เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เสื้อแดงรู้หรือยัง น่าจะต้องรู้สิ เพื่อความแน่ใจ เรื่องนี้ต้องรอฟังจากปากคนเสื้อแดงจ้า
ไทยขยายตัวต่ำสุดในอาเซียน! "ธนาคารโลก"ทำนายข่าวร้าย จีดีพีทรุด-ถอยต่อเนื่อง http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1444094716 เสื้อแดงไม่มา คุณ ผู้ฯ มาแล้วก็สั่งสอนผมหน่อยละกัน ยินดีรับฟังโดยไม่มีโต้แย้งเลยครับ หากกรุณา จะขอบคุณยิ่ง
ถ้ามั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะล่มสลาย แนะนำจำนองบ้านจำนองรถเอาเงินไปช็อตหุ้นเลยครับ ตอนนี้หุ้น 1400 จุด ยังไม่ได้ลดลงจากสมัยปูเลย เอาเลยครับถ้ามั่นใจ อย่าป๊อด
เอ..... นี่มันยังไงกันเนอะควายแดงเนอะ ขนาดกูรูเศรษฐกิจระดับโลกของเผาไทยอย่างพ่อเหลี่ยม ณ ดูไบ พ่อโต้ง พินอคคิโอ พ่อพิชัย นริพทะพันธุ์ แม่อนุตตมา อมรวิวัฒน์ ฯลฯ รวมทั้งกูรูรับจ้างทั้งหลาย จะเวียนออกมาถล่มการบริหารเศรษฐกิจของคณะลุงตู่กันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน แต่ทำไมตัวเลขและการประเมินของสำนักต่างๆทั้งในและนอกประเทศมันไม่เป็นอย่างนั้น ไม่ว่าการขยายตัวของจีดีพี ระดับการแข่งขันได้ของประเทศ ระดับความสุขของคนในชาติ ระดับความโปร่งใสของการบริหารภาครัฐ ฯลฯ มันต้องมีเหตุผลสักอย่างซิน่าควายแดง หรือมือทีมองไม่เห็นของไทยควบคุมโลกและจักรวาลไว้ได้แล้ว
ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในปีนี้ ดีขึ้น 2 อันดับ มาอยู่ที่ 28 ของโลก นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานศูนย์เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน TMA เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลและเอกชนทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนายุทธศาสตร์ และขีดความสามารถของประเทศ ส่งผลให้อันดับความสามารถในการแข่งขัน World Competitiveness Center 2016 จาก International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ ที่สำรวจขีดความสามารถในการแข่งขันทั่วโลกประจำปี 2559 ประเทศไทย มีคะแนนรวม 74.68 มีขีดความสามารถในการแข่งขันอยู่ลำดับที่ 28 ของโลก ปรับขึ้นมา 2 อันดับ จากอันดับที่30 ในปีที่แล้ว ซึ่งไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มีอันดับดีขึ้น เมื่อเทียบอีก 4 ประเทศในอาเซียน คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดเนีเซีย ที่มีอันดับต่ำลงทั้งหมด โดยการจัดอันดับของ IMD พิจารณาใน 4 ด้าน คือ สภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งทรงตัวอยู่ที่อันดับ 13 ด้านประสิทธิภาพภาครัฐ ดีขึ้น 4 อันดับ จาก 27 เป็นอันดับที่ 23 เนื่องจากมีนโยบายการคลังและกฎหมายธุรกิจที่เอื้อและสะดวกในการทำธุรกิจ ด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ลดลงจาก 24 ลงมาอยู่อันดับ 25 เพราะเอกชนยังคงชะลอการลงทุน และด้านโครงสร้างพื้นฐานลดลง 3 อันดับ มาอยู่ที่ 49 โดยไทยตั้งเป้า ว่า อีก 5 ปี ไทยจะติดอันดับ 20 ประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันของโลก และดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาบงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ต้องเร่งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ปฎิรูปการเมืองและสังคม และการศึกษาให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ และใช้ประโยชน์การเป็น AEC ให้มากที่สุด เพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว
ช่วงเช้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุม SEP in Business: A G-77 Forum on the Implementation of the Sustainable Development Goals ซึ่งไทยในฐานะประธานกลุ่ม G-77 เป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งนี้ที่กรุงเทพมหานคร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในพิธีเปิดการประชุมว่า ไทยพร้อมร่วมงานกับทุกประเทศ และนายกฯ ได้กล่าวถึงการแก้ปัญหาต่างๆของไทย โดยการแก้ปัญหาต้องอาศัยการวิเคราะห์ เช่น การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมปี 2554 ที่ต้องนำทหารไปช่วยประชาชน แต่ทหารไม่ได้มีไว้เพื่อไปรบหรือจับกุมนักการเมือง และยืนยันการดำเนินการทั้งหมดไม่ใช่การรังแกทางการเมือง รวมถึงการอำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 44 และกฎอัยการศึก เพื่อทำให้เกิดความสงบเรียบร้อย เพื่อเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง โดยวันนี้สถานการณ์ไม่ปกติ จึงต้องใช้กฎหมายพิเศษ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น ส่วนผู้ที่ถูกเรียกปรับทัศนคติเป็นการพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจ และผู้ที่ถูกดำเนินคดีก็เป็นผู้ที่มีความผิดทางอาญา นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ต้องการอำนาจเพราะวันนี้มีอำนาจพอเพียงแล้ว แต่ต้องการขับเคลื่อนเพื่อให้ไปได้เร็ว และไม่มีคะแนนนิยม แต่อยู่เพื่อแก้ไขปัญหาให้ประเทศตามโรดแมป และไม่ต้องถามอีกว่าจะไปเมื่อไหร่ แต่หากสถานการณ์ยังไม่สงบเรียบร้อย ก็จะไม่ไปไหนแน่นอน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง ผลสำรวจการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันจาก ของ International Institute for Management Development (IMD) ที่ดีขึ้น 2 อันดับ จากอันดับที่ 30 มาเป็นอันดับที่ 28 ซึ่งเกิดจากการดำเนินการของรัฐบาล ถือเป็นความสำเร็จของไทย และถ้าไม่เชื่อ IMD ก็คงต้องไปเชื่อนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน พรรคเพื่อไทย ที่ชอบวิจารณ์เศรษฐกิจไทย ซึ่งไม่รู้เก่งมาจากไหน ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ ทีไอเจ เปิดแถลงข่าวถึงบทบาทขององค์กร ภายหลังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกสถาบันเครือข่ายสหประชาชาติด้านการป้องกันและอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา หรือ พีเอ็นไอ โดยเน้นว่าจะมีบทบาทนำเรื่องกระบวนการยุติธรรมและส่งเสริมหลักนิติธรรมในอาเซียน หลังจากที่สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ ทีไอเจ ได้รับการรับรองให้เป็นสมาชิกของสถาบันเครือข่ายแผนงานสหประชาชาติด้านการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ลำดับที่ 18 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นองค์กรแรกของชาติอาเซียนนั้น ล่าสุดเมื่อวานนี้ ดอกเตอร์กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการทีไอเจ ได้เปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับบทบาทขององค์กรในฐานะสถาบันเครือข่ายยูเอ็นว่า ประเทศไทยจะมีบทบาทนำเรื่องกระบวนการยุติธรรมในเวทีโลก โดยเฉพาะในอาเซียน เพราะการเข้าเป็นสมาชิกสถาบันเครือข่ายของสหประชาชาติ ช่วยสร้างการยอมรับเรื่องความเป็นกลางให้แก่องค์กร และจะจัดจัดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและภาคปฏิบัติ ควบคู่ไปกับการประชุมของสหประชาชาติในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาความรู้และสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรม สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย จัดตั้งขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2554 เป็นองค์กรส่งเสริมการวิจัยและการพัฒนากระบวนการยุติธรรม รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประเทศไทยในกรอบความร่วมมือกับสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ส่งเสริมเรื่องหลักนิติธรรม และวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ หลังคริสตศักราช 2015 โดยเชื่อมโยงแนวคิดตามหลักสากลสู่การปฏิบัติในระดับประเทศ และในภูมิภาคอาเซียน เป็นการกล่าวเปิดงานในหัวข้อ การประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคและการดำเนินธุรกิจ ในการประชุม SEP in Business: G-77 Forum on the Implementation of the Sustainable Development Goals ว่าด้วยบทบาทภาคเอกชนในการส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยยกประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหา และวางแผนเพื่อให้บรรลุ 167 เป้าหมายการพัฒนาใน 15 ปีข้างหน้า ที่เริ่มจากการปฎิรูปตนเอง พัฒนาให้มีศักยภาพอย่างมีธรรมาภิบาลเพื่อสร้างความเข้มแข็ง ก่อนนำไปสู่ความร่วมมือแบบไตรภาคีของประเทศกำลังพัฒนา ประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศมหาอำนาจ หรือองค์กรที่มีศักยภาพสูงระดับนานาชาติ นายกรัฐมนตรี เล่าด้วยว่า บางครั้งต้องตื่นมากลางดึกเพื่อเตรียมสั่งงาน เพราะตลอด 3 ปี สั่งงานไปแล้ว 8,500 เรื่องแต่ยังไม่สำเร็จ ทั้งที่อยากให้สำเร็จโดยเร็วและพ้นจากการทำหน้าที่ที่รับผิดชอบ แต่หากยังไม่สำเร็จ หรือประเทศยังไม่สงบเรียบร้อยก็จะอยู่ต่อไป
วันนี้ เวลา 12.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และภริยา เดินทางด้วยเครื่องบินกองทัพอากาศ จากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 เยือนสิงคโปร์ เพื่อร่วมประชุม IISS Shangri-La Dialogue 15th Asia Security Summit ตามคำเชิญของนายลี เซียง ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ และสถาบัน International Institute for Strategic Studies หรือ IISS ในโอกาสครบรอบ 15 ปี ของการประชุมฯ และเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลสิงคโปร์และ IISS เชิญผู้นำไทยกล่าวปาฐกถา นายกรัฐมนตรี จะกล่าวปาฐกถาห้วข้อ ทัศนะของไทย ต่อความท้าทายด้านความมั่นคงในเอเชีย-แปซิฟิก โดยนายกฯ จะกล่าวถึงแนวคิดของไทยเกี่ยวกับความมั่นคงว่า เป็นพื้นฐานของความเจริญ และการสร้างเสถียรภาพ และก่อนร่วมประชุมฯ นายกฯ จะเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชา ที่มีนายกฯ สิงคโปร์เป็นเจ้าภาพที่ทำเนียบประธานาธิบดีสิงคโปร์ เวทีการประชุมนี้ และเป็นเวทีความมั่นคงแห่งเดียวในภูมิภาคที่มีทั้งผู้นำ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมประชุม หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางกลับทันที และถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง คืนนี้ เวลา 00.20 น บรรดารัฐมนตรีกลาโหมและผู้บัญชาการกองทัพจากทั่วโลกเข้าร่วมการประชุม "แชงกรี-ลา ไดอะล็อก" ในสิงคโปร์ซึ่งเป็นการประชุมความมั่นคงประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียโดยประเด็นสำคัญที่อาจจะถูกนำหารือกัน รวมไปถึงข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ เกาหลีเหนือ ความสัมพันธ์จีนกับสหรัฐ และการก่อการร้าย สำหรับประเด็นทะเลจีนใต้ บรรดาประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคและชาติมหาอำนาจต่างกังวลเกี่ยวกับการขยายอิทธิพลของจีนจากการอ้างสิทธิ์พื้นที่ในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าสำคัญและเชื่อว่าเป็นแหล่งน้ำมันและก๊าซสำรองมหาศาล นายกฯ พร้อมคณะไปสิงคโปร์เตรียมปาฐกถาพิเศษประเด็นความมั่นคงฯเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ของไทยในภูมิภาค วันนี้ (3 มิ.ย. 59) มีรายงานข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางจากกองบิน 6 ดอนเมือง ไปยังประเทศสิงคโปร์เพื่อปาฐกถา ในการประชุม IISS Shangri-La Dialogue 15th Asia Security Summit ตามคำเชิญของนายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์และสถาบัน International Institute for Strategic Studies (IISS) ในโอกาสครบรอบ 15 ปีของการจัดการประชุม โดยมีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และพล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ร่วมคณะด้วย ขณะที่ พล.ต.วีรชน สุคนธปฎิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำไทยคนแรกที่ได้รับเชิญให้ไปกล่าวแสดงวิสัยทัศน์ในเวทีด้านความมั่นคงแห่งเดียวในภูมิภาค โดยจะเสนอมุมมองเกี่ยวกับความท้าทายทางความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งจะกลายเป็นทิศทางการหารือของการประชุมในวันต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีจะกล่าวปาฐกถาแสดงวิสัยทัศน์ของไทยต่อ มีเนื้อหาครอบคลุมทั้งประเด็นความมั่นคงในภูมิภาค สถานการณ์ของโลกและผลกระทบต่อภูมิภาค ปัญหาที่ภูมิภาคอาเซียนต้องเผชิญร่วมกัน อาทิ ปัญหาผู้ที่มีแนวคิดสุดโต่ง การประมงผิดกฎหมาย การโยกย้ายถิ่นฐานไม่ปกติในภูมิภาค รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่ไทยเผชิญมาในอดีต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาในการประชุมด้านความมั่นคง "ไอไอเอสเอส แชงกรี-ลา ไดอะล็อก" ครั้งที่ 15 ในสิงคโปร์เมื่อวานนี้ (3 มิ.ย.) โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันแก้ปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออกเพื่อรักษาสันติภาพในภูมิภาคโดยสันติวิธีบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายทางทะเล พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าการปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ หรือดีโอซีอย่างเต็มที่ในทุกข้อจะช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเจรจาแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องโดยตรง และสนับสนุนให้เร่งรัดการจัดทำระเบียบปฏิบัติอย่างเป็นทางการ หรือซีโอซีนอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ทุกประเทศในภูมิภาค ทั้งที่อ้างสิทธิและไม่ได้อ้างสิทธิในพื้นที่ทางทะเลควรมีส่วนร่วมในการดำเนินการอย่างสร้างสรรค์ บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงคาดว่า สหรัฐจะใช้เวทีการประชุมครั้งนี้ซึ่งจะมีไปจนถึงวันอาทิตย์ (5 มิ.ย.) โน้มน้าวให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงอินเดียและญี่ปุ่น แสดงจุดยืนสนับสนุนมติที่เป็นประโยชน์ต่อพันธมิตรสำคัญของสหรัฐอย่างฟิลิปปินส์ ซึ่งร้องให้ศาลอนุญาโตตุลาการถาวรรับรองสิทธิของประเทศในการใช้ประโยชน์ในทะเลจีนใต้ ขณะที่จีนซึ่งปฏิเสธอำนาจของศาลดังกล่าว จะพยายามครอบงำประเทศเหล่านี้ให้งดแสดงจุดยืนตามที่สหรัฐต้องการ ซึ่งอาจช่วยกลบเสียงวิจารณ์จากตะวันตกได้ง่ายกว่า
ธนาคารโลกรายงานผลการจัดอันดับ ด้านความสะดวกของการทำธุรกิจในปีนี้ ไทยยังคงติดอันดับ 46 ของโลก ขณะที่ภาพรวมการประกอบธุรกิจในภูมิภาคมีความสะดวกขึ้น เมื่อเทียบกับในอดีต สมคิด จี้ทุกหน่วยงานขจัดอุปสรรคด้านการแข่งขันของไทย หลังปีนี้ธนาคารโลกเลื่อนไทยขึ้น 3 อันดับ
เมื่อสักครู่สำนักข่าวต่างประเทศเสนอข่าวถึง วิกฤตเศรษฐกิจในประเทศไทยว่า ตอนนี้อยู่ในขั้นที่เรียกว่ารุนแรงและเลวร้ายที่สุด อัตราการว่างงานสูงที่สุดในหลายรอบปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากเป็น 0 และที่สำคัญ ขาดแคลนอาหารอย่างหนัก ข่าวรายงานว่า เด็กบางคนถึงกับต้อง "กินแม่" ของตัวเอง ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์เด็กคนหนึ่งว่า " เวลาหิวหนูทานอะไร" เด็กน้อยผู้น่าสงสารตอบว่า "When I am hungry I eat MAMA" ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวด้วยน้ำตานองหน้า สำนักข่าว BNN รายงาน