ไอ้ป๊อก มัน มาก เพราะ มัน กรนดัง เสียจน พวกเรา สะดุ้งตื่น เสียงกรน ของ มัน เหมือน มอเตอร์ไซด์ แต่ง เสียง ดังจนน่าหงุดหงิด ... หลายครั้งที่ต้องตบกระดานเพื่อให้มันตื่น แต่แค่นั้นไม่พอหรอก เพราะ มัน หลับอย่างสิ้นอาลัย เกินกว่าที่จะเรียกว่า นอนขี้เซา เหมือนวัว-เหมือนควาย ที่มีปอดใหญ่สูบลมพายุเข้าออก ... ต้อง เขย่าตัวมัน นั่นแหละ ถึงจะพอได้เรื่องขึ้นมาบ้าง ... มีบ้างบางครั้งพวกเราถึงขนาดต้องใช้อวัยวะเบื้องล่างสุด ถีบแรงแรง มันถึงจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ************************************************************ แต่ ก็ แปลก ทุกเช้า วันเสาร์-อาทิตย์ หรือ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ตีสี่-ตีห้า มาแหละ ไอ้ป๊อก มาแหละ ... มัน จะ มายืนตะโกน ปลุก ตะนิ่นตาญี ที่ บ้าน ให้ ไป เล่นบอล กัน ที่ สนาม ท.อ. ซึ่ง อยู่ ห่างจากบ้านเรา ไป ประมาณ สี่ ถึง ห้า กิโลเมตร ด้วย การวิ่งไป หลายต่อ-หลายหน ที่ ตะนิ่นตาญี ให้ สงสัย จน อด ที่ จะเอ่ยปากถาม เสียไม่ได้ ... "มึง (พวกเรา) แดกเหล้า ถึง ห้าทุ่ม-เที่ยงคืน ยังมีแรงตื่น แต่เช้ามืด อีก หรือ?" มัน ได้ แต่ หัวเราะ 555+ แล้ว บอกว่า "ไม่รู้ว่ะ" ถาม มัน กี่ครั้ง-กี่หน มัน ก็ ตอบเหมือนเดิม ทุกประการ ************************************************************ โชคชะตา ของ คนเรา อยู่ ที่ ดวงกำเนิด หรือ อยู่ ที่ ลายบนฝ่ามือ หรือ อยู่ ที่ กำมือ ของ เจ้าตัว หรือ ว่า ฟ้า-ดิน บันดาล ? ขอเถอะ-ขอเถอะ ... สำหรับ คำว่า ฟ้า-ดิน ขออย่าแปลว่า เทวดา หรือ ยมบาล เพราะ ตะนิ่นตาญี ให้ ความหมาย ตรงตัวจริงจริง ฟ้า คือ ฟ้า ... ดิน คือ ดิน ไม่มี เล่น คารม ************************************************************ แต่ไหน-แต่ไร มาแล้ว ไอ้ป๊อก ใฝ่ฝัน อยู่เสมอ ว่า จะต้องเป็น ทหาร และ ทหารอากาศ เท่านั้น เมื่อ พวกเรา เรียนจบ ชั้นมัธยมต้น ม.ศ. ๓ มันสอบเข้า โรงเรียนเตรียมทหาร ได้ สมใจ อยาก มัน ทำได้สำเร็จ ตามที่มันฝันไว้ ... วันแรก ของ การแต่งเครื่องแบบ นักเรียนเตรียมทหาร มัน นัดเจอกับพวกเรา ที่ ป้ายรถเมล์ เราสามคน ยังนุ่ง ขาสั้น มี มัน คนเดียว ที่ ใส่ ขายาว ยืน ตัวตรงเป๊ะ มอง พวกเรา ด้วย สายตา ที่ เป็น ประกายใสซื่อ ... ประดุจดั่ง งูเห่า จ้องจับ เหยื่อ ซึ่งนั่น ก็ เป็นไป ตามแบบฉบับ ของ มัน สาวสาว เสื้อขาว-คอซอง-กระโปรงน้ำเงิน ที่ เดินผ่าน ส่งยิ้ม ให้ มัน จน พวกเรา เริ่มหมั่นไส้ ************************************************************ ก่อน ที่ จะไปกันต่อ ขออนุญาต อธิบาย ขยายความ สักนิดเถอะ ... เมื่อ สอบเข้าเรียน ใน โรงเรียนเตรียมทหาร และ ได้เข้าเรียน ใน สถาบันอันทรงเกียรติ นี้ แล้ว นักเรียนเตรียมทหาร ทุกคน จะได้รับ เงินเดือน ทันที ... ไอ้ป๊อก ก็ เช่นกัน พอ ได้รับ เงินเดือน-เดือนแรก มันนัดเรากินเหล้า นัยว่า ฉลอง เงินเดือน-เดือนแรก ของ มัน เมื่อ ได้ที่-ได้ทาง ปักหลัก-ลงฐาน ตั้งวงเหล้าเสร็จ มันควักเงินเดือน ออกมาอวดพวกเรา ... ไอ้จ๋อ กระตุก เงิน ใน มือ ไอ้ป๊อก ที่ กำลัง สะบัด อยู่ ผล หรือ ขาดดัง แคว่ก ... หน้าเสีย กัน ทุกคน ยกเว้น ไอ้ป๊อก คนเดียว ที่ หัวร่อ-งอหาย "หน้าเสีย ทำไม ... ไม่เห็นเป็นไรเลย ช่างมันเหอะ กินเหล้า กัน ดีกว่า" นี่ คือ หัวใจ ของ ไอ้ป๊อก ! ************************************************************ มัน น่าจะเป็น เรื่องคิดประดิษฐ์แต่งขึ้นมา มากกว่า ที่ จะเป็นเรื่องจริง เมื่อ ลูกชาย นายทหารอากาศ สองคน ได้ไป เรียนที่เดียวกัน ชั้นเดียวกัน ห้องเดียวกัน ไอ้ป๊อก กับ ตะนิ่นตาญี ... เรา อยู่ด้วยกัน ตั้งแต่อนุบาลหนึ่ง มา จนถึง ม.ศ. ๓ หลังจากนั้น แม้จะแยกย้ายกันไป ตามวิถีที่คิดฝันกันเอาไว้ แต่ก็คงยังสังสรรค์กันอยู่ประจำ ไอ้ป๊อก เรียน เตรียมทหาร ปี ๑-ปี ๒ แล้วไป เรียน ต่อ โรงเรียนนายเรืออากาศ ในเวลานั้นเราเสีย ไอ้จ๋อ ไป แล้ว จาก อุบัติเหตุ ทาง รถยนต์ ... ตะนิ่นตาญี ยังจำ วันนั้น ได้ ดี วันงานศพ ของ ไอ้จ๋อ เราสามคนไปกันทุกวัน ไอ้ป๊อก ใส่ เครื่องแบบ นักเรียนนายเรืออากาศ ชุดขาวใหญ่ไป ทุกวัน มัน บอก ตะนิ่นฯ กับ ไอ้ตี๋ ว่า ... ถ้า ไอ้จ๋อ เห็น มัน จะ ได้ ภูมิใจ และ รู้ว่า กู รักษา สัญญา ! ************************************************************ ความหลัง นั้น คล้ายดั่ง สายน้ำวน หมุนติ้ว และ ดึงดูด งดงาม และ น่าหวาดกลัว ... มืดมัว และ สว่างสดใส เมื่อ ดึงดูด ตะนิ่นตาญี ไถลลื่น ลงไป ตรงจุดกลาง ที่ ลึก-ที่ น่ากลัว ใน ครั้งแรก นั้น ดู มัน มืดมัว สลัว ไป ทุกทิศทาง ครั้นเมื่อตั้งใจ รำลึก อยู่ สักครู่หนึ่ง เหตุการณ์ ต่างต่าง ก็ ดู สว่างจ้า และ ชัดเจน ราว กับ จะเอื้อมมือ ไป หยิบเล่นได้ ... ************************************************************ มี อยู่ คืนหนึ่ง ไอ้ป๊อก โทร. มา "เฮ้ย ไอ้นิ่นฯ ... มึงซื้อเหล้ามาให้ กู กลม หนึ่ง ดิ ... โซดา สี่ เดี๋ยวนี้เลยนะ" ด้วยความสงสัย อดถามไปไม่ได้ "วันนี้มึงเข้าเวรอยู่ไม่ใช่หรือ?" "เออ ... ว่ะ กู เข้าเวร กะ ไอ้ไก๋ ไอ้เล็ก ไอ้สังคม ว่ะ ได้ แต่ นั่งนั่ง-นอนนอน ไม่มีอะไรจะทำ เลย จะกินเหล้ากัน ให้หายง่วงว่ะ" ไอ้ป๊อก มันว่า ของมันอย่างนั้น "ไอ้ห่า นี่ มึงจะหาเรื่องซวยกันหรืออย่างไร ... เดี๋ยว หัวหน้าเวร มาเจอพวกมึงจะซวยกันนะโว้ย" "ไม่เป็นไร พี่ปุ๋ย เป็น หัวหน้าเวร ว่ะ" ไอ้ป๊อก ให้ คำยืนยัน ************************************************************ นั่น เป็น จุดเริ่มต้น ของ ความผิดพลาด โดย มี ตะนิ่นตาญี เข้า ร่วม เป็น ตัวแสดง ใน ครั้งนั้น ฉาก และ เวที ยัง คงอยู่ ... แจ่มใส และ ชัดเจน ประดุจดัง จะ ตอกย้ำ ใน ความทรงจำ เหมือนดั่งวัว-เหมือนดั่งควาย ที่ ถูก เหล็กเผาไฟ นาบ ตีตรา ไว้ ให้ รู้ ว่า นี่ คือ ตราบาป บาป ที่ ไม่อาจ ปลง ได้ ด้วยการ ยกมือกระพุ่มไหว้ รวมทั้ง กล่าวคำขอโทษ จากเหตุการณ์ ใน ครั้งนั้น ทำให้ ไอ้ป๊อก ถูก ภาคทัณฑ์ ใน ข้อหา ละทิ้ง การปฏิบัติหน้าที่ และ นั่น ก่อให้เกิด ผลต่อเนื่อง ใน เวลา ต่อมา ... นั่นก็คือ ก่อการวิวาท ใน โรงอาหาร ซึ่งเป็นความผิดที่ร้ายแรง จนไม่อาจละเว้นโทษ อันได้แก่ การให้ออกจากโรงเรียนฯ ... ************************************************************ ไอ้ป๊อก ใช้ วุฒิเทียบเท่า ปวส. กระมัง เข้า เรียนต่อ นิติศาสตร์ รามคำแหง จนจบในเวลาต่อมา มันไป ทนายความ อยู่ ที่ จันทบุรี และ เตรียมตัว สมัคร ทำงานการเมือง ใน ระดับท้องถิ่น มัน เขียนจดหมาย ถึง ตะนิ่นตาญี อยู่ เสมอเสมอ รอเวลา ที่ เพื่อนทุกคน ได้อยู่กันพร้อมหน้า จนกระทั่ง ตะนิ่นตาญี ได้รับ จดหมาย จาก น้องสาว ... ไอ้ป๊อก ตาย แล้ว ... ถูกยิงตาย ! ตะนิ่นตาญี วันจันทร์ที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๓.๔๕ นาฬิกา
ตะนิ่นตาญี ชอบเขียนหนังสือ พยายามเขียนทุกวัน เพื่อ เก็บ ความทรงจำ ไว้ ไม่ให้ สูญหาย บางครั้ง-บางคราว เขียน-เขียน ไป มันสนุกเหลือใจ มือ ก็ จ้ำพรวดพรวดไป ไม่มี ยั้ง บางที ก็มีบ้าง ที่ เขียนไม่ออก ... ที่ เขียน ไม่ออก ไม่ใช่ เพราะ ไม่มี ความทรงจำ - ไม่มี อดีต แต่เป็นเพราะ กลัว กระมัง? หวาดกลัว ตัวหนังสือ ระมัด-ระวัง ว่า ตัวเอง จะ เขียน ได้ เลว ลง ก็ ได้ แต่ ปลอบใจตัวเองว่า ไม่ได้หวาดกลัว ตัวหนังสือ แต่เป็นเพราะ ขี้เกียจ ต่างหาก ! พยายาม สะกดจิต ตัวเอง ให้ เชื่อว่า เราไม่ได้กลัว เราไม่ได้ละทิ้ง เราไม่ได้ถอยหลัง แต่เรากำลังเขียนหนังสืออยู่เสมอ เขียน ด้วย ความครุ่นคิด บน กระดาษ ใน อากาศ เขียน อยู่ ในใจ ! *********************************************************************************** ไม่ได้ สิ ... เขียนหนังสือ บน อากาศ ไม่ได้ หรอก ... เขียน หนังสือ ในใจ ก็ ไม่ได้ ต้องเขียน ลงมา บน กระดาษ ... เอ็งจะใช้สมองได้เก่งกาจเพียงใดพลิกแพลงได้แค่ไหน ก็ ไม่สามารถทำให้ มันสมอง พ่น ตัวหนังสือ ลง บน กระดาษ ได้ เลย เอ็ง จะต้องเขียนด้วยมือ ... เขียนบนกระดาษ ... เขียนให้เพื่อนเพื่อนอ่าน ไม่ใช่ ให้ เดา ! เพราะต่อให้คิดได้เสร็จแล้ว หากไม่อาจนำมาถ่ายทอดลงบนกระดาน electronic ได้ จะเรียกว่า เสร็จสิ้นกระบวนความ ก็ ดู จะน่าอายไปแล้วกระมัง ? *********************************************************************************** หาก จะบอกว่า สติปัญญา และ มันสมอง ของ ตะนิ่นตาญี นั้น เหมือน โต๊ะทำงาน โต๊ะทำงานนี้ ก็ คง ถูกรื้อ-ถูกค้น เสีย กระจัด-กระจาย บนโต๊ะ-ใต้โต๊ะ หรือ แม้แต่ ใน ลิ้นชัก เพื่อ ค้น หา ความทรงจำ ... นั่นคือ ความทรงจำ ใน ครั้งเยาว์วัย ค้นแล้ว ค้นอีก เจอแต่กระดาษซับหมึกปึกเบ้อเริ่ม มัน เป็น รอยหมึก แห่ง ความทรงจำ ! *********************************************************************************** ในหัวสมองเต็มไปด้วย plot plot และ plot ... plot เรื่องที่หละหลวม ... plot เรื่องที่เหลวไหล plot เรื่องที่เลื่อนลอย ... plot เรื่องที่เลือนราง ... ในใจเต็มไปด้วยความโลภที่คว้าไม่ติด คิดว่า ยังมีเรื่องอีกมากมาย ที่ ยังจะหยิบฉวย มาเขียนเสีย "เมื่อไหร่" ก็ ได้ แต่ คำว่า "เมื่อไหร่" นั้น มัน ก็ ยัง เป็น "เมื่อไหร่" อยู่ นั่นเอง มันไม่เป็น "เมื่อนั้น" ได้สักที มัน เริ่มต้น ด้วยความวาบใจว่าจะเขียน แล้วก็จบวูบเดียว เมื่อนิ้วแตะลงที่แป้นพิมพ์ ! *********************************************************************************** นั่นสินะ ... ตะนิ่นตาญี จะเขียนถึง ไอ้ตี๋ อย่างไรดี ? เรื่องอะไรดี ? เรื่องไปเที่ยวกัน ที่ outrigger พัทยา หรือ เรื่องโบกรถ ไป สงขลา หรือ เรื่องซ้อมมวย หรือ เรื่องที่ ครูสุนันท์ คล้ายแก้ว ครูผู้ประเสริฐ ให้ สมญานามเราว่า Three Musketeers หรือ เรื่องอะไรดี ? มันเยอะไปหมด *********************************************************************************** ตะนิ่นตาญี ไม่ลืม ไอ้ตี๋ หลับตานึกเมื่อไหร่ ก็ เห็น มัน ยืน ถ่างขา เท้าเอว อยู่ กลางแดด ข้างข้าง ตัว มี กระเป๋า นักเรียน หนังควาย ใบเบ้อเริ่ม ที่ มัน ภูมิใจ เป็น หนักหนา สวมชุดลูกเสือใส่หมวกสักหลาด ผิวขาวอย่างลูกจีน จมูกโด่งปลายจมูก เป็น สีชมพูอ่อน ขน จากรูจมูก และ จากรูหู เลื้อยยุ่มย่าม ออกมาให้เห็น เหมือนปลายพู่กันเก่าเก่า คิ้วดก สีดำเข้ม โด่เด่ ไปตามแนวคิ้วหนาปื้น เป็น เหมือน กันสาด ให้แก่ ลูกนัยน์ตา ซึ่ง มี แก้วตาสีดำขลับ ดุจดั่ง เอา บรั่นดี ชั้นดี ไป กลั่นเสียให้แห้ง แล้วปั้นเป็นเม็ดกลม มา ยัดไว้ ให้ กลิ้งเกลือก มอง สิ่งต่างต่าง อย่าง พินิจ อันแสดงถึงความรู้ทันคน แต่ใสพราว อย่าง คน อารมณ์ดี ซึ่ง ถูกปิดบัง ด้วย แว่นสายตาสั้น หนาปึ๊ก บ่งบอก ถึง ลักษณาการ ของ ผู้คงแก่เรียน ... แต่ ที่ น่าดู ที่สุด เห็นจะเป็นแก้ม ของ ไอ้ตี๋ มัน ออก สีชมพู สีเดียว กับ สาวสาว ที่ ปัดแก้ม ด้วย brush on แต่ดันด้าน และ ย่น ไม่รู้ว่าเพราะ ความแก่แดด-แก่ลม หรือ อย่างไร ... ไอ้ตี๋ เป็น ลูกจีน สมัยใหม่ มี รูปร่างล่ำสัน สูงพอพอ กับ ตะนิ่นตาญี เห็น จะได้ กระมัง วันไหนเจอกับมัน จะยืนเทียบดูสิว่า ตอนแก่ กับ ตอนเด็ก ยัง จะสูงพอๆกันอีกหรือไม่ ! *********************************************************************************** วันนั้น เป็น วันจันทร์ .... วันจันทร์ อัน สดใส วันแรก ของ การเปิดเทอม ชั้นประถมปีที่ ๕ ไอ้จ๋อ-ไอ้ป๊อก และ ตะนิ่นตาญี แม้น จะ เจอกันเกือบทุกวัน แต่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้น อยู่ดี เมื่อ ได้พบ-ได้เจอ เพื่อนเก่าเก่า เกือบทุกคน แถมยัง มี นักเรียประจำสอง-สามคน ที่ ถูกย้ายมาเรียน ห้องเรา อีกด้วย แม้จะเห็นหน้า-เห็นตา กันอยู่เ แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมกัน หนึ่ง ใน นั้น หิ้วกระเป๋าใบใหญ่ เดินตัวเอียง มาที่โต๊ะ ของ พวกเรา ... "นั่งด้วยดิ" นั่น คือ เสียงทักทาย แม้จะแฝงไว้ด้วยความยะโส แต่ ก็ เต็มไปด้วย มิตรไมตรี จริงอยู่ถึงจะคุ้นหน้า-คุ้นตากัน แต่ ก็ ยังอดกวนตีนใส่กันไม่ได้ ... ไอ้ป๊อก ถาม "ทำไมไม่นั่งกับพวกนั้นวะ" พร้อมกับป้ายนิ้วชี้ไปยัง กลุ่มพวก "เด็กตู้" อันสื่อถึงเด็กเรียน "มันไม่คบกูว่ะ" เสียงตอบกลับมาพร้อม กับ รอยยิ้ม ที่ เยาะเย้ย และ เหยียดหยัน ไอ้จ๋อ หัวเราะ พร้อมทั้ง ถามกลับไปว่า "พวกมัน ไม่ คบมึง หรือ มึง ไม่คบ พวกมัน ว่ะ" *********************************************************************************** เหมือนแจกบทพูดบนเวทีละคร คราวนี้ถึงบท ของ ตะนิ่นฯ บ้าง "นั่งดิ" พร้อมทั้งขยับเก้าอี้ให้ ไอ้ตี๋ นั่งลง และ ผุดลุกขึ้นมา ทันที เพราะ นับทับ ลงบน ปลายเข็มวงเวียน เสียงหัวร่อดังลั่นห้อง ... ไอ้ติ๊ก นั่งอยู่หลังสุด แต่เป็นอีกแถว ของ โต๊ะเรียน พูด ขึ้นมา พร้อม เสียงกลั้วหัวเราะ ว่า "กูว่าแล้ว" ในขณะที่ ไอ้จ๋อ บอกว่า "จะ คบ กะ พวกกู ได้ไหมล่ะ" คราวนี้ ไอ้ตี๋ หัวเราะ บ้าง ... มัน นั่ง ลง อีกครั้งหนึ่ง ทับลงบน ปลายเข็ม ของ วงเวียน ที่ ตะนิ่นตาญี ยังคงวางไว้ ... มัน นั่ง ทับ อยู่ อย่างนั้น แหละ ตลอด ทั้ง ชั่วโมงเรียน ใน ช่วงเช้า ! *********************************************************************************** บทเพลง แห่ง ความหลัง ที่ เคย ร้องได้ใน จังหวะ quick step ได้ เปลี่ยน เป็น slow เสียแล้ว เมื่อความเกียจคร้านเข้ามาปูทับ ชีวิต ... ความทุรน-ทุราย ก็ เดือดปุดปุด อยู่เสมอ ตะนิ่นตาญี เขียน ถึง เพื่อน คนนู้นบ้าง-คนนี้บ้าง แล้วก็ เก็บ เข้าไว้ตั้งเป็น file ใน computer เขียน ไอ้นู่นบ้าง-ไอ้นี่บ้าง ... คนนู้นนิด-คนนี้หน่อย แต่ละบรรทัดดูจะยืดยาว ชั่วกัปป์-ชั่วกัลป์ นั่น มันเป็นงาน ของ คนจับจด ... ตะนิ่นตาญี เกลียด คำว่า จับจด จะ มี ใคร เกลียด ความจับจด ได้ มาก เท่ากับ บุคคล ที่ จับจด เองเล่า? ความทุรน-ทุราย ดิ้นรน ของ มัน ไม่หยุดนิ่ง ... หน้าจอที่ว่างเปล่ามีเพียงตัวอักษรที่อยู่ในใจ ให้ ตะนิ่นตาญี ได้ เห็น แต่เพียงผู้เดียว มัน คือ มโนภาพ ว่า เรื่อง ของ พวกเรา อย่างไรล่ะ เพื่อน ทำไม เอ็ง ไม่เขียน เสียง กระซิบ เตือน ให้เขียน ต่อไป จาก ไอ้จ๋อ และ ไอ้ป๊อก ดัง กระหึ่ม มาจาก มโนคติ ... แต่ เสียง ของ ไอ้ตี๋ ดัง มา จาก เสียงโทรศัพท์ ที่ แผดร้องเกรี้ยวกราด เร่ง ให้ เขียน "เมื่อไหร่ มึง จะเขียนถึง กู วะ" ... "ให้ กู เป็น พระเอก นะโว้ย" มัน เป็น ความเศร้า เมื่อคิดว่าตัวเองจะเขียนอะไรดีดี สนุกสนุก ให้ เพื่อนเพื่อน ทุกคน ได้อ่าน มัน เป็น ความคาดหวัง ที่มีอันเป็นไป คือสิ่งที่เขียนนั้น ถ้าไม่หย่อนเกินไป ก็ มหึมาเกินไป แต่แท้จริงแล้ว พลัง ใน การบรรยาย ของ ตะนิ่นตาญี คง พิการ ไป เสียแล้ว พิการ จน มองข้ามเรื่องย่อย และ พิการ จน หวาดกลัว เรื่องมหึมา ! *********************************************************************************** ไอ้ตี๋ เป็น คน นครสวรรค์ ที่บ้าน ของ มัน ทำ โรงสีข้าว ... คนรู้จักเกือบทั้งจังหวัด เมื่อแรกนั้นมันเป็นตัวละคร ใน ฉาก นี้ ที่ เรียกว่า "นักเรียนประจำ" จวบจน พ่อ มัน มา ปลูกบ้าน ใน กรุงเทพฯ ที่ ซอยโชคชัยร่วมมิตร นั่นแหละ มันถึง ได้ มาสนิท กับ พวกเรา ... ไอ้ตี๋ เคย เล่าให้ฟังว่า พ่อมันมาปลูกบ้านไว้ก็เพื่อเป็นที่พัก เวลา เข้า กรุงเทพฯ ปกติ แล้ว มันจะอยู่ คนเดียว นานนาน ถึงจะมี ญาติ พี่น้อง มาอยู่ด้วย อานิสงฆ์ผลบุญ จึงตกกับพวกเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะ ที่นั่น ได้ กลายเป็น แหล่งส่องสุมให้กับพวกเรา หลังเลิกเรียน มี อยู่ครั้งหนึ่ง ไอ้ตี๋ ให้ พวกเรานั่งรอมันอยู่ที่ร้านกาแฟ หน้าปากซอย สักครู่หนึ่ง ก็ เห็นมันปั่นจักรยานหัวตั้ง มาหาพวกเรา บอกว่า พ่อ มัน กลับ นครสวรรค์ แล้ว ย้าย ทำเล ไป กินเหล้า ที่ บ้านมันดีกว่า ... เย็นวันนั้น เรา คึกกัน ราวกับ อยู่ใน โรงแรมดุสิตธานี ที่ สว่างไสว ด้วย แสงไฟ มี ทั้ง เหล้าฟารั้ง และ กับแกล้ม ไส้กรอกกระป๋อง และ อาหารอีสาน แถม ออร์เดริฟ์ ที่ ตะนิ่นตาญี เสนอตัวทำให้ พวกมัน กิน แกล้ม เหล้าชั้นดี ขวดสุดท้าย ที่ ไอ้ตี๋ ไป รื้อ จาก ตู้โชว์ ของ พ่อ มัน คือ "จาไมก้า รัม" มันเป็น เหล้ารัม ที่ ร้อนแรง ขนาดจิบไปนิดเดียว ต้อง พ่นไฟ ออกมาโดยไม่รู้ตัว นัยว่าทำมาจาก เกาะจาไมก้า ใน ทะเลแคริบเบียน แถบถิ่นร้อนอ้าว ซึ่ง เหล้าต้องแรงเถื่อน ตามแบบฉบับ ของ ลูกทะเล ... หลายคนกินแทนยาแก้หวัด ! คืนนั้นเราสี่คน ลองกินเหล้า จาไมก้า รัม ... แล้ว ก็ เริ่ม ทั้ง ร้อง และ รำ สลับ กับ การแสดงกายกรรม ใน ท่ายืนขึ้น แล้วล้มลง ขณะที่กำลัง ระเริง กัน อยู่นั้น ก็ มี เสียงแปร๋น ของ แตรรถเก๋ง ดัง ขึ้น มัน กำลัง เลี้ยว เข้า มา ตามทาง ใน บ้าน ของ ไอ้ตี๋ ... เราทุกคนรู้ได้ทันที ว่า ... พ่อ ไอ้ตี๋ ไปไม่ถึง นครสวรรค์ อย่าว่าแต่ นครสวรรค์ เลย แค่ รังสิต ยังไปไม่ถึงเลย อาจเป็นเพราะกลับใจไม่กลับ นครสวรรค์ หรือ กลับ มา เอาของ ที่ ลืม เอาไว้ ก็ เป็นได้ พวกเราเผ่นพรึบหลบเข้าเงามืดแหกรั้วลวดหนาม ปล่อย ไอ้ตี๋ ให้ รับ หน้า แต่ เพียงคนเดียว เช้าวันรุ่งขึ้น ไอ้ตี๋ เดิน หน้ามุ่ย เข้า ห้องเรียน เรา หัวเราะ กัน ดังสนั่น ... "พวกมึงไม่ต้องหัวเราะ เย็นนี้ พ่อ กู ให้ พวกมึงไปหาที่บ้านไม่งั้นพ่อกูจะไปหาพ่อพวกมึง" จากเสียงหัวเราะกลายเป็นเสียงด่าไอ้ตี๋แทน ... วันนั้นทั้งวันเราอกสั่นขวัญแขวนกันตลอดวัน ตกเย็น พวกเรา ไป รอรับโทษ จาก พ่อ ไอ้ตี๋ ที่ บ้าน พร้อม ดอกไม้ และ ธูปเทียน เพื่อขอขมา เรา คลาน ไป กราบ พ่อไอ้ตี๋ โดย ไม่กล้า เงยหน้า ขึ้นมอง ... พ่อไอ้ตี๋ หัวเราะ จน เราตกใจ พร้อม ถามว่า "ทำอะไร" ... ไอ้จ๋อ ตอบ แทน พวกเรา ว่า "มา ขอ ขมา พ่อ ครับ" เสียงหัวเราะ จาก พ่อไอ้ตี๋ ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมบอกว่า "ตี๋ ไม่ได้บอกหรอกเหรอว่า จะให้มากิน เหล้า เป็น เพื่อน พ่อ หน่อย" โธ่ ... ไอ้ห่ะตี๋ มึงได้เป็นพระเอกสมใจมึงแล้ว นะ ไอ้เพื่อนบ้า 555+ ตะนิ่นตาญี วันศุกร์ที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๐.๔๔ นาฬิกา
ขอประทานโทษด้วยครับ ลืมรูป จาไมก้า รัม ครับ ตะนิ่นตาญี วันศุกร์ที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๐.๕๕ นาฬิกา
ปีก่อนมีคนสเปญคนหนึ่ง เขาเห็นพวกคนงานชอบกินเหล้าขาวกับเหล้าเสือ มันก็เลยอยากลองบาง บอกให้ผมหาซื้อให้หน่อย ผมก็หาซื้อให้มันลอง เหล้าขาวมันบอกกินไม่ได้ กลิ่นแรง เหม็น ส่วนเหล้าเสือมันบอกเหมือน รัม ต้องกินโค๊กตาม ผมก็ไม่ได้ลอง บอกตรงได้กลิ่น ผมก็ลำบากแล้ว
สมัยดื่มสุราที่ดื่มประจำผมก็ดื่ม"เสือ"นะครับ ตอนนั้นมีสองยี่ห้อ"พลังเสือกับเสือดำ ถ้าเป็นเสือดำนี่จะออกหวานหน่อยไม่ค่อยชอบ ส่วนเหล้าสีนี่นานๆกินที ส่วนเหล้านอกนี่เทศกาลสำคัญๆจริงๆถึงจะได้ดื่ม ตอนนั้นมีสหายสุราอยู่คนหนึ่งเจอกันเป็นต้องดื่มบางทีข้ามวันกันเลยดื่มกันอยู่สองคนแหละครับ ตอนหลังเขามาเสียชีวิตลงจากโรคตับสาเหตุก็จากเหล้านี่แหละครับ หลังๆผมเลยไม่กล้าลงทุนต่อที่ดื่มมาก็ตัดใจทิ้งไปเลยไม่หวังกำไรอะไรแล้ว ส่วนเหล้าขาวนีีมีหลายดีกรีนะครับ ถ้าสี่สิบดีกรีขึ้นไปผมว่ารสชาติกำลังดี ผมจะเอาไว้ดองกับยา ดื่มตอนเช้าๆ ผมดองใส่โหลไว้แล้วมากรอกใส่กระติกเหล้าแบบในหนังคาวบอย แต่เดี๋ยวนี้เลิกมาเจ็ดแปดปีแล้วครับแล้วครับไม่แตะเลยแต่ถ้าจะดื่มก็แค่เบียร์พอเวลาไปตีกลองงานรำวงมันเพลินดี
คุณแสงธูปนิ ตัดสินใจถูกแล้วที่เลิกกินเหล้าแบบหามรุ่งหามค่ำ เพราะยิ่งดึกร่างกายเรายิ่งต้องการการพักผ่อน มันทำให้เครื่องคนเรามันจะพังเร็ว การดื่มสุรานี้ มันก็มีเรื่องตลกอีกอย่าง คือเรื่องบุคคลิกการเมาสุราของแต่ละคน เพราะบางก็หลับ บางก็ร้องให้ บางก็ร้องเพลง บางชกต่อยกัน อย่างหลัง นี้ไม่ดี ใครกินด้วยบางที่ได้ตายก่อนโรคตับแข็งรับประทาน
ตะนิ่นตาญี ชอบ คิดถึง อดีต ... คิดถึง ด้วย ความกตัญญู เพราะ มัน ให้ บทเรียน ไว้ ... บทเรียนไหน ที่ ไม่ดี ก็ เก็บ เอาไว้ คอยเตือนใจ บทเรียนไหน ที่ ดี ก็ เก็บ เอาไว้ ด้วยความ ภูมิใจ ... บทนิยาม ใหญ่ หรือ เล็ก เก็บเอาไว้ ทั้งสิ้น ไม่มี ทิ้ง เพราะ บทนั้น ทั้งบท มัน คือ การเติมแต่ง ความหมาย ของ ชีวิต ให้ ครบถ้วน และ สมบูรณ์ ใน ความ เป็น คน ! และ นั่น คือ การแต่งแต้ม สีสรร ของ ชีวิต ให้ สดใส ... ************************************************************************* อดีต คือ ความทรงจำ ปัจจุบัน คือ ความมุ่งมั่น อนาคต คือ การฝันหา มัน ต่อเนื่องกันไป ไม่มี วันหยุด ... ตะนิ่นตาญี ไม่รู้ จะ อธิบาย ถึง ความสัมพันธ์ ที่ ต่อเนื่อง นี้ อย่างไร ถ้า บีบบังคับ ให้ อธิบาย เห็นที คงจะต้องขอเวลาสัก ๒๐ ปี กลับ ไป เรียน quantum physics ให้ แตกฉาน จะได้เอาทฤษฎี ของ Max Planck หรือ Albert Einstein มาโม้ให้ฟัง ************************************************************************* เอางี้ ... เอางี้ ติ๊งต่างเอาว่า ถ้า อดีต คือ พ่อ ปัจจุบัน คือ ลูก อนาคต ก็ คือ หลาน มันต่อเนื่องกันไปเอง ใคร จะ ตัดแบ่ง เป็น ท่อนท่อน ก็ เชิญเถอะ ตามใจเถอะ แต่ ตะนิ่นตาญี ขอตัว ไม่ทำ ! ************************************************************************* ดวงอาทิตย์ พยายาม ไต่ ท้องฟ้า มา แต่ ย่ำรุ่ง จน สุริยา สาดแสง ได้ แรงกล้าขึ้น จึง บรรลุ เป้าหมาย สำเร็จ ... ประดุจดั่ง ความเพียรพยายาม ของ คนที่ไม่ยอมแพ้ แม้ถูกหยัน แดด สาดแสงใส ใส่ ... ตะนิ่นตาญี จำไม่ได้ ว่าเป็น เวลา ไหน และ อยู่ บน หลักกิโล แห่ง ชีวิต ที่ เท่าใด ... รายละเอียด เหล่านี้ ถูก ดูดหาย ไป โดย ความยิ่งใหญ่ ของ ธรรมชาติ ซึ่ง มนุษย์ ทุก คน ไม่มี ข้อยกเว้น ต้อง ตก อยู่ ใน อานุภาพ ของ มัน ************************************************************************* สายลม-แสงแดด-ท้องฟ้า-สายฝน ใช้ อากาศ เป็น วงแขน โอบกอด กัน ชั่วฟ้าดินสลาย ออก ลูก มา เป็น ต้นไม้ สัตว์ และ มนุษย์ ... ภูเขา เป็น พ่อ ของ ชาวดิน ทะเล เป็น แม่ ของ ชาวน้ำ ... สุริยัน และ จันทรา สาดส่องช่องทาง ให้ สรรพสิ่ง หากิน โดย มี อากาศ เป็น แม่-นม หลั่ง อุทารทกใส ให้ แก่ สรรพชีวิต ทั้งปวง ! ************************************************************************* ดวงอาทิตย์ ภูเขา และ ทะเล เป็น ทรัพยากร อัน อมตะ ของ นักวิทยาศาสตร์ เป็น มนต์เสน่ห์ ให้แก่ นักแต่งเพลง ... เป็น นางแบบ ผู้ว่าง่าย ของ จิตรกร เป็น ดารา ผู้ไม่เคยคิดค่าตัว จาก ผู้สร้างหนัง ... และ เป็น ฉาก อัน ยั่งยืน สำหรับ คนชอบเขียนหนังสือ ! แน่นอน ... ตะนิ่นตาญี กำลัง ทบทวน-ทบทวน ความหลัง ความหลัง เกี่ยวกับ โรงเรียน และ มิตรสหาย ! ************************************************************************* โรงเรียน มี บุญคุณ กับ ตะนิ่นตาญี ทั้ง ในสมัยที่ ตะนิ่นฯ จมอยู่ในที่แห่งนั้น และ เมื่อ เติบโต ขึ้นมา เป็นผู้-เป็นคน เหมือนกับ คนอื่นเขาแล้ว ก็ ยังคงฝันถึง ! ที่นั่นไม่ใช่ ที่ ใช้ ชีวิต อย่าง เคร่งเครียด จมจ่อม อยู่แต่ กับ ตำรา และ วิชาการ มัน เป็น ชีวิต ที่ เต็มเปี่ยมไปด้วย พลังแห่งการสร้างสรรค์-ความฝัน-จินตนาการ คราบน้ำตา และ เสียงหัวเราะ ... เมื่อใด ที่ ตะนิ่นตาญี ฝัน ถึง โรงเรียน ก็ มักที่จะ สะดุ้ง ตื่นขึ้น จาก เสียงหัวเราะ อย่าง สดใส-ร่าเริง ซึ่ง ยังคง ก้องกังวาล อยู่ ใน หัวใจ ... อยู่ ใน จิต และ อยู่ ใน วิญญาณ ! โรงเรียน ไม่เคยทวงบุญคุณ จาก ตะนิ่นตาญี เลย นอกจากกระซิบอยู่ ใน ทรวงอก ว่า เมื่อไหร่จะกลับไป-กลับไป ศึกษา ใน วิชา แห่ง ชีวิต ซึ่ง เป็น บทสุดท้าย ที่ ต้อง เรียน กลับไป ยืน ดู สัจจะธรรม อันคือ ความเปลี่ยแปลง ของ สรรพสิ่ง ตั้งอยู่-เสื่อมโทรม-จากไป ... ************************************************************************* ตะนิ่นตาญี ขี้ขลาด-ขี้ขลาด เกินไป ไม่กล้า ที่ จะไปยืนดู สถานที่ แห่งนั้น เปลี่ยนแปลง ยามเมื่อขับรถผ่านทีไร ... ให้ ใจหาย เสียทุกที จนดูเหมือนว่า ใจ จะ ตกอยู่แถวนั้น ตกอยู่ในคูน้ำเล็กเล็ก ที่ เคย แย่งกันช้อน ปลาหางนกยูง-ปลากัด หลัง โรงเรียน ใจ ยัง ปลิว อยู่ ที่ บันได ราวจับ สีแดงมัวมัว ที่ ยืน มั่ว กัน เล่น ไฮโล ... ใจ ยัง ตก อยู่ ที่ หอ-นอน-หญิง ที่ ซึ่ง เคย เรียบเรียบ-เคียงเคียง เดิน หา หัวใจ ที่ จมหายไป ใน บ่อน้ำตาล ของ ความหวาน แห่ง รอยยิ้ม ตะนิ่นตาญี อยาก ไป เดินดู-เดินตามหา หัวใจ ที่ หล่นหาย อยู่ แถวนั้น หากได้เจอจะเก็บมา เช็ด-ล้าง-ขัด-ถู ลง ชาแล็ค เคลือบเงา ให้ กลับมาสดใส ! ************************************************************************* เมื่อ เริ่มแรกแตกเนื้อหนุ่ม เข้าสู่วัย ที่ หัวใจ มัน ใฝ่ สะออน สิว เขรอะ เต็มหน้า พวกเรา ก็ สนใจ มอง สาวสาว กันแล้ว ไม่มีใครสอนเรา ให้ รู้จัก please ผู้หญิง ... มันดูเหมือนว่าจะมาเองตามวิสัยเชิงชาย ไอ้จ๋อ เดินคุมนอก ด้านที่ รถวิ่ง เพื่อ ให้ ผู้หญิงคู่เดิน ดู ปลอดภัย ไอ้ป๊อก lady first ผู้หญิง ก่อน - ผู้หญิง ต้อง ได้ที่นั่ง บน รถประจำทาง ไอ้ตี๋ ต้อง แตะ - ต้อง ประคอง ที่ แขน ของ สาวเจ้า เมื่อ จะข้ามถนน นั่นคือ วัยหนุ่ม ที่ จางหาย ไป เมื่อผ่านกลไก ของ ธรรมชาติ ซึ่ง เรียกกันว่า กาลเวลา ************************************************************************* โรงเรียนเราเป็นโรงเรียน ที่ เรียกว่า สหศึกษา ก็ได้กระมัง เพราะมีทั้งหญิง และ ชาย แต่ แยกตึกเรียน-แยกหอพัก-แยกเขตแดน มี ทั้ง นักเรียนประจำ และ ไป-กลับ พวกเราได้แต่เฝ้านินทานี่มันไม่ใช่ประชาธิปไตยแต่มันคือการแบ่งแยกชนชั้นโดยแท้ ! ที่ บ่น-บ่น กัน นั้น เพราะ เรามองหาความหวาน ของ น้ำตาล แห่ง กามเทพ ไม่เจอ ทำ ให้ การจีบสาว นั้น ดู จะยุ่งยาก เสีย นี่ กระไร ! จะจีบ ผู้หญิง ต้อง มีชั้น-มีเชิง จะ กะเร่อ-กะร่า แถ เข้า ไป นั้น เห็นทีมีแต่เสีย เริ่มต้นด้วยการทำความรู้จัก กับ สาวเจ้า นั้น มี ทั้ง ส่ง ช่อดอกไม้ พร้อม จดหมาย แถมการส่งดอกไม้นั้นต้องเลือก จังหวะ และ โอกาส ดีดี มองตอนที่สาวเจ้าเดินเดี่ยวๆ ไม่ใช่ ทะเล่อทะล่า เดิน เข้าไป จีบ ตอน เขา เดินอยู่ ท่ามกลางหมู่เพื่อนฝูง ทำอย่างนั้น มี หวัง สาวเจ้า ส่ง มะเหงก พร้อม หน้าหงิกหงิก กลับ คืนมา แต่ วิธี ที่ ได้ ผล มาก ที่สุด สำหรับ พวกเรา คือ จด เลขประจำตัว ของ สาวเจ้า แล้ว เอา ไป ให้ ไอ้จุ่น ผู้มีเส้นสาย อยู่ใน ตึกอำนวยการ ฝ่ายบริหาร ของ โรงเรียน แล้ว ไป ค้นหา ชื่อ-ชั้น-ที่อยู่ และ ถ้า มี เบอร์โทรศัพท์ ด้วย ก็ยิ่งดี ส่วนที่เหลือ ก็ แล้ว แต่ หน้าตา หรือ คารม เพราะ นี่ คือ ความสามารถ เฉพาะตัว ! ************************************************************************* มา เช้าวันหนึ่ง พวกเรา สี่คน นั่งเล่นกัน ใต้ ตึกสิบเอ็ดชั้น รอ ส่งยิ้ม ให้ กับ หวานใจ ที่ หมายปอง แม้ จะยังไม่กล้า เข้าไปพูด เข้าไปคุย ด้วย แต่ ก็ แหม ... แค่ ยิ้มตอบรับ ด้วยท่าที ที่ เขินอาย ก็ ชื่นใจ กัน ทั้งวัน ไอ้ป๊อก เห็น ไอ้เหยิน เด็กห้องสาม เดิน เตร่-เตร่ อยู่ แถว นั้น จึง ส่งเสียง เรียก ไอ้เหยิน พร้อมกวักมือเรียก ให้ เข้า มาหา แล้ว ส่งเสียง ถาม ... "เออ ... เฮ้ย เหยิน ผู้หญิง คน ที่ มึงทัก นั่น ใครวะ เด็ก กม.๒๗ อยู่ แถวบ้านมึงเหรอ? แนะนำ ให้ กู รู้จัก ได้ไหม?" ไอ้เหยิน สวนกลับมาทันที "เออ ... ใช่ว่ะ อยู่แถวบ้านกู ชื่อ จุ๋ม ... แฟนกูเองว่ะ" ไอ้ป๊อก เงียบไป ส่วนพวกเรา ส่งเสียง หัวเราะ กัน ดังสนั่น ... "555+ เอ็ง หมดสิทธิ ไป ไอ้ป๊อก เขา มี แฟน แล้ว" ตะนิ่นตาญี ว่า ************************************************************************* อีก สองวัน ต่อมา พวกเรา นั่ง กัน อยู่ ที่เดิม เวลาเดิม ตอนเช้า ก่อนเข้าแถว คราวนี้ ตะนิ่นตาญี ตะโกน เรียก ไอ้เหยิน มัน บ้าง ... เมื่อ เห็น มัน ทัก สุภาพสตรี ท่านหนึ่ง ซึ่ง ไม่ใช่ จุ๋ม ! เฮ้ย เหยิน ใครวะ แนะนำ ให้ กู รู้จัก ได้ไหม?" ไอ้เหยิน สวนกับมาเช่นเคย "แนะนำ น่ะ แนะนำ ได้ ชื่อ ปลา ว่ะ ... แต่ แฟน กู นะ" คราวนี้ เสียงหัวเราะ ดัง กระหึ่ม กว่า คราวก่อน ... ในขณะที่ ตะนิ่นตาญี ยัง นั่ง งง เหมือน นักมวย อ่อนหัด ปล่อย การ์ด ตก โดน หน้าแข้ง เตะสวน เข้าไป ที่ ปลายคาง นั่ง รอ กรรมการ นับ สิบ อยู่นั้น ก็ ได้ยินเสียง ไอ้ตี๋ พูด ขึ้นมา ทั้ง เสียงหัวเราะ ว่า ... "ไอ้ห่าเหยิน แฟน มึง ทั้ง โรงเรียน เลย หรือ วะ 555+" ตะนิ่นตาญี วันศุกร์ที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๐.๕๙ นาฬิกา
เมื่อวันอังคารที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ประมาณ เวลา ๑๗.๓๐ นาฬิกา ตะนิ่นตาญี ได้รับอุบัติเหตุ ทาง รถยนต์ อย่างรุนแรง ได้ รับบาดเจ็บ พอสมควร ด้วย ความบังเอิญ กระมัง ที่ ตนเอง ได้ ศึกษา พระธรรม คำสั่งสอน ของ พระพุทธเจ้า ตาม คำสั่งสอน ของ ครูบาอาจารย์ ที่ ได้ สั่งสอน มา แต่ครั้งยังหนุ่มหนุ่มอยู่ อีก ทั้ง ยัง ได้ พยายาม เดินตามรอย วัตรปฏิบัติ ของ ผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ที่ เคารพ นับถือ ได้ มากบ้าง-น้อยบ้าง เท่าที่ ตนเอง จะพึง ประพฤติ-ปฏิบัติ ให้ ใจ สงบ ... ไม่ได้ ถึงขนาด บรรลุธรรม อันใด หรือ ถึงขั้น หัวใจ จะ เป็น พรหมจารี แต่ ด้วย ความอยากรู้ อยากเห็น อยู่ เป็น นิจ จึง ได้รับความรู้ และ ประโยชน์ จาก ธรรม เท่าที่ สติปัญญา ตนเอง พอมี เท่านั้น ************************************************************************ เมื่อ ความทุกข์ เข้ามาถึงตัว จึง มิได้ตกใจ กลัว หรือ หวาดเกรง กระวน-กระวาย แต่เฝ้าจับตามองด้วยสายตา และ ทรรศนะ ตลอดจน ทฤษฎี ดุจเดียวกับ ผู้ที่เชื่อถือ ใน คำสั่งสอน ของ พระบรมศาสดา แต่ เพียงอย่างเดียว ไม่มี วิจิกิจฉา ความสงสัย หรือ ความเชื่อถือ จาก ลัทธิ อื่น เข้ามาปะปน สิ่งที่ได้เห็นนั้น จึงค่อนข้างแจ่มชัด อยู่ ในใจ และ อยากเขียนไว้ ก่อนที่จะเลือนหายไป ************************************************************************ ด้วย จิตใจ ที่ ไม่มี สักกายทิฏฐิ หรือ สีสัพพตปรามาส สิ่งใดที่ได้ตั้งใจไว้ ... จึงไม่ก้าวล่วงออกมานอก อริยสัจ เพราะ ไม่เคยได้บอกไว้แต่อย่างใดว่า เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย นั้น เป็น สุข ... เนื้อหนัง นั้น เมื่อยังเต่งตึงอยู่ มัน ก็ น่าดู อยู่ ไม่ได้แลเห็น เป็น ซากอสุภ ไป ใน ทันที-ทันใด ที่ พูดเช่นนี้ เพื่อจะบอกว่า ... ตะนิ่นตาญี ยัง เป็น คนธรรมดา อยู่ ... ไม่ได้มองว่า ตัวเอง จะบรรลุ ธรรม ขั้นใด ไม่ได้แสวงหา สวรรค์ชั้นฟ้า หรือ โสดาธรรม แต่อย่าใด ... ใด-ใด ทั้งสิ้น หวังไว้ให้หัวใจ ของ ตัวเอง สงบ บ้าง ไม่ หลุดลอยไป ที่อื่น-ที่ใด บ้างจนต้องตามกลับมา ************************************************************************ ชาติ-ชรา-พยาธิ-มรณะ เป็น หนทางธรรมดาของทุกชีวิตที่ต้องเผชิญอย่างไม่อาจหนีได้ มัน มี อยู่ในตัวของเรา ทุกเมื่อเชื่อวัน ตามปกติแล้วจะรวมกันอยู่ ไม่เห็นเด่นชัด ใน ยามที่ เจ็บไข้-ได้ป่วย เมื่อใช้สติตั้งมั่น คอย เป็น เครื่องช่วยจิตเพ่งพิศ พินิจดู แล้ว จะเห็นภาวะ ของ การ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ได้ ชัดขึ้น ... มัน จะ แยก ออก กันยืน ให้ เห็น อย่าง โดดเด่น ซึ่ง ณ เวลา นั้น ใน ชั่วขณะ ของ จิต อาจทำให้ "บางคน" ขอย้ำคำว่า "บางคน" บางคน เท่านั้น มี จิต รู้ แจ้ง ถึง ... ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความมิใช่ตัวตน ... รู้ว่า ทุกอย่างย่อม มีที่สุด มีขอบเขต มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป ************************************************************************ อาวัสสัง มยา มริตัพพัง ..... มรณปริโยสานัง เม ชีวิตัง สรรพชีวิต ย่อม มี ความตาย เป็น แน่แท้ ..... ชีวิต ของ เรา จึงมีความตายเป็นที่สุดรอบ ************************************************************************ ที่ ตะนิ่นตาญี เขียน มา เสีย ตั้งเยอะ-ตั้งแยะ รวมแล้วทั้งหมดนี้ ไม่ได้ แปลว่า ... แก่ แล้ว ... มี วัย อัน สมควร แล้ว ... จะต้องปลงให้ตกแล้วออกนอกโลก เพื่ออยู่คนเดียว รับรอง ว่า ไม่ได้ หมายความ อย่างนั้น หากแต่ หมายความ ว่า ... คนเราเมื่อแก่แล้ว และ ยังอยู่ ใน โลก ก็ ต้อง อยู่ ให้ ทันโลก รู้ว่า โลก เป็น อย่างไร แล้ว เลือก ที่ จะหมุนตามโลก ไม่ใช่ หมุนตามโลก ไป เสีย ทุกอย่าง ... รู้ และ เลือก เป็น เมื่อเลือกแล้ว ก็ มอง ด้วย เมตตา เป็น ตัวตั้ง เพราะ เชื่อว่า แก้ทุกข์ ได้ ทุกสิ่ง ตะนิ่นตาญี จึง ยังอยู่ในพุทธศาสนา และ ต่อไปนี้ ก็ จะถือเมตตา ตัวเดียว เท่านั้น ************************************************************************ สวรรค์ จึง เป็น เพียงแค่ ไนท์คลับ นิพพาน จึง เหมือน ยานอนหลับ ธรรมกาย จะต่างอะไร กับ สวนสนุก Disney Land ... ใครอยากไปเที่ยว ไนท์คลับ อยากกินยานอนหลับ หรือ จะไป Disney Land ก็ เชิญเถิด ตะนิ่นตาญี ไม่ขัดขวาง แต่ จะมาชวนให้ไปด้วย คงต้องขอตัว ไม่ไปด้วยหรอก ไม่แสวงหา ไม่ปราถนา สิ่งเหล่านั้น ขออยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยทุกข์นี้ ต่อไป มี เมตตา ตัวเดียว เป็น เครื่องยึดเหนี่ยว ... ************************************************************************ เพื่อนเพื่อน ครับ เมื่อ ตะนิ่นตาญี คิดได้เสียอย่างนี้แล้ว จิตว่าง ลงไปเป็นกอง เลย ครับ เหมือน โบสถ์ ทั้ง โบสถ์ ที่มี พระพุทธรูป เพียงองค์เดียว ไม่รก ไปด้วย รูปพระสาวก ฉัตร เครื่องบูชา อาสนะสงฆ์ หลอดไฟ ธรรมาสน์ ฯลฯ ทั้งหมดนี้เพียงอยากบอกให้ เพื่อนเพื่อน รู้ว่า ตัว ตะนิ่นฯ เป็น อย่างไร แต่จะไม่สอนใคร หรือ ชักชวนผู้ใด ให้มาปฏิบัติตาม เพราะ ทำอย่างนั้นแล้ว ก็ เท่ากับ ซื้อเครื่องกระจายเสียง และ ไมโครโฟน เอามาใส่โบสถ์ ให้ รก เสียเปล่า พระนิพพาน จะ อยู่ไหน ก็ ช่าง พระนิพพาน แต่ เมตตา นั้น ตะนิ่นตาญี รู้ว่าอยู่ที่ไหน มี อยู่ใน พระพุทธเจ้า ... มี อยู่ ใน ธรรมเจ้า ... มี อยู่ ใน สังฆเจ้า มีอยู่อย่างหาที่ประมาณมิได้ ใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และ ใน พระบรมวงศานุวงศ์ ทุก พระองค์ ... มี อยู่ อย่าง ไม่มี ที่ สิ้นสุด ใน น้ำใจ ของ คนไทย ทั่วไป ... ที่มีอยู่ในตัวเองนั้นเป็นเพียงเศษละออง ของ เมตตา อันเป็นอนันต์ ใน สิ่งต่างต่างที่มีอยู่ แต่เพียงเศษละออง นั้น ก็ เป็น พลังงาน ที่ จะใช้ได้ไปตลอดชีวิต ตายแล้ว จะได้ไป ไนท์คลับ หรือ Disney Land หรือไม่ ก็ ช่าง ตะนิ่นตาญี เหอะ 555+ ตะนิ่นตาญี วันจันทร์ที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๒.๒๖ นาฬิกา
ขอให้คุณพี่ตะนิ่นตาญี หายวันหายคืน ชีวิตไม่แน่นอน ยิ่งมีอายุ ยิ่งไม่มั่นใจว่าจะมีพรุ่งนี้ คุณตะนิ่นตาญี เห็นคำสอนเห็นธรรมะ ก็เท่ากับเห็นตถาคต วิเศษยิ่งนัก ผมถือว่าผมมีบุญเหลือเกิน ที่ได้เห็นธรรมะคำสอน ถึงแม้จะแค่ด้วยแค่ภูมิปัญญาน้อยๆที่ตัวเองมีและเข้าใจอย่างไร้ครูบาอาจารย์ ผมยังสามารถเสพความสุข จากคำสอนได้อย่างปิตินัก มนุษย์ชาติเรามากกว่า 2558 ปี ได้โชคดีนักที่มีเจ้าชายหนุ่มองค์หนึ่ง สงสัยว่า มนุษย์เราเกิดมาทำไม เพราะเมื่อเราเกิดมาเพื่อที่จะต้องตายในวัยชรา แล้วเราจะมีชีวิตอยู่เพื่ออนาคตอย่างมีความสุขได้งัย เพราะเป้าหมายปลายทางของชีวิต คือการพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก ที่เราสร้างขึ้นระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ จนท่านได้ค้นพบความจริง 4 ประการที่เรียกว่า อริยสัจ 4 แต่ก็เสียดายนัก ที่พุทธบริษัทของพระองค์ กลับเชื่อธรรม เป็นแค่บทสวดของเวทมนต์ อิทธิปาฏิหาริย์ไปเสีย http://www.84000.org/true/018.html
ขอบพระคุณ คุณ Hilton (ปาล์มาลี) มากครับ ... ธรรมะ ของ พระบรมศาสดาองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น ยิ่งใหญ่ นัก เป็น ที่ ประจักษ์ แล้ว แก่ เวไนยสัตว์ ทั้งปวง ... *************************************************************************************** "หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ" ***************************************************************************************** "บัดนี้ เรา ขอ เตือน เธอ ว่า ... สังขาร ทั้งหลาย ย่อมมี ความเสื่อม ไป เป็น ของ ธรรมดา เธอ จงยังความไม่ประมาท ให้ พร้อม เถิด ..." ปัจฉิมโอวาท ของ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ***************************************************************************************** ภาวะปกติ ของ สรรพสัตว์ นั้น ได้แก่ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย นี่คือ ภาวะ ของ การเปลี่ยนแปลง ซึ่ง ไม่มีวัน ที่ จะ แปรเปลี่ยน ไปได้ เป็น ภาวะ ที่ วิงวอน ขอร้อง ไม่ได้ และ ไม่เลือก ต่อ การปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็น คหบดี ผู้มั่งคั่ง หรือ ทุคตะยากจนเข็ญใจ กระทั่ง พระอรหันต์-ขีณาสพ ผู้สิ้นอาสวะแล้ว ก็ จะ ลุ ซึ่ง ธรรมนิยาม ความแน่นอน แห่ง ธรรมดา โดยพร้อมหน้า อย่าง หลีกเว้นไม่ได้ เพราะ ธรรม นี้ เป็น สิ่งที่มีอยู่แล้ว เป็น เงา ตามตัว ของ สรรพสิ่ง ... สิ่ง นี้ มี-สิ่ง นั้น จึง มี ! ไม่ว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะอุบัติขึ้น หรือ ไม่อุบัติขึ้น ก็ ตามที "ตถตา" มัน ก็ เป็น อย่างนั้น อยู่ นั่น เอง ... ***************************************************************************************** พระองค์ จึง ทรง เป็น ผู้หงายกะลา ที่ คว่ำ อยู่ ให้ สรรพสิ่ง ที่ อยู่ ใต้กะลา นั้น รู้ได้ โดย ได้นำ ข้อ แห่ง ธรรม นั้น บอกกล่าว แก่ เวไนยสัตว์ ให้ รู้ชัดถ้วนทั่วทุกตัวคน ว่า ... สรรพสิ่ง ทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ทั้งนี้ ก็ เพื่อ ยังไว้ ไม่ให้ ความประมาท เกิดขึ้น แก่ สรรพสัตว์ ทั้งปวง ! ***************************************************************************************** ตะนิ่นตาญี ไม่ได้ มี โสดาธรรม ใดใด รวมทั้ง ไม่ได้ แสวงหา ใน สวรรค์ ชั้นฟ้า แต่อย่างใด เพียงแต่ตั้งมั่น ใน เมตตา ไว้อยู่ในใจ เพราะเชื่อว่า เมตตา นั้น แก้ทุกข์ได้ และ ทำให้ใจเราสงบลง ไม่วุ่นวาย กระเสือก-กระสน ไปที่ใด ... พยายาม ดำรงตน ใน ฐานะ ของ คฤหัสดิ์ ที่ดี สำหรับ ตะนิ่นตาญี แล้ว เพียงเท่านี้ ก็ พอเพียงสำหรับตัวเอง ได้ ตลอดชีวิต ที่ เหลือ แล้ว กระมัง ครับ ตะนิ่นตาญี วันอังคารที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๒๓.๕๘ นาฬิกา