ผมอ่านและดูคลิปแล้วรู้สึกว่า ทูตอเมริกาหน้าแหกมากกว่านะ เพราะมาพูดกับสื่อ โดยนำข้อความที่ไม่มีในการหารือมาพูด จนสุดท้ายคงรู้สึกตัวว่าพลาดเลยรีบแก้ตัวว่า ไม่ได้ประนาม ต้องชมท่านดอน ที่แก้เกมส์ได้ดีครับ หากเป็นไอ้คนผมน้อยแบบที่ลุงตู่ว่า มันจะมีปัญญาทำอะไรได้บ้างไหม ?
ผมมองว่า เรื่องที่เรากำลังพูดวิพากษ์วิจารณ์กันนี่ เราดูจากข่าวทั้งนั้น ผมเองก็ดูจากข่าวและก็เดาเอาว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนที่ผมแสดงความเห็นแรกไปนั่นแหละ แต่พอไปดูข่าวจากหลาย ๆ แหล่ง มันก็ใกล้เคียงแม้จะไม่ถูกทั้งหมด ไอ้ที่เดาผิดก็คือผมเดาว่าท่านดอน ให้ทูตสหรัฐเอาเอกสารมาอ่านเพื่อให้นักข่าวเข้าใจว่าไม่ใช่การประณาม แต่ดูจากแหล่งข่าวอื่น ๆ แล้วปรากฎว่าทูตสหรัฐงัดเอกสารขึ้นมาอ่านเอง แต่ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ คือหลังจากที่เขาหารือกันแล้ว ก็ออกมาแถลงร่วมกันแล้วก็เปิดโอกาสให้นักข่าวซักถาม นักข่าวก็ถามประเด็นประณามนี่แหละ ทำนองว่า "สรุปแล้วสหรัฐออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทยที่ไปจับบุคคลในประเทศ (คงจะหมายถึงพวกป่วนนั่นแหละ) หรือเปล่า" ทูตสหรัฐก็ตอบแบบทูตนั่นแหละ คือแทนที่จะตอบตรงไปตรงมาว่า "เปล่าไม่ได้ประณาม" แกก็ควักเอาโพยที่สหรัฐออกแถลงการณ์ขึ้นมาอ่านโดยโปรยหัวว่า "เราขอย้ำจุดยืนที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเคยระบุว่า สหรัฐไม่สบายใจและกังวลกับการ... ที่ผม .... คือเนื้อหาในแถลงการณ์ว่าเรื่องอะไรบ้าง (ผมขี้เกียจลอกมา) แล้วเขาก็ลงท้ายว่า "สหรัฐไม่ได้เอ่ยคำว่า "ประณาม" จริงตามที่กระทรวงการต่างประเทศไทยปฏิเสธ เท่าที่ผมพยายามดูจากแหล่งข่าวต่าง ๆ สาระมันก็น่าจะมีอยู่แค่นี้แหละ แต่ถ้าจะดราม่า ก็ดราม่าได้เยอะครับ เช่นมันไม่ให้เกียรติ มันฉวยโอกาส มันฉีกหน้า ก็แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะเป็นเรื่องที่ต่างคนต่างคิด ผมมีข้อสังเกตุอย่างนี้ครับ เรื่องนี้สื่อหลัก ๆ ไม่ค่อยให้ความสำคัญเพราะมีข่าวน้อยมากต้องเอามาปะติดปะต่อกันหลายแหล่ง นายกตู่ ก็เฉย กระทรวงการต่างประเทศก็เฉย สรุปง่าย ๆ ก็คือ เฉยทั้งรัฐบาล ผมเลยคิดว่าที่เขาเฉย เพราะมันไม่มีประเด็นให้เต้น แต่ที่เต้นกันอยู่นี่ มันเป็นการเต้นในหมู่ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ถ้าถามว่าเต้นกันทำไม ผมว่าคำตอบก็น่าจะเป็นข่าวในลักษณะของว๊อยทีวี ที่เลอร์คู เอามาลงนั่นแหละ ผมอ่านดูแล้วครับ ข่าวจริงก็เหมือนสื่อหลักนั่นแหละมีประมาณ 10 - 20 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นก็ดราม่าล้วน ๆ เหมือนพยายามชี้นำให้มันเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ แต่ผมคิดว่าตอนนี้มันได้ผลแล้วครับ เพราะบรรดาเซเลบหลายคนเริ่มออกมาแสดงความคิดเห็นแล้ว บางคนถึงกับบอกว่ามีการแย่งไมค์กันอีกต่างหาก ผมว่า สื่อหลัก ๆ ไม่เล่นข่าวนี้มาแต่แรก แต่ถ้ากระแสในอินเตอร์เน็ตเริ่มกว้างขึ้น สื่อหลักก็คงจับเอาไปเล่นด้วยตามสไตล์สื่อไทยแหละครับ และมันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะดราม่ากันไปในทิศทางใด
ผมไม่เข้าใจทำไมเราต้องทนคบกับเพื่อนที่คอยกัดกินเราตลอดเวลา เพื่อนดีๆมีมากไปต้องฝืนสร้างสัมพันธ์แล้วให้มันมาไล่งับหางเราตลอด จนแทบจะตกเป็นเบี้ยล่างมันอยู่แล้วทำเหมือนเราเป็นเมืองขึ้นของมันมันสั่งซ้ายหันขวาหันก็ต้องทำ ยกเลิกประมูลบ่อนํ้ามันไปซะให้ประเทศอื่นทำแทนให้มันผูกขาดอยู่ได้ อยากรู้จังถ้าแผนที่โลกไม่มีอเมริกาสักประเทศเราจะตายไม๊...!!!
ผมว่าถ้าเรามองว่าต้องทน มันก็จะรู้สึกกดดันตัวเราเองเหมือนเป็นลูกไล่เขา แต่ผมคิดว่ารัฐบาลเขาไม่ได้ทนนะ แต่เขาไม่แคร์มากกว่า ถ้ารัฐบาลอยู่ในภาวะทนจะถูกรุกไล่มากกว่านี้เยอะ แบบชี้ไม้เป็นนกชี้นกเป็นไม้เลยก็ว่าได้ แต่การที่เขาจะแสดงออกอะไรมันมีผลไปทั่วโลก บางครั้งเราก็เลยมองเหมือนว่าทน ถ้าเราลำดับเรื่องให้ดี จะเห็นว่า เรื่องนี้เกิดจากภายในของเราเองแท้ ๆ ไม่ได้เกิดจากสหรัฐ เหตุมันก็คือพวกที่ถูกจับไปร้อง อาจารย์มหาวิทยาลัยไปร้อง สื่อมวลชนออกมาเรียกร้องขอเสรีภาพ เราคิดดูก็แล้วกันว่า สภาพการปกครองของไทยจะเหลืออะไรอยู่ในสายตาชาวโลก เพราะฉะนั้นมันจึงไม่แปลกที่กระทรวงการต่างประเทศของเราจะรู้สึกกังวลว่าเราถูกสหรัฐประณามตามที่สื่อต่างประเทศลงข่าว แต่เมื่อเขาตรวจสอบแล้วว่าไม่ใช่ เขาก็แถลงปฏิเสธไป แต่เมื่อปฏิเสธไปแล้วปัญหามันยังไม่หมด เพราะสื่อไทยบางจำพวก และคนไทยบางจากพวกยังพยายามขยายผลต่อว่าสหรัฐประณามไทย ถ้าอ่านจากข่าวของว๊อยทีวีจะเห็นชัดครับ ทูตสหรัฐพูดชัดเจนว่าไม่ได้ประณาม ว๊อยทีวีดิ้นต่อไม่ได้เลยยอมรับว่ากระทรวงต่างประเทศของเราพูดจริงเรื่องเดียวว่าเขาไม่ได้ประณาม นอกนั้นสหรัฐไม่ได้ยอมรับว่าเป็นความจริง ดูมันตะแบงซี เขาชี้แจงตอบโต้สื่อสหรัฐ แต่ดันเอาเรื่องที่สหรัฐแสดงความกังวลมาอ้างว่าเขาไม่ยอมรับ เพราะฉะนั้นพอทูตสหรัฐเอาแถลงการณ์มาอ่าน ท่านดอนก็เลยพูดต่อว่าเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในประเด็นหารือนะ ความหมายมันก็คือเรื่องนี้ยังไม่ได้คุยกันนะนั่นแหละ แต่ถ้าคนมันจะบิดเบือนมันก็บิดเบือนไปได้เรื่อยนั่นแหละ ความเห็นของผมก็คือ ถ้าเราถลำเข้าไปมาก มันก็เหมือนไปเดินตามที่ สื่อบางจำพวก คนบางจำพวกต้องการนั่นแหละ ด่าแต่พอหอมปากหอมคอก็พอ แต่บอกตรง ๆ ว่า เห็นพวกเซเลบออกมาโต้แล้วไม่ค่อยสบายใจ เราด่ากับเลอร์คูอยู่ในนี้มันก็อยู่ในนี้แหละ แต่พวกเซเลบเขามีอิทธิพลและความน่าเชื่อถือมากกว่าเรา ถ้ามันบานปลายไปแล้วมองไม่ออกเหมือนกันว่าประเทศจะไปยังไงต่อ
ที่จริงคนหน้าแหกอันดับหนึ่งก็อเมริกานี่ไงครับ ประเทศอื่นๆที่ประท้วงบ้าง พอเจรจาพูดคุยกัน มีสัญญามีประโยชน์ร่วมกันร่วมมือกัน ก็จบไป มีแต่อเมริกานี่แหละไม่ได้อะไร ไม่รู้มาเจรจาหน้าโง่ยังไง การเมืองโง่แบบนี้เสียเปรียบให้จีน รัสเซียทุกทีไป แล้วยังขยันโง่มาตื๊ออยู่ได้ โผล่หน้ามาทีมีคนบอกที กูไม่ใช่เพื่อนมึง และที่จริงกว่านั้นหน้าด้านอันดับหนึ่ง ก็ไอ้พวกชาติชั่วขายชาติ ที่มันปลิ้นปล้อนขยายความในทางชั่วๆนี่ไง เอาเฮอะยิ่งพูดไปมันยิ่งโง่เปิดเผยตัวมัน เอาซี เอาอีก อย่าให้มันหยุดพูด มันไม่โง่ จะเรียกมันควายเหรอ
ในการไปชี้เเจงเรื่องสิทธิมนุษยชนของที่มไทยเเลนด์นำโดยปลัดกระทรวงยุติธรรมเเละผู้เเทนกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้ผลดีเกินคาด เรียกได้ว่าประสพความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม เมื่อเทียบกับอีกหลายชาติรวมถึงชาติมหาอำนาจ ที่ปากพร่ำประชาธิปไตยเเต่ก็เจอข้อหาละเมิดสิทธมนุษยชนเพียบ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา หรืออีกหลายสิบประเทศที่ถูกตั้งประเด็นเป็นร้อยหรือบางประเทศเป็นหลายร้อยประเด็นด้วยซ้ำ บางประเทศไม่สนใจชี้เเจง ขณะที่บางประเทศก็ชี้เเจงไม่ได้นับสิบนับร้อยประเด็น ต่างกับไทยไม่ได้อยู่ในลิสท์ท็อปเท็น หรือท็อปทเวนตี้ ในเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนเเรง ตามที่บางกลุ่มบางพวกพยายามสร้างข่าวให้ร้ายเเรงตามเเผนโลกล้อมประเทศด้วยซ้ำไป ที่สำคัญหลังการชี้เเจงของฝ่ายไทยเสร็จสิ้นอย่างกระจ่างชัด หลายคนในนั้นลุกขึ้นเเละเดินมาชื่นชมให้กำลังใจทีมประเทศไทยเเละคนไทยด้วยครับ สมชาย เเสวงการ รองประธานกรรมาธิการ การต่างประเทศ สนช ชัดเจนครับว่าชี้แจงกันเป็นสิบๆประเทศ ควายแดงกับสื่อหน้าด้านบางพวก เจาะจงสร้างข่าวร้ายเฉพาะไทย
@ข้อมูลที่ได้รับคำชมจากที่ประชุมUPR "ในช่วงการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยภายใต้กระบวนการ Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ ๒ ระหว่างการประชุมคณะทำงาน UPR สมัยที่ ๒๕ เมื่อวันที่่ ๑๑ พ.ค. ๒๕๕๙ ที่นครเจนีวา กว่า ๑๐๒ ประเทศ ได้แสดงความเห็นและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนแก่ประเทศไทย โดยหลายประเทศได้ชื่นชมไทยเรื่องการพยายามยึดมั่นในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม และประชาธิปไตย รวมทั้งความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการนำเสนอรายงานตามกลไก UPR รอบที่ ๑ เมื่อปี ๒๕๕๔ จนทำให้เกิดผลลัพธ์และความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมในหลาย ๆ ด้าน ในช่วง ๔ ปีครึ่งที่ผ่านมา ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่ไทยได้รับความชื่นชม ประกอบด้วย 1. กระบวนการจัดทำรายงานที่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคประชาสังคม 2. การจัดทำแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ ซึ่งได้รวมข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการนำเสนอรายงานประเทศตามกลไก UPR รอบที่ ๑ ส่งผลให้สามารถปฏิบัติตามข้อเสนอแนะอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 3. การดำเนินการเพื่อขจัดความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ การมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี ซึ่งส่งผลให้ไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) หลายประการ 4. การตราหรือแก้ไขกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ร.บ. กองทุนยุติธรรม พ.ร.บ. ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ร.บ. คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 3) และ พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ว่าด้วยสื่อลามกอนาจารเด็ก ตลอดจนการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายถูกบังคับ และการศึกษาความเป็นไปได้ในการยกเลิกโทษประหารชีวิต 5. การให้สัตยาบันและการถอนข้อสงวนต่อตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนหลายฉบับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้สัตยาบันอนุสัญญาอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร และพิธีสารเลือกรับว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก เป็นต้น 6. การดำเนินการปราบปรามการค้ามนุษย์และแรงงานบังคับอย่างจริงจัง และการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย 7. การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของกลุ่มเปราะบาง (เด็ก สตรี ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และกลุ่มชาติพันธุ์) เช่น การขจัดความรุนแรงต่อเด็กและสตรี การลดอัตราการเสียชีวิตของแม่และทารกแรกเกิด การจดทะเบียนเกิดให้แก่เด็กทุกคนที่เกิดในประเทศไทย การจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม (OSCC) การส่งเสริมบทบาทสตรี 8. การส่งเสริมการเข้าถึงบริการสาธารณะต่างๆ ผ่านนโยบายการศึกษาถ้วนหน้า และนโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้า 9. หลายประเทศแสดงความชื่นชมต่อบทบาทนำด้านสิทธิมนุษยชนของไทยในระดับภูมิภาคและการให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันกับกลไกสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เช่น คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน 10. การเสริมสร้างความตระหนักรู้ด้านสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง และการสนับสนุนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความช่วยเหลือทางวิชาการระหว่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ 11. ความช่วยเหลือและความคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชนของไทยแก่คนต่างชาติ เช่น แรงงานต่างด้าว (โดยเฉพาะนโยบายการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว และการจัดทำ MOU ว่าด้วยความร่วมมือด้าน การจ้างแรงงานกับประเทศเพื่อนบ้าน) ผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ (เช่น การจัดประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย ๒ ครั้ง) และการดูแลผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาร์" เอ้า ใครหน้าแหกหว่าเฮ่ย
อย่าห่วงบ้านคนอื่นนักไอ้เกลน บ้านเมริงตำรวจผิวเผือกกระทืบคนผิวดำยังมีให้เห็นประจำ เมริงไปมุดอยู่รูไหน ลองคอมเมนท์หน่อยสิ
... ทั้งนี้ ในภาพรวมประเทศไทยได้รับข้อเสนอแนะจากประเทศสมาชิก จำนวน 249 ข้อ โดยประเทศไทยตอบรับทันที จำนวน 181 ข้อ และขอนำกลับมาพิจารณารวมทั้งขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี จำนวน 68 ข้อ ... เพื่อจะได้แจ้งต่อที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 33 ทราบต่อไป ในเดือนกันยายน 2559 http://www.thaigov.go.th/…/103153-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%… ... สิ่งที่น่าสนใจคือ ประเทศ "สหรัฐอเมริกา" ได้รับข้อเสนอจากที่ประชุมมากถึง 349 ข้อ ตอบรับทันที 150 ข้อ รับไปพิจารณา 193 ข้อ? http://prachachat.net/news_detail.php?newsid=1463299563 เอ้าเฮ่ย จะอ้าปากพูดอะไร เอามือปิดตูดกันตดไว้หน่อยนะ หรือว่าหน้าแหกถึงตูด พูดก็เหม็นเหมือนตด
เรามีคนจำนวนไม่น้อยที่ขยันเอาเกียรติศักดิ์ศรีของชาติไปเร่ขาย แต่ยังมีคนไทยที่มีจิตใจเป็นไทยแท้ๆคอยปกป้องเกียรติภูมิของชาติ ซึ่งคงต้องทำต่อเนื่องเพราะคนไทยที่เห่อฝรั่งตาน้ำข้าวพวกนี้ขาดจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีอย่างถาวร
มาดู ลุงตู่พูดถึงเรื่องนี้กันครับ "เราคือใคร เราคือประเทศไทย ไม่ใช่ผมหรือคุณหรอ คุณต้องทำด้วยก็แล้วแต่เขามอง คุณจะเอาอะไรนักหนา เป็นเมืองขึ้นเขาหรืออย่างไร แล้วผลลบกับเขามีไหม คนไทยเขาเกลียดขี้หน้าทุกคนอยู่ขณะนี้ ผมต้องไปห้ามคนไทยอีก ถามว่ามีผลกระทบต่อนโยบายของเขาไหม" "พูดสิ ประจานแต่ประเทศตัวเองได้ยังไง เธอต้องช่วยฉันพูดตรงนี้ว่าประเทศอื่นเขาเกิดอะไรขึ้น ฉันพูดมันเสีย ไม่ได้ แต่สื่อพูดไม่เป็นไร จรรยาบรรณมีอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว ฉันพูดมันเสียหายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่คนๆ หนึ่งพูดทำไมต้องไปอะไรนักหนา เราก็ชี้แจงไป ไม่เข้าใจก็ช่วยไม่ได้ เรามีความสัมพันธ์กับทุกประเทศ ทำไมทุกประเทศก็แย่งกันมาประเทศไทย ผมไม่ได้เข้าข้างใคร ใครดีก็ดีด้วย ไม่ดีก็ต้องดูแลเขา ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้ใหญ่บ้าง แม้เป็นประเทศเล็กแต่ก็ต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ผมไม่ใช่เด็ก ที่จะมาทะเลาะ เรื่องไม่ใช่เรื่อง วันนี้จำกัดสิทธิสื่อไหม ถามสิ จำกัดตรงไหน เอาตัวไปขัง เรียกไปคุย ชี้แจงเขาสิ ที่เหลือมีความผิด เข้าสู่ศาล กระบวนการยุติธรรม ตอนอยู่เขาก็ไม่ได้ซ้อม มีหมอมาตรวจร่างกาย ผมทำขนาดนี้แล้วจะมาว่าผมได้อย่างไร ไปเป็นปากเป็นเสียงให้คนทำผิดได้อย่างไร" นายกฯ กล่าว http://www.naewna.com/politic/216022 ........................................................................................ รู้สึกภูมิใจ มีศักดิ์ศรีมากขึ้นที่เห็น คนเป็นผู้นำประเทศ ตัวแทนประเทศในส่วนต่างๆ แสดงออกถึง ความคิดเห็นที่ปกป้องประเทศ และก็หนักใจและเหนื่อยใจที่เห็น ผู้ที่เรียกตัวเองว่าสื่อฯ กลับไม่พยายามปกป้องศักดิ์ศรีของประเทศบ้างเลย กลับกันได้อ่านข่าวแปลของสื่อรัสเซียและจีน ที่หลายคนมองว่าเป็นกระบอกเสียงรัฐบาล ผมรู้สึกว่า น่าภาคภูมิใจกว่านะ ในการตอบโต้สื่อหรือประเทศที่พยายามทำลายชื่อเสียงของประเทศของพวกเขา
คนที่อ้างความเป็นชาติมากที่สุดคือชนชั้นนำโดยอ้างเพื่อให้ความชอบธรรมกับการกระทำที่ไม่ชอบธรรมของตน..รัฐบาลไม่ได้เท่ากับ ชาติ ชาติหมายถึงปชช.ทุกคน ส่วนรัฐบาลเป็นแค่คณะบุคคลที่ใช้อำนาจชั่วคราวแทนปชช. ผิดได้ วิจารณ์ได้ และต้องตรวจสอบได้
16 พ.ค.59 -- นายกฯ ชี้ ทูตสหรัฐ วิจารณ์ไทย เกิดผลลบต่อตัวเอง ลั่น ไทยเป็นประเทศเล็กต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ สุภาพบุรุษ ไม่ทะเลาะเรื่องไม่เป็นเรื่องนายกฯ ชี้ทูตสหรัฐ วิจารณ์ไทย เกิดผลลบต่อตัวเอง ไม่อยากทะเลาะเรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 16 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่ กลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย แสดงความกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยอย่างต่อเนื่องว่า เราคือใคร เราคือประเทศไทย ไม่ใช่ผมหรือคุณหรอ คุณต้องทำด้วยก็แล้วแต่เขามอง คุณจะเอาอะไรนักหนา เป็นเมืองขึ้นเขาหรืออย่างไร แล้วผลลบกับเขามีไหม คนไทยเขาเกลียดขี้หน้าทุกคนอยู่ขณะนี้ ผมต้องไปห้ามคนไทยอีก ถามว่ามีผลกระทบต่อนโยบายของเขาไหม เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่ทูตสหรัฐฯ พูดกับรัฐมนตรีต่างประเทศอีกอย่างหนึ่ง แต่พูดกับสื่ออีกอย่างหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทูตสหรัฐฯน่าจะเก็บข้อมูลจากสื่อ และไม่รู้ข้อเท็จจริงแล้วพูด เป็นการพูดด้วยหลักการประชาธิปไตยแบบสหรัฐ แต่เคยถามเขาไหมว่าประเทศเขาเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง "พูดสิ ประจานแต่ประเทศตัวเองได้ยังไง เธอต้องช่วยฉันพูดตรงนี้ว่าประเทศอื่นเขาเกิดอะไรขึ้น ฉันพูดมันเสีย ไม่ได้ แต่สื่อพูดไม่เป็นไร จรรยาบรรณมีอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว ฉันพูดมันเสียหายความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ แต่คนคนหนึ่งพูดทำไมต้องไปอะไรนักหนา เราก็ชี้แจงไป ไม่เข้าใจก็ช่วยไม่ได้ เรามีความสัมพันธ์กับทุกประเทศ ทำไมทุกประเทศก็แย่งกันมาประเทศไทย ผมไม่ได้เข้าข้างใคร ใครดีก็ดีด้วย ไม่ดีก็ต้องดูแลเขา ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้ใหญ่บ้าง แม้เป็นประเทศเล็กแต่ก็ต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ผมไม่ใช่เด็ก ที่จะมาทะเลาะ เรื่องไม่ใช่เรื่อง วันนี้จำกัดสิทธิสื่อไหม ถามสิ จำกัดตรงไหน เอาตัวไปขัง เรียกไปคุย ชี้แจงเขาสิ ที่เหลือมีความผิด เข้าสู่ศาล กระบวนการยุติธรรม ตอนอยู่เขาก็ไม่ได้ซ้อม มีหมอมาตรวจร่างกาย ผมทำขนาดนี้แล้วจะมาว่าผมได้อย่างไร ไปเป็นปากเป็นเสียงให้คนทำผิดได้อย่างไร " นายกฯ กล่าว เมื่อถามว่า สังเกตหรือไม่ว่าก่อนจะเดินทางไปต่างประเทศต้องมีเรื่องลักษณะนี้เกิดขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รู้อยู่แล้วจะถามทำไม ทุกเรื่องมีปัญหาหมด เพราะคนเหล่านี้ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ทุกอย่างมีสาเหตุทั้งสิ้น "พรุ่งนี้ผมไปรัสเซียไปกับพระ และแรงใจสนับสนุนผมซึ่งมีพอสมควร เขาหวังให้เขาทำอะไรให้เขา บางคนไม่ได้หวังอาจะสาปแช่งผมก็ไม่ว่า ถือว่าทำความดีไม่ต้องมีใครเห็น ไม่ต้องโฆษณา ผมไม่เคยรังเกียจสื่อ" นายกฯ กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สื่อมวลชนได้ถามถึงวัตถุมงคล ที่ได้รับจากท่านเจ้าคุณธงไชยในวันเดียวกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ตอบว่า พระผมมีเยอะอยู่แล้ว จากนั้นนายกฯได้ ปลดกระดุมเสื้อ เพื่อจะโชว์พระที่ห้อยอยู่ที่คอ ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งผู้สื่อข่าวส่งเสียง โอ้โห พร้อมกล่าวว่า พระของผมมีมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ตอนเป็นทหารก็ได้มาตลอด เช่น หลวงปู่ทวด แต่ไม่ได้นับว่าทั้งหมดกี่องค์ ผมไม่หนัก เพราะพระอยู่กับผม ในใจผมมีพระอยู่ ในใจมียิ่งกว่าพระประทานอีก
ไม่รู้นั่นคือรักชาติจนคลั่ง เหมือนประชากรควายเหลือง ในประเทศกะลาแถวนี้ไงงับ ต่อไปควายเหลืองคลั่งชาติมาก ก็จะเป็นแบบนั้น คนดีๆเตือนแล้วไม่ฟัง
คลั่งชาติมาก พี่หริ่มก็ไปตะโกนในโรงหนัง ไล่กัปตันอเมริกาออกจากโรงหนังบ้านเราก่อนเลยดีกว่า นี่ตัวพ่อเลยครับ ทูตแค่ตัวแทน กร๊ากๆๆๆ เควี่ยหริ่ม
http://www.matichon.co.th/news/139242 รำลึก 24 ปี พฤษภาประชาธรรม 2535 วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2559 ที่ห้องทับทิม โรงแรมรอยัล รัตนโกสินทร์ ราชดำเนิน โดย คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 กลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย และคณะทำงานถกแถลงร่างรัฐธรรมนูญ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี 1.สิทธิของประชาชนในเลือกผู้บริหารของตนเอง ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดเหมือนย้อนกลับไปก่่อนปีเหตุการณ์พฤษภา 35 2.สิทธิของประชาชนในการเข้าถึงทรัพยากรของตนเองล้วนแล้วมีการถดถอยทั้งสิ้น ประหนึ่งเหมือนเราจะต้องย้อนกลับไปว่า ประชาชนต้องเสียสละ การใช้สิทธิเสรีภาพเป็นอุปสรรคของการพัฒนา และให้ข้าราชการเป็นผู้ชี้ หากเป็นเช่นนี้เป็นถดถอยต่อสิ่งที่ประชาชนต่อสู้มา 3.ประชาชนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพได้อย่างไม่ถูกข่มขู่ ไม่ถูกคุกคาม หรือถูกกระทำ ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำคือต้องสานต่อเจตนารมณ์ และต่อยอดจากสิ่งที่สู้มาใน 2535 ข้อเรียกร้องส่วนตัวคือ 1.ประเทศจะต้องไม่กลับไปใช้รัฐธรรมนูญที่มีความถดถอยด้านสิทธิเสรีภาพมากกว่าปี 2535 เรามากันไกลแล้วและไม่มีเหตุผลที่จะต้องย้อนกลับไป แต่เราจะต้องทำให้ผู้มีอำนาจรู้ว่าประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ แม้ว่าจะมองว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นการทำให้ข้าราชการยุ่งยาก แต่นั่นคือการเป็นเจ้าของประเทศของประชาชน ดังนั้นผมจึงเป็นอีกเสียงว่าไม่มีเหตุผลที่จะจัดทำประชามติ หากประชาชนไม่มีสิทธิในการแสดงความเห็นและการรณรงค์ได้ และหากการแสดงความคิดเห็นจะต้องอยู่ในภาวะไม่แน่นอน หวาดกลัว การทำประชามติจะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ และสูญเปล่า
เย้ ปรองดองกันได้แล้ว ไม่โกรธแล้วฆาตกรกี่ศพไม่รู้ 555 แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือประชาชนคิดเองเป็น ไม่ต้องให้นักการเมืองมาบอก ไม่ว่าฝ่ายไหน
ขำครับ งั้นเลอคู ไม่ชอบคสช.ก็ไปตะโกนหน้าค่ายทหารซิครับ มาบ่นงอแงเป็นเด็กน้อยในนี้ทำไม หรือว่าไม่กล้าเพราะดีแต่พูด
น่าสงสารเลอคู ตัวเองไม่เคยจริงใจกับใคร ดูถูก รังเกียจความรักของคนอื่น เหมือนเด็กถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง น่าเศร้าเสียจริง
รมว.ต่างประเทศไม่ติดใจกรณีท่าทีของทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย ขอให้ทุกคนก้าวข้าม ข่าว 7 สี - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าทุกฝ่ายควรก้าวข้ามท่าทีของสหรัฐที่มีต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทย ขณะที่ในวันนี้คณะกรรมาธิการสภายุโรป เข้าหารือกับรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งไทยได้แจ้งถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์, สินค้าประมง พร้อมยื่นเรื่องเพื่อเข้าเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยมาตรการของรัฐเจ้าท่าเพื่อขจัดการทำประมงผิดกฎหมาย โดย "อียู" ย้ำว่าไทยยังเป็นเพื่อนและหุ้นส่วนสำคัญของ "อียู" พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ได้มอบให้ฝ่ายกฎหมาย ไปหาช่องทางด้านกฎหมาย เพื่อเปิดช่องให้พรรคการเมือง มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญได้ กกต.จัดอบรมครู ก.เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการออกเสียงประชามติ เพื่อนำไปเผยแพร่ให้แก่เครือข่ายต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง โดย กกต.มั่นใจมีประชาชนออกไปใช้สิทธิร้อยละ 80 ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ยังมั่นใจว่า กฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ให้สิทธิประชาชนอย่างเพียงพอในการแสดงความเห็น แต่ต้องยึดหลัก ไม่ปลุกระดม ข่มขู่ หรือใช้ถ้อยคำที่ก้าวร้าว
โอย…ตายๆๆๆๆ... นี่เตรียมฝากตัว เป็นขี้ข้า ล่วงหน้ากันเลยทีเดียวเชียว... ------------------------------- … ขอเปลี่ยนจาก "พลเมืองไทย" เป็น "ชาวไพร่ -นปช.เสื้อแดง" น่าจะตรงกว่า... มิควรเหมารวมเยี่ยงนั้น... เพราะ กรู ยังรักศักดิ์ศรีความเป็นไท ไม่ยอมเป็นขี้ข้า ของพวกนายทุน จ้อง ฮุบสมบัติ/ขาย ชาติ...
ไปอ่านใน bbc ไทยมามันบอกว่า ฝรั่งไม่เชื่อ คำชี้แจงของไทยล้วนเป็นเรื่องโกหก เพราะประจักษ์ชัดว่า ไม่มีเสรีภาพ ไม่มีเลือกตั่ง วิจารณรัฐบาลไม่ได้ วิจารณกฏหมายรัฐธรรมนุญไม่ได้ ประชาชนก่อม๊อบไม่ได้ จับประชาชนที่เห็นต่างไปกักขัง ไม่ใช้ศาลพลเรอนในการพิจารณาคดี ฝรั่งจึงมองว่า ไม่มีสิทธิมนุษย์ชน