กลุ่มประชาธิปไตยใหม่เคลื่อนจาก มธ.-อนุสาวรีย์ปชต. รำลึก 9 ปีรัฐประหาร 19 กันยา เมื่อเวลา 17.00 น. วันนี้ (19 กันยายน) กลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่และประชาชน รวมตัวกันเดินออกจากสนามฟุตบอล ธรรมศาสตร์ มุ่งหน้าไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เนื่องในการจัดกิจกรรมเดินระลึกถึงเหตุการณ์ 9 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งมีการร้องเพลงเพื่อมวลชนไปตลอดทาง พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเดินทางถึงถนนราชดำเนินขบวนได้ลงไปอยู่บริเวณถนน กินพื้นที่ 3 เลน บนถนนเหลือ 2 เลนให้รถวิ่งซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอให้กลุ่มผู้ร่วมเดินใช้เพียง 1 เลน เพื่อให้การจราจรเป็นไปตามปกติ เนื่องจากการจัดกิจกรรมไม่ได้มีการปิดถนนให้แต่อย่างใด ทางด้าน พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ซึ่งมารักษาดูแลความสงบเรียบร้อย กล่าวว่าเบื้องต้นผู้ชุมนุมที่มาร่วมเดินขบวนขณะนี้ถือว่าผิดกฎหมายแล้ว เนื่องจากเข้าข่ายการชุมนุมทำให้ได้รับความเดือดร้อนทางการจราจร และยังไม่มีการขออนุญาต จึงขอให้สื่อมวลชนช่วยแจ้งเตือนประชาชนที่จะเข้าร่วมกิจกรรมให้ทราบด้วย ขณะนี้จัดกำลังตำรวจที่ดูแลความเรียบร้อยกว่า200นายก่อนที่จะดำเนินการต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่และประชาชน ได้เดินทางมาบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ได้ทำการปราศรัยและระบุว่าจะอยู่ทำกิจกรรมบริเวณอนุสารีย์ประชาธิปไตย จนถึงเวลา 22.00 น. cr: http://news.sanook.com/1868502/
คนทำรัฐประหารตอนนั้นคือบิ๊กบัง แล้วเอ็งมาประท้วงกับคนอื่นทำไม แล้วเรื่องมันก็จบไปจนเลือกตั้งมาแล้ว จะขุดมาเพื่อ? รึจะบอกว่าสมัยปูก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย
ไหน ๆ คุณคนกลางก็จริตชอบทางนี้แล้ว ลองช่วยวิเคราะห์ให้ฟังหน่อยสิครับว่า ตั้งแต่ยุครัฐบาลปูแล้ว ทำไมคนกลุ่มนี้ชุมนุมแต่ละครั้งลาวาแดงน้อยลงทุกที
หากลุงนวมทองไม่ฆ่าตัวตายเอง ลุงนวมทองก็จะยังมีชีวิตอยู่ หากไม่มีรัฐประหารและลุงนวมทองไม่ฆ่าตัวตายเอง ชีวิตลุงนวมทองก็ยังจะลำบากขับแท็กซี่เหมือนเดิม ไม่ได้ดีขึ้น? หากไม่มีเสื้อแดงปี 53 ประชาชนก็จะไม่ตาย พ.อ. ร่มเกล้าก็จะยังมีชีวิตอยู่ (ตกลงปี 52 ไม่มีคนตายแล้วซิ่นะ?) และที่ผ่านมาอภิสิทธิ์ก็เป็นนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว... แต่ไม่ถูกใจเสื้อแดง
ไม่ได้อายเลยน๊ะเนี่ย เอาลุงนวมทองมาขายอีก ตอนตายไปอ้อนวอนขอศพเค้ามาแห่ เมียเค้าไม่เล่นด้วย ทุกวันนี้มีใครไปดูแลเค้ามั่งป่าว ทุเรศตาจริง ๆ ไอ้เวรจุดเนี่ย
“ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเดินทางถึงถนนราชดำเนินขบวนได้ลงไปอยู่บริเวณถนน กินพื้นที่ 3 เลน บนถนนเหลือ 2 เลนให้รถวิ่งซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอให้กลุ่มผู้ร่วมเดินใช้เพียง 1 เลน เพื่อให้การจราจรเป็นไปตามปกติ เนื่องจากการจัดกิจกรรมไม่ได้มีการปิดถนนให้แต่อย่างใด” “ขณะนี้จัดกำลังตำรวจที่ดูแลความเรียบร้อยกว่า200นายก่อนที่จะดำเนินการต่อไป” ข่าวว่า มากันหลัก 10 จะให้ปิดถนนเลยหรอครับ แล้วตำรวจมากัน 200 นาย มายืนบังแดดให้ผู้ชุมนุมกันหรือ
สรุปว่าเผด็จการไทยชั่วร้ายสุดๆต้องต่อต้าน นักการเมืองทุจริตคอรัปชั่นกรูไม่สน เพราะจบงานนี้กรูก็จะได้ไปเมืองนอกหรือเบนเข็มเป็นนักการเมืองผู้มีอำนาจ
หมาจุดน่าจะขอบคุณรัฐประหารนะ ถ้าไม่มีรัฐประหาร หมาจุดคงไม่รวย จนส่งลูกไปเรียนเมืองนอกได้หรอก และแกนนำเสื้อแดงก็น่าจะขอบคุณรัฐประหารด้วย ที่ทำให้หลายๆ คน รวยเอา รวยเอา
ปี2475นายปรีดีและพวกใช้อำนาจเผด็จบังคับปล้นอำนาจมาจากระบอบกษัตริย์เหมิอนกันกัน83ปีผ่านไปไอ้พวกที่รํ่าหาความเท่าเทียมกันของสังคมมันเหลือเศษซากอะไรเอาไว้บ้างนอกจากความล้มเหลวสร้างความแตกแยกการแก่งแย้งชิงดีชิงเด่นในอำนาจระบอบพวกมากลากไปสะสมแต่ปัญหาไม่รู้จักจบสิ้น 83ปีพวกประชาธิปไตยเสพย์สมยังไม่พอใช่ไม๊หรือว่ายังไม่สำเร็จความไคร่ที่แต่ความอยากอันไม่มีที่สิ้นสุด ประชาธิปไตยมันก็แค่บัตรไลน์เซ็นต์อนุญาติทำสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูกประชาธิปไตยมันก็แค่ยูนิฟอร์มตำรวจที่ใส่โดยโจร มีนักการเมืองคนใดที่อยู่ในคราบประชาธิปไตยแล้วมีอนุสรณ์สถานประกาศคุณงามความดีที่สร้างเอาให้คนรุ่นหลังระลึกถึงบ้าง ประชาธิปไตยมันก็แค่เรื่องลวงโลกเอาไว้อ้างเอาไว้หลอกคนโง่ๆให้หลงเชื่อพวกนักการเมืองที่โหยหาชื่อเสียงกับอำนาจ ประชาธิปไตยมันก็แค่ร่างอวตารของทฤษฏีสมคบคิดเท่านั้น
ด้วยความเคารพนะครับ สมัยอาจารย์ปรีดียังไม่มี เสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อหลากสี เลยนะครับ เลยงงว่าเรื่องสีเสื้อเกี่ยวกับจารย์ปรีตรงไหน
Thomas Jefferson ท่านพูดถึงคนกลางไว้ด้วยนะครับ "............................................................................ Nothing on earth can help the man with the wrong mental attitude." ภูมิใจมั้ย?
ด้วยความเคารพ ท่านคนกลางครับสำหรับคนความรู้น้อยด้อยซึ่งปัญญาอย่างผมยังแยกไม่ออกหรอกครับเรื่องความยุติธรรมกับความอยุติธรรม ผมแยกแยะได้แค่ความชั่วกับความดีเท่านั้น
คนบ้ามันก็เพ้อไปได้เรื่อยๆ ไอ้ทองไม่ตายวันนั้น วันต่อมามันอาจผูกคอตายประชดทักษิณก็ได้ อย่ามโนให้มาก รักประชาธิปไตยมากแต่ไม่เคยไปเลือกตั้ง
(จ่า)นิว สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ : ครอบครัว ความคิด และนักกินฟรีในตำนาน Sat, 2015-02-21 01:17 ทวีศักดิ์ เกิดโภคา : สัมภาษณ์/เรียบเรียง คุยกับ(จ่า)นิว เด็กหัวเเข็ง และนักกินฟรีในตำนาน เผยชีวิตครอบครัว และภาพสังคมที่อยากเห็น นิว สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า จ่านิว เอาเข้าจริงเขาไม่ค่อยชอบให้คนเรียกแบบนี้เท่าไหร่ หลายคนรู้จักเขาในฐานะนักศึกษาหัวแข็งคนหนึ่ง ที่ชอบออกมาเรียกร้องประเด็นต่างๆ อาทิ ยกเลิกระบบรับน้อง ปฏิรูประบบการศึกษา และล่าสุดเรียกร้องการเลือกตั้ง จนถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. และชุมนุมเกิน 5 คน ซึ่งตอนนี้กำลังเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในศาลทหาร เขาเป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 4 เคยเป็นสมาชิกสภานักศึกษาช่วงปี 1-2 ก่อนจะออกมาสมัครนายกองค์การนักศึกษาช่วงปี 3 แต่แล้วก็เป็นไปตามที่เขาคาดคือ ไม่ชนะ จนถึงที่สุดมารวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ก่อตั้งกลุ่มสภาหน้าโดม ซึ่งเคยเป็นกลุ่มกิจกรรมของนักศึกษาธรรมศาสตร์ในช่วงก่อน 14 ตุลา 2516 กลับมาอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าสังคมเราต้องมีพื้นที่เพื่อให้คนออกมาแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยการถกเถียง ช่วงหลังมานี้เรารู้จักนิว ในภาพลักษณ์ของนักกิจกรรม ชอบออกมาประท้วงทั้งประเด็นในมหาวิทยาลัย ไปจนถึงประเด็นทางการเมืองระดับชาติ แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าเขาโตมาอย่างไร สังคมที่เขาอยากเห็นคือสังคมแบบไหน แล้วชีวิตในรั่้วมหาวิทยาลัยของเขาเป็นอย่างไรบ้าง เรามีแง่มุมเหล่านี้มานำเสนอ เพื่อที่อย่างน้อยเราจะได้รู้จักกับชีวิต ความคิด และตัวตนของเขามากขึ้น เขาปั่นจักรยานกลับมาจากอาคารเรียน รีบมาหาเราตามเวลานัด ช่วงบ่ายที่ไม่มีเรียน “ไม่ต้องห่วงพี่ ผมกินฟรีมาจากคณะสังวิทฯ แล้ว” นั่นเป็นคำตอบแรกที่ได้ยินจากเขา ย้ายบ้านเป็นว่าเล่น และขอเงินแม่แค่หลักร้อย “โอ้ยอย่าพูดเลยพี่ ผมนี่ย้ายบ้านบ่อยจะตาย หลักๆ ก็อยู่ในกรุงเทพฯ มีนบุรี ลาดกระบัง หนอกจอก ที่ย้ายบ่อยนี่ก็เพราะหนีเจ้าหนี้นั่นแหละ ที่บ้านมีภาระหนี้สินเยอะ ผมไม่ใช่คนรวยอะไร เพิ่งจะอยู่เป็นหลักแหล่งก็ตอนอยู่ ม.ปลาย ก่อนหน้านั้นย้ายเป็นว่าเล่น” นิวเล่าให้ฟังว่า เขาโตมาในครอบครัวที่เรียกว่าเป็น ชนชั้นล่างระดับบน เมื่อก่อนพ่อกับแม่เคยทำงานรับจ้างในโรงงาน ทำได้สักระยะแม่ก็ออกมารับจ้างทั่วไป เพราะมีน้องที่ต้องดูแล ส่วนพ่อก็ออกมาทำงานขนส่งสินค้า นิวเป็นลูกชายคนโตและคนเดียว ในบรรดาพี่น้อง 4 คน และกลายเป็นผู้ชายคนเดียวในครอบครัวหลังจากปี 2554 เพราะพ่อเสียชีวิต เป็นช่วงที่เขาเข้าเรียนที่ธรรมศาสตร์พอดี เขาบอกเราว่า ตั้งแต่มาเรียนมหาวิทยาลัย นานๆ ครั้งที่เขาจะขอเงินแม่ใช้สักครั้ง ขอครั้งหนึ่งก็แค่หลักร้อย ส่วนใหญ่ก็ต้องหางานทำเอง เป็นผู้ช่วยงานวิจัยของหน่วยงานราชการบ้าง แต่ช่วงหลังๆ ไม่ค่อยได้งาน เพราะหลุดปากไปวิพากษ์วิจารณ์เขาไว้เยอะ “ช่วงนี้ก็เลยต้องขอเงินทางบ้านใช้บ้าง ก็เป็นอย่างนี้แหละพี่ ที่บ้านผมก็ต้องช่วยกัน เวลาผมไม่มีจริงๆ ผมก็ต้องขอ ถ้าเวลาผมมีผมก็ให้เขา” เมื่อถามถึงช่วงเด็กๆ ว่าเขามีชีวิตอย่างไร ทำไมถึงมาสนใจการเมืองได้ เขาเล่าว่า คงเป็นเพราะตอนนั้นเขาอยู่ในฐานะที่ต่ำของสังคม ถูกเอารัดเอาเปรียบ ช่วงเรียนชั้นประถม เขาเคยถูกเจ้าหนี้ของพ่อแม่มายืนดักรอหลังโรงเรียนเลิก เพื่อจะที่ดูว่ามีใครมารอรับเขากลับบ้านหรือไม่ หลังจากก็ต้องย้ายโรงเรียนเป็นว่าเล่น แต่พอช่วงมัธยมเริ่มเรียนรู้ว่าจะหลบเจ้าหนี้อย่างไร เวลาโรงเรียนเลิกก็จะต้องเดินไปแอบมองก่อนว่ามีเจ้าหนี้อยู่หน้าโรงเรียนหรือไม่ ถ้ามีก็หลบอยู่ในโรงเรียน จะกลับอีกทีช่วงใกล้ค่ำ เป็นเวลานานมากที่เขาต้องทำแบบนี้ ก่อนที่จะมีนโยบายช่วยเหลือคนเป็นหนี้นอกระบบ นอกจากนั้น เขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ ระหว่างนั่งคุยกันเขาหยิบหนังสือออกมาให้เราดูสองเล่ม เป็นหนังสือวิชาการ แล้วบอกว่า ใช้เงิน กยศ. ซื้อมานานแล้ว วันนี้ผู้เขียนมาเสวนาที่ธรรมศาสตร์พอดี ก็เลยเอาติดตัวมาขอลายเซ็น ตอนเด็ก เขาเริ่มต้นชอบการอ่านหนังสือจากหนังสือการ์ตูนประวัติศาสตร์ หลังๆ มาก็เริ่มมาอ่านหนังสือที่เป็นจริงเป็นจังมากขึ้น ช่วงมัธยมปลายเริ่มอ่านหนังสือด้านรัฐศาสตร์มากขึ้น ชอบอ่านงานของรุสโซ วันไหนว่าง ก็จะนั่งรถเมล์ไปหอสมุดแห่งชาติ เพื่อไปนั่งอ่านหนังสือ “มันก็เป็นอย่างนี้แหละพี่ชีวิตผม โตมาแบบนี้ มันเจอแต่เรื่องไม่เป็นธรรม ถูกเขากดถูกเขาทำอะไรมาเยอะ ที่บ้านก็ต้องมาดิ้นรน โดนอะไรแบบนี้ มันก็ทำให้ผมอยากมาเรียนนิติศาสตร์ เรียนกฎหมาย แต่ตอนนั้นที่จะสอบเข้านิติศาสตร์ ผมอ่านหนังสือไม่ทันมันต้องจำกฎหมายเยอะ แล้วมันต้องสอบภาษาอังกฤษด้วย ก็เลยเลือกสมัครสอบตรงรัฐศาสตร์ไปแทน เข้ามาเรียนช่วงแรกก็พยายามสอบย้ายคณะ แต่ก็ทำไม่ได้ เลยต้องเรียนรัฐศาสตร์เรื่อยมา แล้วก็เริ่มติดใจรัฐศาสตร์มากขึ้น” หนังสือที่ชอบ และสังคมที่อยากเห็น ในทางความคิดนักศึกษาที่เข้ามาเรียนสายสังคมศาสตร์ใหม่ๆ มักจะวางหมุดหลักอยู่กับอาจารย์ที่ตัวเองชอบ เราถามนิว ว่าเขาได้รับอิทธิพลทางความคิดจากอาจารย์คนไหนมากที่สุด เขาตอบว่าไม่เลย ไอดอลผมไม่ใช่อาจารย์ ไอดอลผมคือ นักปฏิวัติทั้งนั้น “หนังสือสองเล่มแรกที่ผมอ่านอย่างจริงจัง เล่มแรกคือประวัติศาสตร์ 50 รัชกาลไทย กับสองนักปฏิวัติรอบโลก และผมชอบอ่านเล่มที่สองมากกว่า” นิวบอกว่า ความใฝ่ฝันของเขาคือ การเป็นนักปฏิวัติสังคม แต่ด้วยตัวคนเดียวคงทำไม่ได้ สังคมที่เขาอยากเห็นคือ การเห็นคนเราเท่ากันทุกมิติ ทั้งการเมือง และฐานเศรษฐกิจ ไม่อยากเห็นความเหลื่อมล้ำมีอยู่ในสังคม แต่ถึงที่สุดแล้วเขารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นยากไป สิ่งที่พอจะเป็นไปได้คือ การผลักให้ประเทศเป็นรัฐสวัสดิการ “คือตอนนี้ที่เป็นอยู่ คนจนก็จนไป คนรวยก็รวยไป แล้วสำหรับคนจนมันไม่ได้มีตาข่ายรองรับอะไรเลย อย่างตอนผมเรียนชั้นประถม จำได้ว่าห้องที่อยู่ข้างๆ เขามีหนังสือแบบเรียนครบ สมบูรณ์แบบ แต่ห้องผมนี่เรียนแบบไม่มีอะไรเลย มีแต่สมุดจดอย่างเดียว ผมเห็นความเหลื่อมล้ำมาตั้งแต่เด็ก รู้ว่ามันไม่ยุติธรรม สิ่งที่ควรขจัดออกไปจากสังคมที่เราก็คือ เรื่องนี้แหละ สังคมมันต้องมี Safety Net มีสวัสดิการรองรับอะไรบางอย่าง คิดว่าบ้านผมก็คงไม่ตกต่ำอะไรขนาดนี้นะ ถ้ามีการรองรับตั้งแต่แรก แล้วไม่ใช่แค่ครอบครัวผมคนเดียวที่ต้องเจอเรื่องอะไรแบบนี้” สภาหน้าโดม พื้นที่ของการถกเถียง และข้อวิพากษ์เรื่องการสื่อสาร เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 มาได้ใหม่ๆ มีรุ่นพี่ในคณะมาชวนเพื่อนของนิว ไปลงเลือกตั้งสภานักศึกษา เขาเลยขอตามไปด้วย นั่นเป็นจุดเริ่มของเขาที่สภานักศึกษา ประมาณ 2 ปีครึ่ง ที่เขาอยู่ในสภา ก่อนจะลาออกมาสมัครนายกองค์การนักศึกษา แล้วออกแบบนโยบายโดยหยิบเอาประสบการณ์ของตัวเองมาใช้ เช่น “ความไม่มีจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป ด้วยนโยบาย กองทุนอาหาร เช้า-กลางวัน-เย็น” แต่ก็เป็นไปตามที่คาด เขาไม่ได้รับการเลือกตั้ง นิวเล่าว่า หลังจากนั้นเขามีความคิดร่วมกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งอยากจะตั้งกลุ่มเพื่อจัดกิจกรรมเสวนาที่ไม่ได้อยู่แต่ในห้องประชุม สร้างพื้นที่ให้นักศึกษา และคนทั่วไปได้มีโอกาสมาแลกเปลี่ยน ถกเถียงกัน พอดีไปเห็นคำว่า “สภาหน้าโดม” ในเว็บไซด์ของสำนักทะเบียน ซึ่งเล่าถึงประวัติศาสตร์ของสภาหน้าโดมว่าก่อตั้งขึ้นมาเมื่อไหร่ เคยทำกิจกรรมกันอย่างไร แล้วการพูดคุยกันของคนกลุ่มเล็กๆ ก็ค่อยขยายตัวกลายเป็นถกเถียงแลกเปลี่ยนเป็นกลุ่มใหญ่ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในสังคมได้ “คือผมคิดว่า เราต้องสร้างสังคมแห่งภูมิปัญญาก่อน ต้องมีพื้นที่แห่งการถกเถียงให้ได้ ผมก็เลยเริ่มสภาหน้าโดมจัดตรงนั้นน่ะ (หน้าศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) เรื่องโซตัส พี่ก็มาตอนยังเรียนอยู่ แล้วก็มาด่าผมว่าสำเร็จความใคร่ทางอุดมการณ์ ผมก็เออมาด่ากู ไม่ว่ากัน แต่ผมก็คิดว่ายังไงมันก็ต้องมีพื้นที่ตรงนี้ไว้ให้คนได้ถกเถียงกัน” เราคุยกันต่อถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มนักศึกษาที่มีความคิดค่อนข้างคล้ายกันที่มีต่อนิวและสภาหน้าโดมคือ การมองว่าในช่วงแรกที่สภาหน้าโดมจัดงานเสวนายังไม่มีสามารถดึงคนที่มีความคิดที่แตกต่างกัน มานั่งถกเถียงร่วมกันได้ เท่ากับว่าเป็นการพูดคุยกับแต่เพียงคนที่คิดคล้ายกันเท่านั้น บรรยากาศของการถกเถียงยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง ส่วนด้านการออกมาทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ของนิวและเพื่อนหลายๆ คน ก็ถูกวิจารณ์ว่าบางครั้งสารที่ต้องการสื่อออกไปไม่อาจจะไปถึงผู้รับในวงกว้างได้ เขาโต้ตอบกรณีดังกล่าวว่า อย่างไรก็ตามพื้นที่ตรงนี้ก็ยังต้องมีอยู่ องค์ความรู้ทุกอย่างมันยังไม่สิ้นสุด เราจะรู้ได้อย่างว่าสิ่งที่เรารู้มันถูกต้องถ้าไม่มีการแลกเปลี่ยนกัน เสวนาสภาหน้าโดมช่วงแรกๆ จะเห็นว่าไม่ได้มีการเชิญวิทยากรมา แต่เป็นการนั่งคุยกันเองในกลุ่มนักศึกษา แล้วมันพัฒนาไปเป็นอย่างไรต่อ มันมีช่องทางของมันเอง “บางทีผมก็รำคาญนะ พวกแอคทิวิสต์สายจัดตั้งเนี่ย บันทึกลงไปด้วยนะ จะต้องมีแผน จะต้องมีเป้าหมาย จะต้องมีกลุ่มเป้าหมาย พูดตรงๆ ผมไม่ถนัดทำงานแบบนี้ เป้าหมายของผมชัดเจนคือ อย่างน้อยเราต้องสร้างพื้นที่ให้คนได้มาถกเถียงกัน โดยที่ผมไม่ต้องเอาอะไรไปยัดให้พวกคุณเลย คุณมีองค์ความรู้อยู่แล้วแค่มาแลกเปลี่ยนกันก็พอ การที่มีคนคิดเหมือนกันมานั่งคุยกันสำหรับผมไม่ใช่ปัญหา ปัญหาจริงคือ เรามีพื้นที่ที่จะให้คนมาถกเถียงกันได้น้อยมาก” ส่วนการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เขายังยืนหลักปักธงเชื่อว่า การแสดงออกของเขา และเพื่อนๆ ในด้านภาพลักษณ์ที่ผ่านมาไม่ได้เป็นปัญหา แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือสังคมเองที่ไม่ยอมรับ ไม่มีความอดทน อดกลั้น รับฟังความแตกต่างได้มากพอ ซึ่งเป็นปัญหาที่สังคมไทยยังยึดติดอยู่กับความเชื่อเดิมๆ มองไม่เห็นพื้นที่ของการถกเถียงแลกเปลี่ยน เพื่อให้เกิดสังคมที่ดีกว่าเดิมสำหรับทุกคน ทำไมถึงชอบกินฟรี มีตังค์ค่ารถออกไปทำกิจกรรมข้างนอกได้อย่างไร และจะเอายังไงต่อกับชีวิต ดูจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกไปสักนิด สำหรับคนที่ไม่ได้รู้จักนิวเป็นการส่วนตัว น้อยคนที่จะรู้ว่า เขาเป็นนักกินฟรีในตำนาน และนั่นอาจจะไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดอะไรเลย ถ้าเรารู้จักเรื่องราวของเขาจริงๆ วันนั้นเราถามเขาว่าวันหนึ่งคุณเสียเงินกินข้าวเองวันละเท่าไหร่ เขาตอบพร้อมเสียงหัวเราะ “มันก็แล้วแต่วันน่ะพี่ บางทีวันหนึ่งแทบไม่ต้องเสียงตังค์ซื้อข้าวเลย เพราะมีคนที่รู้จักกันเขาช่วยเหลือ บางที่เขาก็บอกว่าให้เป็นทุนการศึกษา อย่างในมหาลัยอย่างร้านอาหารที่รู้จักกันเขาก็ช่วยเหลือเรา บางคนบอกว่ามันย้อนแย้ง ก็ทำยังไงได้คนเราก็ต้องเอาตัวรอด ถามว่าผมเหนื่อยไหม ที่เอาตัวเองยังจะไม่รอด แต่ออกมาทำกิจกรรมแบบนี้อีก ผมคิดว่าก็เพราะชีวิตมันเป็นอย่างนี้ไงมันถึงต้องดิ้นรนอะไรบางอย่าง แต่ประเด็นคือ ผมไม่ได้อยากรอดอยู่แค่คนเดียว แต่ผมต้องการให้คนทั้งสังคมมันรอดไปด้วยกัน” เมื่อถามว่าเอาเงินจากไหนไปทำกิจกรรมข้างนอกมหาวิทยาลัย เขาบอก "ผมนั่งรถไฟฟรีหลังมอ แล้วไปต่อรถเมล์ฟรีที่หัวลำโพง นานๆทีจะได้นั่งรถตู้ มันแพง แล้วผมไม่ชอบด้วย แต่ตอนนี้รถเมล์ฟรีเขาจะยกเลิกแล้วผมก็แย่เหมือนทีนี้" ระหว่างเดินกลับไปที่จอดจักรยาน เราถามนิวว่า ใกล้เรียนจบแล้ว จะเอายังไงต่อกับชีวิต เขาบอกด้วยน้ำเสียงปกติ “ยังไม่รู้เหมือนกัน ก็ต้องรอดูกันต่อไป หนี้ค่าหอพักผมก็ยังไม่มีจ่ายมหาลัยเลยพี่ จะให้ผมจบหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่ถ้าทุกอย่างมันเลือกได้ผมก็อยากออกมาทำงานด้านสิทธิมนุษยชน หรือไม่ก็อยากไปเรียนต่อฝรั่งเศส ผมชอบประเทศนี้มาก แต่ที่รู้และเลือกไม่ได้แน่ๆ คือตอนนี้ผมเป็นผู้ต้องหา 2 คดี และกำลังจะถูกเรียกไปสอบปากคำ”
ไม่ใช่ชอบเพราะเป็นพวกเดียวกันเหรอ ประเภทแบล็คบาเรีย ใจปลาซิว แทงข้างหลัง ถ้าเห็นว่าลายจุดพูดดีก็แปลว่าเป็นคนไร้น้ำยาที่เอาแต่โทษชาวบ้าน
หาก 9 ปีที่แล้วไม่มีรัฐประหาร แม้วก็คงไม่ต้องเป็นสัมภเวสีเร่รอ่นอยู่ต่างประเทศ ประเทศไทยก็จะไม่มี"เสื้อแดง" ไม่มีสถานีวิทยุแดงเถื่อนที่คอยกรอกหู ปลุกปั่นประชาชน ไม่มีพวกกินบนเรื่อนขี้รดบนหลังคา ......
อยู่ในฐานะที่ต่ำของสังคม ถูกเอารัดเอาเปรียบ โตมาแบบนี้ มันเจอแต่เรื่องไม่เป็นธรรม ถูกเขากดถูกเขาทำอะไรมาเยอะ คืออะไรยังไง คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้ แล้วได้พยายามแก้ปัญหา หาทางออกบ้างไหม นอกจากหลบอยู่ตามโรงเรียนจนมืดค่ำ ไปทำอย่างอื่นที่มันช่วยเหลือครอบครัวเพิ่มรายได้ดีไหม พูดถึงนายนิว
สงสัยอย่าง รัฐประหาร 19 ก.ย. นี่มันมีอะไรดีหรอ ? ถึงได้หมกมุ่นกันจัง ทำไมรัฐประหาร 23 ก.พ. ไม่เห็นมีใครให้ความสำคัญอะไรแบบนี้มั่ง ก็รัฐประหารเหมือนกันนะเว๊ย อย่า 2 มาตรฐานดิ
เสื้อเหลืองมีมาก่อน 19 กันยายนอีกครับ ตอนนั้นยังไม่มีสี แต่แม้วก็ขนพวก คาราวานคนจน มาเชียร์ พอรัฐประหารปั๊ป ก็เริ่มมีนปก.ใช้สีเหลืองเหมือนกันอีก พอพันธมิตรกลับมา ก็ใช้สีแดงดังนั้นต่อให้ไม่มีรัฐประหาร บ้านเมืองก็แตกแยกแล้วครับ
มีนักศึกษาไม่กี่ตัวกะให้ทางการจับจะได้โวยวาย แต่แผนดันล้มซะก่อน ว่าทำไมต้องมีควายแดงฮาร์ดคอร์แฝงมาด้วยครับ ผ่านมาถึงวันที่ 21 เพิ่งดิ้นเหรอครับ
คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด ซึ่งคนฉลาดเขาไม่โพสต์เลขประจำตัวประชาชนลงในเน็ตหรอกครับ เลยโดยคุ้ยเลย ก๊ากกกกกก
กินแล้วไม่จ่าย หาเรื่องแดกฟรี อยู่หอพัก ก็เบี้ยวค่าเช่า เรื่องแค่นี้มันยังรับผิดชอบไม่ได้ สันดานอย่างนี้นะหรือ ที่จะออกมารับผิดชอบสังคม รอให้ประชุม UN เสร็จสิ้นไปก่อน พวกมึงได้เข้าไปอยู่ในคุกแน่ หรือไม่ก็กฏหมายควบคุมการชุมนุมก็เป็นเพียงแค่กระดาษเช็ดก้น ที่มีเอาไว้เพียงเพื่อควบคุมกลุ่มอื่นเท่านั้น
ไอ้คนนี้มาหรือเปล่าครับ หลักฐาน 1 ใน 14 นักศึกษา เพิ่งโดนจับคาบ่อน ย่านสุขุมวิท การเมือง Jun 30, 2015 โดย Kittitouch Chaiprasith ไม่มีอะไรครับ พอดีในโพสของผมมีคนแจ้งมาให้ทราบว่า หนึ่งในนักศึกษา 14 คนที่โดนจับ ชื่อ “นายพรชัย ยวนยี” ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (คนนี้ก็ไม่ใช่กลุ่มดาวดินและก็ไม่ได้ออกมาเรียกร้อง เรื่องเหมืองแร่ แบบที่นักเขียนคนดังมโนไปเองคนเดียว) มีคนไปพบว่าเค้าเพิ่งโดนจับคาบ่อนแถวสุขุมวิท เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2558 ที่ผ่านมา (อาทิตย์ที่แล้ว) ตกลงว่านี่เค้าเข้าบ่อนเพื่อหาเงินทุน ก่อนจะไปประท้วงเพื่อประชาธิปไตยใช่ไหมครับ? *** ที่สำคัญคือ โดนจับคา #คอนโดหรู ในซอยสุขุมวิท 24 ด้วยนะครับ แหม…ปากก็ด่าชนชั้นกลาง ด่าชนชั้นสูง อ้างคนจน อ้างประชาธิปไตย แต่ไปเล่นในบ่อนย่านไฮโซซะด้วยสิ หุหุหุ ว่าแต่…อายุ 25 ปี ยังเรียนหนังสือไม่จบ แล้วเค้าเอาเงินที่ไหนมากมายไปเข้า #บ่อนไฮโซ ได้?
หัวข้อคุณก็ไม่ได้พูดเรื่องสีเสื้อนี่ครับ สมาชิกก็แค่ยกปรีดีมาอธิบายให้เห็นความเลวร้ายของการปล้นอำนาจกษัตริย์ แล้วคุณมโนไปเรื่องสีเสื้อได้ยังไง
กินไม่จ่าย ค่าหอไม่มี สรุปคืออยากเป็นอภิสิทธิ์ชน หาเหตุผลเพื่อเป็นโจร หาความชอบธรรมในสิ่งผิด สรุปคือพวกอยากได้แต่ไม่อยากทำ
อยากบอกพ่อนิวแต่คงไม่มีโอกาสพบตัว ถ้าครอบครัวต้องคอยหนีเจ้าหนี้เป็นเหตุให้ต้องย้ายบ้านย้ายโรงเรียนบ่อยๆ ถ้าตัวเองต้องหาข้าวฟรีกิน หารถเมล์ฟรีขึ้น ไม่มีเงินจ่ายค่าหอพัก ให้มองตัวเองและครอบครัวก่อนจะโทษสังคม ไม่ได้มีแต่นายนิวและครอบครัวนายนิวที่ยากจน ยังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ยากจน แต่หลายคนในนั้นเริ่มต้นด้วยการแก้ไขตัวเองจนกระทั่งยืนบนขาตัวเองได้ สังคมไม่ได้ขออะไรจากพ่อนิว ดังนั้นพ่อนิวไม่ต้องไปคิดช่วยเหลือเปลี่ยนแปลงสังคม รับผิดชอบตัวเองให้ได้เสียก่อน อย่าทำตัวเหมือนคนรุ่นลุงที่ยังไม่ได้ทำอะไรให้สังคมก็เริ่มทวงบุญคุณจากสังคมด้วยวาทะกรรมสวยหรูว่าจะตายร้อยครั้งพันครั้งเพื่อมวลชน ทั้งที่ไม่ได้มีใครมาขอให้สละชีวิตเลย ไอ้พวกที่อาสาจะเป็นจะตายเพื่อมวลชนก็ไม่เห็นลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแต่ก็ยังลำเลิกบุญคุณกับสังคมมาจนทุกวันนี้ เรียนจบแล้วไม่ต้องเห่อเหิมไปเมืองนอกเมืองนา ตั้งหน้าประกอบสัมมาอาชีวะเป็นที่พึ่งของตัวเองและครอบครัวให้ได้ จากนั้นพ่อนิวจะรู้ซึ้งถึงคำว่าความรับผิดชอบและความเสียสละได้ด้วยตัวเอง
ไอ้น้องเอ๋ยพวกคุณมันก็แค่กองทัพมด อาจหาญคิดจะไปสู้กับเหล่าพญาเสือดาวแห่งตะวันออกเชียวเหรอ น้อง ๆ ยอมจำนนแล้วบอกกับตัวเองเถอะว่า "ประชาชนถูกทอดทิ้งแล้ว"