Bank of Thailand Scholarship Students (Mar 14) คอลัมน์ ธุรกิจโลก: สิงคโปร์หมดยุคความเป็นสวรรค์นักช็อปสินค้าแบรนด์เนมรวมหัวม้วนเสื่อถอนสมอ - ชะตากรรมเศรษฐกิจและธุรกิจของสิงคโปร์กำลังต้องเผชิญกับวิบากกรรมสาหัสสากรรจ์อย่างเหลือเชื่อชนิดที่ไม่เคยเจอะเจอมาก่อน เมื่อดัชนีชี้วัดชีพจรความเคลื่อนไหวของทั้งเศรษฐกิจและธุรกิจล้วนอยู่ในอาการ "พะงาบ" น่าเป็นห่วงเป็นกังวลยิ่งนัก น่าจะถือเป็นปรากฏการณ์เหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง สำหรับประเทศสิงคโปร์ ที่กำลังเกิดกระแสการอพยพเคลื่อนย้ายการลงทุนหนีออกจากสิงคโปร์ของบรรดาสินค้าแบรนด์เนมระดับโลก ควบคู่ไปกับการทยอยปิดตัวเองลงของห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายแห่ง ทั้งๆ ที่ใกล้เวลาของการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเต็มรูปแบบเต็มที และทั้งๆ ที่ประเทศสิงคโปร์ น่าจะเป็นศูนย์กลางการทำธุรกรรมทางธุรกิจที่สำคัญของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน สำคัญที่สุดคือ กาสิโนรีสอร์ต หรือแม้กระทั่งสวนสนุกระดับโลก ซึ่งเคยถูกเชื่อกันว่าน่าจะเป็นเครื่องมือที่ทรงอานุภาพสูงในการดูดนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก ให้เข้าไปใช้จ่ายเงินหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจในสิงคโปร์ เอาเข้าจริงก็ไม่มีน้ำยาที่จะช่วยอะไรได้ Lowrys Farm ค่ายเสื้อผ้าชั้นนำจากญี่ปุ่น...River Island แบรนด์สินค้าชั้นนำจากอังกฤษ...หรือ Aussino Group แบรนด์สินค้าชั้นนำจากถิ่นอเมริกา ต่างพากันม้วนเสื่อถอนสมอออกจากสิงคโปร์ไปเรียบร้อย ทำนองเดียว กันห้างสรรพสินค้าอย่าง Parco หรือ Franc-Franc ก็ยุติการดำเนินกิจการในสิงคโปร์ลงเช่นกัน อิเซตัน ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำสัญชาติญี่ปุ่น ก็มีแนวโน้มจะปรับลดขนาดพื้นที่บริการของสาขาในสิงคโปร์ ให้กะทัดรัดกว่าที่เป็นอยู่. เหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้เหล่าผู้ประกอบการประเภทอินเตอร์แบรนด์ระดับโลก พากัน "ยกธงขาว" แล้วทยอย "ม้วนเสื่อ" ถอนการลงทุนออกจากสิงคโปร์ มีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ ประการแรก ต้นทุนค่าจ้าง ค่าดำเนินงานต่อรายได้ หรือพูดให้ง่ายขึ้นก็คือ "กำไร" ลดน้อยถอยลงจนน่าใจหาย และหากขืนกัดฟันเปิดดำเนินกิจการอยู่ต่อไปโอกาสที่จะต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ "ทุนหาย กำไรหด" จึงพากันชิงตัดไฟแต่ต้นลมประการที่สอง จำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่แข็งแรง มั่นคงที่สุดของสินค้าแบรนด์เนม และห้างสรรพสินค้าระดับเวิลด์คลาส มีแนวโน้มที่จะถดถอยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน ประการที่สาม คือกระแสนิยมในการจับจ่ายสินค้าผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทางการสิงคโปร์ ดูจะตระหนักรู้ถึงปฏิกิริยาทางลบที่กำลังอุบัติขึ้นในระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างดี และพยายามสร้างแรงจูงใจ ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมากระเตื้องเฟื่องฟูขึ้น เพื่อสร้างความคึกคักมีชีวิตชีวาแก่ระบบเศรษฐกิจสิงคโปร์ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้. รูปธรรมที่สะท้อนถึงความพยายามดึงดูดนักท่องเที่ยวชัดเจนที่สุด คือการดำเนินการของธนาคารแห่งชาติสิงคโปร์ ที่บริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนให้สกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์ มีการอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก และสกุลเงินในกลุ่มอาเซียน รวมทั้งสกุลเงินบาทของไทย เบื้องลึกของการดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว คือการทำให้ค่าใช้จ่ายในการแสวงหาความสุขจากการท่องเที่ยวในสิงคโปร์ย่อมเยาลง จากค่าเงินที่อ่อนลง ซึ่งน่าจะไปเป็นพลังเหนี่ยวนำให้นักท่องเที่ยวหันกลับเข้าไปท่อ งเที่ยว หันกลับไปช็อปปิ้งในสิงคโปร์กันมากขึ้น ก่อนที่สิงคโปร์จะต้องกลายเป็น "เกาะร้าง" Source: สยามธุรกิจ Mrnop Noom Thailand สิงค์โปร์ ไม่ได้เป็นเมืองที่สวยหรูอย่างที่หลายคนวาดฝันไว้ ค่าครองชีพสูง แรงกดดันจากสังคมสูง ที่กินที่พัก แพงมหาโหด การจะมีบ้านสักหลัง คอนโดสักห้องนี่เป็นเรื่องที่ยากมาก จากสภาพเช่นนี้ อีก 10ปีข้างหน้า สิงโปกจะเป็นอย่างไร ประชากรน้อยลง เพราะเครียด ชนาดที่อยู่พอๆกะ ภูเก็ต เป็นเกาะพื้นเนินสูง น้ำจืดน้อย ต้องส่งเข้าจากมาเลฯ เป็นประเทศที่มีเอกเทศ จึงไปไหนจากขอบเขตไม่ได้มากกว่าเกาะ(ตนชนชั้นทั่วไป) แค่ข้ามเกาะ ก้อเป็นคนนอกประเทศแล้ว ไม่เหมือนคนภูเก็จ มีพื้นที่มากกว่าหลาย 10เท่า ไปมาค้าขาย ย้ายที่อยู่ ง่ายกว่า คำว่า "ประเทศ" จึงมีมากกว่า คำว่า ""ประชาทิปต้ายย" นะ มองไปที่การแยกตัวออกจาก "โซเวียต" ประเทศที่อยากออกมาเป็นอิสระ ล้วนคิดว่า น่าจะดีกว่า จากกลุ่มคนที่คิดเองว่า ตนปกครองได้ คล้ายๆคนบางคนนะ ลองวิเคราะห์ตามตรรกะ ดูนะ หรือคดตามแนวความเห็นแบบป่าช้า ก้อได้ กระทู้เปิด Free Post เลยยยยยย!
แต่ผมว่า พวกสิงคโปร์ อะ ตายยาก เพราะเอาเปรียบประเทศอื่น เก่งชะมัด ตอนผมทำอยู่โรงงานเหล็กอะ (เจ้านาย ส่งไป) สิงคโปร์ มันคุมเราซะอยู่หมัดอะ (เราเป็น โรงงานที่ตั้งขึ้นมา เพื่อรับงานหลัก จากบริษัท สิงคโปร์ อีกที) มันกำหนดเราได้เกือบหมด วัตถุดิบ วัสดุสิ้นเปลือง โรงกัลวาไนซ์ แล้วก็ ยังเกือบจะคุมบัญชี เราได้อะ (ใช้คนไทย ที่เป็นผู้จัดการ ของบริษัท สิงคโปร์ สาขาในไทย นี่ล่ะ ควบคุมอีกที) คิดแล้วแค้นชะมัด เจ้านายผม เกือบจะขาดทุนหนักอะ ยังดี ฟ้ายังปราณี แต่เห็นได้ยินว่า บริษัทรูปแบบนี้ ที่ไทยอีกบริษัท กับที่ อินโด อะ โดนเอาเปรียบหนักมาก ๆ ที่ไทย เป็นหนี้บานเลย เท่าที่รู้นะ เห็นไหม เค้าครอบงำ เราได้ เพราะอำนาจ ของการ ซื้อขาย กับต่างชาติ ที่เค้าถนัดนี่ล่ะ (เป็นคนคุม ตลาด ประมาณนั้นอะ) ทำให้เค้ายืนยง คงอยู่ ได้ทุกวันนี้ ผมว่า ถ้ายังเขี้ยวแบบนี้ อีกร้อยปี ก็ตายยากอะ
พวกสร้างอำนาจการต่อรองด้วยแท๊กติกของเงินตรา... แล้วจะเจริญดากบานตามแบบผู้นำผู้นำทุนิยมทิโตกไปติดๆ... น่าจะเห็นผลไวกว่าใครเพื่อน เพราะเจื่อก "เล็ก"
พูดตามตรงครับ ว่า แพง มากครับ ค่าใช้จ่าย เท่าๆ กับ ไป ฮ่องกง แต่ ปัจจุบัน ฟุกุโอกะ คือ จุดหมายของผมครับ ไปเอง 6 คืน ตั๋วเครื่องบิน+รร ตกคนละ 18,xxx
เขาเข้มแข็งเพราะคนของเขามีคุณภาพค่ะ อย่างน้อยก็คนกลุ่มที่กุมอำนาจอยู่น่ะนะ คนกลุ่มล่างๆ นี่ถ้าไม่ค้าแรงงาน ค้าประเวณี เป็นอาชญากร ก็ต้องดิ้นรนไปหางานต่างประเทศ ลักษณะมันรวยกระจุก จนกระจายนะผึ้งว่า เพราะคนรวยก็รวย มีเงินซื้อบ้านราคาเป็นล้านๆ หลายๆ หลัง ขณะที่คนจนต้องไปอาศัยนอนในสุสาน
นี้แหละที่ทำให้คนหนีจาก สิงกิด ไม่ได้ว่าจะต้องอยู่ในสิงคโปก์ ตอนนี้ที่ไหนๆ ก้อไปลงทุนได้ หนีไปลงทุนที่ปินส์ ก้อมากนี้ แค่เกาะแค่นั้น ลดการลงทุนลงเรื่อยๆ ก้อแย่แล้ว คนสิงกิดนะรู้ ชั้นต่ำ+ชั้นกลาง ส่วนใหญ่ ไม่ไหวกันแล้ว ตลาดขายของราคาที่ตะโกนว่า .."ตื่อ ไลค์แหลี้ยว"(หมูมาแล้ว) ตอนทัวส์ไทยไปลงเที่ยวที่สิงโปก 20ปีที่แล้วนะ ตอนนี้เงียบกริบ??
ตอน วัยรุ่น ยังจำได้ ว่า ฝาก ซื้อ รองเท้า Adidas จากสิงคโปร์ ตอนนี้ นึกไม่ออกจริง ๆ ว่า จะฝากซื้ออะไร เพราะ บ้านเรา มีทุกอย่าง ยกเว้น ประชาธิปไตย 55555
ประชาธิปไตย ที่สิงโปก เดินสิ อยู่แค่ในเกาะ เค้าเดินไปเคาะประตูเลย คัยเป็นคัยเห็นหน้ากันทุกวัน แบบออกมานั่งดื่มกัน ส่วนมากเป็น นทท. มากกว่า แบบขึ้นไปชมวิวกินปลาท่องโก้ บนเรือยอดโรงแรมไม่มีหรอก
ตามจริงแล้ว ทุกท่านคงทราบว่าแค่อัตราการเกิดของประชากรชาวสิงคโปร์ก็น่าใจหายแล้ว แถมบุคคลากรรุ่นเก่าที่เก๋า ก็มีอายุที่สูงขึ้นกลายเป็นภาระของรัฐบาล ยังตามมาด้วยปัญหาด้านกำลังซื้อ อันเนื่องมาจากค่าครองชีพที่สูงติดอันดับโลก แถมตอนนี้พี่ใหญ่อย่างจีน มีศักยภาพหลายอย่างแซงสิงค์โป ทั้ง เกาลูน ฮ่องกง มาเก๊า เซี่ยงไฮ้ แล้วคิดว่าที่ไหนดึงดูดคนมากกว่ากัน(ประชากร 78% ของสิงคโปร์เป็นชาวจีน) ดังนั้นในมุมมองของผมสิงคโปร์ จะอยู่หรือไปขึ้นอยู่กับเวลา ว่าตระกูลลีจะสามารถหามาตรการณ์อะไรมาหยุดสิ่งเหล่านี่ได้หรือไม่ http://th.wikipedia.org/wiki/ประชากรศาสตร์สิงคโปร์
เท่าที่ผมได้รับทราบมา การลงทุนทางการค้า การผลิตอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ จะทะยอยหมดไปตามแผนที่วางไว้อยู่แล้ว แต่จะเปลี่ยนไปเป็นการลงทุนทางการวิจัยระดับสูง การศึกษาระดับสูง มหาวิทยาลัยระดับต้นๆของโลก จะมารวมกันที่สิงคโปร์ มีการปรับอัตราค่าจ้างบุคลากร ระดับหัวกะทิ ดึงมาจากทั่วโลก ให้มาทำงานที่สิงคโปร์เป็นจำนวนมาก
ตอนนี้หลายประเทศก็มีการเพิ่มศักยภาพด้านการศึกษาของตัวเองอยู่ครับ แม้แต่รัสเซียยังมีอันดับสูงขึ้นมาก แถมหลังของจีน ญี่ปุ่น เองก็มีอันดับที่สูงมากครับ 10 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2014/15 ได้แก่ อันดับ 1 : Massachusetts Institute of Technology (MIT) อันดับ 2 : University of Cambridge อันดับ 2 : Imperial College London อันดับ 4 : Harvard University อันดับ 5 : University of Oxford อันดับ 5 : UCL (University College London) อันดับ 7 : Stanford University อันดับ 8 : California Institute of Technology (Caltech) อันดับ 9 : Princeton University อันดับ 10 : Yale University ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >>> http://www.topuniversities.com/univ...region=+country=+faculty=+stars=false+search= 10 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2014/15 ได้แก่ อันดับ 1 : National University of Singapore (NUS) (อันดับที่ 22 ของโลก) อันดับ 2 : University of Hong Kong (อันดับที่ 28 ของโลก) อันดับ 3 : The University of Tokyo (อันดับที่ 31 ของโลก) อันดับ 3 : Seoul National University (อันดับที่ 31 ของโลก) อันดับ 5 : Kyoto University (อันดับที่ 36 ของโลก) อันดับ 6 : Nanyang Technological University (NTU) (อันดับที่ 39 ของโลก) อันดับ 7 : The Hong Kong University of Science and Technology (อันดับที่ 40 ของโลก) อันดับ 8 : The Chinese University of Hong Kong (อันดับที่ 46 ของโลก) อันดับ 9 : Tsinghua UniversityTsinghua University (อันดับที่ 47 ของโลก) อันดับ 10 : KAIST - Korea Advanced Institute of Science & Technology (อันดับที่ 51 ของโลก)
ที่น่ากังวลสำหรับไทย คือสิงค์โปร์ นี่ กุมชะตากรรมแบงค์ไทยไปเยอะ ระบบธนาคารไทยถ้าต่างชาติคุมได้หมดนี่ ง่อยแดรกแน่ๆ
เป็นประเทศที่ไม่จำเป็นไม่ไปค่ะ เกาะบ้าไรแพงระยับ นั่งรถเที่ยวครึ่งวันก็รอบเกาะ ไม่เห็นมีอะไร จากที่เห็นๆที่เมื่อก่อนไปเทรนต้องไปสิงคโปร์ เด่วนี้หรือคะ มาเปิด Training Center ที่เมืองไทยแล้ว ถูกกว่ากันครึ่งนึง
พอเข้าใจจากหลายความเห็นของแต่ล่ะท่านว่า... มันเหมือนกับพวกก๊วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาที่ขายข้างถนนชามล่ะ 25 แล้วจับแต่งตัว ใส่ตะกร้าล้างน้ำใหม่ไปวางในห้าง... กลายเป็นก๊วยเตี๋ยวรสชาติ, ปริมาณเดิมๆที่ชามล่ะ 60 แฮะขอรับ...
น่าเป็นยุคหันหลังกลับแล้ว ชะลอตัวลงเรื่อยๆ เมื่อก่อนเป็นชุมทางการล่องเรือ จุดพักเรือ ย่อมมีร้านอาหาร ห้องสุขา ต่อไปเป็นแค่ทางผ่าน เพราะการเดินทางขนส่ง ตอนนี้ เขาส่งทางไปรษณีย์ไทยแล้ว แน่นอนว่า ไมเป๋นที่ๆคนจะเวาะไปแล้ว สู้ไปร้องเพลงที่ นิกาตะ ไปเช้ากลับเย็นยังได้เลย ว่าม่ะ?
สินค้าไทย ขายที่สิงคโปร์ อย่างนีเวีย แพงกว่าซื้อในไทย 2-3 เท่า ไปเที่ยว 4 วัน ก็รอบเกาะแล้ว แต่ยอมรับว่าประเทศเขา สะอาดจริงๆ ของกินอร่อย
เรื่องที่น่าเอาเยี่ยงอย่างของสิงคโปร์ ก็คงเป็นเรื่องการวางกฎระเบียบบ้านเมืองเข้มๆ นี่แหละ จะมีใครแถวนี้บอกว่าริดรอนเสรีภาพมั้ย เพราะแม้แต่เสรีภาพในการครอบครองและเคี้ยวหมากฝรั่งยังไม่มีเลย
เป็นประเทศที่ไม่มีอะไรเลย แต่ต้องการพาตนเองไปสู่การเป็นมหาอำนาจ แบบที่เผ่าพันธ์ุยิวเคยได้ทำสำเร็จจนมีสถานะเป็นเจ้าโลกที่ชักไยปกครองโลกในเงามืด
เต๋า เต็ก เก็ง : ปรัชญาของเหล่าจื้อ คนที่ยืนเขย่งเท้าเพื่อที่จะยืนอยู่เหนือคนอื่น ผู้นั้นย่อมยืนอยู่ไม่ได้นาน คนที่ก้าวเท้ายาวเกินไปเพื่อจะลำหน้าคนอื่น ย่อมไปไม่ได้ไกล คนที่แสดงตนว่าตนเองมีพระเดชพระคุณ จะกลับเป็นคนถูกเขาเนรคุณ ไม่มีผู้นับถือ (ต.ต.ก.บทที่ 3) https://www.gotoknow.org/posts/553851
มีสิ่งที่น่าสังเกตุในเรื่องนี้อยู่อย่าง ในยุคที่อเมริกาเฟื่องฟูสุดๆ สิงคโปร์ก็คือตัวแทนนายหน้าที่ไอ้กันไว้วางใจมากที่สุดในเอเซีย นั่นทำให้สิงคโปร์รุ่งเรืองตามไปด้วย แต่มาถึงยุคที่เมกันตกต่ำ แต่จีนกลับเจริญรุดหน้าเป็นมหาอำนาจที่ท้าทายอเมริกาอย่าง น่าจับตา สิงค์ก็พยายามจะเกาะจีนตามประสานายหน้าขูดเลือด แต่จีนกลับทอดไมตรีให้ไทยอย่างออกหน้าออกตา ถึงกับประกาศ ให้ชาวโลกได้รับรู้ว่า จีนกำหนดให้ไทยเป็นศูนย์กลางแห่งอาเซียน สิ่งนี้มีนัยยะแสดงให้เห็นว่า ไทยเป็นชาติที่น่าคบที่สุดในอาเซียน ในความคิดของจีน ประกอบกับทำเลของไทยที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ ทางความมั่นคงในภูมิภาคเอเซีย ชนิดที่ว่าหากชาติไหนได้ตั้งฐานทัพ หริือติดตั้งอาวุธในไทยแล้ว เหมือนเอาปืนไปจ่อหัวชาติอื่นในเอเซีย ได้เกือบทั้งหมด เหลือก็เพียงแต่คนไทยจะพัฒนาตนเองให้ทันต่อ เกมการเมืองระหว่างประเทศได้อย่างไร โดยไม่ต้องจมปลักไปกับ ความขัดแย้งทางการเมืองบ้าๆบอๆ แบบที่ทักษิณและพวกได้ทำไว้
ถ้าเที่ยว วันเดียวก้อรอบแล้ว ถ้ากินลมชมวิว ก้อ 3-4วัน ไม่รู้จะไปไหนแล้ว ลองแวะไปจุดที่เขาจัดให้ชนชั้นกลางชั้นล่างอยู่สิ จะเห็นต่างจากที่เห็น เหมือนดูหลังวิกลิเกเลย บ้านเล็กๆ มีเงิน ต้องการให้คนมาชม ก้อต้องกวาดถูหน่อย เรือนคนใช้ ก้อให้อยู่ด้านหลัง ที่ซักล้าง ก้อต้องอยู่หลังบ้านเป็นอย่างนี้ทุกบ้านแหละ
AEC นี่แหละครับคือทางออกของสิงคโปร์ ในสิงคโปร์ถึงแม้Import taxจะเป็นศูนย์ แต่Business taxและอีกสารพัดtaxรวมถึงค่าเช่าค่าแรงที่แพงลิบลิ่วทำให้การค้าภายในประเทศไปได้แค่เอาตัวรอด แต่สิงคโปร์มีเงินออมมหาศาล ในภาคธุรกิจลูกจ้างทุกคนต้องเข้าร่วมCPF Central Provident Fund หักจากรายได้ลูกจ้าง25% นายจ้างสมทบ25% รัฐเอาไปลงทุน เกษียณอายุแล้วรัฐทะยอยคืนให้ในรูปบำนาญ ปัจจุบันสิงคโปร์แค่ย้ายเงินทุนก็อยู่ได้สบายๆ และเมื่อเรื่มAECประเทศไทยยิ่งต้องระวังตัวให้ดี อุตสาหกรรมหลายอย่างจะถูกสิงคโปร์ครอบงำโดยเฉพาะธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว เราไม่ต้องพูดเรื่องการมีกฏระเบียบการป้องกันต่างชาติเข้ามาครอบงำธุรกิจไทย เขาทำได้สบายมากครับ เรายังมีนักการเมืองและข้าราชการประจำหิวเงินอยู่มากมาย อีกไม่นานลูกหลานไทยจะอุทานเป็นสำเนียงซิงลิช(อังกฤษแบบสิงคโปร์)ว่า "เห่า-คัม-ไหล่-แด้ท-หน่ะ" (How come like that)
กลุ่มทุนเฉพาะนะ น่าจะใช่ เทียบทั้งหมด ใช่ว่าจะมากพอที่จะซื้อ สารขัณฑ์แลนด์ได้ มั่นใจว่า เทมาเสร็จ เองก้ออาจกลวงในก้อได้ ไม่งั้นจะหลงเชื่อ แมว เหรอ!!!
หวังว่าทุนสิงคโปร์จะกลวงครับ แต่ถ้าสิงคโปร์เอาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยไป อเมริกาได้สัมปทานทรัพยากรธรรมชาติ จีนญี่ปุ่นได้manufacturing&infrastructure ผมกลัวว่าอาชีพที่จะเหลือไว้ให้ลูกหลานไทยคือแม่บ้าน คนสวน รปภ วินมอเตอร์ไซค์และ7-11ครับ
จะว่าทั้งหมดทั้งสิ้น ก้อไม่ถูก 100% เทียบประชากร 5.5 ล้าน กะ 64 ล้าน รวมทั้ง รมต. อัปแสง ให้ปิด รร. ห่างไกล (ใกล้บ้าน แต่ไกลความเจริญ) ให้ไปเรียนไกลๆอีก ฉะนั้น สิงโปกก ดูแลทุ่มการศึกษาย่อมมากกว่า ที่ไม่มีการศึกษาก้อมี แต่เทียบแล้วน้อยมาก แข่งกันเคลียดเหมือนกัน คนระดับล่างก้อแย่นะ แม้มีการอุปการะก้อได้ระดับหนึ่งละ มันขึ้นตามการตลาดนะ ทางเราน่าจะดีกว่า คัยพอรู้ทางด้านนี้ แนะนำมาหน่อยนะ
สิงค์โปร์ใช้โมเดลเดียวกับยิวครับ ในประเทศพื้นที่กระติ๊ดนึง แต่นอกประเทศมีที่ดินที่เปรียบเสมือนกับอาณานิคมกระจายตัวอยู่ทั่วโลก ซื่งมีทั้งฐานทัพอากาศ และ เครื่องจักรผลิตเงินทั้งทั้งหลายกลับเข้ามาประเทศบ้านเกิด รวมอยู่ในนั้น
การศึกษาของสิงคโปร์จะชนะไทยได้ไง เด็กไทยเรียนพิเศษตั้งแต่อนุบาลยันมหาลัย -------------------------------------------------------------------------- เรียนพิเศษ ระดับชั้น อนุบาล สอนพิเศษเข้าป.1 :: สอนพิเศษ อนุบาล1 :: http://www.chulagenius.com/ok_kindergartner.php http://www.tutor2chula.com/สอนพิเศษ-มหาวิทยาลัย.html
สิงคโปร์ ติดอันดับ 5 เรื่องระบบการศึกษายอดเยี่ยม http://www.uasean.com/kerobow01/747 Pearson บริษัทด้านการศึกษาชื่อดังของอเมริกา ได้ประกาศการจัดอันดับประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก ผ่านการรวบรวมข้อมูลจากผลการสอบในระดับนานาชาติและข้อมูลเช่นอัตราการศึกษา โดยฟินแลนด์และเกาหลีใต้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษา ที่ดีที่สุดในโลก เป็นอันดับหนึ่งและสองตามลำดับ เซอร์ไมเคิล บาร์เบอร์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านการศึกษาของเพียร์สัน เปิดเผยว่า ประเทศที่ติดในอันดับที่ดีส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับครูผู้สอน รวมถึงการมีวัฒนธรรมด้านการศึกษาที่ดี ส่วนประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในอันดับที่ 3-5 นั้น ล้วนมาจากเอเชียทั้งสิ้น ได้แก่ ฮ่องกง อันดับ 3, ญี่ปุ่น อันดับ 4 และ สิงคโปร์ ในอันดับ 5 ขณะที่อันดับ 6 ตกเป็นของอังกฤษ ตามมาด้วยเนเธอร์แลนด์ ในอันดับที่ 7 และ นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และแคนาดาในอันดับที่ 8-10 ตามลำดับ ขณะที่ประเทศมหาอำนาจอื่นๆอย่างอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี อยู่ในอันดับรองลงไป โดยในการจัดอันดับที่มีจำนวน 40 ประเทศนั้น อินโดนีเซีย บราซิล และเม็กซิโกมีคะแนนต่ำสุด ในอันดับที่ 40, 39 และ 38 ตามลำดับ ขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 37 รายงานระบุว่า ความสำเร็จของประเทศในเอเชีย ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากประเทศดังกล่าวให้ความสำคัญกับการศึกษามากเป็นพิเศษ อีกทั้งผู้ปกครองต่างก็พร้อมจะทุ่มเทให้บุตรหลานของตนได้รับการศึกษาที่ดี และมีคุณภาพ เพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิต รายงานดังกล่าวยังเน้นเรื่องคุณภาพของครูผู้สอน และความจำเป็นต่อการจ้างครูที่ดีที่สุด ซึ่งอาจรวมถึงการได้รับความเคารพในทางวิชาชีพและสถานะทางสังคม เช่นเดียวกับรายได้ที่ได้รับ อย่างไรก็ดี การจัดอันดับไม่ได้แสดงจุดเชื่อมโยงที่แน่ชัดระหว่างรายได้สูงและการสอนที่ มีคุณภาพ รายงานระบุว่า ระบบการศึกษาที่สูงและต่ำยังมีผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พึ่งพาแรงงานที่ใช้ทักษะ ระบบการศึกษาในสิงคโปร์ http://www.jsfutureclassroom.com/news_detail.php?nid=218 สิงคโปร์ เป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง แม้มีพื้นที่เพียง 646 ตารางกิโลเมตร สิงคโปร์ก็เป็นที่อยู่อาศัยของประชากรถึง 4 ล้านคน สิงคโปร์ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาการศึกษาของคนในชาติเป็นอย่างมาก ซึ่งระบบการศึกษาของสิงคโปร์เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก เมื่อเรียนจบแล้วสามารถมีงานทำตรงต่อสาขาที่ตัวเองเรียนมา ซึ่งถือว่าเป็นการออกแบบหลักสูตรที่ตอบสนองกับคนเรียน และรู้ว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจในทิศทางไหน อย่างไร ระบบการศึกษาของสิงคโปร์แบ่งออกเป็น ประถมศึกษาปีที่ 1-4 ก็จะเน้นการเรียนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาทมิฬ คณิตศาสตร์ และวิชาอื่นๆ ประถมศึกษาปีที่ 5-6 แบ่งเป็น 3 ระดับ โดยมีการวัดระดับในชั้น ป.4 ก่อนว่าจะต้องเรียนในชั้นมัธยมเป็นเวลา 4 หรือ 5 ปี ระดับมัธยมศึกษา แบ่งออกเป็น 2 ระบบคือ เรียน 4 ปีหรือ 5 ปี หากเียนดีจะได้เรียนเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยอีก 2-3 ปี หรือสามารถเลือกเรียนสายอาชีพก็ได้ หรือเรียกว่าโพลีเทคนิคซึ่งคนที่จบสายอาชีพจบออกมาแล้วจะมีงานทำได้ทันที ซึ่งจะตรงนี้จะแตกต่างจากการศึกษาของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงได้. คนที่จะสอบเข้ามาเรียนในโรงเรียนสิงคโปร์จะต้องผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และคณิตศาสตร์ ส่วนนักเรียนต่างชาติที่จะมาเรียนในประเทศสิงค์โปร์ก็ต้องจ่ายค่าบำรุงการศึกษาทุก 2 ปีประมาณ 1,000 ดอลล่าร์ ซึ่งเหตุผลที่คนต่างชาตินิยมเข้ามาเรียนในประเทศสิงคโปร์ก็เพราะค่าบำรุงการศึกษาถูก แม้ค่าครองชีพจะสูงก็ตาม และที่สำคัญที่สิงคโปร์ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน สิงคโปร์ประกาศว่าจะเป็นศูนย์กลางทางการศึกษามาตรฐานโลก โดยจะให้โอกาสเท่าเทียมกันในด้านการศึกษาเป็นพื้นฐาน โดยจะดึงดูดคนต่างประเทศเข้ามาเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมหาวิทยาลัย โดยรัฐบาลได้วางยุทธศาสตร์ด้านการศึกษา 1. มุ่งเน้นผลลัพธ์ทางการศึกษา 2. เน้นจิตสำนึก แรงจูงใจ การใฝ่รู้ ด้วยตัวของผู้เรียนเอง 3. ทุ่มทรัพยากรด้านเงินทุนทางการศึกษา 4. การบริหารจัดการแบบศูนย์รวม 5. หลักสูตรการเรียนการสอนที่เข้มข้น 6. ประเมินตัวเองของผู้เรียนให้มากขึ้น 7. แรงสนับสนุนจากครอบครัวผู้เรียน บทสัมภาษณ์ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยในสิงคโปร์ และบทสัมภาษณ์นักเรียนไทยในสิงคโปร์ อาจารย์คนไทย ดูเพิ่มเติมได้จากคลิปค่ะ น่าสนใจมากค่ะ เทปบันทึกรายการ จอโลกเศรษฐกิจ ดำเนินรายการโดย ระบบการศึกษาในสิงคโปร์ http://www.jsfutureclassroom.com/news_detail.php?nid=218 สิงคโปร์ เป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง แม้มีพื้นที่เพียง 646 ตารางกิโลเมตร สิงคโปร์ก็เป็นที่อยู่อาศัยของประชากรถึง 4 ล้านคน สิงคโปร์ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาการศึกษาของคนในชาติเป็นอย่างมาก ซึ่งระบบการศึกษาของสิงคโปร์เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก เมื่อเรียนจบแล้วสามารถมีงานทำตรงต่อสาขาที่ตัวเองเรียนมา ซึ่งถือว่าเป็นการออกแบบหลักสูตรที่ตอบสนองกับคนเรียน และรู้ว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจในทิศทางไหน อย่างไร ระบบการศึกษาของสิงคโปร์แบ่งออกเป็น ประถมศึกษาปีที่ 1-4 ก็จะเน้นการเรียนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาทมิฬ คณิตศาสตร์ และวิชาอื่นๆ ประถมศึกษาปีที่ 5-6 แบ่งเป็น 3 ระดับ โดยมีการวัดระดับในชั้น ป.4 ก่อนว่าจะต้องเรียนในชั้นมัธยมเป็นเวลา 4 หรือ 5 ปี ระดับมัธยมศึกษา แบ่งออกเป็น 2 ระบบคือ เรียน 4 ปีหรือ 5 ปี หากเียนดีจะได้เรียนเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยอีก 2-3 ปี หรือสามารถเลือกเรียนสายอาชีพก็ได้ หรือเรียกว่าโพลีเทคนิคซึ่งคนที่จบสายอาชีพจบออกมาแล้วจะมีงานทำได้ทันที ซึ่งจะตรงนี้จะแตกต่างจากการศึกษาของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงได้. คนที่จะสอบเข้ามาเรียนในโรงเรียนสิงคโปร์จะต้องผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และคณิตศาสตร์ ส่วนนักเรียนต่างชาติที่จะมาเรียนในประเทศสิงค์โปร์ก็ต้องจ่ายค่าบำรุงการศึกษาทุก 2 ปีประมาณ 1,000 ดอลล่าร์ ซึ่งเหตุผลที่คนต่างชาตินิยมเข้ามาเรียนในประเทศสิงคโปร์ก็เพราะค่าบำรุงการศึกษาถูก แม้ค่าครองชีพจะสูงก็ตาม และที่สำคัญที่สิงคโปร์ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน สิงคโปร์ประกาศว่าจะเป็นศูนย์กลางทางการศึกษามาตรฐานโลก โดยจะให้โอกาสเท่าเทียมกันในด้านการศึกษาเป็นพื้นฐาน โดยจะดึงดูดคนต่างประเทศเข้ามาเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมหาวิทยาลัย โดยรัฐบาลได้วางยุทธศาสตร์ด้านการศึกษา 1. มุ่งเน้นผลลัพธ์ทางการศึกษา 2. เน้นจิตสำนึก แรงจูงใจ การใฝ่รู้ ด้วยตัวของผู้เรียนเอง 3. ทุ่มทรัพยากรด้านเงินทุนทางการศึกษา 4. การบริหารจัดการแบบศูนย์รวม 5. หลักสูตรการเรียนการสอนที่เข้มข้น 6. ประเมินตัวเองของผู้เรียนให้มากขึ้น 7. แรงสนับสนุนจากครอบครัวผู้เรียน บทสัมภาษณ์ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยในสิงคโปร์ และบทสัมภาษณ์นักเรียนไทยในสิงคโปร์ อาจารย์คนไทย ดูเพิ่มเติมได้จากคลิปค่ะ น่าสนใจมากค่ะ เทปบันทึกรายการ จอโลกเศรษฐกิจ ดำเนินรายการโดยคุณบัญชา ชุมชัยเวทย์ ทางไทยทีวีสีช่อง 3 ชุมชัยเวทย์ ทางไทยทีวีสีช่อง 3 จำนวนเด็กน้อย แต่การศึกษาต้องการให้เป็นอันดับสูงสุด ระดับความเครียด เทียบกับ เด็ก รร.อนุบาล ที่สอบผ่านโอเน็ต 100% 16คนในระดับประเทศ เทียบกันไม่ได้เลย การให้การศึกษาเข้าถึง แต่การรับรู้-การแข่งขัน สู้แบบไทยๆไม่ได้ หากไม่มี รมต. อัปแสง + นักพัฒนาการรูปแบบการศึกษา แบบ เอ+กอ+อา+อะ =เกาะ แล้วไม่เคยเจอข่าว นร.สิงโปก ชนะแข่งระดับโลกนะ หลังเสร็จภาระกิจอื่น อยากให้หม่อมหลวงปนัดดา มาดูแล+พัฒนาการศึกษาใหม่ แต่รากลึกรากแก้วจะขุมอย่างไร คุรุสภาอีกแห่งด้วย ออ! มีคณาจารย์สายกรรมกายด้วย
ผมไม่ทราบว่านี่คือความได้เปรียบของไทยหรือไม่ ผมเคยทำงานอยู่สิงคโปร์สามปี คนสิงคโปร์เครียดกันทั้งชาติคงเป็นลักษณะทางกายภาพของประเทศของเขาเองบวกกับกติกาที่ผู้นำประเทศตั้งขึ้นเพื่อให้สิงคโปร์อยู่รอดและแข่งขันได้ในสังคมโลก การศึกษาของสิงคโปร์ดีมากก็จริง แต่คนสิงคโปร์เก่งหนังสือแต่ตื้นเหมือนจานแบน ขาดความละเอียดลึกซึ้ง เรื่องพวกนี้ไม่มีวันสอนกันได้ในสภาพแวดล้อมอย่างสิงคโปร์ มารยาทสังคมก็ตลาดๆทั่วไป ทุกครั้งผมกลับเมืองไทยผมจะเอาขนมและของฝากเล็กๆไปแจกคนที่ทำงานด้วยกันที่นั่น คำถามหลักและน่าจะเป็นคำถามเดียวคือของแต่ละชิ้นราคาเท่าไหร่ เวลาขึ้นแท็กซี่ โชเฟอร์พอรู้ว่าผมเป็นคนไทยก็จะคุยทับทันทีว่าเมืองไทยดี ผู้หญิงหาเงินมีเยอะ แกเพิ่งไปเที่ยวสาวไทยที่หาดใหญ่มา ถ้าพูดไม่หยุดแล้วผมรำคาญนักก็จะตอบไปว่าสิงคโปร์ดีกว่าไทยเยอะ ผมเพิ่งปล้ำมาตะกี้ไม่เสียเงินสักดอลล่าร์เดียว ถึงได้เงียบไป ถ้าคนงานไทยขึ้นแท็กซี่ โชเฟอร์จะคุยข่มโดยชี้ให้ดูแฟลตสูงๆและถามว่าเมืองไทยมีบ้านเป็นตึกสูงๆอย่างนี้ไหม คนงานบางคนของผมก็คมนะ เขาบอกโชเฟอร์ว่าไอ้ที่เห็นอยู่ เมืองไทยเขาเรียกกรงนก ไม่ใช่บ้าน แต่พอพูดถึงประสิทธิภาพการทำงาน สิงคโปร์ถือว่าแน่ครับ พี่ชายเพิ่งจ้างเด็กหนุ่มสิงคโปร์มาทำงานที่บริษัทของแกในกรุงเทพฯ พ่อหนุ่มนี่รุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายแกซึ่งก็ทำงานกับแกเช่นกัน แกยังบ่นเลยว่าทั้งความขยัน กรอบวิธีการคิด ประสิทธิภาพการทำงาน ลูกชายและพนักงานไทยเป็นรองแบบทิ้งห่างเลย ก็น่าหนักใจนะครับ AECใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
นี้แหละของจริง ที่ลูกจ้างสิงกิดขยัย ไม่มีรัยมากหรอก แกเจอที่ๆดี ดีกว่ากลับทำที่เก่าแน่ ที่เรารู้ๆกัน นั้นสังคมคนรวยของเขาแค่กระจุกหนึ่ง เท่าที่บอกทั้งประเทศ ก้อเทียบ กทม.ของเราไม่ได้ กองทุนใหญ่นะ ถ้าล้มเท่ากับประเทศล่ม ก้อไม่นานเท่าไร แค่ แมว ขยับ ก้อกระเทือนได้
74% ของชาวสิงคโปร์ เป็นชาวจีนครับ นายกรัฐมนตรีคือ นาย ลี เซียน ลุง ซึ่ง ลี กวน ยู มีฐานะเป็นบิดา ครับ ออแถมให้ สส เขามี 87 คน แตรรัฐบาลถือเสียง 80 คนครับ จากประชากร 5.5 ล้าน
ยังสงสัยนะ ทำไมทางรถไฟไปไม่ถึงภูเก็ต สะพานก้อมาที่หลังมาก พวกเหมืองแร่ดีบุก สำนักงานใหญ่ ยังอยู่สิงคโปร์
ประชากรในประเทศนั้นเขาเข้าขั้นยอดมนุษย์แทบทุกคนครับ ใครที่เป็นภาระสังคม คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน จะไม่มีแม้กระทั้งพื้นที่หายใจในประเทศนั้น ไอ้เรื่องการกำจัด คนไร้คุณภาพ ออกไปจากเกาะเนี่ย ปู่ลีทำได้โดยไม่จำเป็นต้องแคร์ใคร จำได้ว่าตอนสร้างประเทศขึ้นมาใหม่ ใครไร้คุณภาพ ปู่ลี เนรเทศ จับขังคุก ประหารทิ้งหมด
สนามบินชาง-งีที่เลื่องชื่อเรื่องความใหญ่โตและทันสมัยนั้น ความจริงเป็นคุกที่ขังนักโทษการเมืองด้วย ขังแบบโยนกุญแจทิ้งทะเลเลยนะครับ ปู่ลีแกก็รับว่าทำจริงแถมท้าอีกว่าแล้วใครมีปัญหา ประชาธิปไตยไทยและปัญญาชนแถวๆท่าพระจันทร์น่าจะไปแสดงสัญญลักษณ์แถวนั้นหน่อยนะ
ผมว่าปัญหาของสิงค์โปร์คือเรื่องต้นทุนกับค่าแรงเนี่ยแหละครับ ค่าแรงสูง ค่าที่ค้าขายสูง ค่าสาธารณูปโภคสูง แต่มีดีที่ชาวต่างชาติสามารถลงทุนบริษัทได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เป็นเจ้าของได้
ดูหมายข่าวนิวทีวีเมื่อช่วงหัวค่ำ เห็นว่า ลี กวน ยิว แกเข้าโรงหมอมาพักนึงละ โรคเกี่ยวกับปอดนี่แหละ อาการทรุด อายุอานามก็ 91 ละ
ต้องยอมรับกันด้วยครับว่า ชัยภูมิที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ในการเป็นศูนย์กลางทางการบินในภูมิภาคของไทย เป็นตัวจักรที่สำคัญในการทำลายสิงคโปร์ในอนาคต ก่อนนี้สินค้าแบรนด์เนมจะอาศัยความสะดวกสบายของการให้บริการทางการบินเป็นตัวทำตลาด ใครๆที่อาศัยในภูมิภาคนี้ต่างก็ต้องไปต่อเครื่องบินที่สิงคโปร์กันทั้งนั้น และคนที่เดินทางทางอากาศส่วนมากก็คนชั้นกลางขึ้นไปทั้งนั้น ปัจจุบันลูกค้ากลุ่มนี้หายไปกว่าครึ่ง เนื่องจากถูกบังคับทางอ้อมให้ไปต่อเครื่องที่สุวรรณภูมิ และทุกวันนี้สุวรรณภูมิก็แออัดยัดเยียดมาก ถึงมากที่สุดจนผมรำคาญ สุวรรณภูมิ Terminal 2 จริงๆแล้วต้องตีเข็มไปตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วครับ สุวรรณภูมิ Terminal 3 สร้างเสร็จเมื่อไหร่ ไอ้ประเทศขี้ครอกจองหองปากหมาแบบสิงคโปร์จะหายไปจากแผนที่โลก
อนาคตที่คุณเชพูดถึงใกล้เข้ามาทุกทีแล้วครับ ************************************************************* ตลาดโลจิสติกส์ในไทยยังเติบโตต่อเนื่องถึงร้อยละ 10 ต่อปี ด้วยลักษณะทางกายภาพที่เหมาะสมจะเป็นศูนย์กลางในการขนส่งสินค้า ทำให้ผู้ประกอบการเร่งขยายการลงทุนและประเมินว่า จะมีมูลค่าตลาดเพิ่มอีก 6 เท่า ติดตามจากรายงาน