แม่มะนาวไม่เข้าใจเรื่องการอุทิศส่วนกุศล การกรวดน้ำ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอก งั้นเวลาเราทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศล ไม่ถึงผู้รับหรือคะ
บางทีก็รู้สึกว่า ไม่ชอบความวุ่นวาย อยากอยู่เงียบๆ พออยู่ในที่เงียบๆ นานๆ เกิดเบื่อหน่ายขึ้นมา รู้สึกจืดชืด จึงหาเรื่องตื่นเต้นใส่ตัวซะงั้น
การทำบุญอุทิศส่วนกุศลนั้น ในเบื้องต้นคือตั้งจิตปรารถนาให้ผู้ที่เราอุทิศส่วนกุศลนั้นได้รับรู้ เพีงตั้งจิตด้วยใจมั่นคงแน่วแน่มีสมาธิ สิ่งนั้นก็ตกทอดไปถึงผู้ที่ได้รับ ที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกหมายถึงการกรวดน้ำ แต่เรื่องการตั้งจิตอุทิศส่วนกุศล เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การกรวดน้ำเป็นพิธีในทางพราหมณ์
แม่มะนาวดูในคลิปที่หลวงพี่ลง ดูแล้ว สับสน สับสน อ้ะค่ะ ให้ละนิวรณ์ทั้งห้า แล้วก็ยกคำพูดมา แม่มะนาวเป็นประเภทว่า ทำได้ หรือไม่ได้ ถ้าทำได้ควรทำยังไง แหมคนไม่ได้บวชอ้ะค่ะ อยากให้ตอบแบบตรงๆ จะได้ไม่งงไป งงมา ทำให้แม่มะนาวคิดไปเองว่าคงไม่สามารถทำได้ ถ้าหลวงพี่บอกว่า การแผ่บุญกุศลทำได้ ด้วยการตั้งจิตให้แน่วแน่มีสมาธิ ก็ยินดีละค่ะ ไม่อย่างนั้น เวลาที่พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรจะมีการร่วมสวดมนตร์ เพื่อแผ่บารมีให้ท่านกันทำไม แม่มะนาวก็เพิ่งเถียงไปกะคุณหลวง เธอบอกว่ากุศลที่เราส่งไปมีแต่เปรตที่รับได้ แม่มะนาวชักเคือง เลยเถียงว่า แล้วทำไมเกจิอาจารย์ระดับสูง ร่วมกันสวดเพื่อพระเจ้าอยู่หัวละ พระระดับนี้ท่านต้องรู้ดีแหละว่าถึงหรือไม่ถึง เฮ้อ คุยกันเรื่องนี้แล้วเถียงกันทุกที เธอก็บอกว่าเธอยังรู้น้อย ที่จริงแม่มะนาวว่าเธอพูดไม่เป็นน่ะ พูดทีไรโดนแม่มะนาวต้อนทุกที นอกเรื่อง ต่อจากมู้เจ๊ยุ แม่มะนาวไม่ชอบเมียทหารสไตล์นี้ จะเป็นประเภท สามีชั้นรุ่นนี้ ของเธอรุ่นไหน ชิ..เอารุ่นสามีมาเทียบ แน่จริงก็ต้องเอาตัวเองเทียบซิ แม่มะนาวละเจอมากะตัว เมียทหารไม่เคยเห็นแม่มะนาวมาก่อน เพราะไม่ชอบออกสังคมที่แม่มะนาวเรียกว่าสังคมเพ้อเจ้อ เขาถามว่าสามีเป็นใคร แม่มะนาวเลยตอบไปว่า สามีเป็นผู้พัน..... 5555 หล่อนเงียบไปเลย แล้วยังเคยนะคะสมัยจิ๋วขึ้นเป็น ผบ.ทบ. แหมตื่นตุ้นกันยกใหญ่ ก็ไม่เคยมีจากเหล่าเล็กมาก่อน มีการจัดงาน มีร้องเพลงด้วยนะแต่งสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ สำแดงโดยบรรดาแม่บ้าน แต่แม่มะนาวไม่ไป บอกคุณหลวงให้บอกเขาว่าภริยาไปดูงานประเทศนอก อิอิ แม่มะนาวแย่จังเนอะ
อาจารย์เราท่านหนึ่ง เคย พูดกับญาติโยมว่า "พวกนี้เวลา รับศีล หายหัวกันหมด แต่พอถึงเวลายถา สัพพี พรมน้ำมนต์ แย่งกันนั่งแถวหน้า หน้าสลอน" เอิ้กๆๆๆ
เข้ามาเผาเผือกช่วยภัณเตฯ คิกๆๆๆ... ... นิวรณ์5 ที่พระศาสดาให้ละก็คือ 1. "กาม" (ความเกี่ยวข้องในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ใจ) อันนี้แยกประเด็นดีๆนิดนุงขอรับ พระศาสดาตรัสว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมมารมณ์ใดๆที่มีอยู่ในโลกนั้น... หาใช่กามไม่... การเกี่ยวแล้ว ข้องแล้ว ยึดติดแล้วซึ่ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมมารมณ์ใดๆ นั่นคือกาม... หรืออีกแง่คือความยินดีใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมมารมณ์ใดๆขอรับ 2. "พยาบาท" (ความอาฆาตมาดร้าย, คิดเบียดเบียนผู้อื่น, เพ่งเล็งทรัพย์ผู้อื่นที่เขาไม่ได้ให้) ... หรืออีกแง่คือความยินร้ายใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมมารมณ์ใดๆขอรับ 3. "ความลังเลสงสัย" นั่นคือความสงสัยในธรรมพระศาสดาว่าสามารถทำให้หลุดพ้น พ้นทุกข์ได้จริงหรือ (จนนำมาซึ่งการกระทำ "สีลัพพตปรามาส" คือการไปศึกษา กระทำวัตรตามสมณพราหมณ์เหล่าอื่นที่ไม่ใช่คำสอนพระศาสดา) 4. "ความเกียจคร้าน" ความง่วงเหงาหาวนอน ความขี้เกียจ (จนนำไปสู่การผลัดวันประกันพรุ่ง) 5. "ความฟุ้งซ่าน" คือความคิดทางโลกใดๆที่วนเวียนอยู่ในสัญญา สังขารขอรับ นิวรณ์5 พระศาสดาตรัสเปรียบเหมือนน้ำที่ไหลลงมาตรงๆ แล้วเกิดแยกทางห้าสาย... นั่นทำให้ความแรงของกระแสน้ำนั้นลดทอนลง... เปรียบดังจิตที่มีนิวรณ์ร้อยรัดอยู่ จิตนั้นย่อมไม่มีกำลังที่จะกระทำการใดๆได้ขอรับ ... การแผ่เมตตาเป็นการทำทานอย่างหนึ่งที่มีอานิสงค์สูงกว่าการให้ทานวัตถุใดๆถูกแล้วขอรับ และการกรวดน้ำ... ไม่มีในพุทธบัญญัติขอรับ... พระศาสดาเองครั้งออกบิณฑบาต เมื่อพระองค์รับทานนั้นเสร็จ... ก็เดินจากไปแค่นั้น... ในส่วนของสงฆ์สาวก พระองค์ก็บัญญัติเรื่องการอนุโมทนา (หรือที่เราเรียกการให้ศีลให้พรนั่นแหละ) ว่า ให้สงฆ์สาวกกล่าวคำอนุโมทนา... ในที่ฉัน... ส่วนผลของทานนั้น... สำเร็จตั้งแต่เจตนาแล้ว... แต่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบกันเอง หรือเพราะพระก็ไม่รู้จึงไม่บอก หรือรู้แต่ไม่บอกเพราะเดี๋ยวนั่น โน่น นี่... ก็ว่ากันปายยยยยย... ... อานิสงค์การแผ่เมตตา พระศาสดาตรัสมากมายเหลือประมาณขอรับ... ไม่ใช่ได้แต่เปรต... อานิสงค์การแผ่เมตตาพระศาสดาตรัสไว้มีตั้ง 11 ประการ 1. หลับเป็นสุข 2. ตื่นเป็นสุข 3. ไม่ฝันร้าย 4. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย 5. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย 6. เทวดาย่อมรักษา 7. ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ไม่ล่วงเกิน 8. จิตได้สมาธิเร็ว 9. สีหน้าผ่องใส 10. ไม่หลงตาย 11. เมื่อยังไม่บรรลุธรรม ย่อมเข้าถึงพรหมโลกชั้นสูง ส่วนทานที่มีผลแก่เปรตนั่น... คงหมายถึงพระสูตรที่นางพรามณ์ผู้หนึ่งทูลถามพระศาสดาว่า การที่เขานำอาหารคาวหวานมาบูชากลางแจ้งเช่นนั้น ญาติของเขาที่ล่วงลับไปแล้วจะได้รับทานนี้หรือไม่... ... พระศาสดาตรัสว่า... หากญาติเธอไปเกิดเป็นเทวดา เทวดามีอาหารของเทวดา... ทานนี้ไม่ได้... หากญาติเธอไปเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีอาหารของมนุษย์... ทานนี้ก็ไม่ได้... หากญาติเธอไปเกิดเป็นเดรัจฉาน เดรัจฉานมีอาหารของเดรัจฉาน... ทานนี้ก็ไม่ได้... หากญาติเธอไปเกิดเป็นสัตว์นรก สัตว์นรกมีอาหารของสัตว์นรก... ทานนี้ก็ไม่ได้... หากญาติเธอไปเกิดเป็นเปรต... ทานนี้ก็ย่อมได้แก่ญาติของเธอนั้น... และตรัสสรุปปิดท้ายพระสูตรนี้ว่า สัตว์ใดๆในโลกที่ไม่มีญาติสักคนหนึ่งหลงเหลือเป็นเปรตนั้น... ไม่มี... หากพินาตามคำตรัสพระศาสดาเรื่องสังสารวัฏอันยาวไกลของหมู่สัตว์... นั่นก็คงเป็นเช่นนั้นแลขอรับ... ส่วนเรื่องเมียตะหาน เมียตะกวด... ไม่รับเผา โยนเผือกร้อนๆให้ภัณเตฯรับแทนนะขอรับ... เคี๊ยกๆๆๆๆ ฟิ้วววววววววววววววววววววว...
พระศาสดาตรัสถึงเรื่องกรรม... 1 กรรมไม่ได้เกิดจากผู้อื่นบันดาล 2 กรรมไม่ได้เกิดจากตัวเองบันดาล 3 กรรมไม่ได้เกิดจากทั้งตนเองและผู้อื่นบันดาล 4 กรรมไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ ... เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็น "กรรม"... ... ลัทธิที่กล่าวว่ากรรมไม่มี โลกนี้ โลกหน้าไม่มี... เป็นลัทธิที่ชั่วร้าย เลวทรามที่สุด... ... เหล่าเดียรถีย์กล่าวว่า กรรมเกิดจากพระเจ้าบันดาล พรหมบันดาล เทวดาบันดาล... พระศาสดาตรัสว่า หากเทพบันดาล หากพวกเธอไปฆ่าสัตว์ ไปลักทรัพย์ ไปประพฤติผิดในกาม... เทพเจ้าของพวกเธอทั้งหลายก็ไม่ดีล่ะสิ... เดียรถีย์ตอบไม่ได้... ... พระศาสดาตรัสถึงการเวียนเกิดเวียนตายของหมู่สัตว์ว่าเกิดแต่อวิชชา โดยมีกรรมเป็นดังมรดกติดตามไป ทำกรรมอย่างใดไว้ ย่อมต้องได้รับผลของกรรมนั้นๆ... ตราบยังไม่หลุดพ้นไปจากสังสารวัฏ... ... กรรมดำให้ผลดำ กรรมขาวให้ผลขาว กรรมไม่ดำไม่ขาว... ให้ผลคือความสิ้นกรรม... ... กายนี้คือกรรมเก่า การกระทำทางกาย วาจา ใจในปัจจุบันนั้นคือกรรมใหม่... ... การใคร่ครวญถึงที่สุดของกรรมเป็น "อจินไตย" เธอทั้งหลายจงอย่าพึงประมาณในบุคคลใด มีเพียงเราหรือผู้ที่เหมือนเราเท่านั้นจึงพึงประมาณบุคคลนั้นได้ เพราะพระศาสดาทรงเป็นสัพพัญญู ผู้มีฤทธิ์ใดๆก็รู้ถึงที่สุดแห่งกรรมนั้นๆเหมือนพระองค์นั้น เป็นฐานะที่เป็นไปไม่ได้ (พระพุทธเจ้าจะไม่อุบัติขึ้นมาซ้อนกันในโลกเดียวกัน เวลาเดียวกัน... ตราบธรรมของพระองค์ยังคงอยู่ในโลก, พิจารณาจากพระสูตรผู้ที่ทำได้ก็มีแต่ระดับอรหันตสัมมาสัมพุทธะเท่านั้น) ฯลฯ ลาภลอยที่ว่าก็เป็นได้ทั้งจากกรรมเก่า และกรรมใหม่นั่นแลขอรับ ถ้าพินาตามคำพระตถาคตขอรับ...
ขอบคุณครับท่านมหา คือชีวิตผมจะเวียนแปลก ๆ ตอนขาลงก็เลือดตาแทบกระเด็นแล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนมีเทพดลใจ ให้พลิกผันขึ้นมาแบบไม่คาดหมาย หลายรอบของชีวิตแล้ว เลยมานั่งมโนเอง ไหงชีวิตเราไม่ราบเรียบแบบคนอื่นหว่า
ทุกสรรพสัตว์ล้วนมีกรรมเป็นของตนๆขอรับ... ชีวิตกระพ๊มก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ราบเรียบ ราบรื่น... นั่นอาจเป็นเหตุปัจจัยให้กระพ๊มแสวงหาหนทาง "พ้นทุกข์" แรกเริ่มเดิมทีก็คงเหมือนหลายๆท่าน... สังฆทาน รดน้ำมนต์ บนบาน ไหว้หมูหมากาไก่ไปยันเจ้าที่ เจ้าเจี้ยวฯลฯ... สุดท้ายก็ทุกข์เหมือนเดิม ปัญหาชีวิตรุมเร้าก็หาทางออกแทบไม่ได้ จิตใจร้อนรนสับสนวุ่นวาย แต่ก็เหมือนยังมีวาสนา จะมีบางสิ่งเข้ามาโอบอุ้มให้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแทบทุกครั้งไป... จนได้พบพระอาจารย์ครั้งแรก... ทางทีวี... ... ตอนแรกฟังก็สนใจ แต่กว่าจะเข้าไปหาก็ร่วมๆปี ยังปฏิบัติตามแบบเดิมๆ ไปครั้งแรกซื้อของไปถวายสังฆทานยังเงอะๆงะๆ... ทำไมเค้าไม่ต้องสวดอะไรกันเลยเร๊อะ??? แล้วกรวดน้ำล่ะ??? เฮ้ย!!! ผู้หญิงถวายตรงกับมือท่านเลยเว้ย... !!! ฯลฯ ... พอเริ่มสดับรับฟัง เริ่มเปิดใจ เริ่มศึกษา เริ่มเห็น เริ่มเข้าใจ เริ่มอยากรู้ให้ลึกซึ้ง... เริ่มลงมือปฏิบัติ... สิ่งที่ได้รับ ได้สัมผัสมันไม่ผิดจากคำพระศาสดาแม้แต่คำเดียวขอรับ... วันนี้ทุกข์ทางโลกก็ยังรุมเร้า... แต่ใจกลับนิ่งเบากว่าเดิม... อย่างน้อยประหยัดเงินค่าดอกไม้ธูปเทียนไปเดือนละหลายร้อย ชีวิตไปตามปฏิปทา เรียบง่าย ไม่วุ่นวาย ไม่เยอะ... และเชื่อมั่นว่า... ที่แสวงหามาทั้งชีวิตเราได้พบแล้ว... เขื่อมั่นว่าดำเนินไปทางนี้แหละ... เจริญแน่นอน... ไม่วันใดก็วันหนึ่งขอรับ... แม้สุดท้ายจะไม่เหลือสมบัติทางโลกใดๆ... สมบัติอันเป็นอริยนี้จะมีติดตัวลูกหลานและครอบครัวกระพ๊มไปตลอดกาลตราบสิ้นทุกข์แน่นอน... นั่นคือความหวังสุดท้ายตอนนี้ขอรับ...
ขอบคุณท่านมหาวัชรเจ้าค่ะ ที่กรุณา เข้ามาช่วยอธิบาย พอให้เข้าใจมากขึ้น เรื่องพวกรี้แม่มะนาวช้าค่ะในการทำความเข้าใจ ที่สงสัยอะไรเลยต้องถามเพราะอยากเข้าใจ ให้ถ่องแท้ไม่ใช่แค่เปลือก ส่วนเรื่องตะหาน ตะกวด แม่มะนาวแอบมาบ่นอ้ะค่ะ มันอึดอัด อึดอัด คือไม่ชอบคนชอบเบ่งง่ะ รำคาญ กะลังหัดปลง ถือเป็นสิ่งนอกที่เข้ามารบกวน แหะแหะ
ดูกรราหุล ! เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่ จักละพยาบาทได้. เธอจงเจริญกรุณาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญกรุณาภาวนาอยู่ จักละวิหิงสาได้. เธอจงเจริญมุทิตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญมุทิตาภาวนาอยู่ จักละอรติได้. เธอจงเจริญอุเบกขาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอุเบกขาภาวนาอยู่ จักละปฏิฆะได้. เธอจงเจริญอสุภภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอสุภภาวนาอยู่ จักละราคะได้. เธอจงเจริญอนิจจสัญญาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอนิจจสัญญาภาวนาอยู่ จักละอัสมิมานะได้ เจอพระสูตรเกี่ยวกับการเจริญเมตตา, แผ่เมตตา พอดีขอรับ...
ขอบคุณค่ะ แต่ทำยากจัง ถ้าไม่ได้เห็นหน้าก็แล้วไป พอได้ยินเสียงหรือเห็นหน้า มันจะคอยแว๊บๆเป็นสายฟ้าทุกที
พระศาสดาตรัส... กระทำให้มาก กระทำบ่อย ทำให้เป็นนิสัย แล้วมันจะค่อยๆเคยชินไปเองขอรับ... ... กระพ๊มสมัยก่อนยอมใครที่ไหน แรงมา แรงไป ขับรถออกจากบ้านนี่ไม่โดนยิงตายมาจนบัดนี้ก็บุญนักหนาแล้วขอรับ เดี๋ยวนี้โดนเบียด... แล้วก็พยายามข่มจิตตามคำพระศาสดาตรัส... เมื่อเกิดอกุศลใดในจิต ต้องใช้ทุกวิถีทางดับอกุศลนั้นโดยเร็วที่สุด... ... แรกๆ... เอาไม่อยู่ ปาดมากรูปาดกลับ มองหน้าแจกกล้วยแม่มเร๊ย... พอนึกได้ ก็ละๆๆ นึกถึงคำพระศาสดาให้มากๆ บ่อยๆ ... ทุกวันนี้ ในรถมีแต่แผ่นคำสอนพระศาสดา เปิดฟังทุกวัน ในโทรศัพท์มีแต่ธรรมพระศาดา เปิดผ่านหูแทบทั้งวัน... ใครว่าฟังเพลงอะไร ก็ไม่สนใจ ฟังไปเรื่อย ฟังซ้ำๆ ฟังบ่อยๆ ขับรถใครปาดมา... ก็เบรค อย่างมากก็ด่าซะหน่อย แล้วก็ปล่อยมันไป มันเร็วขึ้น ดีขึ้นไปเองตามลำดับขอรับ ตามคำตรัสของพระศาสดาทุกประการ...
มาทำความสะอาดกุฏิให้เจ้าค่ะ "ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่" ไม่ใช่ทำดีได้ดี ไม่ตั้งความมุ่งหวังหมายมั่นเอาว่าจะได้จะเป็น จะเอาผลประโยชน์ตอบแทน ผลใดๆที่เกิดเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยแห่งความเป็นเช่นนั้นเอง อย่างนี้ จะไม่เป็นทุกข์ต่อตนเองและต่อผู้อื่น ไม่มีอกุศลจิตเบียดเบียนกันและกันได้เลย ไม่เห็นแก่ตัว แย่งยื้อถือครองส่วนเกิน ก่อให้เกิดช่องว่างทางชนชั้น ความยากจนครอบงำชนส่วนใหญ่ๆ ดิ้นรนหาข้าวของกิน ละเลยอบรมดูแล ลูกหลาน เยาวชนหลงทาง กระทำต่างๆอย่างน่าสงสารยิ่งแล้วในขณะนี้ จึงจงรีบเสียสละระบอบทุนนิยมเสรี ประกาศรัฐธรรมนูญ แนวทางธรรมิกสังคมนิยมเถิด เรื่องนี้แม่มะนาวลงในบ้านดินเหนียวเหมือนกัน แต่เอามาลงในนี้ด้วย หลวงพี่คะ "ธรรมิกสังคมนิยม" คืออะไรคะ พอใจว่าคงเกี่ยวกับธรรมะ แต่แม่มะนาวอยากให้ชัดเจนกว่านี้ หมายถึงความเข้าใจอ้ะค่ะ
ไม่ได้เข้าที่กุฏิเสียนาน ตอบคำถามนะ "ธรรมิกสังคมนิยม" แนวความคิดท่านพุทธทาส คือ การปกครองที่ไม่เห็นแก่ตัวประกอบไปด้วยธรรมะ ถ้ามีโอกาส ให้หาเรื่อง "ธัมมิกสังคมนิยม ของท่านพุทธทาส มาอ่านดู
ถ้าพูดในทางโลกของแม่มะนาว คงเป็นโลกที่เรียกว่ายูโธเปียมังคะ (เรียนสมัยปี ๑) หนังสือ ๑๐๐ คำคมธรรมะ ของท่านพุทธทาส แม่มะนาวซื้อมาตอนไปยุวพุทธแหละเจ้าค่ะ และที่แม่มะนาวค้างคาอยู่ในใจคือ บางทีที่มีคนยกคำของท่านพุทธทาส หรือ อ่านเจอเอง ทำไมถึงได้ร่วมสมัยกับปัจจุบันจริงๆ ขอบพระคุณหลวงพี่เจ้าค่ะ ป่านนี้หลวงพี่คงจำวัดแล้ว กราบลาเจ้าค่ะ แม่มะนาว
ไม่ได้เข้ามาเสียนาน มีโยมมาเฝ้าและทำความสะอาดให้ ขอบใจเป็นหนักหนา ชีวิตเกิดมามีอะไรที่แน่นอน เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ สลับกันไป วันเวลาที่ผ่านไปอย่างไม่หยุดยั้งทำให้เราได้คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นและเคยมีมาในชีวิต เป(็นสิ่งที่ไม่มีความแน่นอนอะไรเลย บางครั้งอาจยิ้มทั้งๆที่ในใจมีความทุกข์ บางครั้งอาจร้องไห้ทั้งๆที่กำลังมีความสุข อะไร คือความหมายที่แน่นอนของคำว่า "ชีวิต" รอ...... หาคำตอบ.......ค้นคว้า........ ไม่มีแก่นสารอะไรเลย
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นเราเห็นโรงละครของโลก ทางตามีอารมณ์เป็นตัวละคร แล้วก็กลับเข้าโรง นั่นคือการกลับเป็นภวังค์ แล้วตัวละครหรืออารมณ์อื่นก็ออกมา สลับกันอย่างนี้เรื่อยไป เมื่อเราหลับตาลง โรงละครนั้นจะไม่มีปรากฏ นั่นคือขณะที่เป็นภวังค์ เมื่อพิจารณาอยู่อย่างนี้ เราจะละหรือจะติดในตัวละครนั้น นี่คือโลกทางตา ส่วนทาง อื่นๆ ก็โดยนัยเดียวกัน (-ข้อความที่คัดลอกมา)
กฏธรรมดาของโลก ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราก็ถือว่าช่างมัน ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง วันนี้ก่อนที่จะศึกษาอย่างอื่นก็ให้นึกถึงกฏธรรมดาไว้เป็นสำคัญ กฏธรรมดาสำหรับเรานั่นก็คือ ...๑. ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ๒. ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ ๓. มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ ๔. โสกปริเทวทุกขโทมนัส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ๕. ความพลัดพราก จากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีอารมณ์ขัดข้องหรือมีความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า เราเกิดมาเพื่อประสบกับทุกข์ คนที่เกิดมาแล้วทุกคนที่จะไม่มีทุกข์ ไม่มี ถ้าหากว่าเรายังยึดถือร่างกายเป็นของเรา ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นของเรา อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด เกิดเพราะว่าจิตเราเกาะ ที่เรียกว่าอุปาทาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โลกธรรมทั้ง ๘ ประการ คือ มีลาภ-ดีใจ ลาภสลายตัวไป-เสียใจ มียศ-ดีใจ ยศสลายตัวไป-เสียใจ มีความสุขในกามสุข-ดีใจ ความสุขหมดไป-ร้อนใจ ได้รับคำนินทา-เดือดร้อน ได้รับคำสรรเสริญ-มีสุข นี่ก็ถือว่าเป็นอารมณ์ของอุปาทาน สร้างความทุกข์ สร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นกับเรา ● ทำอย่างไรเราจึงจะพ้นทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำให้พวกเราถือว่า ใช้อารมณ์คิดอยู่เสมอว่า กฏนี้เป็นกฏธรรมดาของโลก ที่เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงมันไปได้ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราก็ถือว่าช่างมัน ตามศัพย์ภาษาบาลีท่านเรียกว่า ขันติ ความอดทน ถ้าใช้คำว่าอดทนเข้าใจยาก ใช้ภาษาไทยธรรมดาดีกว่า ว่ามันจะเกิดขึ้นมาประเภทไหนก็ช่างมัน หากผู้ใดเห็นทุกข์ดังนี้แล้วก็ขึ้นว่าผู้นั้นเห็นทางแห่งนิพพาน
ขอฝากตัวดัวยนะครับหลวงน้า ผมกำลังปฏิบัติเพื่อตัดสังโยชน์10 ให้ได้เหมือนกันครับ เพื่อจะได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเอกันตบรมสุข ตามแนวทางแห่งพระศาสดา องค์พระประทีบแก้ว พระสัมาสัมพุทธเจ้า