แดงหมิ่นวงแตก!! สมศักดิ์เจียม - ผู้พันรู - บก. ลายจุด ลากไส้นัว ปมโรฮินจาและการลี้ภัย โรฮินจาลามถึงแดงแดงสยาม เมื่อ”หนูหริ่ง- ลายจุด”เดือดจัดหลังถูก”ผู้พันรู”ลากไส้เป็นNGOค้าความจน ประจานกลับเมากร่าง รอดตายจากกฏหมายคุ้มครองสถาบันฯเพราะชาติอื่นช่วยไว้ แต่ไร้สำนึก”สมศักดิ์เจียม”ผู้ลี้ภัยหนีคดีตัวพ่อโพล่ตำหนิ”ลายจุด”ข้อมูลคลาดเคลื่อน ปัญหาการย้ายถิ่นไม่ปกติของชาว “โรฮินจา” นอกจากกระทบโดยตรงกับรัฐบาลไทยที่ต้องเร่งแก้ไขแล้ว ดูเหมือนผู้คนในสังคมไทยก็มีความเห็นแตกต่างกันไปทั้งในแง่ความมั่นคงของชาติ และมุมด้านมนุษยธรรม แม้แต่กลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกันเอง ก็ยังมีความเห็นแตกต่างกันสุดขั้วถึงขนาดประจานลากไส้กันบนโซเชียลเน็ตเวิร์คเลยทีเดียว ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม นายสมบัติ บุญงามอนงค์(หนูหริ่ง) หรือ “บก.ลายจุด” ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวตอบโต้ผู้ใช้นามว่า “Chanin Klayklung” หรือ นายชนินทร์ คล้ายคลึง หรืออดีตนาวาอากาศตรี ชนินทร์ คล้ายคลึง ที่ถูกถอดยศและปลดพ้นราชการ ในข้อหามผิดวินัยทหาร ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และมีพฤติกรรมหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ นายสมบัติ โพสต์ว่า “”ผู้พันรู” ที่ผมเสนอให้เราช่วยเหลือโรฮินจาไม่ใช่เพราะผมเป็น NGOs แต่เพราะว่าผมเป็น “มนุษย์” ตัวเองหนีตายได้ประเทศอื่นช่วยเหลือ มีเงินแดกเหล้าเมาโพสต์เฟซโชว์กร่าง แต่ไม่มีสำนึกถึงชีวิตคนอื่นที่เขาลี้ภัยความตายเหมือนตัวเอง ชีวิตในรูมันทำให้ใจคนมันดำได้ขนาดนี้เชียวหรือ ?” การโพสต์ของนายสมบัติ มีขึ้นหลัง Chanin Klayklung โพสต์ว่า ” “Ngo ไทยชอบโรฮินจา นะครัช จะได้ตั้งกล่องบริจาคหาแดกเป็นนายหน้าค้าความจนต่อไป ใครขัดแม่งจะชี้หน้าด่าว่ามึงเหี้ย จบสัส”" ต่อมา Chanin Klayklung ได้โพสต์อีกครั้งว่า “บ.ก.ลายจุด ไม่เคยช่วยคนโดน 112 และอย่างแย่ที่สุด บ.ก.ลายจุดไม่เคยช่วยใครจริง ๆ จัง ๆ นักโทษการเมืองไม่เคยช่วย แถมขัดขวางนิรโทษเสียอีกเห็นมาตั้งแต่ น้ำท่วม เอางบประมาณมาบริหาร ที่สปก. ภาคประชาชน ทิ้งของเสียหายมากมาย ตามมาด้วยอีเว้นต์ขายข้าว เอาเงินมาจากนายทุนซื้อถูกขายแพงอ้างอุดมการณ์เสื้อแดง ตามด้วยโหนโรฮินจาดราม่า กะจะไปขอทำงานกับรัฐบาลทหารเอาเถอะทำไป ใครจะชาบูตามใจมึง ไม่ต้องมาถามว่า กูทำอะไรไปบ้าง เรื่อง fight. Project. มันอธิบายไม่ได้จริง ๆชมพู่ ลูกกูเล็กก็จริง แต่เมียกูแกร่ง และเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวได้ไม่ต้องเบียดบังเงินผู้มีศรัทธาในตัวกู ไปเลี้ยง ส่งไปเรียนเมืองนอกแบบมึง กูเจ็บแทนลูกเมียกู” วันเดียวกันนี้ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ประจำ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งลี้ภัยหลบหนีกฏหมายอยู่นอกประเทศหวั่นเกรงต่อความสุ่มเสี่ยงต่อการจับกุมในกรณี มีพฤติกรรมหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ได้โพสต์ว่า “ถ้าจะมีปัญหาอะไรปัจจุบัน ที่มีลักษณะ “ไม่ขาว ไม่ดำ” คือมีลักษณะที่ไม่สามารถใช้เหตุผลใดเหตุผลหนึ่งมาสนับสนุนนโยบายให้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหลักหรือเด็ดขาดไปเลย คือเรื่องผู้ลี้ภัยทางเรือนี่แหละ ทั้งกรณีโรฮิงญาที่ไทยกำลังเจอ และกรณีผู้ลี้ภัยทำนองเดียวกัน ในที่อื่นๆทั่วโลก ที่มาเกิดขึ้นในเวลาใกล้ๆกัน (เดือนที่แล้วนี้เอง มีผู้ลี้ภัยจากอัฟริกา ล่องเรือพยายามมายุโรป แล้วเรือล่มในเมดิเตอร์เรเนียน มีคนตายถึงราว 1 พันคน ที่ออสเตรเลีย นโยบาย “ผลักคืน” push-back เรือผู้ลี้ภัย ก็กำลังเป็นประเด็นใหญ่โต ในระยะไม่กี่ปีนี้) ผมตามอ่านการดีเบตเรื่องโรฮินจา แล้วก็รู้สึกอยู่ว่า ทั้ง 2 ฝ่าย ให้เหตุผลในลักษณะ “เว่อร์” (หรือ excessive คือ “เกินไป”) ทั้งคู่ แน่นอน มีคนตั้งข้อสังเกตว่า งานนี้ ทั้งเหลืองและแดง “สามัคคีกัน” คือ ส่วนใหญ่แสดงความรังเกียจที่จะรับโรฮิงญา ซึ่งฝ่ายที่วิพากษ์ก็พูดถูกที่ว่า การแสดงความรังเกียจหรือเหตุผลที่ยกมาในการสนับสนุนการไม่ยอมรับหลายอัน มีลักษณะ ไร้มนุษยธรรม, racism (รังเกียจทางเชื้อชาติ) และ xenophobia (ความกลัวคนต่างชาติ) ซึ่งก็เหมาะสมอยู่ที่จะวิพากษ์ แต่ผมก็เห็นว่า การให้เหตุผลในเชิง “มนุษยธรรม” ล้วนๆ มีลักษณะ excessive หรือเว่อร์ อยู่หลายคนเช่นกัน คือเรื่องนี้มันไม่ง่ายแค่ว่า “เห็นแก่มนุษยธรรม ควรรับ” อะไรแบบนั้น ไม่มีประเทศไหนสามารถรับผู้ลี้ภัยแบบไม่จำกัดหรือแบบที่มาเรื่อยๆไม่หยุด ไม่ลด ได้แน่ และเหตุผลเชิงมนุษยธรรมล้วนๆ ไม่สามารถใช้กับการกำหนดนโยบายในเรื่องนี้ได้ (ไม่ว่าที่ไทยหรือยุโรป) กรณีที่ “บ.ก.ลายจุด” สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบางคน ยกเรื่องจีนอพยพสมัยก่อนมาเปรียบเทียบ (เพื่อด่าพวกลูกหลานจีนทั้งหลายที่ตอนนี้แสดงความรังเกียจโรฮิงญา) ผมก็ว่า เป็นอะไรที่คลาดเคลื่อนนะ (ดูที่ผมเขียนในช่องคอมเม้นท์ของกระทู้นี้ https://goo.gl/rX6KZO ผมควรเพิ่มอีกนิดด้วยว่า ในสมัยที่สยามรับคนจีนแบบไม่มีโควต้านั้น คนที่อพยพออกก็มาก คืออพยพเข้าปีละเป็นหมื่นๆ และอพยพกลับจีนไปปีละเป็นหมื่นๆเช่นกัน เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่วาในกรณีผู้อพยพทีไหน ไทยหรือยุโรป) (จริงๆ เรื่อง “มนุษยธรรม” นั้น ถ้าพูดกันในเชิงปรัชญาแบบถึงที่สุดในกรณีนี้จริงๆ มันยังซับซ้อนในแง่เกี่ยวกับปัญหา “การตัดสินใจ” ด้วยตัวเองของฝ่ายลี้ภัยด้วย ในแง่ของการตัดสินใจที่จะลี้ภัย คือมันเป็น “อ๊อฟชั่น” หรือ “ช้อยซ์” อย่างหนึ่งของพวกเขาเองเช่นกัน หมายถึงว่า ไม่ใช่การลี้ภัยทุกกรณีเป็นเรื่องที่ “ไม่มีทางเลือก” เสียทั้งหมด แต่เรื่องนี้ เป็นอะไรที่พูดแล้วยาว เอาเข้าจริง เหตุผลเชิง “คุณธรรม” เป็นอะไรที่มักมีปัญหาเถียงได้ในเชิงปรัชญาไม่รู้จบ) จริงๆโดยส่วนตัว ผมก็โน้มเอียงไปในทางที่อาจจะเรียกว่า “รับชั่วคราวเฉพาะหน้ามากๆอย่างมีเงื่อนไข” ประมาณอาจจะต้องตั้งเป็นศูนย์รับเฉพาะชั่วคราว ในขณะที่ดำเนินเรื่องการเจรจากับประเทศต่างๆ (กรณีโรฮิงญา ผมยังมองว่า ประเทศที่ผิดทีสุดคือพม่านั่นแหละ รวมถึง “ฝ่ายค้าน” พม่า คุณอองซานซูยี ด้วย ที่ไม่ถือว่า คนโรฮิงญาเป็นคนพม่า ตามหลักปัจจุบัน ทุกคนที่เกิดในเขตรัฐก็ต้องถือว่าเป็นคนของรัฐนั้น คนโรฮิงญาที่เกิดในรัฐยะไข่ พม่าก็ควรต้องถือเป็นคนพม่าเต็มที่) แต่ขณะเดียวกัน ถ้าพูดกันจริงๆ ผมเห็นอยู่เหมือนกันว่า แม้แต่การ “ผลักดัน” (push-back โดยช่วยเรือ่งอาหาร น้ำท่า เพื่อการเดินทางต่อ) มันมี point หรือมี “เหตุผล” อยู่เหมือนกัน ในแง่ที่ว่า ถ้าเริ่มรับแล้ว ก็มองหาจุดที่จะหยุดไม่ได้ และจะมีการมาเพิ่มเรื่อยๆ (อันนี้เป็นอะไรที่ผมว่าจริงอยู่ คือถ้ามีข่าวว่า ประเทศใดรับผู้ลี้ภัยทางเรือเสมอ ทังคนลี้ภัยเอง ทั้งเครือข่าย-นายหน้า ที่ดำเนินการเรืองนี้ ก็จะมุ่งดำเนินหรือเพิ่มการลี้ภัยโดยมี”เป้า”ที่ประเทศนั้นๆอยู่) บางทีก็เคยนึกเล่นๆว่า อาจจะต้องใช้ประเภท “รับบ้าง ผลักบ้าง” ด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่า นี่เป็นอะไรที่ไม่เวิร์คเช่นกัน .. คือจริงๆ เรื่องนี้ ไม่ว่านโยบายไหน ก็ไม่เวิร์คเต็มที่ และมีปัญหาใหญ่ที่เป็นลูกโซ่ตามมาทั้งนั้น (ย้ำว่า “ใหญ่” นะ คือไม่ว่าทางไหน ก็จะมีปัญหาทีใหญ่ๆจริงๆตามมา ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ) เรื่องลี้ภัยทางเรือนี้ ผมตามมาตั้งแต่สมัยที่ใช้ชีวิตอยู่ในออสเตรเลีย และก็ตามเรื่อยมา ยิ่งมาตอนนี้ ก็ยิ่งสนใจเพราะสถานะของตัวเองด้วย (อย่างทีเขียนไปตอนต้น ใครที่ตามเรืองทียุโรป คงพอรู้ว่า ตอนนี้ มี “วิกฤต” หนักมากเรื่องนี้) มันเป็นอะไรที่ “แก้ไม่ตก” ในระยะเฉพาะหน้าจริงๆ ยกเว้นแต่จะต้องแก้ปัญหาที่ “ต้นเหตุ” (ซึ่งก็คงไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไปทั้งหมด แต่อย่างน้อย จะลดลงกว่านี้มาก) คือ ที่ตะวันออกกลาง-อาฟริกาเหนือ และที่ในพม่าเอง ซึงปัญหาก็ยังอยู่ว่า ปัญหา”ต้นตอ”เหล่านี้ ก็ไม่มีแนวโน้มจะแก้ได้ในเวลาสั้นๆเสียอีก”. cr.http://chaoprayanews.com/blog/socialtalk/2015/05/19/แดงสยาม-วงแตก-แดงหมิ่นฯ/
คนมีสกุล แบบประชาธิปไตย เห็นต่างกันได้ เป็นเรื่องงดงาม ของประชาธิปไตย ส่วนคนสถุน แอบอ้างปชต ก็มานั่งเลียทอปบุท แล้วกระดิกหางไปวันๆ ดีครับนาย ใช่ครับ ถูกครับพี่ แผล็บๆ
สงครามเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ผู้คนต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย ถัดมาก็คือความคับแค้นจากการถูกกดขี่ต่อชนกลุ่มน้อย ปัญหาสงครามที่ยืดเยื้อในตะวันออกกลางเช่นอัฟกานิสถานทำให้ประชากรต้องอพยพจากถิ่นฐานของตนมานานถึง 32 ปีแล้ว รองๆลงมาคืออิรัก และซีเรีย รวมทั้งโซมาเลียในแอฟริกา และเร็วๆนี้คือเมื่อ 11ก.พ.58 ก็เกิดเหตุสลดครั้งใหญ่ที่ผู้ลี้ภัยจากแอฟริกากว่า 200 คนต้องจบชีวิตกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ขณะล่องเรือแสวงหาชีวิตใหม่ในยุโรป ในปัจจุบันผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ไม่ได้สมัครขอไปอยู่สหรัฐฯอีกต่อไป ประเทศที่รับผู้ลี้ภัยมากสุดกลับกลายเป็นเยอรมนีที่จำต้องรับผู้อพยพถึงปีละ 110,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยสงครามจากอิรักและซีเรีย ตามมาด้วยฝรั่งเศส สวีเดน ตุรกี และอังกฤษ ส่วนอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่มีข่าวเรื่องเรือผู้อพยพล่มก่อนถึงมากที่สุดจะรับผู้ลี้ภัยปีละไม่ถึง 30,000 คนเท่านั้น ประเทศที่มีผู้ลี้ภัยออกมามากสุด(จากสถิติของยูโรสแตท..หน่วยงานด้านสถิติของสหภาพยุโรป) เมื่อปี 2013 พบว่าซีเรียครองแชมป์ มีผู้ขอลี้ภัยออกนอกประเทศถึงกว่า 50,000 คน เพราะภัยสงครามในซีเรียนั้นโหดและรุนแรงขึ้นทุกวัน แต่ประเทศที่มีผู้ลี้ภัยมากเป็นอันดับสอง กลับน่าตกใจ เพราะเป็นประเทศมหาอำนาจอย่างรัสเซีย มีผู้ลี้ภัยกว่า 40,000 คน ที่หลบหนีกฎหมายอันรุนแรงและการกดขี่คนกลุ่มน้อยในประเทศ ผู้ลี้ภัยมักขอลี้ภัยไปยังประเทศโลกที่ 1 ซึ่งต้องรับผู้ลี้ภัย 80% ของทั้งโลก และภูมิภาคที่รับบทหนักที่สุด ก็คือยุโรป ที่รับผู้ลี้ภัยร้อยละ 79 ของโลก โดย 1/4 ของจำนวนนี้เป็นภาระของเยอรมนี/ มีเพียง 16% ที่เดินทางไปแคนาดาและสหรัฐฯ และที่น่าสนใจก็คือมหาอำนาจเอเชียอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ รับผู้ลี้ภัยเพียง 1% เท่านั้น สถิตินี้ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า ประเทศยุโรปที่กำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจหนักหน่วง จะทนแบกรับภาระผู้อพยพไหวหรือไม่ ยังไม่นับความแตกแยกในสังคมจากกระแสต่อต้านชาวมุสลิมอันเนื่องมาจากภัยก่อการร้าย อ่านเรื่องของยุโรปแล้วสรุปว่า การอพยพกับไทยกลายเป็นเรื่องจิ๊บไปเมื่อเทียบกับที่อื่น อาจารย์สมศักดิ์ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วถึงชนกลุ่มน้อยที่คิดไม่เหมือนคนอื่นได้ผันตัวเองเป็นผู้อพยพ หวังว่านายชนินทร์และบ.ก.ลายจุ่ดผู้ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยเช่นกันจะไม่มัวมานั่งทะเลาะกันเอง จงผันตัวเองเป็นผู้อพยพจากผืนแผ่นดินไทยในเร็ววัน ..
ควายสถุลนี่ หมายถึงควายแดงใช่มั้ย เห็นต่างเป็นตื้บ นั่งเลียไข่แม้วไปวันๆ เชิดชูนักโทษหนีคุกที่แอบอ้างประชาธิปไตย ใช่ครับ บังเอิญไม่ได้ชอบเลียแบบ สิ่งมีชีวิตที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นหมาแดง หรือควายแดง หรือผสมๆกันไร้ค่าเหมือนโรฮิงญาเป๊ะ
ประชาธิปไตยฉิหายเล้ย สั่งขี้ข้าในพรรค เขียนใบลาออกล่วงหน้าเลย เห็นต่างมึงออกไปเลย นี่หรือประชาธิปไตยที่งดงามของสี่ขา 2 เขา คนสถุนน่าจะเป็นพวกแอบอ้าง ปชต นั่งเลียตีนนักโทษหนีคุกมากกว่า ส่งอีโง่ ที่ไม่รู้เรื่องการเมืองเลย มาเป็นนายก เพียงเพราะมันเป็นน้องเจ้าของพรรค พวกขี้ข้าจะหือได้ไง มีประเทศประชาธิปไตยที่ไหน หัวหน้าพรรคไม่ได้เป็น นายก คนไม่ได้เป็นหัวหน้า แต่เป็นน้องเจ้าของพรรค ได้เป็น นายกแทน
ที่ถูกคือ คนมีสถุลแบบประชาธิปไตยควายแดง เห็นต่างกันได้ แต่กูตื้บ เป็นเรื่องงดงาม สีสันประชาธิปไตย คนสถุล แอบอ้างปชต ก็มานั่งเลียตีนแม้ว แล้วกระดิกหางไปวันๆ ดีครับนาย ใช่ครับ ถูกครับพี่ แผล็บๆ
จากรูปของคุณ tonythebest เห็นรูปของคุณพงษ์พัฒน์ ก็นึกขึ้นได้ว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่เข้าใจ ว่าส่วนไหนของคำพูดที่ไปทำให้เสื้อแดงเดือดร้อนและโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้ ทั้งที่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเสื้อแดงเลย
ผมเชื่อว่าสุดท้ายแดงกลุ่มนี้จะแตกคอและหายไปในที่สุด เพราะไอ้ที่ซวยก็ซวยไป ไอ้พวกจะซวย กลับเนื้อกลับตัวทันก็เลิกเพราะรู้แล้วว่าทำไมกุต้องซวยด้วย
คนอื่นบอกไปหมดแล้ว พวกเดียวกันเห็นต่างไม่เป็นไร คนละพวกเห็นต่างก็ไล่ล่าซะงั้น แบนแม้กระทั่งเคิร์ท โคเบน นักร้องในตำนานจากต่างแดนกลายเป็นสลิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ?? ขออภัยแฟนเพลงนอกด้วยนะครับ
555 ด่าทักกี้นี้หว่า ถ้าไม่มีทหาร ทักกี้ไม่ได้สัมปทานดาวเทียมหรอก อีกอย่างเห็นต่างได้ ทำไหมบอกว่าคสช.ดีกว่าปูกับทักกี้ถึงออกมาด่า