คนพท.ออกโรงป้องสรยุทธ บริสุทธิ์จนกว่าคดีถึงที่สุด | เดลินิวส์ „“คนพท.” ออกโรงป้อง “สรยุทธ” อ้างเจ้าตัวยังบริสุทธิ์ จนกว่าคำพิพากษาศาลจะถึงที่สุด แถมชื่นชมที่เดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผิดกับบางคนที่อ้างเป็นคนดี แต่หนีการตรวจสอบ วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2559 เวลา 12:51 น.“ อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/crime/382934 แอบด่าแม้วนี่หว่า
เห็นรูปนี้แล้ว ทั้งพรรคคงชอบเนอะ ขอคารวะ แต่มีรูปฝ่าตีนอยู่ข้างหน้า ---------------------------------------------------------------- คารวะ [คาระ-] น. ความเคารพ ความนับถือ. ก. แสดงความเคารพ. (ป.). http://dictionary.sanook.com/search/dict-th-th-royal-institute/คารวะ
กากแท้ บริสุทธิ์จนกว่าคดีถึงที่สุด ถึงที่สุดคือเขาให้เองสู้ แต่ระหว่างนี้เองถูกตราหน้าว่าไอ้ขี้โกงได้แล้ว
ไอ้สัดแม้วก็สู้จนครบ 3 ศาลแล้วก็หนีไปต่างประเทศนี่ไอ้คุณ "เจ๋งติดเป้ง" อย่างนี้ยังบริสุทธิ์อยู่รึเปล่าครับ
เขาบอกว่าพรรคเผาไทยอยู่บนเขียง ข้างไอ้ย้วยหว่ะครับ ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆ ไปเรียนภาษาไทยใหม่ไป๊ ชิ้วๆๆๆ นักข่าวประชาชน ขอขำแป๊ป ทำไมแม่มเสนอแต่หมีวะ กปปส.ไม่เสนอเลย แถมเวลาเชิญสองฝ่ายมาถามนำอีก เฮ้ย ตื่นๆๆๆๆๆๆ 15 ล้านไม่ใช่ส่วนใหญ่โว้ย อย่านับทั้งประเทศ ไอ้หน้าด้าน ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆ ผมชอบประโยคนี้มาก คนดีแต่หนีการตรวจสอบ ผมนึกถึงแก็งนี้พอดีเลย ตรวจหน่อยก็โวย
ไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้วว่ามันโกงหรือไม่โกง ตัวมันเองก็เอาเงินไปคืน แล้วเอาไปเป็นข้ออ้างสู้คดี ฉะนั้นไม่ต้องแกล้งมีสมองเป็นควาย ถ้าจะหลุดคดี ก็ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่ได้โกง
ก่อนหน้านี้ สรยุทธยังถูกโยนไปโยนมาทั้ง 2 ข้าง ว่าจะเป็นฝั่งไหน วันนี้ พอโดนคดีฉ้อโกง ไม่แปลกใจเลย ที่ฝั่งเพื่อไทยจะออกมายืนเคียง แน่นอน เมื่อหัวเดินนำมาแล้ว หางก็ต้องเดินตามอย่างว่าง่าย เดี๋ยวเราคงได้เห็นกระทู้เข้าข้างสรยุทธได้อีกหลายกระทู้ ชอบ ไม่ชอบ ไม่รู้ล่ะ แต่หัวนำ หางก็ต้องกระดิกตามอยู่แล้ว ก็คนมันว่าง่ายนี่เนอะ ตามคุณอู๋ว่าล่ะครับ “มนุษย์คบกันโดยธาตุ”
ทำไมถึงกล้า พูดว่าสรยุทธ์ผิด เพราะสรยุทธ์รับสารภาพไง ดังนั้นสรยุทธ์จึงมีความผิด ยิ่งบอกว่าตัวเองชำระตอนหลังครบแล้วยิ่งตอกย้ำความผิดใหญ่เลย ดังนั้นสรยุทธ์มีความผิด อ้อ พิชาภาสารภาพเองว่ารับสินบนจากสรยุทธ์นะ http://www.manager.co.th/iBizchannel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000130667
3 มี.ค. 59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก "นักกอดหมอนออนไลน์" เพจกฎหมายชื่อดัง โพสต์ข้อความถึงกรณีที่นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "Watana Muangsook" เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา เกี่ยวกับคดีที่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวชื่อดัง ถูกศาลพิพากษาจำคุก 13 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ในคดีทุจริตเงินค่าโฆษณาเกินเวลาแก่บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยระบุว่า คดีดังกล่าวยังเป็นแค่คำตัดสินของศาลชั้นต้น คดียังไม่ถึงที่สุด จึงถือว่านายสรยุทธ ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ โดยเพจดังกล่าวได้โพสต์ข้อความอธิบายไว้ ดังนี้ ขออธิบายดังนี้ นาย ส. ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วว่ามีความผิดจริง มีความผิดจริง ย้ำ "มีความผิดจริง" ย้ำ "มีความผิดจริง" จะนับเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาในศาลสูงลงมาแก้ไขหรือกลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ฉะนั้นตอนนี้ "นาย ส. มีความผิดจริงตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น" ที่ศาลอนุญาตให้ประกันตัวออกมาสู้คดีต่อในชั้นศาลอุทธรณ์ก็เป็นสิทธิตามกฎหมายที่บุคคลทั่วไปหากไม่พอใจคำตัดสินของศาลชั้นต้นอยากอุทธรณ์คำพิพากษาก็ทำได้และสามารถประกันตัวออกมาต่อสู้คดีหากศาลอนุญาต "ไม่ใช่ว่าประกันตัวออกมาคือผู้บริสุทธิ์" จะอวยจะอะไรกันก็ศึกษากระบวนการกับรูปคดีหน่อยนะ น้ำตาจะไหลขอไออุ่นด้วยครับช่วงนี้ป่วย @ไรอัน
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/688782 รายละเอียดคำพิพากษาคดีไร่ส้ม "สรยุทธ"ยื่น2ล้าน ประกันตัวสู้ หลังศาลตัดสินจำคุก13ปี4เดือน ไม่รอลงอาญา ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ห้องพิจารณาคดี 912 เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 29 ก.พ.59 ศาลนัดพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.313/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ฟ้อง นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท.จำกัด (มหาชน) , บริษัทไร่ส้ม จำกัด โดย น.ส.อังคนา วัฒนมงคลศิลป์ และ น.ส.สุกัญญา แซ่ลิ่ม ในฐานะ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม , นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง และ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม และ น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่ บจก.ไร่ส้ม เป็นจำเลย 1-4 ในความผิดฐาน เป็นพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ , เป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่องค์กร , เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.6 , 8 และ 11 โดยคดีดังกล่าวอัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 30 ม.ค.2558 ระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2548 - 28 เม.ย.2549 นางพิชชาภา จำเลยที่ 1 พนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท.จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำคิวโฆษณารวมในรายการ “คุย คุ้ยข่าว” ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บค่าโฆษณาเกินเวลา จาก บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 2 จำนวน 17 ครั้ง ทำให้ บมจ. อสมท. เสียหาย 138,790,000 บาท และยังได้เรียก รับเอาเงิน 658,996 บาท จากจำเลยที่ 2-4 เพื่อเป็นการตอบแทนที่นางพิชชาภา จำเลยที่ 1 ไม่รายงานการโฆษณา จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การร่วมผลิตรายการ จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิต ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นพิธีกรจัดรายการทำสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษรระบุชัดว่าถ้ามีโฆษณาเกินกว่าส่วนแบ่ง จำเลยที่ 2 ต้องขอซื้อโฆษณาส่วนเกินย้อนหลังและชำระค่าโฆษณาเกินให้แก่บริษัท อสมท.จำกัด โดยจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิ์แบ่งค่าโฆษณาส่วนเกินคนละเท่าๆ กับ บริษัท อสมท. นอกจากนี้ศาลปกครองสูงสุดยังมีคำพิพากษาถึงที่สุดวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 จะต้องชำระค่าโฆษณาส่วนเกินและไม่มีสิทธิ์ได้รับส่วนลดทางการค้าปกติร้อยละ 30 จากค่าโฆษณาส่วนเกิน 138,790,000 บาท เพราะจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขณะที่ จำเลยที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่จัดทำคิวโฆษณา แต่ไม่รายงานการโฆษณาที่เกินเวลาให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เป็นเหตุให้ อสมท.ได้รับความเสียหาย ตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบทั้งสองชุดที่ อสมท.ตั้งขึ้น นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังใช้น้ำยาลบคำผิดลบรายการโฆษณาที่เกินเวลาในส่วนของจำเลยที่ 2 ออกจากใบคิวโฆษณารวม แสดงถึงการปกปิดข้อเท็จจริง เมื่อจำเลยที่เป็นพนักงานมีหน้าที่จัดการทรัพย์และรับเงินตามเช็ค เป็นการต้องห้าม จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 , 8 ,11 ประกอบ ป.อาญา มาตรา 83 ส่วนนายสรยุทธ จำเลยที่ 3 เป็นผู้มีอำนาจจัดการและเป็นพิธีกรจัดรายการมาโดยตลอด ดังนั้นจำเลยที่ 3 น่าจะทราบเนื้อหางานเป็นอย่างดี การใช้เงินแม้จะให้โดยเสน่หา แต่ไม่รายงานให้ทราบก็เป็นการสนับสนุน ในทางนำสืบศาลเห็นด้วยกับ ป.ป.ช.ว่าจำเลยจ่ายเช็คเพื่อจูงใจให้กระทำหรือไม่กระทำการใด ทำให้หน่วยงานของรัฐได้รับความเสียหาย การที่จำเลยที่ 2-4 นำเช็คไปมอบให้แก่จำเลยที่ 1 ถือเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายเพราะการไม่รายงานโฆษณาเกินเวลาของจำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับประโยชน์ จึงเป็นความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 บริษัทไร่ส้ม ได้ชำระค่าโฆษณาส่วนเกิน จำนวน 138,790,000 บาท แก่ อสมท.แล้ว จึงลงโทษสถานเบา พิพากษาว่า นางพิชชาภา จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ มาตรา 6 ,8,11 ส่วนจำเลยที่ 2- 4 มีความผิดฐานสนับสนุนตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การฯ มาตรา 6 ,8,11 การกระทำของจำเลยทั้งสี่ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 6 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษสุด รวม 6 กระทง ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ ให้จำคุกนางพิชชาภา จำเลยที่ 1 กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 30 ปี ปรับบริษัท ไร่ส้ม จำเลยที่ 2 กระทงละ 20,000 บาท รวมปรับ 1.2 แสนบาท ส่วนนายสรยุทธ จำเลยที่ 3 และน.ส.มณฑา จำเลยที่ 4 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุกทั้งสองคนละ 20 ปี แต่ทางนำสืบเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกนางพิชชาภา จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 20 ปี ส่วนนายสรยุทธ์ และ น.ส.มณฑา จำเลยที่ 3-4 จำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน ขณะที่การกระทำของจำเลยทั้ง 3 คน ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ และบ.ไร่ส้ม จำเลยที่ 2 ก็ให้ปรับเป็นเงิน 80,000 บาท ภายหลังฟังตำพิพากษา รายงานข่าวแจ้งว่า ทนายความจำเลย ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลย โดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 2 ล้านบาท เพื่อจะต่อสู้คดีระหว่างอุทธรณ์ โดยขณะนี้คำร้องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล