อธิบายเบสิก GMO101 ครับ www.facebook.com/photo.php?fbid=710707435726560&set=a.341092282688079.1073741827.100003619303769 แบบภาษาบ้านเถื่อนครับ ประมาณว่า GMOเป็นขั้นกว่าของการปรับปรุงสายพันธุ์แบบเดิมๆ(ซึ่งต้องจับผสมข้ามพันธุ์นั่นแหละ จะผสมจริงหรือผสมเทียมก็เหอะ) ถ้ามองว่า GMO เท่ากับ การปรับปรุงสายพันธุ์ >>>ก็คงเชียร์กันง่ายๆไปได้เลย ถ้ามองว่า GMO ไม่เท่ากับ การปรับปรุงสายพันธุ์ >>>ก็มันเป็นขั้นกว่านิ ความเป็นAlienSpeciesก็เป็นขั้นกว่า ควรต้องใส่ใจมากกว่า
การปรับปรุงสายพันธุ์มีหลายวิธี GMOs อย่างน้อยเรายังรู้ว่าจะได้อะไร แต่ถ้าใช้วิธีกลายพันธุ์ด้วยรังสีอันนี้เราไม่รู้ว่าจะได้อะไร วิธีการ GMOs มันก็เป็นการเลียนแบบธรรมชาติโดยนั่นแหละครับ เพียงแต่เรากำหนดยีนที่ต้องการได้แค่นั้น สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติที่พบใกล้ตัวสุดก็มนุษย์นี่แหละครับ พบ DNA ของ retrovirus ในสาย DNA มนุษย์จำนวน 8% แถมยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองซะอีก
ไบโอไทยออกอคติเกินไป ส่วนทองกรอบกลางดีแล้ว สำหรับเจสซี่ กกน แดง นี่จบเลยมาเหมารวมว่าพืช GMOs อยู่รอดในธรรมชาติไม่ได้เนี่ย
กรณี อ.เจษ เนี่ย เค้าเป็นตัวแทนของเกษตรกรที่มีปัญหาจากการเพราะปลูกหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่แล้วทำเพื่อใคร?
ไม่รู้สิครับ แต่แกพลาดที่ไปยกเรื่อง GMOs ที่อยู่รอดไม่ได้ ซึ่งมันก็ถูกส่วนหนึ่งเพราะพันธุ์ต้นแบบมันอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าไปทำ GMOs กับพันธุ์ต้นแบบที่อยู่รอดได้ล่ะ ส่วนเรื่องเกษตรกรที่อ้างว่าพันธุ์ท้องถิ่นอยู่ไม่ได้นี่ ผมว่าไม่ต้อง GMOs ก็ได้ครับ แค่พวกที่ปรับปรุงพันธุ์ของพวกบริษัทต่าง ๆ รวมถึงภาครัฐเองมันก็กระทบพันธุ์ท้องถิ่นแล้วล่ะครับ เอาแค่ข้าวที่กินกันอยู่นี้มีคนปลูกพันธุ์ท้องถิ่นจำนวนเท่าไหร่กันล่ะ
เราลองคิดดูน่ะครับ เท่าที่ผ่านมามีสินค้าเกษตรอะไรบ้างครับที่ไม่พอขาย มีคนมาแย่งกันซื้อ ผมว่าผมไม่เคย อย่างดีก็แค่ของน้อยทำให้ราคาสูง แล้วถ้ามี GMO ใหญ่กว่า เยอะกว่า อะไรจะเกิดขึ้น? แล้วถ้าฝ่ายต้านทำให้คนกลัวขึ้นมาอีก? ที่ผ่านมามีข่าวญี่ปุนตีกลับมะละกอปนเปื้อน GMO ก็ไม่รู้ว่าปนยังไง แต่ที่แน่ๆเกษตรกรโดนบีบแน่ๆ
รบกวนเรียนถามหน่อยเถอะครับ ทราบว่า มี พันธุ์ข้าว หลายพันธุ์ ที่ ชาวนา ได้รับ พระราชทาน ลงมา เป็น พันธุ์ข้าวที่ได้รับการพัฒนา แล้ว เพื่อ ประโยชน์ ของ ชาวนา ผู้ยากไร้ ต่อมา บริษัท C.P. นำ มา พัฒนาต่อยอดแล้วนำไปขาย ไม่ทราบว่าจริงเท็จประการใดครับ แล้ว นี่เป็นการตัดต่อทางพันธุ์กรรมหรือไม่? อีกทั้งข้าวหอมมะลิ นี่ เป็น ข้าวพันธุ์ ที่ ได้รับการพัฒนาทางพันธุ์กรรมแล้วใช่ไหมครับ ขอบพระคุณมากครับ ตะนิ่นตาญี วันอาทิตย์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๑๐.๐๖ นาฬิกา
CP มี 2 อย่างคือข้าวที่ CP พัฒนาขึ้นเองจากการนำไปผสมกับข้าวสายพันธุ์อื่นจนได้คุณสมบัติที่ต้องการ กับข้าวสายพันธุ์เดิมที่เพาะขายเมล็ดพันธุ์ ซึ่งการเพาะเมล็ดพันธุ์จะควบคุมความบริสุทธิิ์ของสายพันธุ์ไว้ ขณะของชาวบ้านถ้าควบคุมไม่ดีจะค่อย ๆ เป็นพันธุ์ทางขึ้นเรื่อย ๆ ข้าวหอมมะลิเป็นชื่อเรียกรวม ๆ ครับ เลยมีทั้งที่เป็นพันธุ์ดั้งเดิมแบบดอกมะลิ 105 ที่เป็นพันธุ์พื้นเมืองของฉะเชิงเทรา กับที่ปรับปรุงพันธุ์อย่างชัดเจน กข15 ไม่นับพวกปรับปรุงพันธุ์เล็ก ๆ น้อย ๆ อีก
ข้อดีของ คงมีการบอกเล่าโดยนายทุนและผู้สนับสนุน (ตามเวปนี้ก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย) ผมขอยกเอาข้อที่เขากังวลเกี่ยวกับGMOs มานะครับ ----------------------------------------------------------------------- อันตรายของ GMOs โดยสรุปแล้วอันตรายจากพืชผักตัดต่อยีนมีอยู่ 3 เรื่องใหญ่ๆ หนึ่ง คือ เรื่องภูมิแพ้อาหาร โดยปกติทั่วไปคนเราบางคนมักจะมีภูมิแพ้อาหารที่แตกต่างกันไป ที่อเมริกามีการสำรวจพบว่า ประชากรหนึ่งในสี่มีภูมิแพ้อาหารบางอย่าง เช่น บางคนแพ้อาหารทะเล บางคนแพ้ถั่วบางชนิด รู้กันอยู่ว่าพืชผักตัดต่อพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งไปใส่ในสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง ฉะนั้นจึงเกิดการถ่ายทอดวารที่เกิดภูมิแพ้ติดมาด้วย ยกตัวอย่างถั่วเหลืองนี่แหละ ที่อเมริกามีบริษัทบริษัทหนึ่งมีโครงการดัดแปลงพันธุกรรมถั่วเหลือง โดยเอายีนของถั่วบราซิลมาตัดต่อใส่เข้าไปในถั่วเหลือง เพื่อเพิ่มโปรตีนในถั่วเหลือง แต่ปรากฏว่าถั่วเหลืองมีสารภูมิแพ้จากถั่วบราซิลติดมาด้วย หากคนที่แพ้ถั่วบราซิลเกิดมากินถั่วเหลืองพันธุ์นี้โดยไม่รู้ ก็จะเกิดอาการแพ้ขึ้นได้ กรณีนี้นับว่าโชคดีที่มีการตรวจพบข้อผิดพลาดขึ้นก่อนในช่วงทดลอง ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยออกไปคงโกลาหล เรื่องที่สอง คือ เรื่องของการถ่ายทอดความต้านทานยาปฏิชีวนะเทคนิควิธีในการตัดต่อยีนนั้น เขาจะต้องมีการกำหนดยีนเครื่องหมาย หรือ Marker Gene เอาไว้ เพื่อจะได้แยกแยะได้ถูกว่าอันไหน GMOs อันไหนไม่ใช่ GMOs ตัวยีนเครื่องหมายที่ใส่เข้าไป เขาใช้ยีนต้านทานยาปฏิชีวนะ ตอนจะแยกแยะเขาก็ใช้ยาปฏิชีวนะนี่แหละฉีดพ่นเข้าไป เมล็ดพันธุ์ตัวไหนตายก็คือว่าไม่มียีนต้านทานยาปฏิชีวนะ ก็ไม่ใช่ GMOs ส่วนเมล็ดไหนตรงกันข้ามก็คือใช่ ทีนี้หากมีคนบริโภคอาหาร GMOs เหล่านี้เข้าไป ยีนต้านทานยาปฏิชีวนะนะถูกถ่ายทอดไปสู่แบคทีเรียในกระเพาะอาหาร มีผลให้แบคทีเรียเหล่านั้นสามารถต้านทานยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น แล้วถ้าเกิดว่าแบคทีเรียพวกนั้นเป็นแบคทีเรียที่ก่อโรคในสัตว์และมนุษย์ก็จะปราบมันได้ยากมากขึ้น เพราะมันต้านทานยาปฏิชีวนะเสียแล้ว เรื่องที่สาม คือ สารพิษที่เกิดขึ้นในอาหาร เขาว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมมีโอกาสที่จะมีระดับสารพิษเพิ่มขึ้นหรือสามารถสร้างสารพิษชนิดใหม่ขึ้นในอาหารได้ มีตัวอย่างปัญหาที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว บริษัทแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นได้ผลิตอาหารเสริมโดยการตัดต่อยีนจากแบคทีเรียเพื่อให้ได้โปรตีนไทรโทเฟน เมื่อปล่อยออกสู่ตลาดถึงผู้บริโภค ปรากฏว่ามีผู้บริโภคเกือบ5,000 รายป่วยด้วยอาการของโรค Eosinophilia Myalgia Syndrome กว่าจะค้นพบสาเหตุก็มีคนตายไป 37 ราย และพิการถาวรเกือบ 1,500 คน เหล่านี้เป็นผลเสียในระยะสั้น ผลระยะยาวๆ ใครจะเสี่ยง http://soybean20011.blogspot.com/
จีนสร้างโรงงาน “โคลนนิ่งสัตว์” ใหญ่ที่สุดในโลก ผลิตวัวเนื้อปีละล้านตัวป้อนตลาดผู้บริโภค http://manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9580000130689
ปัญหาด้านของความเสี่ยงต่อผู้บริโภค - ปัญหาเรื่อง อาจมีสิ่งอื่นเจือปนที่ทำให้เกิดอันตรายจากสารอาหารที่ได้จากจีเอ็มโอ(GMOs) ได้ เช่น เคยมีข่าวว่า คนในสหรัฐอเมริกาเกิดการล้มป่วยและเสียชีวิตเกิดขึ้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากการบริโภค กรดอะมิโน L-Tryptophan ซึ่งเป็นสารอาหารที่ได้จากจีเอ็มโอ(GMOs)โดยเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท Showa Denko แต่ความจริงแล้วจีเอ็มโอ(GMOs) ไม่ได้เป็นสาเหตุของอันตราย แต่เกิดจากความผิดพลาดในกระบวนการหลังการทำให้บริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์ โดยในขั้นของการควบคุมคุณภาพ (Quality Control) มีความบกพร่องจนมีสิ่งเจือปนที่ไม่ต้องการเหลืออยู่ - ปัญหาเรื่อง จีเอ็มโอ(GMOs)อาจเป็นพาหะของสารที่เป็นอันตรายได้ อย่างในการทดลองของ Dr.Pusztai ได้ทำการทดลองให้หนูกินมันฝรั่งดิบที่มีสารเลคติน(lectin)เจือปนอยู่ แล้วผลออกมาว่าหนูมีภูมิคุ้มกันลดลง รวมถึงลำไส้ของหนูมีลักษณะบวมอย่างผิดปกติ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากวิจารณ์การทดลองนี้ว่า มีความบกพร่องในการออกแบบการทดลองรวมถึงในวิธีการทดลอง ซึ่งเชื่อว่าต่อไปจะมีการทดลองที่รัดกุมมากขึ้น และมีคนกังวลว่าดีเอ็นเอ (DNA) จากไวรัสที่ใช้ในการทำจีเอ็มโอ(GMOs) อาจเป็นอันตรายได้ - ปัญหาเรื่อง อาจมีสารบางอย่างจากจีเอ็มโอ(GMOs) มีไม่เท่ากับปริมาณสารปกติในธรรมชาติ (สารที่ไม่ได้เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรมแล้วใส่ยีน(gene)ที่จะผลิตสารนั้นโดยตรงลงไป) อย่างมีรายงานว่าถั่วเหลืองที่เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรมมีสาร isoflavone {เป็นสารจำพวก phytoestrogen [ซึ่งคล้ายสารจำพวกฮอร์โมนเอสโตรเจน(estrogen)ในคน]} มากกว่าถั่วเหลืองในธรรมชาติเล็กน้อย ซึ่งยังไม่แน่ใจว่า การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน estrogen อาจทำให้เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค จีเอ็มโอ(GMOs) หรือเปล่า โดยเฉพาะในเด็กทารก - ปัญหาเรื่อง อาจการเกิดสารภูมิแพ้(allergen)ซึ่งอาจได้มาจากสิ่งมีชีวิตที่เป็นแหล่งเดิมของยีน(gene)ที่นำมาใช้ทำจีเอ็มโอ(GMOs)นั้น อย่างการใช้ยีน(gene)จากถั่ว Brazil nut มาทำจีเอ็มโอ(GMOs)เพื่อเพิ่มคุณค่าของโปรตีนในถั่วเหลืองให้มากขึ้นสำหรับเป็นอาหารสัตว์ ก่อนที่จะออกจำหน่ายพบว่าจีเอ็มโอ(GMOs)ที่เป็นถั่วเหลืองชนิดนี้อาจทำให้คนกลุ่มหนึ่งเกิดอาการแพ้ได้ เนื่องจากได้รับโปรตีนที่เป็นสารภูมิแพ้จากถั่ว Brazil nut ทางบริษัทจึงได้ระงับการพัฒนาและการจำหน่ายจีเอ็มโอ(GMOs)ชนิดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นพืชจีเอ็มโอ(GMOs)ชนิดอื่นๆ ที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ อย่างพวก ถั่วเหลืองและข้าวโพดนั้น ได้มีการประเมินแล้วว่า มีอัตราความเสี่ยงไม่แตกต่างจากถั่วเหลืองและข้าวโพดที่ปลูกอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ - ปัญหาเรื่อง ความปลอดภัยต่อผู้บริโภคในการตัดต่อพันธุกรรมในสัตว์ อย่างใน วัว หมู ไก่ รวมถึงสัตว์ชนิดอื่นที่จะได้รับ recombinant growth hormone ทำให้อาจมีคุณภาพที่ไม่เหมือนจากในธรรมชาติ และอาจมีสารตกค้าง โดยไม่มีข้อยืนยันชัดเจนในเรื่องนี้ ซึ่งในระบบสรีระวิทยาของสัตว์นั้นมีความซับซ้อนมากกว่าทั้งของในพืชและจุลินทรีย์ อาจมีผลกระทบอื่นๆ ที่ไม่คาดคิดได้จากการตัดต่อพันธุกรรมในสัตว์ ซึ่งอาจมีสารพิษอื่นๆที่ไม่ต้องการตกค้างได้ ทำให้ในการตัดต่อพันธุกรรมในสัตว์ที่เป็นอาหารโดยตรง ต้องมีการพิจารณาของขั้นตอนในการประเมินในด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุมมากกว่าการตัดต่อพันธุกรรมในจุลินทรีย์และพืช - ปัญหาเรื่อง การดื้อยาในการทำจีเอ็มโอ(GMOs)จะใช้ selectable marker ที่มักเป็นยีน(gene)ที่สร้างสารต้านยาปฏิชีวนะ (antibiotic resistance) ในจีเอ็มโอ(GMOs)อาจมีสารต้านยาปฏิชีวนะอยู่ ซึ่งถ้าผู้บริโภคจีเอ็มโอ(GMOs)กำลังอยู่ระหว่างการใช้ยาปฏิชีวนะ อาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล โดยเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์บอกว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นมีน้อยและสามารถหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขได้ และถ้าหากเชื้อจุลินทรีย์ที่มีตามปกติในร่างกายเกิดได้รับ marker gene เข้าไปในส่วนดีเอ็นเอ(DNA)ของมัน อาจทำให้เกิดจุลินทรีย์สายพันธุ์ใหม่ที่อาจดื้อยาปฏิชีวนะได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บอกว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก แต่ในตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ได้คิดหาวิธีใหม่ที่ไม่ต้องใช้ selectable marker ที่เป็นสารต้านยาปฏิชีวนะ หรือนำยีน(gene)ในส่วนที่สร้างสารต้านปฏิชีวนะออกไปก่อนเป็นจีเอ็มโอ(GMOs)เป็นผลิตภัณฑ์เต็มตัว - ปัญหาเรื่อง อาจมีส่วนของยีน(gene)จำพวก 35S promoter และ NOS terminator ที่อาจมีอยู่ในเซลล์ของจีเอ็มโอ(GMOs)ซึ่งอาจจะไม่ถูกย่อยในส่วนของกระเพาะอาหารและส่วนของลำไส้ แล้วเข้าสู่เซลล์ปกติของคนที่รับประทานจีเอ็มโอ(GMOs)เข้าไป แล้วอาจทำให้มีการ active ของสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น มีผลอาจทำให้ยีน(gene)ของคนที่รับประทานเข้าไปเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แต่จากผลการทดลองที่ผ่านๆมาได้มีการยืนยันว่า มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก - ปัญหาเรื่อง บางสิ่งเล็กน้อยที่ต้องระวัง เช่น เด็กทารกซึ่งอาจย่อยดีเอ็นเอ(DNA)ในอาหารได้ไม่สมบูรณ์หากเทียบกับผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กทารกมีระบบทางเดินอาหารที่สั้นกว่าของผู้ใหญ่ แต่อาจทำให้เกิดอันตรายค่อนข้างต่ำ แต่ก็ต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไป ปัญหาด้านของความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม - ปัญหาเรื่อง สารพิษบางชนิดที่ใช้ปราบแมลงศัตรูพืช อาจกระทบถึงแมลงและสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อพืช เช่น Bt toxin ที่มักใส่ในจีเอ็มโอ(GMOs) อย่างผลการทดลองของ Losey มหาวิทยาลัย Cornell ได้ศึกษาผลกระทบของสารฆ่าแมลงของเชื้อ Bacillus thuringiensis (บีที) ในข้าวโพดตัดต่อพันธุกรรมที่มีต่อผีเสื้อ Monarch ในการทดลองนี้ทำในสถานที่ทดลองภายใต้สภาวะเงื่อนไขที่ Stress โดยให้ผลเพียงในขั้นต้นเท่านั้น ซึ่งต้องมีการทดลองในภาคสนามอีกเพื่อให้ได้ผลที่มีนัยสำคัญ ก่อนที่จะมีการสรุปผลและมีการนำไปขยายความต่อไป - ปัญหาในเรื่อง การนำจีเอ็มโอ(GMOs)ออกสู่สิ่งแวดล้อมทั่วไป โดยอาจมีผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งอาจทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะเด่นเหนือกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมในธรรมชาติมากจนกลืนสายพันธุ์ดั้งเดิมในธรรมชาติให้หายไปหรือสูญพันธุ์ไป หรืออาจเกิดลักษณะเด่นอะไรบางอย่างถูกถ่ายทอดไปยังสายพันธุ์ที่ไม่ต้องการ หรืออาจทำให้ศัตรูพืชดื้อต่อสารเคมีปราบศัตรูพืช อาจทำให้เกิด “สุดยอดแมลง(super bug)” หรือ “สุดยอดวัชพืช(super weed)”ได้ ปัญหาด้านของเศรษฐกิจและสังคม - ปัญหาในเรื่องอื่น ที่ไม่ใช่เรื่องวิทยาศาสตร์ เช่น การผูกขาดทางสินค้าจีเอ็มโอ(GMOs)ของบริษัทเอกชนที่จดสิทธิบัตรเกี่ยวกับจีเอ็มโอ(GMOs)นั้น ทำให้ในอนาคตอาจเกิดความไม่มั่นคงทางด้านอาหารได้และไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ต่อไป รวมถึง ปัญหาในเวทีการค้าระหว่างประเทศที่กีดกันสินค้าจีเอ็มโอ(GMOs) ที่มา http://www.thaibiotech.info/disadvantages-of-gmos.php
เอามาให้อ่าน http://www.biothai.net/sites/defaul...558_speaker/2015_foodsecforum_19_kridsada.pdf วลีเด็ด เทคโนโลยีใหม่ เช่น พืชตัดแต่งพันธุกรรม ระบบทรัพย์สินทางปัญญา กําลังถูกผลักดันโดยบรรษัทข้ามชาติ ในฐานะ “ม้าไม้เมืองทรอย" ผูกขาดยิ่งขึ้น
เรื่องผูกขาดนี่ ต่อให้ไม่ GMOs มันก็ผูกขาดได้อยู่แล้วครับ เพราะมันมีกฎหมายคุ้มครองอยู่ มาตรา 33 ผู้ทรงสิทธิในพันธุ์พืชใหม่มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการผลิต ขาย หรือจำหน่ายด้วยประการใด นำเข้ามาในราชอาณาจักร ส่งออกนอกราชอาณาจักร หรือมีไว้เพื่อกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังกล่าวซึ่งส่วนขยายพันธุ์ของพันธุ์พืชใหม่ แต่จะว่าผูกขาดก็ไม่ได้หรอกเพราะมันก็มีพันธุ์อื่นให้เลือก แต่ให้ผลผลิตน้อยกว่า ไม่ถูกจริตเกษตรกรส่วนใหญ่
หมายถึง GMOs เป็นฮาลาลนะครัช และก็มีผลิตภัณฑ์ใช้ GMOs เป็นวัตถุดิบ ที่บอกในฉลากก็ดีไป ที่ไม่บอกอีกไม่รู้เท่าไหร่ ส่วนเรื่องพันธุกรรม พระคัมภีร์ไม่มีเรื่องนี้ แต่หากจะอ้างจริง ๆ คงกินไม่ได้หมดทุกอย่างล่ะครับ เพราะยังไงอาหารจากพืชหรือสัตว์มันก็ต้องมีพันธุกรรมบางส่วนเหมือนหมู แต่มากน้อยแค่ไหนแล้วแต่ชนิด
"หรือไม่ก็ใช้ตัวยาซึ่งทำได้ยากเพราะต้องอาศัยการขนส่งเข้าไปในพื้นที่ที่มีทั้งการสู้รบหรือความไม่สงบ" อ่านบทความแล้ว ส่งยาเข้าไปยาก แล้วการส่งข้าว หรือให้ไปปลูกข้าวเอง มันจะง่าย? แล้วในพื้นที่ไม่สงบขนาดส่งยาเข้าไปยาก จะมีคนไปต้าน? ทางแก้ปัญหามีทางนี้ทางเดียว? ผมสรุปว่าบทความนี้เอาเรื่องความเป็นความตายมาสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง
ง่ายกว่าครับ เพราะพื้นที่สู้รบไม่ว่าฝ่ายไหนมันก็ต้องการอาหารอยู่แล้ว ถ้าปลูกข้าวพันธุ์ปกติได้ ก็ปลูกพันธุ์ GMOs ได้ ยามันผลิตเองไม่ได้ แต่ข้าวสีทองมันขยายพันธุ์ได้เรื่อย ๆ เพราะไม่ได้ทำให้เป็นหมันหรือให้ลดความสามารถลงในรุ่นถัดไป ส่วนเรื่องต่อต้านจะไปยากอะไร ก็เป่าหูคนในพื้นที่สิครับ เด็กตายก็ปั๊มเอาใหม่ได้
อันนี้ก็ถูกครับ ความหมายของผมคือปัญหาอยู่ที่ไหนก็ไปใช้ที่นั่น แต่ผมว่าไอ้คนขายเมล็ดพันธุ์คงไม่มีอารมณ์ไปทำการตลาดในพื้นที่เหล่านั้นซักเท่าไหร่ คนต้านก็คงไม่ไป แต่เอาเหตุผลตรงนั้นมาใช้กับพื้นที่อื่น
ขอเอาข้อมูลอีกด้านมาลง เพื่อจะได้มีข้อสังเกตุว่า ข้าวสีทองดีจริงหรือไม่ (วิเคราะห์เอาเองนะครับ ผมไม่อาจเอื้อมฟันธง) ---------------------------------------------------------------------------- สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ ทุ่มทุนไปเป็นจำนวนหลายล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนาพันธุ์ “ข้าวสีทอง” หวังแก้ปัญหาขาดวิตามินเอ แต่กลับถูกพบว่าไม่ได้ช่วยอะไรเลย ซ้ำร้ายยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเสี่ยงต่อสุขภาพ . กรีนพีซเปิดเผยรายงาน ณ การประชุมข้าวนานาชาติ ซึ่งระบุว่าข้าวดัดแปลงพันธุกรรมที่เรียกกันในชื่อ “ข้าวสีทอง” จะไม่ช่วยแก้ภาวะขาดวิตามินเอ (VAD) ในรายงานยังได้ระบุถึงวิธีการที่ประสบผลสำเร็จในการลดผลกระทบของภาวะขาดวิตามินเอทั่วโลก รวมถึงรายละเอียดของ “ข้าวสีทอง” และเงินทุนที่เสียไปทั้งๆที่ควรจะนำมาใช้เพื่อลดปัญหาการขาดวิตามินเอด้วยเครื่องมือที่มีอยู่ในปัจจุบัน . ข้าวสีทองถูกพัฒนามากว่า 20 ปี แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาภาวะขาดวิตามินเอได้ นอกจากนี้ยังเป็นการใช้ทรัพยากรและเงินทุนจำนวนมหาศาล ทั้งๆที่สามารถนำทรัพยากรดังกล่าวไปใช้ในการแก้ปัญหาที่แท้จริงได้ และยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการไร้ความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมเนื่องจากพืชดัดแปลงพันธุกรรมหรือจีเอ็มโอสามารถปนเปื้อนไปยังพืชปกติได้หากปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม . “การเข้ามาของข้าวจีเอ็มโอในภูมิภาคเอเชียจะส่งผลกระทบต่อสายพันธุ์ข้าวพื้นเมือง รวมถึงสายพันธุ์ข้าวป่าดั้งเดิมและยังลดศักยภาพในการใช้สายพันธุ์ข้าวพื้นถิ่นในอนาคต นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบไปยังวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวทั้งหมด”ดร. จาเน็ท คอตเตอร์ นักวิทยาศาสตร์อาวุโส ห้องวิจัย กรีนพีซกล่าว . การดูดซึมวิตามินเอในร่างกายต้องการมากกว่าการที่มีส่วนประกอบของสารประกอบโปรวิตามินเอ pro-vitamin A compounds อยู่ในอาหาร (โปรวิตามินเอมีอยู่ในข้าวสีทอง) อย่างเช่นร่างกายต้องการไขมันเพื่อเปลี่ยนโปรวิตามินเอให้เป็นวิตามินเอก่อนที่ร่างกายจะนำไปใช้ . ในทางกลับกัน ปัจจุบันได้มีวิธีการอื่นที่ถูกมาใช้เพื่อแก้ปัญหาการขาดวิตามินเอทั่วโลก ความหลากหลายทางอาหารได้ช่วยขจัดการขาดแคลนสารอาหารเชิงซ้อน ในกรณีนี้ การปลูกผักในสวนสามารถช่วยให้มีความหลากหลายของอาหารขึ้นได้หรือแม้กระทั่งการทานอาหารเสริมอย่างวิตามินและแร่ธาตุ วิตามินเอเสริมในรูปแคปซูลก็สามารถทำได้อย่างมีระสิทธิภาพทั้งในระยะสั้นและในช่วงเวลาหนึ่ง . แต่อย่างไรก็ตาม ภาวะขาดแคลนวิตามินเอก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งไม่ใช่เกิดจากการขาดวิธีการรับมือกับปัญหาการขาดวิตามินเอ แต่เป็นเพราะการขาดเสถียรภาพทางการเมือง การขาดเงินทุนและเจตจำนงทางการเมืองที่จะลงมือทำ . “กว่า 20 ปีและการสูญเสียเงินไปหลายล้านเหรียญฯ ข้าวสีทองก็ยังเป็นเพียงภาพลวงตา ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น โลกของเราได้รับมือกับภาวะขาดแขลนวิตามินเอด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากกว่าแล้ว วิธีการดังกล่าวได้รับการพิสูจน์ว่าประสบผลสำเร็จและพร้อมใช้งาน . ส่วนข้าวสีทองนั้นเป็นเพียงมายา ซ้ำร้ายยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมีความเสี่ยงด้านสุขภาพเหมือนกับพืชจีเอ็มโอ การสูญเสียเวลาและทรัพยากรด้านการเงินไปกับการพัฒนาข้าวสีทองนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการไร้ความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังก่อความเสียหายต่อมวลมนุษย์อีกด้วย” ดร. ชิโต เมดินา จาก MASIPAG กล่าว http://www.thailandindustry.com/news/view.php?id=12353§ion=29
กรณีข้าวสีทองมันไม่ได้ตั้งใจทำขายหรอกครับ ออกแนวการกุศลมากกว่า แจกฟรีคนจน ส่วนนักวิจัยก็ได้ชื่อลงวารสารวิชาการ บริษัทก็ได้หน้า
ที่มา : กรีนพีซ เรื่องกระทบต่อสายพันธุ์ข้าวพื้นเมืองนะ ต่อให้ไม่ได้เป็นข้าว GMOs เป็นข้าวปกติที่ผสมด้วยวิธีปกติ มันก็กระทบต่อสายพันธุ์ข้าวพื้นเมืองอยู่ดีครับ
ถ้าบอกว่าธุรกิจใดที่ทำเงินได้ดี ผมว่า สองธุรกิจนี้ ต้องติดอันดับต้นๆแน่นอน(โดยเฉพาะธุรกิจอันแรก ) ***ธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องเพศ ***ธุรกิจเกี่ยวกับความงาม
แนวต้านอีกกลุ่ม ----------------------------------------------------------------------- http://www.posttoday.com/analysis/report/402798
มันไม่ปลอดแล้วล่ะสิตอนนี้ ที่ทำลายความน่าเชื่อถือก็เกษตรกรไทยนี่แหละ เป็น GMOs ก็บอกว่าไม่เป็น พอเขาตรวจเจอก็ตีกลับยกล็อต ใช้สารเคมียาฆ่าแมลงก็บอกว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ พอเขาตรวจเจอก็ตีกลับยกล็อต ต่างประเทศออกกฏหมายควบคุมกันแล้วของไทยเมื่อไหร่จะออก
เกษตรกรบางคนเขาฉลาดนะครับ ปลูกผักบางชนิดต้นอวบใหญ่ แต่ใบเป็นรูๆ อย่าคิดว่าปลอดสารพิษนะครับ เพราะเขาใช้วิธเอาทรายคั่วในกระทะร้อนๆ แล้วหว่านให้โดนใบผัก
ผมชอบซื้อผักของชาวบ้านที่เป็นรูๆ เอามาให้พี่สะใภ้ผัดให้กิน(ตะแกบอกปลูกเองซะด้วย) ตกลงตรูโดนหลอกมาตลอดหรือป่าวเนี๊ยะ
ลองที่เป็นเกษตรอินทรีย์ก็ได้ครับ แต่ระวังเจ้าที่ใช้ bt ฉีดพ่นล่ะครับ เพราะมีสารพิษร้ายแรงมว้ากกก เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่า GMOs ที่มีตัวนี้ถึงกับโดนต่อต้าน
เพิ่งเข้ามาเจอกระทู้ ก่อนอื่นเลยส่วนตัว GMO ผมทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นกรณี ๆ ไป ก่อนอื่นเลยพูดถึงว่านักวิทย์มีทั้งต่อต้านและสนับสนุน ผมจะพูดถึงฝ่ายที่ไม่เอานะครับ ส่วนมากนักวิทย์ที่ไม่เอา GMO นี่เขาจะพูดถึงกรณีการตัดต่อยีนข้ามสายพันธุ์ เช่นเอายีนจากสัตว์ไปใส่ในพืช ในพืชมาใส่ในสัตว์ ซึ่งมันเป็นยีนที่ไม่มีอยู่ในเดิมในสายพันธุ์นั้นๆ (ปกติจะเจอยีนที่ทำงานเหมือนๆกันและมีรหัสเดียวกันทั้งคนและสัตว์หรือพืช อย่างหนูที่ชอบเอามาทดลองเพราะยีนตรงกับราวๆ 90%) คือโดยตัวยีนมันเองที่ใส่ไปอาจจะไม่มีอันตรายครับ แต่ที่นักวิทย์กลัวกันคือกรณีที่เรียกว่า gene transposon หรือยีนกระโดด หมายความว่าไอ้ยีนที่ใส่เข้าไปเนี่ยมันโดดข้ามรหัสไปทำให้ยีนอื่นที่ปกติมันไม่แสดงออกเกิดกลับมาแสดงออกขึ้นมา ถ้าเกิดเป็นยีนที่สร้างสารพิษอะไรแบบนี้มันเป็นเรื่องเลยครับ ผมยกตัวอย่าง่ายๆคือข้าวโพดชนิดนึงที่ฝักนึงสีแต่ละเม็ดผิดกันไปหมด นั่นแหละครับคือยีนกระโดด คือแต่ละเม็ดยีนแสดงออกไม่เหมือนกันเลย ถ้าพูดถึงถั่วเหลือง บอกเลยครับว่าทั้งโลกตอนนี้แทบไม่มีถั่วเหลืองที่ไม่ใช่ GMO แล้ว เมื่อสามสี่ปีก่อนเหมือนจะเหลือที่บราซิล ตอนนี้ไม่ทราบแล้วว่าเป็นยังไงบ้าง ส่วนไทยนี่ไม่ต้องพูดถึงครับ พวกบริษัทขายเมล็ดพันธุ์เป็นหารค้าพวกนี้เขาไม่ได้ห้ามเอาไปปลูกต่อหรอกครับ เพราะส่วนมากถ้าเป็นเมล็ดของบริษัทเช่นมอนซานโตจะใส่ terminated gene พ่วงไปด้วย หมายความว่าเมล็ดพันธุ์ที่ได้จะไม่สามารถปลูกขึ้นได้เองครับ นอกจากจะแช่น้ำยาเฉพาะของเค้า แต่ที่เป็นปัญหาคือพวกพืชสายพันธุ์ทดลองปลูก พวกนี้ไม่ได้ทำ terminated แล้วถ้าแปลงทดลองไม่ป้องกันก็สามารถไปผสมกับพันธุ์พื้นเมืองปกติได้ อย่างกรณีมะละกอ GMO ของไทยที่ตอนนั้นปลูกแบบไหนไม่รู้เปิดโล่งจนทำให้เกิดแพร่พันธุ์ไปนอกแปลงทดลอง แต่ตอนนั้นคนยังไม่ตื่นตัวเรื่อง GMO เท่าไหร่ เรื่องขาดวิตามินเอจริงๆนี่ไทยเจอหนักนะครับ จนถึงขนาดว่าให้ผสมลงไปในอาหารที่คนไทยกินมากๆนั่นก็คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี่แหละครับ
ข้าวโพดหลากสีนี่ไม่ใช่ GMOs เรื่องยีนกระโดดนี่ระหว่างที่มนุษย์ทดลองกับเกิดขึ้นตามธรรมชาติ นี่ผมว่าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติน่ากังวลกว่านะครับเพราะไม่มีใครไปตรวจสอบ แต่ที่ทดลองมันต้องตรวจสอบก่อนถ้าทำตามมาตรฐานนะ เรื่องมะละกอนี่ คงต้องตัดเรื่องพันธุ์พื้นเมืองทิ้งล่ะครับ เพราะมันไม่ใช่พืชพื้นเมืองของไทย ตอนทำการทดลองมีการป้องกันการปนเปื้อนแหละครับ เลยเกิดคำถามขึ้นมาว่าแน่ใจได้อย่างไรว่าการปนเปื้อนเกิดจากการทดลอง ไม่ได้เกิดจากการนำมะละกอ GMOs จากต่างประเทศมาปลูกกันเองโดยอ้างว่าเป็นสายพันธุ์ต้านทานโรค
จริง ๆ เกษตรกรไทยก็มีความคิดสร้างสรรค์นะครับ ต้นไม้เป็นโรคจากแบคทีเรีย เชื้อรา ก็เอายารักษาคนไปรักษาต้นไม้โดยที่ไม่ห่วงว่าเชื้อจะดื้อยาเลย แถมแนวคิดแบบนี้ได้รับการยกย่องด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าระหว่างพืช GMOs ที่มีสารต้านยาปฏิชีวนะกับการใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำพรื่ออย่างไหนน่าอันตรายกว่ากัน
ปัญหาคือพืชหรือสัตว์ GMO ไม่มีทางเลยที่ระยะสั้นแค่ปีหรือสองปีจะทราบได้ว่ามีผลเสียหรือไม่ครับ เพราะต่อให้ทดลองในหนู (หนูอายุราวๆสองปี) ก็ยังสั้น ถ้าจะให้แบบมั่นใจก็ต้องทดลองแบบยา แต่แบบนั้นก็ค่าใช้จ่ายสูงและเวลามากเพราะต้องไล่ตั้งแต่ใช้หนู สุนัข ลิง สุดท้ายคือคน (ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมพวกบริษัทยาที่วิจัยยาเองจะคิดราคายาแพง อันนี้ผมเข้าใจเลยครับว่าต้นทุนคิดยาตัวนึงนี่สูงมาก เอาแค่ประมาณปี 80 นี่วิจัยยาตัวนึงในสหรัฐต้นทุน 30 ล้านเหรียญ นี่ยังไม่การันตีว่าจะ FDA จะผ่านให้อีก) เมื่อเร็วๆนี้ FDA สหรัฐเองก็เพิ่งจะอนุมัติให้ super salmon ขายได้เพราะไม่พบว่ามีอันตรายเหมือนกันครับ อีกอย่างคือนักวิจัยเองก็ไม่แน่ใจว่าจะตั้งประเด็นหรือจุดทดลองตรงไหน จะบอกมะเร็งอันนี้มะเร็งบางทีมันเกิดขึ้นเองเมื่อสัตว์มีอายุมากด้วย (อย่างหนูสองปีนี่ถือว่าแก่) ถ้าจะบอกว่าเกิดมะเร็งอันนี้นักวิจัยจะต้องชี้ให้ได้ว่าเกิดจากอะไร สารตัวไหน ไม่ใช่ว่ากินแล้วบอกว่าเกิดแต่บอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร ถ้าบอกว่ายีนใส่ไปแล้วทำให้เกิดสารพิษ อันนี้ต้องระบุให้ได้อีกว่ายีนตัวไหนที่แสดงออกจนสร้างสารพิษ ส่วนเรื่องยาปฏิชีวะ กลัวช้าไปแล้วครับ พืช GMO นี่ไม่ได้ส่งผลหลักให้เกิด super bug เลย ที่เจอๆกันนี่คือมาจากการใช้ยาผิดวิธี แล้วมาจากสัตว์ครับ พวกเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่นี่แหละ เพราะเกษตรกรให้สัตว์พวกนี้กินยา สัตว์ไม่ป่วย = สัตว์กินได้มาก โตเร็ว เนื้อเยอะ (หรือก็คือเร่งเนื้อแดงที่เข้าใจกันนั่นแหละครับ) แต่ยาพวกนี้วันดีคืนดีถ้าฆ่าเชื้อไม่หมด เชื้อที่เหลืออยู่มันจะดื้อยา คือมันจะสร้างยีนที่ต้านทานยานั้นๆได้ แล้วแบคทีเรียมันมีความสามารถส่งต่อยีนต้านไปให้แบคตัวอื่นได้หน้าตาเฉย ล่าสุดนี่เลยคือฟาร์มหมูในจีนใช้ยาปฏิชีวนะตัวนึงที่อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่าเป็นกลุ่มท้ายของท้ายสุดถ้าเชื้อดื้อยาตัวอื่นหมดแล้วจะใช้ตัวนี้ ใช้ให้หมูกินจนเกิดเชื้อที่ดื้อยาตัวสุดท้ายนี้ แล้วส่งต่อไปให้เชื้อที่อยู่ในคนเรียบร้อยแล้วด้วย ที่สำคัญคือกระจายแบบตรวจเจอทั้งจังหวัดทั้งภูมิภาคเลย
https://www.facebook.com/jessada.denduangboripant?fref=ts https://www.facebook.com/biothai.net/?fref=photo https://www.facebook.com/ชมรมแพทย์ชนบท-142436575783508/?fref=ts
10 คำถามเรื่อง GMO โดยนักเศรษฐศาสตร์ (ที่มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์น้อยมาก) http://www.isranews.org/thaireform/thaireform-talk-interview/item/43173-gmo_43173.html
คัดลอกมาจากเวปที่คุณแปะใว้ครับ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- Clean Food คืออาหารที่ปลอด GMO อาหารที่มาจากเกษตรอินทรีย์ อาหารที่สะอาดปลอดภัย และมีการค้าขายอย่างเป็นธรรม หรือ Fair Trade คือกระแสแห่งอนาคต -------------------------------------------------------------------------------------------- โดยส่วนตัวผมก็เชื่อว่า แนวทางเกษตรอินทรีย์ คือเทรนที่เติบโตมั่นคงและแน่นอนกว่าGMOs เรามาถูกทางแล้วที่หนุนเกษตรอินทรีย์ ให้เป็นวาระแห่งชาติ แต่นายทุนมันไม่ชอบ เพราะเงินกระจาย ไม่กระจุกอยู่ที่มัน
ตอนผมเรียนวิทยาลัยเกษตรแห่งหนึ่ง ผมได้เลี้ยงเลี้ยงไก่เนื้อในโครงการ เอายาปฎิชีวนะหยอดปาก เอายาแทงปีก เอายาใส่น้ำกินตลอดอายุ 45วันจับขาย ไก่แทบจะเดินไม่ได้เพราะกระดูกมันอ่อนและน้ำหนักเยอะ แต่ผมไม่สนใจหรอก กินตะพรึด...ตอนนี้ผมเลิกกินไก่แล้ว เพราะผมแพ้สารเร่งในอาหาร
นั่นก็ส่วนหนึ่งครับ หลุดเพราะพวกประท้วงเอาออกมาแต่กลับโทษแต่กรมวิชาการเกษตรซะงั้น ตัวเองไม่ผิดตามแบบฉบับ NGO กลุ่มนั้นจริง ๆ เขาทดลองกับพันธุ์แขกดำแขกนวล แต่ดันไปพบกับสายพันธุ์อื่นด้วย แถมเป็นพันธุ์แท้ซะอีก ถ้าอ้างว่าหลุดไปผสมข้ามพันธุ์มันก็ต้องเป็นพันธุ์ทางสิ