ข่าวที่กำลังได้รับความสนใจและถูกตั้งคำถามในแวดวงพลังงานโลกคือเกิดอะไรขึ้นกับประเทศเวเนซุเอลา หนึ่งในสมาชิกองค์การประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก หรือ โอเปก (OPEC) และเป็นประเทศที่มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบมากที่สุดในโลกถึง 297,600 ล้านบาร์เรลเหลือผลิตได้ยาวนานถึง 310 ปี ณ สิ้นปี พ.ศ. 2556 แต่กลับจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเข้ามาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์!!! ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้? ประเทศเวเนซุเอลาเป็นประเทศร่ำรวยน้ำมัน ที่มีนโยบายการอุดหนุนราคาน้ำมันจำนวนมหาศาลจนน้ำมันราคาถูกมากแทบจะใช้ฟรีเช่น ราคาน้ำมันเบนซินเพียงลิตรละ 30- 40 สตางค์เท่านั้น (ข้อมูลจาก Bloomberg) นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายควบคุมกิจการและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ รวมถึงการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนที่มากเกินไปจนทำให้บริษัทเอกชนขาดแรงจูงใจในการลงทุนและไม่เกิดการแข่งขันส่งผลให้ภาคการผลิตได้ผลผลิตน้อยขณะที่มีความต้องการมาก ทำให้ผลผลิตบางส่วนมีการซื้อขายกันในตลาดมืด (black market) ในราคาที่สูงกว่าราคาที่ควบคุมตามร้านค้าทั่วไปหลายเท่าส่งผลให้ขาดแคลนสินค้าที่วางขายตามร้านค้าทั่วไป ต้องนำเข้าสินค้าต่างๆ มากมายเข้ามาทดแทน ทำให้สูญเสียเงินตราไปต่างประเทศจำนวนมาก เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงและส่งผลกระทบต่อค่าเงินในประเทศจนรัฐบาลเวเนซุเอลาต้องกู้เงินมาใช้จ่ายในนโยบายเหล่านี้เกิดหนี้สินถึงขั้นต้องชดใช้หนี้เป็นน้ำมันดิบในที่สุดรัฐบาลจำเป็นต้องใช้ระบบจำกัดในการซื้อสินค้าโดยประชาชนต้องสแกนลายนิ้วมือและต่อคิวซื้อสินค้าเพื่อป้องกันการกักตุนสินค้าอีกด้วย จนถึงวันนี้ปัญหาล่าสุดของประเทศเวเนซุเอลาคือขาดแคลนน้ำมันดิบ ทั้งๆ ที่เป็นประเทศที่มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบมากที่สุดในโลก !!! หลังจากอดีตประธานาธิบดีอูโก ชาเบซ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งประเทศเวเนซุเอลา ในปี พ.ศ. 2542 ก็ได้เริ่มดำเนินนโยบายจัดเก็บค่าภาคหลวงและภาษีเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมต่อจากนั้นก็ทำการยึดสัมปทานน้ำมันและเปลี่ยนเงื่อนไขสัดส่วนการครองหุ้นให้มาอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทน้ำมันแห่งชาติเวเนซุเอลา คือ Petroleos de Venezuela, S.A. (PDVSA) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ และนำรายได้ของ PDVSA ที่ได้จากการเจาะน้ำมันไปใช้อุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันและสวัสดิการทางสังคมเป็นจำนวนมากแทนที่จะนำกลับมาลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของประเทศ นอกจากนี้ บริษัทน้ำมันข้ามชาติหลายๆ แห่งก็ทยอยถอนทุนหรือชะลอการลงทุนเพราะความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลเวเนซุเอลาทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของประเทศเวเนซุเอลาจากที่เคยผลิตถึงระดับ 3.52 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลงจนเหลือเพียง 2.49 ล้านบาร์เรลต่อวัน ปริมาณการผลิตที่ลดลงส่วนใหญ่มาจากน้ำมันดิบเบาซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันดิบหนักพิเศษของประเทศ ประเทศเวเนซุเอลามีแหล่งน้ำมันดิบหนักพิเศษ (extra heavy oil) แห่งหนึ่งที่ถูกค้นพบจำนวนมากในบริเวณ Orinoco Belt โดยคาดว่าอาจจะมีน้ำมันดิบชนิดนี้สะสมในชั้นหินใต้ดินบริเวณนี้ถึง 1.3 ล้านล้านบาร์เรล (original oil in-place) ซึ่งเป็นปริมาณเกือบเทียบเท่าปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่พิสูจน์แล้วของทั้งโลกเลยทีเดียวและคาดว่าประมาณ 513,000 ล้านบาร์เรลนั้นสามารถผลิตได้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน ถือว่าเป็นแหล่งน้ำมันดิบที่มีศักยภาพสูงมากแห่งหนึ่งของโลก แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณสมบัติของน้ำมันดิบหนักพิเศษนั้นมีความหนืดสูงไม่สามารถไหลได้หรือไหลได้ยากมากในสภาวะปกติทำให้ขนส่งทางท่อลำบาก นอกจากนี้ ยังมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนขนาดใหญ่รวมถึงมีสารเจือปนและโลหะหนักเป็นจำนวนมาก จึงไม่ค่อยเหมาะกับโรงกลั่นน้ำมันที่มีอยู่ในตลาดโลก ถึงกลั่นออกมาก็ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าต่ำในสัดส่วนที่มาก เช่น กลุ่มเรซินและยางมะตอย เป็นต้น ดังนั้น จึงต้องมีการปรับคุณภาพหรืออัพเกรดน้ำมันดิบหนักพิเศษนี้ให้เป็นน้ำมันดิบที่เบาขึ้นและมีสิ่งเจือปนน้อยลงให้มีคุณสมบัติที่สามารถขนส่งทางท่อและสามารถป้อนให้โรงกลั่นน้ำมันในตลาดโลกได้ ในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันดิบหนักพิเศษที่ถูกค้นพบเป็นจำนวนมาก เช่น ในประเทศเวเนซุเอลา และ ยางมะตอยดิบหรือบิทูเมน ในแหล่งทรายน้ำมัน (oil sands) รัฐอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา มีวิธีการปรับคุณภาพหลายแบบ ส่วนใหญ่ที่ใช้คือการผลิตเป็นน้ำมันดิบสังเคราะห์ หรือ “synthetic crudeoil” เรียกย่อๆ ว่า “syncrude” อีกวิธีก็คือผสมกับตัวทำละลาย เรียกว่า “diluent” เช่น น้ำมันดิบเบา (light crude) คอนเดนเสท หรือ แนฟทา ฯลฯ กลายเป็น “diluted crude oil (DCO)” หรือ “diluted bitumen (DilBit)” กระบวนการปรับคุณภาพให้เป็นน้ำมันดิบสังเคราะห์ คือกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างทางเคมีของน้ำมันดิบหนักพิเศษให้เป็นน้ำมันดิบที่เบาขึ้น และ แยกสิ่งเจือปนออกไป จนมีคุณสมบัติคล้ายๆ น้ำมันดิบทั่วไปในตลาด จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูงในการสร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์การปรับคุณภาพ แต่ประเทศเวเนซุเอลามีเครื่องจักรและอุปกรณ์การปรับคุณภาพด้วยกำลังการผลิตเพียง 600,000 บาร์เรลต่อวัน และ PDVSA ก็ไม่มีเงินลงทุนมากพอที่จะเพิ่มกำลังการผลิตด้วยวิธีนี้แล้วส่วนบริษัทต่างชาติก็ไม่กล้าเสี่ยงลงทุนเพราะกลัวโดนยึดอีก ดังนั้น บางส่วนจึงใช้วิธีผสมกับตัวทำละลายคือ ผสมกับแนฟทาหรือผสมกับน้ำมันดิบเบาจากแหล่งน้ำมันในประเทศ เช่น Venezuelan Mesa 30 light crude ที่นับวันปริมาณการผลิตก็ลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงขั้นขาดแคลน ทั้งๆ ที่ยังเหลือปริมาณสำรองจำนวนมหาศาลด้วยเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างต้น ในที่สุดประเทศเวเนซุเอลาก็ต้องนำเข้าน้ำมันดิบเบาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จากประเทศแอลจีเรียและรัสเซีย มาใช้เป็นตัวทำละลายผสมกับน้ำมันดิบหนักพิเศษเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในประเทศ นี่คือตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า การยึดสัมปทานน้ำมันและควบคุมโดยรัฐมากเกินไป จนบริษัทเอกชนไม่กล้าลงทุนรวมถึงนโยบายการอุ้มราคาสินค้าและพลังงานในระดับต่ำที่ต้องใช้งบประมาณของประเทศมหาศาลเหมือนช่วยให้ประชาชนอยู่ดีกินดีในระยะแรก ๆ แต่ระยะยาวกลับทำให้ประชาชนในประเทศต้องประสบกับภาวะข้าวยากหมากแพงเพราะการบิดเบือนกลไกตลาด จะส่งผลให้ขาดการแข่งขันจากภาคเอกชนขาดประสิทธิภาพและแรงจูงใจในการผลิตกระทบต่อๆ กันเป็นลูกโซ่จนประเทศต้องเป็นหนี้และขาดแคลนสินค้าทุกๆ อย่าง สุดท้ายแม้แต่ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีปริมาณสำรองน้ำมันดิบมากที่สุดในโลกก็ต้องขาดแคลนน้ำมันดิบจากการบริหารจัดการและนโยบายที่ผิดพลาด เอาใจประชาชนในระยะสั้นเท่านั้นไม่ได้มองถึงความยั่งยืนในระยะยาว ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่รัฐบาลไทยสามารถนำไปพิจารณานโยบายต่างๆ โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างความพึงพอใจของประชาชนระยะสั้นกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจและพลังงานของประเทศในระยะยาว ... http://www.bangkokbiznews.com/home/.../àÇØàÍÅÒ-¹Óà¢éҹéÓÁѹ´Ժ¤ÃÑé§áá㹻ÃÐÇѵÔÈÒʵÃì.html
ผมเชื่อแนวทางจัดการพลังงานของลุงตู่ครับ แนวคิดแบบรสนาอันตรายกับประเทศไทยมากๆ แนวคิดแบบรสนาดีกับการหาเสียงใส่ตัว แต่ระยาวแล้วประเทศไทยเสียหายมาก