วัน ที่ 29 มีนาคม พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ ได้เผยแพร่ "หนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์" ผ่านสื่อต่างๆ เนื้อความของหนังสือลาออก มีใจความ ดังนี้ ....กราบเรียนท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กระผมนายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ประเภทสามัญเลขที่ 43414075 โดยผมได้สมัครเป็นสมาชิกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541 ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะต้องตกเป็นฝ่ายค้านเพราะความนิยมกำลัง ถาโถมไปที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไป และพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท. ทักษิณก็ได้เป็นรัฐบาลสมัยแรก ตอนนั้นตัวกระผมเองได้หอบหิ้วปริญญาตรีและโทกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจไม่นานนัก พร้อมกับความเชื่อที่ว่าคนเราทุกคนควรมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อสร้างสังคม ที่ดี และการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้ ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น ผมเฝ้าติดตามความเป็นไปของการเมืองไทยในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมุ่งหวังที่จะเดินเข้าไปสู่สนามการเมืองแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้กำลังกาย สมอง เวลา และโอกาสเท่าที่มีในการตอบแทนสังคมบ้างทั้งในฐานะอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือนักเขียนมือสมัครเล่นในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี สาเหตุที่ตอนนั้นกระผมตัดสินใจส่งใบสมัครมาที่พรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะ เป็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งสมัยนั้นจะมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยกว่า และกำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท ก็เพราะว่า ตัวผมเองไม่เคยเชื่อเลยว่าเจ้าของกลุ่มทุนผูกขาดอย่าง พ.ต.ท. ทักษิณจะมีความจริงใจที่จะเสียสละในการเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติได้อย่าง แท้จริง แต่มีความเชื่อว่าเนื้อแท้ของกลุ่มทุนผูกขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ สัมปทานของรัฐมักจะต้องเอารัดเอาเปรียบประชาชนอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นพรรดการเมืองที่เก่าแก่ยาวนาน มีความเป็นสถาบันการเมืองมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ในสังคมการเมืองไทย แต่วันและเวลาสอนให้ผมได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของการเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าภาพที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นอยู่บนเวทีการเมืองที่เป็นทางการอยู่มากนัก แต่สำหรับผมแล้ว ช่วงเวลาสิบกว่าปีนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นเนื้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็น อย่างดีในระดับหนึ่ง และทำให้ผมได้คำตอบมาระยะหนึ่งแล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิด ซึ่งผมขอประมวลเหตุผลมาประกอบดังต่อไปนี้ 1. พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีวันชนะใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ เพราะขาดความจริงใจมุ่งแต่สร้างภาพจอมปลอม ประโยคนี้เป็นสัจธรรมเสมอ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์และน่าจะเป็นจริงตลอดไปด้วย ตราบใดที่จะยังคงมีพรรคนี้อยู่ในเวทีการเมืองไทย เพราะประวัติศาสตร์บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มักจะได้อำนาจรัฐหรือได้เป็น รัฐบาลโดยการเพลี่ยงพล้ำของพรรคขั้วตรงข้าม ดังนั้นลักษณะของพรรคประชาธิปัตย์จะมักจะเชิดคนที่มีภาพลักษณ์ดี(สำหรับ สังคมไทย) กล่าวคือมักจะเป็นคนที่มีลักษณะความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน หรือมีชาติตระกูลสูง หรือแม้กระทั่งคนมีหน้าตาดี นอกจากนี้อาจจะมีการเชิดชูภาพของความซื่อสัตย์เป็นจุดขาย แต่จะสังเกตได้ว่านั่นมักจะเป็นเพียงหน้าฉากของผู้นำพรรคเท่านั้น แต่เบื้องหลังของผู้นำพรรคหรือแม้กระทั่งเบื้องหลังหน้ากากอันสวยหรูของ ผู้นำพรรค ก็มักจะมีบรรดานักการเมืองสกปรกที่หิวโหยอยู่ข้างหลังอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เคยนำเสนอแนวทางในการบริหารพัฒนาบ้านเมืองอัน ใดได้เลย ที่ทำอยู่ก็จะมีเพียงนโยบายเฉพาะกิจ หรือเพื่อการประชาสัมพันธ์หาเสียงเท่านั้น มุ่งจะเล่นแต่การเมืองแต่ไม่เคยพัฒนาบ้านเมือง 2. การมุ่งเล่นแต่การเมือง ทำให้บรรดานโยบายของพรรคที่ออกมา ขาดพื้นฐานด้านข้อมูลที่เป็นจริง ขาดการศึกษาและวิเคาระห์ถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่แก่ที่สุด แต่ก็ไม่เคยมีนโยบายเป็นของตัวเองมาก่อน บรรดานโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคัดลอกและดัดแปลงมา จากนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในอดีตทั้งสิ้น แต่น่าเสียใจว่าการคัดลอกดัดแปลงนั้นกลับทำได้ย่ำแย่กว่าสมัยที่พรรคไทย รักไทยเป็นรัฐบาลเสียอีก พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจว่าการที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย เป็นเพราะประชาชนหิวโหยในผลประโยชน์ ดังนั้นการเข้ามาของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเริ่มต้นด้วยการหว่านโปรยผลประโยชน์ ตั้งแต่นโยบายแจกเงินกินเปล่าให้ประชาชนหัวละสองพันบาท แต่จะเห็นได้ว่าการแจกเงินกินเปล่าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมของพรรคสูง ขึ้น กลับลดลงเสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะเหตุใด? ก็เพราะว่าวิธีการแจกเงินสองพันบาทโดยใช้ฐานข้อมมูลประกันสังคมนั้นไม่ สามารถจะนำเงินไปสู่คนยากคนจนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง ไปได้แค่เพียงคนชั้นกลางซึ่งมีข้อมูลอยู่ในทะเบียนฯเท่านั้น นโยบายนี้เหยียบย่ำหัวใจคนยากคนจนที่ส่วนใหญ่ที่ยากไร้ไม่มีที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย จะมีประกันสังคมได้อย่างไร ในขณะที่นโยบายที่ลอกและสานต่อจากนโยบายไทยรักไทยอย่างโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์หรือที่เรียกกันว่าโอท๊อป ซึ่งภาครัฐเคยจัดงานที่อิมแพคเมืองทองธานีเป็นประจำทุก ๆ ปี เป็นงานกึ่งตลาดนัดกึ่งแสดงสินค้า ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม จากผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ตลอดจนจากผู้บริโภคทั่ว ๆ ไป พอรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารก็ได้ย้ายสถานที่จัดงานมาตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทั้งตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ทั้งในลานเอนกประสงค์หน้าห้างฯ บริเวณรอบสนามกีฬาแห่งชาติ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมางานโอท็อปก็ต้องพับฐานลงอย่างน่าเสียดาย ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งสถานที่จัดงานกระจัดกระจาย สภาพอากาศที่ไม่อำนวย ทำให้จำนวนคนเข้าชมงานลดน้อยลงอย่างมาก ผู้ค้าซึ่งมาจากต่างจังหวัดนอกจากจะขายสินค้าไม่ได้ ยังต้องแบกภาระค่ากินนอนเข้าไปอีกเพราะอดีตที่เคยอาศัยบริเวณจัดงานในอิมแพ คฯก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร หัวอกคนยากคนจนและคนทำมาหากินซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่เคยเข้าใจและคงไม่มี วันจะเข้าใจได้ สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำได้อย่างเชี่ยงชาญก็คือการใส่ไคล้ทำลายและช่วงชิง โอกาส ซึ่งล้วนเป็นเกมการเมืองทั้งสิ้น 3. บริหารไร้ประสิทธิภาพแต่โกงเป็นมาตรฐาน ด้วยนโยบายหว่านผลประโยชน์กับการสร้างภาพของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้รัฐต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นมากมาย จะเห็นได้ว่ามีการกู้เงินมหาศาลกว่ารัฐบาลใดในอดีตเสียอีก แต่ลำพังการกู้นั้นมิสามารถทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายไร้ประสิทธิภาพเหล่านั้น ต่อไปได้มากนัก รัฐบาลชุดนี้จึงมีกระบวนการสร้างภาระโดยการรีดภาษีจากคนชั้นกลางในมิติ ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศมีความฝืดเคืองมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะรัฐบาลนอกจากไม่ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศแล้ว กลับบั่นทอนกำลังการบริโภคของประชาชนไปเสียอีกด้วย ในขณะที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ เราก็มักจะได้ยินข่าวการทุจริตมากขึ้นเป็นลำดับ บรรดาข่าวการทุจริตซึ่งส่วนใหญ่มาจากนโยบายจัดซื้อจัดจ้างการรับเหมาก่อ สร้างมากมาย ซึ่งมีรูปแบบคลาสสิคโบราณ และน่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถพัฒนาก้าวข้ามไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับโครงการนมโรงเรียน โครงการรถเมล์ โครงการต้นกล้าอาชีพของรัฐบาล ไปจนถึงโครงการรถเมล์BRT อภิมหาโครงการโมโนเรล โครงการซุปเปอร์สกายวอล์กของกรุงเทพมหานคร และอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกอภิสิทธิ์ประกาศไว้เมื่อครั้งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลับไม่เคย ถูกกล่าวถึงอีกเลย 4. ไม่สร้างความปรองดองกลับสร้างความแตกแยก ก็ต้องยอมรับว่าในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารประเทศนั้น สังคมไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างหนัก รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาพร้อมกับการต่อต้านของขั้วตรงข้ามในนามกลุ่มคน เสื้อแดง ซึ่งเริ่มก่อรูปมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลทักษิณ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงนั้นต้องการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปัตย์และคืน อำนาจแก่อีกขั้วการเมืองเป็นหลัก ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านหลายครั้ง และบ่อยครั้งก็ได้พัฒนาไปถึงการจลาจล ซึ่งครั้งที่รุนแรงมากที่สุดก็คือการเผาเมืองพฤษภาคม2553 ถึงแม้ว่าแก่นแกนของการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ที่พ.ต.ท. ทักษิณ โดยมีแนวร่วมหลายส่วนที่เกี่ยวกับขบวนการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ความเท่าเทียมทางสังคม ฯลฯ ดังนั้นขบวนการคนเสื้อแดงจึงกลายเป็นขบวนการที่ใหญ่และใหญ่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็เกิดอาการฝ่อ และเลือกที่จะสร้างความปรองดองกับขบวนการเสื้อแดงโดยการย่ำยีหลักการของ กฎหมาย ตั้งแต่การที่รัฐบาลไปเป็นแกนเคลื่อนไหวในการประกันตัวบรรดาแกนนำ ตลอดจนการละเว้นการติดตามทางคดีของผู้ก่อการเผาสถานที่ราชการ เอกชน ทำลายและปล้นทรัพย์สินในช่วงเหตุการณ์จลาจล การย่ำยีกฎหมายคือการสร้างความแตกแยกอันบาดลึก แต่เป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทั้งนี้เป็นไปก็เพื่อจะลอยตัว รักษาอำนาจ และสามารถเป็นรัฐบาลต่อไปได้เรื่อย ๆ หรือเปล่า
5. สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์เขาพระวิหารแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคประชา ธิปัตย์ได้อย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ได้เคยอภิปรายโจมตีในการยื่นยัตติไม่ไว้วางใจนาย นพดล ปัทมะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชเกี่ยวกับบูรณภาพเหนือดินแดนรอบตัวปราสาทเขาพระวิหาร กลับกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำเนินการเหมือนกับรัฐบาลพรรคพลัง ประชาชนและตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในสภาอย่างสิ้นเชิง หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถที่จะพูดอะไรก็ได้เพื่อให้เกิดโอกาสใน การที่ตัวเองจะสามารถพลิกผันขึ้นมาถือครองอำนาจรัฐอย่างนั้นหรือ และผลของการบริหารประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังได้ทำให้ประเทศไทยดูเหมือนไร้ เกียรติไร้ศักดิ์ศรี ตกเป็นเบี้ยล่างของบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน จนในที่สุดประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไปด้วยเหตุผลของความ โง่เขลาหรือการมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนก็สุดแล้วแต่ที่จะคาดเดาได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วถ้าศึกษากันดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการเยี่ยงนี้ทำให้ประเทศชาติและสังคม ไทยสูญเสียมาหลายครั้ง
ล่าสุดก็ครั้งที่ประเทศมีวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับกรณี ป.ร.ส. ขายหนี้ของบรรดาไฟแนนซ์ที่รัฐบาลสั่งปิดลงไปให้กับบรรดากองทุนต่างชาติ จนทำให้ต่างชาติสามารถกอบโกยผลกำไรอันมหาศาลไปจากสังคมไทย ทิ้งไว้กับกองศพของคนล้มละลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม ผลจากการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลครั้งนั้น ทำให้ธนาคารเกือบทุกธนาคารในประเทศไทยต้องตกเป็นของต่างชาติในที่สุด หรือที่คนทั่ว ๆ ไปเค้าเรียกว่าเสียเอกราชทางการเงินนั่นเอง
ด้วยเหตุผลเบื้องต้นเพียง 5 ประการนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีอุดมการณ์อะไรเพื่อประโยชน์ ของประชาชนและสังคมไทย พรรคจึงเป็นเพียงมายาภาพหลอกลวงคนที่สิ้นหวังกับการเมืองไทยในชั่วขณะหนึ่ง ๆ เท่านั้น
ทุกวันนี้เราจะได้เห็นทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแข่ง กันขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์ผลงานกันอย่างบ้าคลั่ง สมกับเป็นการเชิดปี่กลองสู้ศึกในเทศกาลเลือกตั้ง แต่กลับไม่เห็นรู้สึกถึงผลงานที่ออกมาอย่างกับในป้ายโฆษณาแต่อย่างใด ป้ายโฆษณาเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ผู้คนซึ่งได้รับความลำบากทั้งชาว ไร่ชาวนาที่ถูกกดราคาสินค้าเกษตร ทั้งคนชั้นกลางที่ถูกขูดรีดภาษีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทั้งกับผู้บริโภคทั่วไปที่ถูกตีหัวจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้น อย่างไม่เป็นธรรม ได้รู้สึกเจ็บแค้นอย่างเหนือคำบรรยาย ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งซึ่งหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์ และประสงค์ที่จะลาออกจากสมาชิกพรรคนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ ptorsuwan@yahoo.com MatichonOnline
วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1301372216 ปีนี้ 2558 ขุดเรื่องเก่า อีกแล้ววววว ไร้สาระวะ วนเวียนอยู่ในอาจม นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าววันที่ 29 มีนาคมถึงกรณีที่นายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แล้ววิพากษ์วิจารณ์พรรคอย่างเสียหายว่า เป็นเรื่องธรรมดา ที่ในแต่ละวันมีสมาชิกพรรคเข้าออกจำนวนหนึ่ง แต่กรณีของนายพรรษิษฐ์ น่าจะมาจากสาเหตุที่เจ้าตัวเขียนใบลาออกผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อหวังผลให้เกิดเป็นประเด็นข่าวในหน้าสื่อ ซึ่งได้ตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนของพรรคแล้ว นายพรรษิษฐ์น่าจะเป็นเพียงสมาชิกธรรมดาในจำนวนสมาชิกพรรคทั้งหมด 2 ล้านกว่าคน ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคระดับบุคคลสำคัญ เพราะไม่เคยเป็นผู้สมัคร ส.ส.หรือตำแหน่งการเมืองอื่นใด นาย เทพไทกล่าวต่อว่า ส่วนการออกมาให้เหตุผลวิพากษ์วิจารณ์และโจมตีพรรค ก็น่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกของแต่ละคน ซึ่งในจำนวนสมาชิกนับล้านคนย่อมมีบ้างกับพฤติกรรมของสมาชิกในลักษณะเช่นนี้ เพราะ หากดูเหตุผลทั้ง 5 ข้อ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นที่ใช้ในการวิพากษ์วิจารณ์ของคู่ต่อสู้ทางการเมือง ของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น ซึ่งพรรคจะไม่ไปตอบโต้ หรือชี้แจง เพราะถือว่าเป็นสิทธิของสมาชิกที่จะแสดงออกทางการเมืองได้ http://tnews.teenee.com/politic/64680.html/
คือ... นายเวรครับ บอกตรงๆนะ ไอ้หมอนี่มันไม่ได้มีความสำคัญอะไรต่อชีวิตประจำวันของผมเลย มันจะทำอะไรก็เรื่องของมัน แต่ผมอยากรู้ว่าไอ้หมอนี่มันมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของนายเวร(เจ้าพระยาหน้าตาดี) อย่างไร แบบไหนครับ
เวลาลูกจ้าง มันจะลาออกจากบริษัท มันจะขุดโคตรเหง้าแห่งความชั่วช้าในซอกหลืบบริษัทเอามาบรรยายได้ทุกกระเบียดนิ้ว ... และในทางตรงข้าม ... เวลาลูกจ้าง มันอยากเข้าทำงานในบริษัท มันก็ตวัดลิ้นเลียได้ตั้งแต่ทางเข้าประตูยันลูกบิดห้องสัมภาษณ์นั่นแหละ สัจธรรมสัตว์โลก มันเป็นเรื่องแปลกตรงไหน?
เฮ้อ พรรคประชาธิปัตย์นี่เป็นยังไงนะ มีแต่คนลาออกหนีจากพรรค อยู่มาได้งัย 60 กว่าปี น่าจะพิจารณาปรับปรุงพรรคได้แล้วนะ ดูนี่เป็นตัวอย่าง ประวัติการทำงาน นพดล ปัทมะ เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในระหว่างปี พ.ศ. 2539 ถึงปี พ.ศ. 2544 เคยดำรงตำแหน่งเลขานุการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (2538-2539) เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (2542-2544) และเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม(2542-2544) ต่อมาในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2548 ลงสมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ เขต 17 (ลาดพร้าว) สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ได้ 17,823 คะแนน เป็นอันดับที่ 2 ซึ่งไม่ได้รับการเลือกตั้ง จึงได้ตัดสินใจลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ต่อจากนั้นได้ย้ายเข้ามาร่วมงานการเมืองกับพรรคไทยรักไทย และเข้ามารับหน้าที่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ยงยุทธ ติยะไพรัช) ใน พ.ศ. 2549 และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช (6 กุมภาพันธ์ 2551-14 กรกฎาคม 2551) แต่ก็ต้องลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบภายหลังจากที่ได้ลงนามคำแถลงการณ์ร่วมกับประเทศกัมพูชา ที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าคำแถลงการณ์ร่วมเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190
สงสัยข้อมูลมาตามใบบอก และหลายๆคนที่โพสไม่รู้ว่าเป็นข่าวเก่าซะมากกว่า มีอ่านกันไม่จบด้วยมั๊ง เพราะ2วันนี้ที่เห็นในเวบอื่นก็มีลงเรื่องนี้กัน คือจะเอาแค่เน้นข้อ5นั่นแหละ ถ้างั้น จขกท.น่าจะไปโพสกระทู้นี้นะครับ ไม่ต้องขึ้นทู้ใหม่หรอก https://สภากาแฟ.net/threads/4-ก-ย-58-ลุ้นระทึกสมุนเผื่อทัย-กรณีเขาพระวิหาน.2938/ ข่าวแถม 30สค58 : 1. http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9580000098183 2. http://news.voicetv.co.th/thailand/252069.html คงมีใครเห็นชื่อแล้วนึกขึ้นได้มั๊ง ว่าคนนี้เคยเขียน5ข้อทีเด็ดเนี่ย เลยขุดกันมารับขวัญนพดล รึป่าว?
เอาแค่ประเด็นนี้ก็รู้จักหมอนี่ดีแล้วล่ะ ไอ้เวร ทุกประเด็นในนั้น พูดไม่ต่างกับคนเสื้อแดงคนนึงพูด ที่สำคัญ เป็นสมาชิกพรรค แต่ท่องจำเรื่องเช็ค 2000 บาทได้แค่นี้ มึงสมควรแล้วล่ะ ที่จะลาออกไป แนะนำให้ไปตวัดลิ้นเลียได้ตั้งแต่ทางเข้าประตูยันลูกบิดห้องสัมภาษณ์พรรคเพื่อไทยครับ (เครดิตคุณ kritz) พรรคเค้าคงจะต้อนรับคุณดีแน่ๆ ทีเดียว อ้อ เอาไอ้เวรไปด้วยได้มั๊ย รำคาญแม่ง
พูดถึงของเก่า ทำให้นึกถึงใครบางคนที่ตั้งกระทู้นี้ "ตั๊น จิตภัสร์" โพสต์เฟซบุ๊ก แจงไม่เคยดูถูกคนชนบท โพสประมาณว่าการดูถูกหรือด่าคนอื่นว่าโง่ เป็นเรื่องไม่ดี แต่เจ้าของกระทู้เองก็ยังดูถูกคนชนบทอยู่ทุกวันนี้
เจ้าของกระทู้ครับ เอาชัวร์ๆเลยนะ แนะนำว่าเอาเรื่องมาร์คหนีทหารมาเล่นดีก่วาว่ะ นะ... คือแบบ.. อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่อ่ะ
1. พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีวันชนะใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ เพราะขาดความจริงใจมุ่งแต่สร้างภาพจอมปลอม ประโยคนี้เป็นสัจธรรมเสมอ 2. การมุ่งเล่นแต่การเมือง 3. บริหารไร้ประสิทธิภาพแต่โกงเป็นมาตรฐาน 4. ไม่สร้างความปรองดองกลับสร้างความแตกแยก 5. สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์เขาพระวิหารแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคประชา ธิปัตย์ได้อย่างชัดเจน สมแล้วที่อยู่ในพรรคตอแหลมา ไส้มีกี่ขดรู้หมดเลย
ตาสว่างไปนานแล้วตั้งที่เคยเลือกแม้วจนไล่แม้วเองนี่แหละ โคตรตอแหลเลยหว่ะนายเวร ไม่โง่จมปลักกับไอ้แม้วที่ดีแต่ตอแหลสร้างภาพไปวันๆ เชิญนายเวรมาตาสว่างกับผมดีกว่า
แค่ขึ้นต้นมาก็มั่วฉิบหายแร้ว พ.ศ. 2541 น่ะ ปชป.เป็นรัฐบาลโว๊ยยยยยยย ส่วนไอ้เชี่ยแม้ว แมร่งเพิ่งตั้งพรรคเอ๊ง
ผมเห็นด้วยบ้างนะ แบบว่าอ่านผ่านๆ. . . แต่ผมก็ยังคงเลือไอ้พรรคแมงสาบที่คุณว่านี้แหละว่ะ อย่างน้อย มันไม่ตระกลาม โกงจำนำข้าว --- เป็นแสนล้าน // แค่เรื่องนี้ เรื่องเดียวก็พอแรงแล้ว มันไม่เคยทำน้ำท่วมเป็นแสนล้าน .... เจ๊งระนาว อย่างอ้างว่าเพิ่งเข้ามาทำงาน ไม่รู้เรื่อง ฮันนีมูนพีเหรียด ชิ ประเทศผม - เป๋็นที่ฝึกงานรึว่ะครับ โอย คร้านตอบ ตอบไปก็ไม่อ่าน ไอ้ที่ลงก็ไม่ได้เขียนเอง
งงว่าคนในกระทู้คือใครแต่ที่งงยิ่งกว่าคือคนนี้ที่ลาออกจากส.ส.เพื่อไปสมัครส.ส. http://m.dailynews.co.th/Article.do?contentId=70716