หายไปเสียนาน ไม่ได้มาทำความสะอาดกุฏิเลย ฝุ่นละอองหยากไย่ เต็มไปหมด ต่อไปคิดว่าคงจะใช้เวลากับที่นี่มากขึ้น วันนี้ขึ้นศักราชใหม่ ได้นั่งพิจารณาใจตัวเองอยู่ทั้งวัน นั่งคิด ว่า วันๆ ที่ผ่านไปได้ทำประโยชน์อะไรบ้างและทำไม่ดีคิดไม่ดีอะไรบ้าง ได้ข้อสรุปออกมาว่า ................ ที่ผ่านมายังไม่ได้ทำประโยชน์อะไรมากเลย ไปอยู่กับเรื่องทางโลกเสียมาก ........... เมื่อคิดได้ก็คงต้องทำหน้าที่ที่ตัวเองเป็นอยู่ให้ดีกว่านี้ ดีกว่าปล่อยให้เวลาล่วงไปวันๆ เมื่อคืนนี้ จัดปฏิบัติธรรม สวดมนต์ข้ามปี บนดอยน้อยที่เราอาศัยอยู่ เพิ่งทำเป็นปีแรก ตอนแรกคิดว่าจะมีคนน้อยเฉพาะเรากับโยมที่เป็นกรรมการวัด ห้าหกคน แต่ผิดคาด มากันมากเกือบหกสิบ จนศาลาน้อยๆ นั่งไม่พอ โยมที่มา หอบหมอน ผ้าห่ม เครื่องกันหนาวมามาก กะว่าจะค้างคืนรอสวดมนต์ตอนเช้า มีการเตรียมข้าวหลามมาเผา เตรียมโคมลอยและพลุมาจุด ที่ดีที่สุดเลยคือไม่มีสิ่งมึนเมาตามที่เรากำหนดไว้ ว่าถ้ามีงานบนดอย ของดเว้นเรื่องอัลกอฮอล์ เด็กเล็ก คนวัยหนุ่มสาวมากันหลายคน ผู้สูงอายุ นับตัวคนได้ พอได้เวลาค่ำ ทำวัตรเย็นเสร็จก็พักผ่อน เผาข้าวหลามกัน มีจุดโคมลอย จุดพลุบ้างพอประมาณ คนที่มาสนุกมาก ติดใจบอกว่าอยากให้ทำทุกปี พอได้เวลาประมาณ ห้าทุ่ม ก็นั่งสวดมนต์จนถึงเที่ยงคืน โยม จุดพลุ ตีระฆัง ปล่อยโคม สนุกจริงๆ สำหรับโยมที่มา เราเองก็อิ่มใจ ..........................งง แต่ประกฏว่า ด้วยสภาพอากาศที่เย็นจัด ลมก็แรง เห็นใจว่าถ้าจะนอนกันโดยไม่มีอะไรมาบังลม จะไม่สบายกัน เลยขอให้กลับ มากันแค่นี้ ทำกันแค่นี้ก็ได้อานิสงส์มากแล้ว ปีหน้า ฟ้าใหม่ถ้ายังอยู่ คงจัดให้โยมประทับใจมากกว่านี้
กราบนมัสการสวัสดีปีใหม่หลวงพี่ ณ กุฏิไม้ไผ่ ปีนี้วัดแถวบ้านแม่มะนาว (ถ้าไปทางถนนก็ไกลอยู่ แต่ถ้าขีดเป็นเส้นตรง จากวัดกับบ้าน ไม่ไกลเลย) มีจัดสวดมนต์ข้ามปี แม่มะนาวก็ได้เข้าร่วมด้วย แต่เป็นการนั่งฟังจากบ้านเจ้าค่ะ เสียงดังฟังชัด แถมเสียงพลุอีก คืนนั้นกว่าจะได้หลับ ตีสอง แต่ก็ไม่เป็นไร นานๆทีที่จะได้รื่นเริงอย่างสุขใจ ฒ. ทนได้เจ้าค่ะ
ฟังเพลงแล้ว ทำไมแม่มะนาวนึกไปถึง คำว่า "บางสิ่งอยากลืมกลับจำ บางสิ่งอยากจำกลับลืม" แต่เวรของกรรม แม่มะนาวเกิดจำได้หมดเลย แหะ แหะ
ต่อไปคงจะประจำการอยู่แถวๆ นี้ นี่ก็เพิ่งเดินลงมาจากรับญาติโยมที่มาเที่ยวและอยากคุยกับพระ (๑๔.๔๕ น) มีมาขอให้เจิมรถให้ เราบอกว่าไม่เคยทำ แต่เขาก็อ้อนวอน บอกตรงมาที่นี่เลยไม่ได้แวะที่ไหน เลยเจิมให้เขาไป เอิ้กๆๆๆ
แปลกไหม เราเองเป็นคนที่ความจำเหมือนเครื่องซีร็อกซ์ แต่ตอนนี้ จะค่อยๆ ลบความจำของตัวเอง คิดถึงสิ่งที่ควรคิด นึกถึงคนที่รักและเคารพเราโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เรากำลังเริ่มทำอยู่ สำหรับเฟซบุ๊ค คงเข้าไปที่บ้านบ้าง แต่โพสน้อยลงกว่าเดิม เอาเวลามาโพสที่เพซประจำที่เป็นชื่อจริงกับเฟซวัด แต่เฟซนั้นก็คงไว้เพราะยังไงก็เป็นสมาชิกอยู่และเพื่อนๆ หลายๆ คนก็อยู่ที่นั่น
เมื่อวานเย็น คุณหลวงอบรมธรรมะแม่มะนาว เธอเล่าว่า พระอานนท์เดินบิณฑบาต มีชายคนนึงเอาก้อนหินขว้าง โดนที่หลังของพระอานนท์ ท่านก็เดินต่อ ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ ก็เข้าไปทุบตีชายคนนั้น พระอานนทฺ์ถามว่า พวกท่านไปตีเขาทำไม ชาวบ้านบอกว่า เพราะเขาทำร้ายพระอานนท์ พระอานนท์ถามกลับไปว่าแล้วใครเจ็บ ท่านหรือเรา ชาวบ้านก็บอกว่าพระอานนท์เจ็บ พระอานนท์ก็ตอบกลับว่า เมื่อท่านมิได้เจ็บเหตุใดจึงไปทำร้ายเขา ซึ่งมิได้ทำร้ายพวกท่าน เฮ้อ...แม่มะนาวเลยถามคุณหลวงไปว่า เรื่องที่เล่ามาเนี่ย จะบอกว่า "อย่าเผือกเรื่องชาวบ้านหรือเปล่า" แกยิ้มๆไม่ตอบอ้ะ แปลว่าไรคะหลวงพี่ ???????
ปัญญา พึงรู้ได้ ด้วยการสนทนา บุคคลผู้ที่มีปัญญา ย่อมสามารถ อธิบายจำแนกเปิดเผยทั้งโดยย่อและโดยละเอียดได้ ……
"ผมขอเป็นเด็กวัดที่นี่เลยนะครับ เห็นตำแหน่งว่างอยู่" จะได้อาศัยฟัง"ธรรม"ไว้ใช้ดำเนินชีวิต แล้วช่วยปัดกวาดกุฏิเวลาหลวงพี่ไม่อยู่ ตอนเด็กผมกับเพื่อนไปขอข้าววัดทานประจำ สิ่งที่ชอบ มี น่องไก่ชุบแป้งทอด ไส้กรอกทอด กาแฟก้นแก้ว "สัปเหร่อ" ประจวบ
"นมัสการครับหลวงพี่กรีเต้" หลวงพี่ครับ ผมมีความรู้ด้านธรรมะไม่มาก ผมขออนุญาตเสนอแต่เพลงฟังยามว่าง นะครับ ถ้าผิดพลาดประการใดผม"กราบขออภัย" หลวงพี่ด้วยครับ "นาคอนาถา" สัญญา พรณารายณ์ เพลงเก่าที่ใครหลายคนลืมไปแล้ว เป็นอีกเพลงที่ผมชอบฟังมาก
เมื่อ 2 วันก่อนคุยไปเรื่อยเฉื่อยเรื่อง ธรรมะกับพี่ตะนิ่น คุยไปคุยมาไปถึงทฤษฎีสัมพัธภาพ กับพุทธศาสน์ ประเด็นมีอยู่นิดเดียวคือ ไอสไตน์ให้เครดิตกับศาสนาพุทธมาก เพราะเป็นศาสนาแบบ อเทวนิยม ซึ่งทำให้แก่น ของพุทธศาสนามีความสอดคล้องกับธรรมชาติ และก้าวล้ำกว่าจินตนาการที่บุคคลจะไปถึง กระผมเลยเสนอ ประเด็นการผกผันของมวลและพลังงาน กับ มิติภพภูมิ คล้าย ๆ กับหนังสือ พระพุทธเจ้าพบ ไอสไตน์เห็น ประเด็นของกระผมก็คือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพหรือศาสตร์ตะวันตกหยาบเกินกว่าจะอธิบายปรากฏการณ์การผกผันนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น สมการ e=mcยกกำลัง2 ที่สะเทือนโลก ยกตัวอย่างหยาบ ๆ แต่ไม่สามารถปรากฏการณ์หลุมดำ ในห้วงอวกาศ ซึ่งค้นพบแล้วว่ามีจริง เพราะธรรมชาติของหลุมดำนั้นแม้แต่แสงก็หนีไม่ได้ ทำให้เกิดจุดบอดในการอธิบาย ปรากฏแต่ในขณะที่ พุทธศาสน์กลับอธิบายได้มากกว่า หากมีปัญญาบารมีเพียงพอและสามารถไขรหัสได้ถูกต้อง เช่นในเตภูมิกถา ว่าด้วยภพภูมิที่ซ้อนกัน อยู่ด้วยกัน เวลาเดียวกัน แต่ต่างกันในทางมิติ หากใช้คำง่าย ๆ เช่น เวลานี้ ที่กรผมนั่งทำงาน อาจจะมีอีกมิติเป็นนักรบไทยในอดีตกำลังรบเพื่อปกป้องแผ่นดินให้ลูกหลาน ขณะเดียวกัน อาจมี ลูกหลานกำลังนั่งทำงานในที่เดียวกัน เฮ้ย.... บ่นอารายให้หลวงพ่อฟังเนี่ยะ บ๋อยเก็บตังค์ กราบนมัสการลาขอรับหลวงพ่อ
ใช่ขอรับ แต่ที่ผ่านมาการทดลองเชิงประจักษ์ไม่มี ไอสไตน์แค่โชคดีที่เกิดในยุคที่เครื่องมือพร้อม กระผมเห็นว่าศาสตร์ตะวันตกยังไม่แจ้งแทงตลอดในความรู้นั้น ๆ เปรียบเสมือนจับที่เปลือกแล้วทึกทักว่า มันคือแก่น หากเปรียบเทียบกับความรู้ปัจจุบันการได้มาซึ่งคำว่าด๊อกเตอร์ไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้รู้จริง ในศาสตร์นั้น ๆ แต่กลับเป็นผู้สามารถใช้โวหารในการแสดงออกให้ผู้อื่นเชื่อว่าตนมีความรู้นั้น ๆ หรือแม้แต่ การข่มขู่หรือให้ด้วยอามิสเพื่อให้ตนได้รับการยอมรับ ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะปริญญาที่ได้นั้น ไม่สามารถมาจรรโลงสังคมให้ดีงามตามที่สังคมคาดหวัง
นักวิทยาศาสตร์สมัยนี้ หัวแข็งเกินกว่าจะศรัทราในสิ่งที่ตนเองสัมผัสไปไม่ถึง กว่าจะทำใจยอมรับในสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ร่างกายก็หมดสภาพที่จะคิดต่อยอด และไม่มีแรงที่จะถ่ายทอดออกมาในรูปแบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ ผมเชื่อว่า ถ้าไอน์สไตน์ มีเวลาศึกษาพระพุทธศาสนา ตั้งแต่หนุ่มๆ และศรัทธาสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบด้วยพลังแห่งจินตนาการ เขาจะสามารถไขปัญหาของจักรวาลได้มากกว่านี้ แม้แต่ สตีเฟน ฮอว์คิง ที่ชีวิตเกือบตาย ดวงจิตใกล้จุดดับ ยังกลับมาพร้อมกับความลับเพียงบางส่วนแค่ที่มีเท่ากับใบไม้ในกำมือ...
เห็นด้วยครับ สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้พยายามอธิบายปรากฏการณ์จักรวาล ในความเห็นผมคือ เริ่มจากวัตถุหรือ ปรากฏการณ์ที่พบเห็นก่อนแล้วจึงค่อยมีการพยายามอธิบาย ทำให้อำนาจการอธิบายเกิดการผิดฝาผิดตัว เช่นเดิม เคยเชื่อว่าลมเกิดจากความร้อนทำให้อากาศยิ่งเคลื่อนที่เร็ว แต่ปัจจุบันค้นพบแล้วว่า ลมบนดาวพฤหัสบดีเร็วกว่าลมบนโลก ที่เร็วที่สุดเป็นสิบๆเท่าทั้ง ๆ ที่อุณหภูมิบนโลกมาก ทำให้ต้องมาสร้างทฤษฎีใหม่เพื่ออธิบาย การที่พระพุทธองค์ดำรัสว่า ทรงตรัสรู้เสมือนใบไม้ในป่า แต่ทรงนำมาสอนผู้อื่นเพียงใบไม้หยิบมือเดียว เพราะสิ่งนั้นได้พิจารณาแล้วว่า เป็นธรรมที่ยังประโยชน์แก่สัตว์โลกโดยสถานเดียว
เกิดมาเพื่อดับกิเลสตนเอง ................................. นักศึกษาท่านหนึ่ง ได้เรียนถามหลวงปู่ว่า ...คนเราเกิดมาเพื่ออะไรคะ... หลวงปู่ตอบว่า ...เกิดมาเพื่อดับกิเลสตนเองซิ ! ให้ละกามเด็ดขาดในภพนี้ ตัดให้ขาดจากการเป็นของคู่ ปุถุชนเต็มขั้นหนาด้วยกิเลส ได้แต่ศึกษาไม่นำมาปฏิบัติ แล้วจะรู้แจ้งอย่างไรเล่า? เกิดมาทำไมให้ต้องวนเวียน เกิดแล้วตายไม่สิ้นสุด จะเอาอีกหรือ? เราชาวพุทธให้เร่งเจริญอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ศาสนาอยู่ที่ขันธ์ ๕ มิใช่อยู่ที่อื่นเลย คนอื่นทุกคนล้วนเป็นอาจารย์ของเรา ทดสอบเราทั้งดีทั้งชั่ว เมื่อเรามีสังขารครบบริบูรณ์แล้ว อย่าได้ทับโลกุตตรธรรมเลย อย่ามัวแบกทุกข์อวิชชาอยู่เลย อย่าได้ประมาทนิ่งนอนใจนะ ขอให้สำรวมในกายวาจาใจให้เต็มตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ศรัทธามั่นในโลกุตตรธรรม จะได้รู้แจ้งธรรม พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย หลวงปู่บุดดา ถาวโร ===================
ดีใจที่มีสมชิกมาแลกเปลี่ยนความคิดกัน ขอให้คุยกันอย่างสบายๆ ไม่เครียด เราเองก็ไม่เครียดในเรื่องปฏิบัติ หรือยกเอาตำรามาพูดเพราะในตำราบางครั้งเขียนแบบไม่รู้แจ้งแทงตลอด ชอบแบบธรรมชาติตั้งคำถามกับตัวเอง และ ก็หาคำตอบให้ตัวเอง ถ้าคำตอบนั้นดึงเราลงไปทางอกุศลก็ดึงจิตกลับมา ถ้าดึงไปในทางกุศล ก็ตามจิตไปดู เราเลยไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร ดูแค่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นกุศล หรือ อกุศลเท่านั้น เล่นกับธรรมชาติพิจารณาการเกิดดับ สนุกกว่า ถ้าเอาจิตไปผูกไว้ ก็จะติดอยู่กับสิ่งนั้น ปอลอ พูดแล้วก็ชัก งงๆ กับ ตัวเอง เอิ้กๆๆๆ
ทางเดินเพื่อเข้าพระนิพพานเพื่อความหลุดพ้นมีอยู่หลายทาง แต่มีเหมือนกันคือจุดหมายปลายทางเพื่อการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ตามคำสอนขององค์พระประทีบแก้ว พระสัมมสัมพุทธเจ้า สาธุครับหลวงน้า ตอนนี้ผมพยายามตัดสังโยชน์ให้ได้ 3 และรักษาศีล8 แปดด้วยครับ ผมตั้งจิตอธิฐานไว้แล้วว่าหากตายจากชาตินี้ฉันใด จะไม่ขอมาเกิดไม่ขอมีร่างกายอีกเพราะเห็นทุกข์จากขันธ์5แล้ว อบายภูมิทั้ง 4 ก็ไม่ขอไป สวรรค์ หรือพรหมก็ไม่อยากไปเพราะสุขจริงแต่ก็มีหมดกาลหมดสมัยต้องมาจุติอีก มีดินแดนแห่งเดียวซึ่งไร้ทุกข์คือ พระนิพพาน ตามคำสอนของพระไตร์โลกนาถ องค์พระศาสดาสัมาสัมพุทธเจ้า ผมของฝากตัวเป็นเด็กวัดด้วยคนนะครับ
มาแอบอ่านทั้งที่ยังไม่เข้าใจ ระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับศาสนาพุทธ แม่มะนาวแค่ปฎิบัติบางอย่างแล้วมารู้ในภายหลังว่า นี่คือคำสอนในพุทธศาสนา เพียงแค่ว่าทำแล้วรู้สึกสบายใจดี อย่างเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ที่ขา(ในใจ) คอยพาเรา วิ่งซนไปเสียเรื่อย กุฎิรกต้องบอกคุณแสงธูปค่ะ เพราะปาวารณาตัวเป็นเด็กวัด เด๋วแม่มะนาวจะชงข้าวแฝ่ถวาย แป๊บค่ะ ที่หลวงพี่บอกว่า อิฉันตามมา ต้องนั่งพับเพียบให้เรียบร้อยเนี่ย หลวงพี่หรือ แม่มะนาว แต่น่าจะเป็นทั้งคู่แหละ แม่มะนาวพกเอาเบาะมารองนั่งด้วย ไม่ต้องห่วง
ที่นี่สามารถคุยอะไรก็ได้ เหมือนเป็นศาลาริมทางที่นั่งรอโดยสารรถ อาจมานั่งรอรถสายที่เดินทางเป็นประจำ หรือ รอเพียงมาแวะเพื่อต่อรถไปจุดหมายอื่น เชิญตามสบาย โพสอะไรก็ได้ตามใจ
แม่มะนาว พุทธ กับ วิทยาศาสตร์ คล้ายกันหลายอย่าง คือมองว่า "ถ้า" สิ่งนี้ มี "เหตุ หรือ ปัจจัย" คืออะไร และพิจารณาจากสภาวะการณ์ นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า การค้นคว้าทดลอง หรือ วิเคราะห์วิจัย ส่วน พุทธ จะเรียกหลายอย่าง เช่น วิปัสสนา เป็นต้น
สวัสดีครับพี่มะนาว ถ้าตามที่ผมเข้าใจนะครับ สิ่งที่พี่มะนาวปฏิบัติอยู่ตามคำสอนของหลวงพ่อฤาษี ท่านบอกไว้คือ พรหมวิหาร4 ครับซึ่งเป็นฐานสำคัญที่สุดของ ศีล5 ครับเพราะว่าหากมีพรหมวิหาร 4 เต็มแล้วศีลก็จะบริสุทธิ์ไปด้วยครับ ซึ่งส่งผลให้สมาธิทรงตัวแล้วก้าวหน้าครับ อนุโมทนาครับ
อย่าถึงกับตีเราหัวแตกก็แล้วกัน รู้ ก็บอกว่า รู้ ไม่รู้ ก็บอกว่า ไม่รู้ ไม่ใช่คนดื้อ ไหนล่ะ กาแฟ สงสัยต้องไปชงเอง กาแฟ สามช้อน น้ำร้อนเปล่าๆ ไม่ต้อง เอา น้ำตาล ครีม ใส่มา อยากกินกาแฟ ไม่ อยากกินสิ่งปรุงแต่ง
แม่มะนาวเจอหลายคนที่คิดอย่างคุณ Joonkung คือไม่อยากกลับมาเกิดอีก แม่มะนาวท่าจะแปลกคน คือไม่ว่าอะไร ถ้าต้องกลับมาเกิด แต่ขอแค่กลับมาเป็นคนที่มีจิตใจเหมือนเดิม ไม่ต่ำช้าเลวทรามเป็นภาระให้สังคมก็คงพอ เพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่หลุดไปได้ ทำดีเต็มทีในชีวิตนี้ คงเหมือนคนติด กทม. ถึงรถจะติด ควันพิษจะมาก แต่คิดว่ายังมีอะไรๆให้เราทำอีกเยอะ แม่มะนาวชอบมองดูผู้คน สิ่งต่างๆที่เขาทำ คล้ายนั่งดูละครจริงๆนะ แม่มะนาวก็แบบนี้ความคิดไม่ค่อยเหมือนใคร ยอมรับกับตัวเอง ไม่เคยแคร์ว่าใครจะมองแบบไหน เพราะถ้าจะให้บอก แบบศาสนาคริสต์ ก็คงจะบอกว่าพระเจ้าเข้าใจ
ที่ผมไม่อยากกลับมาเกิดอีกแล้วเพราะว่าผมเจอทุกข์แสนสาหัสเป็นจุดเปลี่ยนของผมอะครับ พอผมมาเจอคำสอนของหลวงพ่อฤาษีที่ท่านได้ยำอยู่เสมอว่าสิ่งที่ท่านสอนท่านไม่ได้คิดเองท่านเป็นผู้ถ่ายทอดคำสอนจากพระพุทธเจ้า ผมก็เริ่มปฏิบัติตามและเห็นจริงถึงทุกข์ตามที่พระพุทธองค์สอนผมเลยไม่อยากกลับมาเกิดแล้วครับ
คือแม่มะนาวเรียกไม่ถูกค่ะ ใช่อย่างที่คุณ Joonkung แม่มะนาวเวลาจะบริจาค หรือช่วยอะไร เคยถามใจตัวเองว่าหวังอะไรไหม ก็ตอบตัวเองได้อย่างจริงใจว่า ไม่เคยหวังอะไร แค่อยากช่วย เพราะการที่เราเคยลำบาก แล้วมีโอกาสยืนอยู่ในสังคมได้ด้วยตนเอง ก็เลยอยากช่วยคนอื่นให้มีโอกาสเช่นเดียวกับตัวเอง ก็แค่นั้น แม่มะนาวเคยบอกหลวงพี่ว่าอยากรวย ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ เวลาที่มองเห็นหมา หรือแมวจรจัด แล้วเศร้าอยากช่วย ที่บ้านมีแมวจร 4 ตัวที่สามารถเลี้ยงได้แค่นี้ เพราะใช้ทุนทรัพย์ พอควร ไม่ได้เลี้ยงอย่างขอไปที บางตัวก็ไม่ได้สวยอะไร เก็บมาเพราะทนสายตาที่มันเงยมองเราตอนเดินผ่านไม่ได้ ทุกวันนี้ต้องเดินหลบตา ไม่ใช่กับคนนะ กับแมว หมา ตัวน้อยๆที่วิ่งผ่าน ถ้ามีเงินมหาศาลจะเอาเงินไปสร้างที่อยู่ ให้พวกเขา เวลาฝนตก เอ..หมามันจะมีที่หลบไหม เวลาหนาว มันคงจะหนาว ไม่เหมือนเจ้า 7 ตัวที่บ้าน ที่กินอิ่มนอนอุ่น เพราะมีกรงกันยุง กันฝน กันหนาว บางทีนะ บางทีก็เคยคิดว่าสัตว์พวกนี้เคยเป็นคนเมื่อชาติก่อน แล้วทำไม่ดี เลยต้องมาเกิดอย่างนี้ แต่เอาเหอะ ช่วยได้ก็ช่วยตามกำลัง 5555 เพ้อไปใหญ่เลย
วางอยู่ข้างๆแล้วหลวงพี่ อาจไม่อร่อยเท่าไร เพราะเป็นคนไม่ทานกาแฟ แต่ทานโอเลี้ยง และชอบสูดกลิ่นหอมๆของกาแฟที่สุด
คุณแสงธูป เอาแต่วิ่งซนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องคอยดูแล เพราะหลวงพี่ท่านชราแล้ว ต้องคอยปัดฝุ่น ประคองเวลานั่งอาสน์ วันไหนนั่งเทศน์(แม่มะนาว)ยาวๆ อาสนะต้องตากแดดเพราะเหงื่อจะเยอะ หลวงพี่ต้องใช้พลังมากในการอธิบาย ให้แม่มะนาวที่สมองทึบ(เฉพาะเรื่องศาสนาเอง) ให้เข้าใจ อย่าลืมสูตรกาแฟ ด้วย ส่วน Joonkung เนื่องจากมาใหม่ดู พี่แสงธูปไปก่อน อิอิ
กาแฟสามช้อน ไม่น้ำตาลไม่ครีม ผมไม่ลืม พี่มะนาวเอาน่องไก่ชุบแป้งทอดมาฝากผมบ้างนะครับ ข้าวเหนียวกับแคบหมูทุกวันน้ำหนักชักลง อยากเปิดเพลง"สายชลแห่งชีวิต"(ชาญ เย็นแข) แต่หาในยูทูปไม่เจอ เลยเปลี่ยนใจเป็นเพลง "ม่านชีวิต"
นมัสการหลวงพี่ และสวัสดีเพื่อสมาชิก แฟนคลับกุฏิไม่ไผ่ ขอช่วยพิจารณา ประโยคนี้ให้หน่อยครับ “Science without religion is lame; religion without science is blind.” — Albert Einstein In paper 'Science, Philosophy and Religion', (Sep 1940).