"เช้านี้มีโยมมาถามว่าเมื่อวานที่ไปอนุโมทนากฐิน วัดนั้นได้เท่าไร เราตอบไม่รู้ ก็พูดอีกว่า วันนั้นได้เท่านี้ วัดนี้ได้เท่านั้น แสดงว่า เขามีบารมี เราเลยถามกลับไปว่า บารมีของพระวัดกันที่ปัจจัยเข้าวัดกันเหรอ ไม่ได้วัดกันที่ธรรมปฏิบัติเหรอ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเราไม่มีบารมี และ อีกอย่าง กฐิน สำหรับพระแล้ว มีความสำคัญแค่ผ้ากฐินกับการอนุญาต 4 อย่างเท่านั้น และต่อไปไม่ต้องมาบอกเราว่า ใครได้ปัจจัยเท่าไร เราไม่ชอบฟัง เพราะเรามาบวชเพื่อสงบระงับไม่ได้มาบวชเพื่อแสดงบารมีหรือโลภะ บารมีธรรมอยู่กับตัวได้นานกว่าบารมีทางวัตถุ"
แม่มะนาวก็ถามตัวเองอยู่เหมือนกันค่ะ รู้ว่ามันหนักก็ยังจะแบกเอาไว้ ส่วนหนึ่งของใจ ไม่กล้าโยน กลัวของที่แบกจะแตกหัก บางทีการแตกหัก ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ คิดได้แล้วค่ะ ว่าจะวางมันอย่างไร ให้กระเทือนน้อยที่สุด และเราก็ยังเป็นตัวของตัวเอง อ่านโน่นอ่านนี่ เก็บเล็กผสมน้อย เหมือนชงกาแฟมังคะ ใส่ความตั้งใจ สามช้อน น้ำร้อนๆ จากความจริงใจ
อธิบายง่าย ที่ว่าตัดสินผู้อื่นจากพฤติกรรมของเขา ดูจากความชอบไม่ชอบสิ่งที่เขาทำไง เมื่อเขาทำหรือพูดในสิ่งที่ตัวเราชอบ ก็ว่าเขาดี ทำในสิ่งที่ตัวเราไม่ชอบ ก็คิดว่าคนนั้นๆ ไม่ดี ทั้งๆที่ สิ่งที่ตัวเองไม่ชอบอาจเป็นสิ่งที่ถูกต้องก็ได้ ส่วน ตัดสินตัวเองจากเจตนาของเรา คือ เมื่อทำอะไรลงไปแล้ว คิดว่า เราทำไปด้วยเจตนาดี น่าจะเป็นผลดี แต่อาจเป็นสิ่งที่ผู้อื่นไม่ต้องการ ตัวอย่าง เราเห็นคนนั่งอยู่ ยกจานข้าวไปให้ แต่เขาไม่รับเพราะอาจยังอิ่มอยู่ หรือกินอะไรไม่ลง เราก็ไปโทษว่า ทำไมเราหวังดีทำไมถึงไม่เห็นเจตนาดี