ผมไม่ได้ดู ไม่ได้ฟัง ไม่ได้อ่านที่ "เธอ" ว่าไว้หรอกครับ แต่ได้เห็นผ่านๆ จากรายการอะไรน๊า...ที่มียัยคนอ้วนๆ หน้าตาตอนพูดจา ดู ดุดัน เกรี้ยวกราด พูดไปเรื่อยๆ เหมือนท่องมาจนขึ้นใจ พูดไปในสิ่งที่ยังไม่ได้ถาม ดูได้ซักพักก็เลิก ... เลยไม่รู้ว่าเป็นคน คนเดียวกันกับที่ อ.ไพศาล ว่าไว้ และ ช่วยตอบคำถามนี้หรือเปล่า? ---------------------------------------------- ---------------------------------------------- ---------------------------------------------- ---------------------------------------------- ผมว่า ถ้า "เธอ" ตั้งคำถามเยี่ยงนี้ได้ ก็น่าจะสะแดงให้เห็นว่า... เธอ น่าจะทำอยู่ออกบ่อย... ลองถ้าศีลห้าพื้นๆ ยังมีข้อสงสัยถึงความถูกผิด กล้าขโมยของของใครแล้ว ยังสงสัยว่าจะถูกหรือผิด หรือจะถูกลงโทษมั๊ยอีกนี่... ไม่น่าจะใช่คนที่ชอบเข้าวัด เพื่อขจัดกิเลส ขัดเกลาจิตใจของตนเองแล้วแหล่ะ... จริงๆ ถ้าเป็นพระทำนี่ ถึงขั้นต้อง อาบัติปาราชิก เชียวน๊ะทั่น ขโมยของเนี่ยะ ... ขโมยจนเป็นสันดราน จนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเสียแล้วม๊าง สาวกลัทธินี้... เพื่อนๆ รู้จักเธอ และ/หรือ ได้ยินที่เธอถามเยี่ยงนี้กันบ้างหรือเปล่าครับ...
เป็นกันแทบทั้งพรรค หัวหน้าใหญ่ตัวพ่อ ออกนโยบายหาเสียง โกงใช้เงินหลวงแจกชาวบ้าน หัวหน้าใหญ่ตัวแม่ อยากซื้อที่ถูกให้ผัวออกหน้าปรามคู่แข่ง แถมจะจ่ายภาษีค่าโอนน้อยๆ ก็ให้ผัวเปลี่ยนวันหยุด ลูกกระจ๊อกกินตามน้ำ ทั้งเวียนเทียนข้าว สต๊อคลม ชักหัวคิวชาวนา
ส่อสันดานให้เห็นเลย นิสัยโจร ไม่แปลกใจเลย ทำไมไปอยู่รวมกันได้ในพรรคนี้ ไอ้แม้วโกงแล้ว พอโดนยึดทรัพย์ยังอยากได้คืน อีอ้วนบอก ขโมยมาแล้ว ทำไมต้องคืน เพราะเอาไปสร้างบ้านแล้ว มิน่ามันเข้ามาเป็นรัฐบาลกี่ครั้ง ก็โกง ก็เพราะมีนิสัยโจรกันทั้งพรรคนี่เอง
อยากถามหญิงอ้วนลีลา ถ้ามิจฉาชีพแอบไปขโมยเงินหญิงอ้วนลีลาที่ซุกไว้ ไปซื้อบ้านอยู่อาศัย จะยึดบ้านเขาไหม ถ้าไม่ยึด ขอเชิญมิจฉาชีพทั้งหลายครับ หญิงลีลาใจดี 20
เข้าใจว่า ท่านผู้ร่วมเสวนาในเวทีเดียวกันกับเธอ คงไม่มีใครให้คำตอบเธอ ณ.เวลานั้น เพราะอาจจะ "ตะลึง" ต่อคำถามที่หลุดออกมาแบบไม่ใช้ปัญญาแม้แต่น้อย... บังเอิญแว๊บไปเจอโพสต์นี้เข้า ทำให้ทราบว่า เธอ ได้เปรียบเทียบอะไรบางอย่างที่แสนประหลาดอีกอย่างหนึ่งด้วย... ------------------------------------------- ------------------------------------------- ความโกรธและโมโห ทำให้เราเองเมื่อฟังนางคนนี้ก็พลอยขาดสติไปด้วย เผลอไปก้าวล่วงสังขาร หรือพูดตรงๆก็คือความอ้วนของเธอ ซึ่งมันไม่ใช่ความผิด ไม่ใช่เรื่องที่ควรหยิบยกมาว่ากล่าวกัน วันนี้เห็นคนล้อเลียนเรื่องความอ้วนของเธออย่างหยาบคายแล้วไม่สบายใจ แต่ควรเป็นความคิดและคำพูดของเธอต่างหากที่เราต้องติติง การออกมาปกป้องธรรมกายที่เธอทุ่มกายถวายชีวิตนั่นเอง ที่บ่งบอกสติปัญญาและพื้นฐานทางความคิดของเธอ คำถามที่เธอเอามาย้อนถามสังคมว่า "การที่ลูกขโมยเงินไปสร้างบ้านให้พ่อแม่ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ต้องคืนเงินนั้นด้วยหรือ" ใครฟังแล้วก็อึ้ง ตะลึงลานไปกับคำถาม ตอบไม่ได้ไปไม่เป็น ไม่ใช่เพราะเป็นคำถามล้ำเลิศ แต่เพราะคาดไม่ถึงว่านางจะเอาเรื่องยักยอกทรัพย์ผู้อื่นมาให้วัดและเจ้าอาวาส ไปเปรียบกับ ลูกขโมยเงินมาสร้างบ้านให้พ่อแม่ ซึ่งมันคนละเรื่อง คนละอย่าง แต่หากจะถามเอาคำตอบจริงๆ ก็ต้องตอบว่า "ต้องคืน เพราะเงินนั้นมันเป็นของผู้อื่น ไม่ใช่ของตน ในโลกนี้ไม่มีใครมีสิทธิ์ไปเอาของใครได้หากเจ้าของเขาไม่ยินยอม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน และไม่ว่าจะเอาเงินที่ยักยอกมานั้นไปทำดี ทำเลวมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ล้วนเป็นความผิดทั้งสิ้น หญิงโสเภณี ขายตัวของเขา แล้วเอาเงินไปทำบุญ กับชายผู้รับจ้างบริหารกิจการ ยักยอกเอาเงินของกิจการนั้นไปทำบุญ คุณค่ามันย่อมต่างกัน ตรงที่ว่าเงินนั้นมันเป็นของผู้อื่น ......... นอกจากการเปรียบเทียบที่แสนประหลาดนี้ของนางแล้ว นางยังบอกอีกว่า คำสอนของแต่ละวัดก็เหมือนร้านอาหาร ร้านไหนอร่อยถูกใจก็เข้าร้านนั้นบ่อยๆ มันไม่แปลกหรอก หากธรรมกายจะไม่บอกว่าตนเองเป็นวัด และกำลังเผยแผ่ศาสนาพุทธ เพราะคำสอนของพระพุทธองค์นั้นมีเพียงหนึ่งเดียว เหมือนกันทั่วโลก ย่อมมิอาจเปรียบเทียบกับร้านอาหาร ที่มีหลากหลาย ว่าร้านนั้นอร่อยกว่าร้านนี้ เพราะวัดย่อมมิใช่ร้านอาหาร ถ้าธรรมกายมั่นใจว่าคำสอนและแนวทางของตนนั้นดีจริง ก็ประกาศตนเป็นลัทธิใหม่ไปเลย กำหนดให้นักบวชใส่เสื้อยืดแขนยาว สวมถุงเท้า และใส่แว่นตาดำ จะใช้ครีมรองพื้น ทาปากสีชมพูระเรื่อ และเก็บเงินค่าสมาชิกแรกเข้าได้ตามที่ต้องการ หากทำเช่นนั้นจริง จะออกเดินเรี่ยไรขอส่วนบุญกันไปจากเหนือจรดใต้ก็ไม่มีใครว่า แต่อย่ามาอ้างอิงว่าเป็นพระในศาสนาพุทธ เพราะมันไม่ใช่ กลับสำนักของหล่อน ไปบอกเจ้าอาวาสให้คายเงินที่อมเขาไว้ออกมาคืนเจ้าของเขา เพราะการเอาของที่เจ้าของเขาไม่ยินยอมนั้นมันเป็นบาป ผิดศีลข้อสองที่ว่า... อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการถือเอาของ ที่เจ้าของมิได้ให้. หนึ่งในศีล 5 ที่สำนักของหล่อนคงไม่เน้น มัวแต่หาดวงแก้ว หาสวรรค์วิมาน(อะไร)กันง่วนอยู่กระมัง นังขี้ข้า https://www.facebook.com/wanlop.sutthi ------------------------------------------- ------------------------------------------- ชักอยากให้เธอ มาออกสื่อหลักบ่อยๆซ๊ะแล้วดิ...
ถ้าจะเปรียบเป็นร้านอาหาร ธรรมกลายก็เหมือนร้านเวียดนามที่อ้างว่าขายอาหารไทย แล้วดันใส่ถั่วงอกลงในแกงเผ็ดให้ลูกค้าฝรั่งโง่ๆกินนั่นแหละ
สส พรรคนี้ทำตัวเสมือนอยู่เหนือปัญหาของชาวบ้านตลอด ตอนมีอำนาจก็ทั้งคุกคามข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม มาวันนี้หมดอำนาจ ก็พยายามดูถูกเหยียดหยามฝ่ายตรงข้าม ความหวังที่จะได้กลับมามีอำนาจคงริบหรี่ บรรดาหัวคะแนนก็โดนปลดโยกย้ายไปเยอะ ไอ้มุขเดิม ๆ อาจจะใช้ไม่ได้ เพื่อไทยเองก็รู้ว่าคะแนนตนมาจากตรงไหน ใน กทม จะคอยดูว่าคะแนนช่วยจะมีมาอีกหรือไม่ แต่อาจจะยากเพราะคนวงในเขารู้เช่นเห็นชาติแล้ว คงได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
สันดานโจร คิดแต่กรณีไปขโมย ทำไมมันไม่คิดถึงคนถูกขโมยบ้าง เช่นปล้นบ้านลีลาแล้วเอาไปทำบุญธรรมกายจะใด้ขึ้นสวรรค์มั๊ย
นี่ไงล่ะ...คนที่ทำให้บ้านเรากลายเป็นสังคมดัดจริต ตอแหล และทำให้คำว่า คนดี ถูกพวกลิเบอรัลเก๊มาใช้เป็นวาทกรรมเสียดสี เป็นศิษย์ของสำนักปฏิบัติธรรม(เก๊) แต่มุมมองไม่ไหวจะเคลียร์
มีบางเฟส...เห็นมีคนตั้งคำถามเธอเหมือนกันว่า... "ไอ้ที่ ที่พ่อแม่เธออยู่นั่น ไปโกงใครเขามาบ้างล่ะ" ... ผมล่ะ กดไลค์ให้แทบไม่ทัน... จำไม่ได้แล้วว่า แว๊บไปเจอที่ไหน...
บอกว่า ไม่ได้อ่าน ไม่ได้ดู ไม่ได้ตาม ที่เธอพล่ามอะไรหลุดออกจากปากไปบ้าง เพราะดูแว่บๆ แค่ตอนแรกๆ เท่านั้น ดูแล้ว มีความรู้สึกเหมือนที่ไม่เคยนึกอยาก ดูข่าว หรือเรื่องราวที่ นังปูเน่า เธอจ้อออกสื่อ สมัยเรืองอำนาจ ... บังเอิญไปเจอเอาที่คุณ ปู-จิตกร บุษบา ว่าไว้วันนี้( 2 มีค.58) เลยมีโอกาสได้อ่านดูเพิ่มเติม ... โอ้โห...ต้องยอมรับว่า เธอช่างกล้าจริงๆ... นอกจากเทียบ ลูกขโมยเงินให้พ่อสร้างบ้านแล้ว ยังมีอะไรที่โชว์กึ๋น โชว์อีคิว โชว์ไหวพริบ โชว์จริต โชว์ตัวตน ฯลฯ ของเธออีกพะเรอ...เช่น... - เธอใช้คำว่า “พระก็ต้องกินต้องใช้นะคะ” - เรื่องพระไตรปิฎกนั้น เธอไม่มีความรู้เกี่ยวกับมันหรอก มันยากมาก และเกิดขึ้นมาเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระพุทธศาสนาท้าทายต่อการพิสูจน์ เธอก็เข้าไปแล้วพบความสุข ปีติ เบิกบาน ครอบครัวมีความสุข มีรอยยิ้ม ไม่มีความสงสัยอะไรในตัวพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยเลย รู้แต่ว่าเธอเข้าวัดนี้แล้วมีความสุข ได้ฝึกนั่งสมาธิ ทำให้ใจเธอสบาย จากที่เคยเที่ยวเตร่ นอนไม่หลับ และอื่นๆ ที่รุมเร้าอีกสารพัด ก็หายไป นอนหลับ มีความสุข ยังชวนสมาชิกในครอบครัวไปที่วัดด้วยกัน ไปดูที่ต่างประเทศ อย่างที่เยอรมนี เธอก็ได้เห็นฝรั่งที่เขาสนใจมานั่งสมาธิ มากวาดลานวัด “คนในประเทศที่เขาสนใจเรื่องเหตุเรื่องผลมากๆ เขายังมาทดลองด้วยตัวเองเลย วัดพระธรรมกายไม่ได้สอนอะไรมาก ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องนิพพานว่าเป็นอะไรกันหรอก เอาแค่นั่งหลับตาแล้วสำรวจตัวเอง จับผิดตัวเองให้ได้ ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงโลกหรอก เปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนดีก็พอแล้ว - ลีลาวดีบอกว่า “วัดวัดหนึ่ง เดิมเป็นวัดเล็กๆ อยู่ที่ปทุมธานี มีคนเข้าวัดแค่หลักร้อยหลักพัน ปัจจุบันคนเข้าเป็นแสน คนที่เดินทางมา มาตั้งแต่เช้าจนเย็น มาด้วยความศรัทธา มานั่งสมาธิ ถามว่านั่งสมาธิแล้วคุณได้อะไร ก็ได้สำรวจตัวเอง ได้ความสุขกลับไป เปรียบเทียบพระธรรมคำสั่งสอนเหมือนอาหารที่กิน ดิฉันมีความรู้สึกว่าดิฉันชอบรสนี้ ดิฉันได้กินแล้วมันอิ่ม มันอร่อย ดิฉันก็ไปกินเรื่อยๆ แต่คนไม่ได้มากิน แล้วก็มาบอกว่าไม่อร่อย บางคนแพ้กุ้ง มากิน แล้วก็บอกว่าไม่ดีเลย แต่คนอื่นเขากินแล้วเขามีความสุข สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาดี ดิฉันรู้สึกว่าดิฉันมีความสุข” (เฮ้อ…ขนาดออกทีวี มันยังนึกถึงเรื่องกิน เรื่องชอบ เรื่องอร่อย ฯลฯ) - “เรื่องของการปกป้องพระพุทธศาสนา น่าจะเป็นเรื่องของการกันไม่ให้คนทำชั่วมากกว่า แต่ที่วัดพระธรรมกายทำ คือสอนให้คนทำความดีมากกว่านะคะ” (อย่างงี้ต้องไม่ใช่พุทธ แน่ๆ?) และสุดท้าย สรุปได้โดนใจว่า... ************************************ ************************************ ฟังทั้งหมดที่ผมเล่ามา จะเห็นว่า วิทเยนทร์เป็นพุทธศาสนิกชนชัดเจน คือ ตระหนักรู้ในศีล สมาธิ ปัญญา รู้หน้าที่ของพุทธบริษัท ไม่หลงงมงาย ศึกษาไปไกลถึงแก่นสารในพระไตรปิฎก แต่ลีลาวดีนี่ไม่ใช่ เธอเป็นได้แค่ “สาวก” ของ “สำนักปฏิบัติสมาธิ” ที่ชอบเรี่ยไรเงินทำบุญอยู่เป็นนิตย์ เธอบอกด้วยซ้ำว่า “มีอีกก็ทำอีก เพราะทำแล้วมีความสุข” เธอเป็นแค่ผู้ป่วยในทางโลก ที่กินยาสมาธิแล้วพบสุข เธอหาใช่ชาวพุทธไม่ ซึ่งน่ากังวลใจ ว่ามีคนแบบเธออีกกี่คน ในช่วงเวลาที่เรากำลังตรวจสอบว่า “โล้นห่มเหลือง” ใช้ผ้าเหลืองและพระพุทธศาสนาไปหลอกหากินกับคนป่วยและคนเขลา และเราควรกำจัดเหลือบในพระพุทธศาสนานี้อย่างไร!! ************************************ ************************************ บอกตามตรง(อีกครั้ง)น่ะครับ ผมอยากให้เธอ ออกรายการอะไรพรรค์นี้ ให้บ่อย และถี่กว่านี้จริงๆ จนกว่าจะหมดเรื่อง หรือเรื่องเงียบไป ...
“ถ้าลูกของคุณไปขโมยเงินมา เอาเงินมาให้พ่อ พ่อก็สร้างบ้านเรียบร้อยแล้ว ปรากฎว่าเป็นบ้านแล้วนะ ค้นพบว่าลูกไปโกงเขามา ต้องทุบบ้านทิ้งไหมคะ.” บ้านเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่รู้สำนึก ชั่ว-ดี ไม่ต้องทุบทิ้งครับ ที่ต้องทุบทิ้งคือ พ่อเลี้ยงลูกให้เป็นโจรและเต็มใจรับของโจรจากลูกที่เป็นโจร