คัดลอกมาจากเฟซบุ๊คของลูกศิษย์ที่สอนมา เขียนไว้ดีมาก ความดี คือ จิตที่เข้มแข็ง ไม่ยอมให้กามราคะ โลภ โกรธ หลง เข้ามาเล่นงาน ความดี คือ การฝึกฝนตน ทนทุกข์ลำบากได้ จนยืนได้ด้วยลำแข้งของตนเอง ความดี คือ การมีจิตสงสาร หาทางช่วยเหลือคน ตกทุกข์ให้พ้นทุกข์ โดยไม่เพิกเฉยทอดธุระ ความดี คือ ความสามารถดำรงชีวิตโดยสุจริต แม้จะมีโอกาสให้ทุจริตได้ แต่ไม่ทำ ความดี คือ การเสียสละ มิใช่เพื่อสร้างตน แต่ เพื่อสร้างชาติบ้านเมืองเยี่ยงวีรบุรุษ ความดี คือ การทำตนให้คนอยากเอาเยี่ยงอย่าง ในทางที่ดี ทำอย่างเสมอต้นเสมอปลายจนมีอนุ สาวรีย์ให้โลกยกย่อง ความดี คือ การเอาภาระธุระของตน ด้วยการตั้ง ระเบียบวินัย ไม่ทำอะไรตามสบาย จนก้าวถึงเป้า หมายที่ต้องการ ความดี คือ การมุมานะบากบั่น ไม่หวั่นไหว แต่มี จิตเข้มแข็ง อดทนต่อเรื่องราวร้ายแรงที่ผ่านมาใน ชีวิต ไม่คิดสั่น ความดี คือ คนที่มีความดีดังกล่าว สั่งสมเรื่อง ราวเล่าขานเป็นตำนานชีวิต ชีวิตคนดีสั่น แต่ความ ดีของคนดีอยู่ได้นานนับพันปี ทรัพย์คนดีอาจหมด ไป แต่ความดีของเขายั่งยั่งยืนพันปี อำนาจอาจ สูญสิ้น แต่ความดีไม่มีเสื่อมคลาย ความดี คือ ไม่เคยทำดีเพื่อประกาศว่าตนเป็นคน ดี คนดี คือ คนที่พร้อมจะยกย่องคนอื่นว่kดีกว่าตน คนดี คือ คนที่มีดี แต่ไม่อวดดี คนดี คือ คนที่ให้ ความดีพูด มิใช่ตัวคนพูด คนดีมิใช่ดีเพราะสร้าง ภาพลักษณ์ คนดี อาจไม่ใช่คนหน้าตาดี มีทรัพย์มีเกียรติ มีอำนาจ มีอิทธิพล คนเกรงกลัว คนดี อาจมิใช่คน เรียนเก่งเป็นที่หนึ่ง คนดี ไม่เกี่ยวกับเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ คนดีที่โลกยกย่อง ให้เพ่งมองดูว่าเขาเคยทำอะไรไว้ให้โลก เครดิต พระนิรุต Facebook : Nirut Saeheng
http://www.komchadluek.net/detail/20150324/203563.html สปช.รุมถล่มซัดพระใช้ผ้าเหลืองหากิน สปช.รับทราบรายงานปฏิรูปศาสนา ด้านสมาชิกรุมถล่มซัดพระใช้ผ้าเหลืองหากิน-สอนผิดหลักพระธรรมวินัย เสนอตั้งก.ก.ร่างก.ม.จัดการทรัพย์สินวัด ด้าน 'เทียนฉาย'เบรก 24มี.ค.58 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสปช. ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณารายงานการศึกษาของคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้อง พิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สปช. โดยนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่ปรึกคณะกรรมาธการฯ ได้รายงานว่า ขณะนี้มีการใช้ผ้าเหลืองบังหน้าหากิน ละเมิดคำสอนพระธรรมวินัย ทางกรรมาธิการจึงมีข้อเสนอ คือ 1.ให้มีการร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินของวัดและพระภิกษุ ซึ่งจะต้องมีการจัดทำงบบัญชีทรัพย์สินของวัด ทรัพย์สินที่ได้ภายใต้ร่มกาวพัสตร์จะต้องเป็นของพระพุทธศาสนาโดยไม่มีข้อยก เว้น รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างภิกษุและฆราวาสในการบริหารจัดการทรัพย์สิน ของวัดร่วมกัน 2.ให้ปรับปรุงกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ.2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ หรือพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 โดยเฉพาะการปกครองสงฆ์ ควรจะมีการกระจายอำนาจ แทนการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ ซึ่งจะต้องให้คณะสงฆ์ที่อยู่ในวัดและประชาชนร่วมกันดูแลวัดและกิจการพุทธ ศาสนา นอกจากนั้นควรกำหนดให้วัดเป็นศูนย์กลางในการบริหารวัด การแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าอาวาส การปฏิบัติให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย 3.ควรมีกลไกนำหลักการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยมาบัญญัติให้เกิดความชัดเจน ว่าการปฏิบัติใดเป็นไปตามพระธรรมวินัยหรือไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย เพื่อให้มีการตรวจสอบป้องกันการบิดเบือนหรือแอบอ้างพระธรรมวินัย และ 4.ปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ ให้ทันกับเหตุการณ์ เพื่อให้พระภิกษุสามเณรมีความเชื่อมั่นในระบบการศึกษา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นเปิดให้สมาชิกแสดงความคิดเห็นซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยให้มีการปฏิรูป ศาสนา แต่เห็นว่าควรที่จะปฏิรูปในภาพรวม ไม่ใช่ปฏิรูปเฉพาะกรณี โดย นายวรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา สมาชิกสปช. อภิปรายว่า องค์ประกอบของพุทธบริษัทสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา มีแนวโน้มที่จะเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหลักการของพระพุทธศาสนา เพราะภิกษุบางรูปคิดว่าตนเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังมีผู้นุ่งห่มจีวรที่ไม่ถือว่าเป็นสงฆ์ เพราะมีความประพฤติไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย ปะปนอยู่กับคณะสงฆ์ จนนำมาซึ่งความเสื่อมเสียในคณะสงฆ์ เช่น พระบางรูปนุ่งผ้าจีวรจากอิตาลี พระสั่งอาหารจากภัตตาคารแทนการบิณฑบาตร พระบางรูปที่จะถือสันโดษ แต่กลับชักชวนให้ศาสนิกชนมาร่วมทำ “บุญนิยม” บริจาคมากได้มาก ใช้โฉนดวัดในการเรี่ยไรทรัพย์สินจากประชาชน หรือแม้กระทั่งออกโฉนดสวรรค์เพื่อกระตุ้นให้มีการบริจาคเงินแก่วัด พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ขัดกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงสมควรที่จะมีการปฏิรูปกิจการของศาสนจักรที่เป็นอยู่ขณะนี้ ด้านนายเฉลิมชัย เฟื่องคอน สมาชิกสปช. อภิปรายว่า มีประชาชนถามตนว่าคณะกรรมการฯ ชุดนี้ จัดตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร เพราะออกมาตอบโต้กับมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นการไม่เหมาะสม โดยเฉพาะคณะกรรมการฯ ที่โต้เถียงกับพระสงฆ์ผ่านรายการโทรทัศน์เป็นการสร้างความขัดแย้งให้เกิด ขึ้นในพระพุทธศาสนา กระทั่งมีประชาชนกลุ่มหนึ่งอยากให้ยุติบทบาทของคณะกรรมการฯ ชุดนี้ แต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บอกว่าไม่มีอำนาจในการยุบ สุดท้ายคณะกรรมการฯ กลับยุติบทบาทของตนเอง ทั้งที่ผลักดันเรื่องนี้มาอย่างหนัก ถ้าเปรียบเหมือนมวยก็เป็นมวยบุกหนัก สังเวียนมี 6 ยก จะมายุติการชดในยกที่ 5 ได้ อย่างไร อย่างน้อยคณะกรรมการฯ ควรที่จะยกร่าง พ.ร.บ. เพื่อการปฏิรูปกิจการศาสนาและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาให้ แล้วเสร็จก่อน นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ สมาชิกสปช. อภิปรายว่า ตนมีข้อเสนอให้วัดจะต้องทำบัญชีทั้งหมด โดยไม่ต้องให้ไวยาวัจกรเป็นคนทำ อาจให้สถาบันการศึกษาช่วยทำบัญชีก็ได้ การที่เสนอให้วัดทำบัญชีเพราะทางวัดมีเงินบริจาคจำนวนมาก จึงต้องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มาตรวจสอบ ส่วนวัดที่ทำเป็นพุทธพาณิชย์ ควรให้สำนักงานพุทธศาสนาเข้าไปตรวจสอบว่าการให้เช่า ทรัพย์สินหรือวัตถุมงคลนั้นเป็นอย่างไร เพราะทุกวันนี้พระไม่ต้องเสียภาษีแต่ต่อไปวัดที่ให้เช่าวัตถุมงคลอาจต้อง เสียภาษี เพราะถือว่าเป็นพุทธพาณิชย์ ส่วนพระที่ไม่ต้องเสียภาษีก็อาจจะยกเว้นพระที่มีรายได้ไม่ถึง 20,000 บาท แต่ถ้าเกิน 24,000 บาท ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(ภงด.91) นอกจากนั้น ยังขอเสนอให้พระที่ไปเสพเมถุน ดื่มสุรา และขับรถซึ่งถือว่าปาราชิกต้องมีโทษทางอาญาด้วยหรือไม่ และไม่ควรให้พระที่ปาราชิกแล้วกลับมาบวชใหม่ได้อีก นายวันชัย สอนศิริ อภิปรายว่า ตนขอพูดในฐานะเป็นเด็กวัด เป็นทนายว่าความให้เจ้าอาวาสมาหลายรูป เห็นว่าศาสนาอยู่เป็นสถาบันหลักของชาติ ถ้าผุกร่อน บ้านเมืองจะไปไม่ได้ ทั้งนี้ ข้อสรุปของคณะกรรมการฯ ชุดนี้ ไม่ได้เป็นการเหยียบย้ำซ้ำเติมศาสนา เพียงแต่บางเรื่องที่ประธานทำเป็นสายล่อฟ้าเกินไป แต่ก็ทำให้สังคมตื่นตัว แม้แต่วัดบางวัดยังตื่นตัวออกมาแก้ต่าง รวมถึงกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น เป็นเรื่องที่ค้างคามา 2-3 ปีแล้ว พอประธานฯหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาจึงมีการคืนเงินให้กับสหกรณ์ นอกจากนี้ เรื่องสมบัติของวัด และของพระ ไม่น่าห่วงมากเท่าฆราวาสที่เข้ามาจัดการ ตนชี้นิ้วไปจุดใดของกทม.ก็มีหมด วัดบางวัดให้เช่าที่ตารางวาไม่กี่ 10 บาท แต่ฆราวาสนำไปประมูลขาย ให้เช่าตารางวาละเป็นแสน เรียกว่าเกาะหลังวัดทำมาหากินบนทรัพย์สินของศาสนา จากที่ดูการศึกษาของคณะกรรมการฯชุดนี้ ถ้าไม่มีการบริหารอย่างเป็นระบบจะพัง ยิ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแย่งกันเป็นผู้อำนวยการฯ เพื่อจะเอาเงินของเราไปหาผลประโยชน์บนทำเลทอง จึงเห็นว่าน่าจะมีการบริหารเป็นระบบเสียใหม่ ไม่ใช่ปล่อยให้วัดและฆราวาสจัดการกันเอง ส่วนเรื่องการประพฤติผิดพระธรรมวินัยเอาสีกามาเสพเมถุน หลังจากจับศึกแล้วต้องดำเนินคดีและจับติดคุก ดังนั้นจึงเห็นว่าควรตั้งศาลรัฐธรรมนูญพระ เพื่อมาดูแลพระสงฆ์และเป็นไปตามที่นายเทียนฉาย บอกว่าต้องให้อาณาจักรมาปกป้องคุ้มครองศาสนา ไม่เช่นนั้นศาสนาจะไปต่อไม่ได้ จากนั้นที่ประชุมลงมติเห็นด้วยกับรายงานของคณะกรรมการฯและข้อเสนอแนะของสมา ชิกสปช.เพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) ดำเนินการต่อไป ด้วยคะแนน 186 ต่อ 7 งดออกเสียง 11 ต่อมานายวรวิทย์ ลุกขึ้นขอให้ที่ประชุมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อยกร่างพ.ร.บ.จัดการ ทรัพย์สินของวัด แต่ถูกนายเทียนฉายแย้งว่ามติที่ออกมารวมทั้งรายงานและข้อเสนอแนะของสมาชิก ถือว่าเพียงพอแล้ว ซึ่งจะได้มีการประสานครม.ในเรื่องนี้ และทราบว่ารัฐบาลกำลังร่างกฎหมาย 2-3 ฉบับที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว ซึ่งที่ประชุมไม่มีข้อท้วงติงใดๆ จากนั้นปิดประชุมในเวลา 18.15 น.
รู้สึกอดสูใจยิ่งนัก! ..ที่บุคคล! ..ผู้มีเกียรติ! ..ท่านคิดกับพระศาสนาเช่นนี้!. อยากแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างยิ่ง แต่พิจารณาแล้ว หลวงพี่ยังโพสต์มาเจ๋ยๆ แต่ขอสักนิดเถอะว่า ความคิดเห็นเยี่ยงนี้ เขามีกันมานานแล้วพระคุณท่าน เพราะอิฉันเห็นพระให้หวยก็แย่แล้ว ประสบการณ์ตรงค่า
ธรรมชาติ ของพวก "ข้าเป็นผู้รู้ ใครสู้ข้าไม่ได้"....................... กลัวการตรวจสอบ เท่านั้นเอง เพราะจุดขายอยู่ที่ชื่อเฟสของเขานั่นแหละ
หลวงพี่ฝากมา ทำชามของตนเองให้ดีก่อน จากนั้นรอคอย ชามดีๆอีกมากมาย มากระทบ คบหาใคร จงคบกันด้วยความจริงใจ