http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000033498 “ลี กวนยู” อดีตนายกฯ คนแรกของสิงคโปร์ ถึงแก่อสัญกรรมแล้วในวัย 91 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 มีนาคม 2558 03:43 น. (แก้ไขล่าสุด 23 มีนาคม 2558 10:46 น.) เอเอฟพี/รอยเตอร์ - ลี กวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ ถึงแก่อสัญกรรมแล้วในวันจันทร์ (23 มี.ค.) ขณะมีอายุได้ 91 ปี ทั้งนี้ เป็นการยืนยันจากทางสำนักนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ คำแถลงของสำนักนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ระบุว่า อดีตนายกฯ ลี ได้จากไปอย่างสงบที่โรงพยาบาลสิงคโปร์เจเนอรัลเมื่อเวลา 03.18 น.ของวันนี้ ก่อนหน้านี้รัฐบาลสิงคโปร์ระบุในวันอาทิตย์ (22 มี.ค.) ว่า สุขภาพของลี กวนยู อดีตผู้นำที่เป็นคนก่อตั้งประเทศ ที่กำลังต่อสู้กับโรคปอดบวมรุนแรงอยู่ในโรงพยาบาล มีอาการย่ำแย่ลงไปมากกว่าเดิม โดยอดีตผู้นำสิงคโปร์วัย 91 ปีรายนี้ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสิงคโปร์เจเนอรัล เป็นเวลากว่า 6 สัปดาห์และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ขณะที่ประชาชนจำนวนมากต่างนำดอกไม้และการ์ดมาวางไว้บริเวณด้านนอกของโรงพยาบาลเพื่อส่งความระลึกถึงไปยังลี “ลี กวนยู” เป็นนายกรัฐมนตรีช่วงปี 1959-1990 ตอนที่อังกฤษยอมให้สิงคโปร์ปกครองตนเอง เขาทำให้ประเทศได้รับเอกราช หลังการรวมชาติกับมาเลเซียช่วงสั้นๆ ก่อนที่เขาจะก้าวลงจากตำแหน่ง เพื่อหลีกทางให้กับ “โก๊ะ จ๊กตง” ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาได้ส่งมอบอำนาจให้กับลี เซียนลุง ลูกชายคนโตของ “ลี กวนยู” ในปี 2004 อดีตผู้นำรายนี้ ได้เกษียณจากการเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลในปี 2011 แต่เขายังคงเป็น ส.ส.ประจำเขตตันจง ปากา โดยในหนังสือที่ตีพิมพ์ช่วงปี 2013 ลีได้ระบุว่า เขารู้สึกอ่อนแอลงทุกวันและอยากจะตายเร็วๆ ลีดูย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ “ควา กอกชู” ภรรยาวัย 63 ปีของเขาได้เสียชีวิตในปี 2010 เขาแทบจะไม่ปรากฏตัวให้สาธารณชนได้เห็นเลยในช่วง 2 ปีหลังสุด รายงานข่าวระบุว่า ลีได้ลงนามในคำสั่งทางการแพทย์ล่วงหน้า ไม่ให้หมอยื้อชีวิตของเขาเอาไว้ หากเขาอยู่ในสภาพที่ไม่อาจฟื้นกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ---------------------------------------------------------------------------------------------------------- ช่องเนชั่นบอกว่า นายกฯ ลี เซียน ลุง ออกแถลงการณ์การเสียชีวิตของบิดาด้วยอารมณ์เศร้าโศก หยุดแถลงเป็นพักๆ และจะไว้อาลัย - ลดธงครึ่งเสา ตั้งแต่วันนี้ - 29 มี.ค. และพิธีศพอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 มี.ค. คนที่นั่นเสียใจกันมาก ตามธรรมเนียม ผมก็ขอแสดงความเสียใจมา ณ ที่นี้ ผมไม่รู้เรื่องตื้นลึกหนาบางของแก แต่ได้ยินชื่อแกบ่อย เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ ปีนี้จะจัดงานวันชาติครบรอบ 50 ปี ในเดือนสิงหาคมนี้ แต่แกจากไปเสียก่อน ที่สุดแล้ว ยังไงแกก็เป็นนักการเมืองระดับตำนานของเอเชียคนหนึ่ง
R I P ปู่ลี แกบริหารประเทศแบบขัดกับหลักการของพวกร่านแทบทุกอย่าง แต่สามารถพาประเทศให้กลายเป็นมหาอำนาจได้
อ่านเจอใน times online "Contrary to what American political commentators say, I do not believe that democracy necessarily leads to development. I believe that what a country needs to develop is discipline more than democracy" สิ่งที่ฉันเห็นต่างไปจากนักวิจารณ์การเมืองอเมริกันนั้นคือ ฉันไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยนั้นจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ แต่ฉันเชื่อว่าสิ่งที่จะทำให้ประเทศชาติพัฒนาได้นั้นคือระเบียบวินัย ไม่ใช่ประชาธิปไตย
แต่ลิเบอร์รัลรุ่นใหม่ของสิงคโปร์ก็เริ่มตั้งคำถามว่า ถ้านโยบายรัฐไม่ต้องเข้มงวดแบบปัจจุบันนี้จะได้หรือไม่ จีนในยุคของ เติ้งเสี่ยวผิง ก็ดำเนินนโยบายผ่อนปรนความเข้มงวดระบอบสังคมนิยมมาเป็นระยะ ผลักดันผ่านคณะบริหารส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ยังสงสัยว่าประเทศสิงคโปร์ถ้าผ่อนปรนความเข้มงวดไปแล้ว ยังจะสามารถคุมสภาพสังคมได้เหมือนจีนแผ่นดินใหญ่หรือไม่
เผด็จการหัวใจรักชาติที่ผมยอมรับมี แค่ 2 คน คือ นายพลปาร์คจุงฮี บิดาของประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนปัจจุบัน กับลุงลี นอกนั้นยังไม่เจอใครเจ๋งๆ แบบ 2 คนนี้เลย
เผด็จการส่วนมากก็เข้ามาด้วยเหตุผลต้องการพัฒนาชาติกันทั้งนั้นละครับ แต่มีน้อยคนมากที่จะทนต่อความยั่วยุของอำนาจและเงินตราได้ จึงทำให้จุดมุ่งหมายเดิมเปลี่ยนไป สำหรับคำว่า "เผด็จการ" มันไม่ได้มีความหมายในด้านลบนะครับ ถ้าเค้าสามารถทนต่อความยั่วยุของอำนาจและเงินตราได้ และไม่ลืมจุดหมายเดิมที่ต้องเข้ามาควบคุมอำนาจไว้ "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน" ครับ
ถ้าบ้านเมืองเราเมื่อก่อนก็มีรัฐบาลป๋าเปรมเนี่ยละ ที่เป็นรัฐบาลทหารที่ดูเข้าท่า พาประเทศให้รอดพ้นวิกฤติหลายอย่างในเวลานั้นไปได้
ถ้าในระดับประชาคมโลกจะวัดว่าเผด็จการจะดีหรือไม่ดี วัดกันที่สามารถสวมเสื้อคลุมประชาธิปไตยได้หรือเปล่า เผด็จการนายทุนเผด็จการรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั่งเหนือกว่าตรงที่สามารถสวมเสื้อคลุมประชาธิปไตยได้ แต่เผด็จการทหารของลุงตู่ไม่สามารถสวมเสื้อคลุมประชาธิปไตยได้ นี้คือความเหนือชั้นที่แตกต่างกัน
ลี กวน ยู เก่งจริง ข้อนี้ไม่มีปัญหาให้พูดถึง แต่โดยสภาพทางภูมิประเทศ จำนวนประชากร และการผูกขาดอำนาจ ในการบริหารประเทศที่เล็กกว่าเกาะภูเก็ตบ้านเรา เงื่อนไขย่อมน้อย แล้วถ้าบังเอิญมาเป็นนายก บ้านเรา ยังจะเก่งเหมือนเดิมหรือเปล่า ข้อนี้ น่าจะเป็นปัญหาให้ต้องพูดถึง
กลุ่มต่อต้านรัฐบาลในประเทศเราทรงพลังกว่าเยอะ ในอดีตก็มี พวก พคท กองกำลังประชาชนติดอาวุธ มุดรูหุบๆโพล่ แอบอยู่ตามป่าเขา ที่ รบ ทหารสมัยนั้น ยังกำราบ ไม่อยู่เลย โจรกบฏแบ่งแยกดินแดน ในภาคใต้ ที่แฝงตัวแนบเนียนกับพวกชาวบ้านอย่างแยกไม่ออก นิ่ยังไม่นับ พวกม๊อบเหลืองแดงสลิ่ม ฤิทธิมากที่ ขนาดนายกมาเลย์ยังเคยบอกเลยว่า จะไม่ยอมให้ม๊อบเป็นแบบในประเทศไทยเป็นอันขาด
ปัญหาเกิดจากข้าราชการเลว สมคบกับพวกค้าสินค้าเถื่อน สร้างสถานการณ์เพื่อเพิ่ม งบประมาณมาถลุงกัน ไปถามคนที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เลย ว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร เดิมทีสมัยก่อน รัฐบาลพยายามที่จะกลืนมุสลิม ด้วยนโยบายทางด้านวัฒนธรรมและโอกาศทางการศึกษา มีทุน ให้ เยาวชนอิสลาม ได้เรียน แพทย์ วิศวะ และอื่นอื่นอีกมาก เมื่อเค้าจบออกมา ก็จะรู้สึกในความเป็นไทย อย่างกลมกลืน นี้เป็นนโยบายที่ ลึกซึ้ง และแยบยลมาก สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็อยู่กันด้วย ความร่มเย็นเป็นสุข กลมกลืนไปทั้ง ไทยพุทธ มุสลิม และบุคคลากร ที่เป็นเยาวชนมุสลิม ที่ได้รับการศึกษา และมีความรู้สึกเป็นคนไทย ทั้งตัวและหัวใจ ด้วยนโยบายที่ผิดพลาด จากโจรกระจอก ไม่กี่คน ผสมรวมไป กับข้าราชการเลว อีกมาก จนเป็นเงื่อนไขที่ยากเกินเยียวยา เรื่องนี้ต้องบอกว่า เลวร้ายไม่ต่างไปจากคนไทยที่เผาบ้านเผาเมืองที่ภาคกลาง แต่นี้ไปทำกัน ที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ทุกวันนี้ ยังเป็นอย่างนี้อยู่ และพัวพันกับผลประโยชน์มหาศาลเกินกว่า ที่สังคมทั่วไปได้รับรู้......
ตอนนี้มันเป็นภาพมุมกลับแล้วงะ กลายเป็นว่าเด็กๆที่เป็นแนวร่วมขบวนการเข้าเรียนมหาลัยใน กทม ช่วงเวลา 4 ปี ความเจริญแบบ กทม ไม่สามารถละลายกลืนกินความคิดเด็กพวกนี้ได้ กลับกันดันรวมตัวเองกันเป็นสมาคมที่เหมือนเป็นสังคมปิดไม่สุงสิงกับคนภายนอก เรียนจบไปกลายเป็นปัญญาชน ที่เป็นกำลังมันสมองให้กับขบวนการต่อต้านรัฐไทยที่ฉลาดและแยบยล ยิ่งกว่าในอดีต
ส่วนหนึ่งก็ไม่กลับบ้านแล้ว เรียนที่กรุงเทพ ก็ มีครอบครัวกันที่นี่ เราเลยจุดนั้นมาแล้ว แก้ไม่ตรงจุดจนยากจะย้อนกลับ มีคนรู้แต่ไม่แน่ใจว่า จะมีคนแก้หรือไม่เพราะ ไม่แก้ ได้ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่า แค่ มีรถปิคอัพ 1 คัน ทำรายได้เดือนละหลายแสนโดยการข้ามไปเอาน้ำมันมาเลย์ มาขาย มีคน รอซื้อเลย จริงหรือไม่ ชัวร์หรือมั่วนิ่ม ข้าราชการชั่วชั่วชายแดนใต้รู้อยู่แก่ใจ