Nation TV - เว็บไซต์สถานีข่าวอันดับ 1 ของเมืองไทย "เบลเยี่ยมประกาศเตือภัยก่อการร้ายเป็นระดับ 4 ซึ่งเป็นขั้นสูงสุด บริเวณกรุงบรัสเซลส์และพื้นที่โดยรอบ ที่อาจเกิดการก่อการร้ายเหมือนที่เกิดขึ้นกับกรุงปารีสทางการเบลเยี่ยมได้ประกาศเตือภัยก่อการร้ายเป็นระดับ 4 ซึ่งเป็นขั้นสูงสุด หมายถึงมีความเสี่ยงอย่างร้ายแรง บริเวณกรุงบรัสเซลส์และพื้นที่โดยรอบ ที่อาจเกิดการก่อการร้ายเหมือนที่เกิดขึ้นกับกรุงปารีส ของฝรั่งเศสด้านบริษัทขนส่งมวลชนในกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียมหยุดให้บริการรถไฟใต้ดินและรถรางทั้งหมดเพื่อเป็นการป้องกันล่วงหน้า แต่จะยังคงให้บริการรถโดยสารต่อไป และประกาศยดเลิกกิจกรรม งานอีเว้นท์ ใหญ่ๆในที่สาธารณะนอกจากนี้มีการประกาศให้ประชาชนในพื้นที่หลีกเลี่ยงไปในสถานที่ ที่มีผู้คนจำนวนมาก เช่น ห้างสรรพสินค้า คอนเสิร์ต และให้ความร่วมมือกับมาตรการรักษาความปลอดภัย การตรวจตราความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่ตามท้องถนนในกรุงบรัสเซล เราจะเห็นมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ทหารตำรวจ พร้อมปืนไรเฟิลจู่โจม ลาดตระเวณเป็นกลุ่มในเมืองเจ้าของธุรกิจท้องถิ่นบอกว่า หลังจากมีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ยิ่งทำให้พวกเขาหวาดกลัวการก่อการร้ายมากยิ่งขึ้น ทั้งยังทำให้ยอดขายลดลงอย่างรวดเร็ว " อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv/main/content/foreign/378478828/ ข่าวนี้ ไม่ใช่ข่าววันนี้ หรือ เมื่อวานนี้ แต่เป็นข่าวตั้งแต่วันที่ "22 พฤศจิกายน 2558 08:26 น." นอกจากนี้ ประมาณเมื่อ 4 วันก่อน มีการไล่ล่าผู้ก่อการร้าย มีการวิสามัญผู้ก่อการร้ายไป 1 คน หลังจากเหตุการณ์ ปารีส เบลเยี่ยมเป็นประเทศสำคัญ ที่มีการกวาดล้างผู้ก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง การประกาศเตือนภัยระดับสูง การทำลายคลังอาวุธของผู้ก่อการร้าย ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปๆมาๆ ผู้ก่อการร้ายสามารถเข้าถึงสนามบินและรถไฟใต้ดิน วางระเบิดได้ขนาดนี้ มันดูแปลกๆ หรือว่าจะใช้กลยุทธ์ ยืมซากคืนชีพ ใช้ศพคนตายมาหาความชอบธรรมในการทำสงครามหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ขอไว้อาลัยให้กับผู้บริสุทธิ มา ณ ที่นี้ และ ขอสาปแช่ง ต่อขบวนการและผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มก่อการร้ายนี้
ขออนุญาตแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง แด่เหตุเศร้าที่กรุงบรัสเซลส์ เบลเยี่ยม เป็นความรู้สึกร่วมจากเหตุโจมตีปารีส 13 พย.2015 กับเหตุโจมตีบรัสเซลส์ 22 มีค.2016 ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ร่วมชะตาเดียวกันของผู้บริสุทธิ์ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ในการตกเป็นเหยื่อของการก่อการร้าย http://news.sanook.com/1968118/
รูปนี้ถูกวิจารณ์จากชาวตุรกีอย่างหนักครับ เพราะเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ที่ผ่านมา มีเหตุระเบิดที่เมือง Ankara ประเทศตุรกี https://www.wikiwand.com/en/March_2016_Ankara_bombing บางคนถึงขั้นบอกว่า มนุษย์อาศัยอยู่แค่ในยุโรปตะวันออกละมัง เหตุระเบิดในตุรกีที่มีผู้เสียชีวิตถึง 37 คนและบาดเจ็บอีกร้อยกว่าคน ถึงไม่มีใครสนใจใยดี ตัวอย่างที่แสดงความเห็นกันใน facebook อันนี้ขนาดเป็นเฟซบุคเพื่อความบันเทิงนะครับ
อย่าเอาจำนวนชีวิตที่สูญเสียมาเปรียบเทียบกัน แล้วกล่าวทำไม ไม่ให้ความสำคัญกับที่นั่นที่นี้บ้าง เพราะมันเปรียบเทียบกันไม่ได้ ไม่ว่าจะสูญเสียมากหรือน้อย ก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะชี้ว่า ชาวโลกจะสนใจแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับว่า เรื่องดังกล่าวกระทบกับสังคมโลกขนาดไหน การก่อการร้ายที่เบลเยี่ยม หรือฝรั่งเศส เป็นเรื่องสากล หมายถึง มันจะเกิดขึ้ที่ไหนกับใครที่ไหนก็ได้ การก่อการร้ายอย่างในตรุกี อิรัก อัฟกานิสถาน ปากีสถาน มันค่อนข้างชัดเจนว่า มันเป็นเรื่องระดับท้องถิ่น แทบจะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อโลก ถ้าคุณไม่เอาเท้าไปเหยียบประเทศเขา คุณก็ไม่ต้องเสี่ยงแน่นอน ตรรกะที่วัดการให้ความสำคัญจากสังคม ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิต มันใช้ไม่ได้ครับ ต้องเลิกเสีย ช่วงปลายปีก่อน มีบุคคลที่คาดว่าไม่ประสงค์ดีนัก พูดจาทำนองเสี่ยมให้คนไทยแตกแยกันเอง พูดเปรียบเอาเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ มาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าทำไมให้ความสำคัญไม่เท่ากัน ผมอยากเปรียบเทียบอย่างนี้่ครับ ถ้าคุณถูกแทงที่ฝ่ามือ กับถูกมีดแทงที่ท้อง กรณีไหนคุณต้องรีบไปหาหมอมากกว่ากันครับ แน่นอนก็ต้องเป็นกรณีหลัง คุณคงต้องรีบไปโรงพยาบาลอย่างด่วยที่สุด ไม่รีบไปหล่ะตายชัวร์ แต่นั่นก็ไม่ได้ความว่าคุณจะถูกมีดแทงที่ฝ่ามือ แล้วจะนอนอยู่เฉยๆได้ เพราะนั่นก็ฆ่าคุณได้เหมือนกัน
คุณ Ridkun พูดก็มีส่วนถูกอยู่บ้างครับ แต่ต้องไม่ลืมว่า สถานการณ์ที่เกิดที่ ตุรกี นั้น เกิดเนื่องจาก เป็นพื้นที่ ในระหว่างการทำสงคราม ทั้ง ซีเรีย และ เคิร์ด มันก็มีส่วนที่จะทำให้เกิดช่องว่างในการเข้าก่อวินาศกรรมได้ การระเบิดที่เกิดในตุรกี เกิดในพื้นที่โล่ง คือบริเวณ จตุรัส หรือ ตลาด ซึ่งยากแก่การป้องกันตรวจค้น ไม่ใช่ สนามบิน หรือ สถานีรถไฟใต้ดิน แต่นี่ คือ เบลเยียม อีกฟากหนึ่งของโลก ที่ผมเน้นคือ การที่ไม่มีการสู้รบในบริเวณรอบๆนั้น รวมทั้ง การประกาศเตือนที่เริ่มมาตั้งแต่ พ.ย. หลังเหตุการณ์ ปารีส มีการทลายคลังอาวุธ ที่ Malbeek ด้วยเช่นกัน การไล่ล่า การเตรียมความพร้อม ขนาดเมื่อ 4 วันที่แล้ว เพิ่งวิสามัญสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายไปหยกๆ สถานการณ์แบบนี้ มันเอื้ออำนวยให้ คนก่อเหตุเข้าไปถึง สนามบิน ได้อย่างไร เข้าไปวางระเบิดในรถไฟใต้ดินได้อย่างไร เพราะ เหตุการณ์ ปารีส มันเพิ่งเกิดหยกๆ การไล่ล่า การทลายคลังอาวุธ ก็เกิดขึ้นไม่นานและก็เป็นเมือง Malbeek ด้วยหรือว่าจริงๆแล้ว มีการเปิดไฟเขียวจากหน่วยงานความมั่นคงหรือเปล่า หรือเกิดอะไรขึ้นจึงปล่อยเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นได้ เป้าหมายพวกนี้ เป็น เป้าหมาย ที่มีความสำคัญ เรียกว่า มันเป็นจุดยุทธศาสตร์ แล้วมันรอดตาไปได้ยังไง
ถ้าเป็นเรื่องการต่างประเทศในเว็บสภากาแฟ ก็ต้องยกให้ท่านควันหลง ท่าน Diabolo และท่าน Yasuhiro อยากจะพูดมากกว่านี้ แต่ไม่อยากจะก้าวล่วงคนอื่นครับ จากเพจ ปฐมพงษ์
ไอ่ Yasuhiro นั้นเรอะ มีความรู้ เรื่องการต่างประเทศในเว็บสภากาแฟ กรุฮา มีองค์ความรู้ในกรอบกะลาแคบๆ จะไม่เถียงอะไรเลย
คนอย่างมึงก็แค่ขยะในเว็บนี้ โกหกตอแหลไปวัน ๆ ขอโทษคุณ Yasuhiro ด้วยครับ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยแต่โดนใส่ร้ายจนได้
ปล่อยมาฆ่า!! ตุรกีแฉเคยเนรเทศมือบึ้มบรัสเซลส์แต่เบลเยียมเพิกเฉย ระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้อีกราย รอยเตอร์/เอเอฟพี - หนึ่งในมือระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีบรัสเซลส์เคยถูกเนรเทศออกจากตุรกีเมื่อปีที่แล้ว แต่หลังจากนั้นเบลเยียมกลับเพิกเฉยต่อคำเตือนว่าชายคนนี้เป็นนักรบ จากการเปิดเผยของประธานาธิบดี เรเซพ ตอยยิบ เออร์โดกันในวันพุธ (23 มี.ค.) ขณะที่เอเอฟพีรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวตำรวจระบุว่าเบลเยียมสามารถระบุตัวมือระเบิดฆ่าตัวตายถล่มสนามบินรายที่ 2 ได้แล้ว ในเวลาต่อมาทางทำเนียบประธานาธิบดีของนายเออร์โดกันเผยว่าชายคนดังกล่าวคือ นายอิบราฮิม เอล บาเคราอี หนึ่งในสองพี่น้องที่ถูกทางการเบลเยียมระบุว่าเป็นผู้ก่อเหตุโจมตีที่สนามบินบรัสเซลส์เมื่อวันอังคาร (22 มี.ค.) เข่นฆ่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 31 ศพ และอ้างความรับผิดชอบโดยกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) นายเออร์โดกันกล่าวระหว่างแถลงข่าวในกรุงอังการาว่า นายบาเคราอีถูกควบคุมตัวที่จังหวัดกาเซียนเท็ปทางภาคใต้ของตุรกี ใกล้ชายแดนซีเรีย และจากนั้นก็ถูกเนรเทศ ประธานาธิบดีรายนี้เผยว่าตุรกีแจ้งการเนรเทศต่อสถานกงสุลเบลเยียมในอังการา ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2015 แต่จากนั้นเขาก็ได้รับการปล่อยตัวจากเจ้าหน้าที่เบลเยียม ซึ่งเพิกเฉยคำเตือนของตุรกีที่ว่าบุคคลรายนี้เป็นนักรบต่างชาติ “แม้มีคำเตือนจากเราว่าบุคคลรายนี้เป็นนักรบก่อการร้ายข้ามชาติ แต่เจ้าหน้าที่เบลเยียมอาจไม่พบความเชื่อมโยงกับก่อการร้าย” เขากล่าว พร้อมเผยว่าเนเธอร์แลนด์เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้เช่นกัน ด้วยเบื้องต้นชายคนนี้ถูกเนรเทศไปยังเนเธอร์แลนด์ตามคำร้องขอของเขาและได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ดัตช์แล้ว อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เจาะจงว่าทำไมบุคคลรายนี้ถึงได้รับการโอนย้ายจากเนเธอร์แลนด์ไปยังเบลเยียม ดินแดนที่เขาลงมือโจมตีด้วยระเบิดฆ่าตัวตายเมื่อวันอังคาร (22มี.ค.) “ผมเชื่อว่าเราสามารถต่อสู้กับก่อการร้ายได้ หากเหล่าผู้นำโลกก่อตั้งพันธมิตรต่อต้านก่อการร้าย และเพื่อสิ่งนั้น เราจำเป็นต้องจำกัดความพวกก่อการร้ายและการก่อการร้ายระดับโลกใหม่” นายเออร์โดกันกล่าว ก่อนหน้านี้ตุรกีเคยคร่ำครวญว่าพวกชาติตะวันตกไม่เอาใจใส่ต่อคำเตือนเกี่ยวกับอันตรายของพวกนักรบญิฮัดที่ถูกเนรเทศกลับไปยังยุโรป หลังจับกุมคนเหล่านั้นได้ตามแนวชายแดนซีเรีย คำกล่าวอ้างของประธานาธิบดีตุรกีมีขึ้นท่ามกลางความคืบหน้าของการสืบสวนในเบลเยียม ล่าสุดแหล่งข่าวตำรวจเปิดเผยกับเอเอฟพีในวันพุธ (23 มี.ค.) ว่าสามารถระบุตัวมือระเบิดฆ่าตัวตายถล่มสนามบินรายที่ 2 ได้แล้ว โดยมีชื่อว่านายนาจิม ลาเชราอี ซึ่งพบดีเอ็นเอของเขาบนระเบิดที่เชื่อมโยงกับเหตุโจมตีกรุงปารีสเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีก่อน ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน อัยการเบลเยียมสามารถระบุตัวตนมือระเบิดอีกคนที่จุดชนวนระเบิดฆ่าตัวตายสนามบินซาเวนเท็ม กรุงบรัสเซลส์ ได้แก่นายอิบราฮิม เอล บาเคราอี ส่วนผู้ต้องสงสัยรายที่ 3 ซึ่งไม่ได้จุดชนวนระเบิดอยู่ระหว่างหลบหนี ขณะที่นายคาลิด น้องชายของนายอิบราฮิม เป็นผู้ลงมือระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินมัลบีค เจ้าหน้าที่ระบุว่าพบดีเอ็นเอของนายลาเชราอี ซึ่งเกิดในโมร็อกโก บนระเบิดที่ใช้ในการก่อเหตุโจมตีกรุงปารีส เช่นเดียวกับที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเบลเยียม สถานที่พบอุปกรณ์ผลิตระเบิดและลายนิ้วมือของนายซาลาห์ อับเดสลาม ผู้ต้องสงสัยคนสำคัญของเหตุโจมตีเมืองหลวงฝรั่งเศส ขณะที่เหตุระเบิดในบรัสเซลส์เกิดขึ้นตามหลังการจับกุมนายอับเดสลาม 4 วัน อัยการเผยว่า นายลาเชราอีเดินทางไปยังซีเรียในเดือนกุมภาพันธ์ 2013 และลงทะเบียนโดยใช้ชื่อปลอม ณ บริเวณชายแดนระหว่างออสเตรียกับฮังการีเมื่อเดือนกันยายน ปีก่อน ทั้งนี้ เขาเดินทางพร้อมกับนายอับเดสลามและนายโมฮาเหม็ด เบลคาอิด ซึ่งถูกสังหารในปฏิบัติการจู่โจมในกรุงบรัสเซลส์เมื่อวันที่ 15 มีนาคม หรือ 3 วันก่อนหน้าที่นายอับเดสลามถูกจับกุม http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9590000030441 อ้าว!!!!!
พอจะเห็นภาพอะไรบางอย่างชัดเจนขึ้นมากจากกข่าวนี้ ตุรกี จับได้ว่าใช้ชื่อปลอม เลยเนรเทศ เจ้าตัวบอก ขอเนรเทศไป เนเธอร์แลนด์ แล้วไปๆมาๆ ก็กลับเข้าเบลเยียม หน้าตาเฉย ทั้งๆที่ทางการตุรกีก็แจ้งไปแล้วว่า ไอ้คนคนนี้เป็น "นักรบต่างชาติ" แต่กลับเดินทางไปมาอย่างสะดวกสบายจนมาระเบิดสนามบินนานาชาติได้ อย่างนี้สรุปได้หรือไม่ว่า จริงๆแล้ว เบลเยียม หรืออาจรวมทั้งสหภาพยุโรปในแถบนี้ เป็นแหล่ง "พัก" และ "เพาะ" ทีมการก่อการร้ายรวมทั้งนักรบอิสลาม เป็นไปไม่ได้ ที่ เมื่อมีการเนรเทศ ด้วยข้อกล่าวหานักรบต่างชาติ เพราะมีการปลอมชื่อ และถูกจับได้ที่ชายแดนซีเรีย แล้วราชการจะไม่รู้ไม่เห็น เพราะข้อมูลพวกนี้จะถูกบันทึกเป็น Blacklist ที่ฝ่ายความมั่นคงของประเทศ นี่คือสหภาพยุโรป เทคโนโลยีทันสมัย คนมีความรู้ ฉลาดเฉลียว กว่าจะขอวีซ่าแต่ละทีไม่ใช่ง่ายๆ การทำงานเป็นระบบสุดยอด แต่คนที่ติดข้อหานักรบ IS จนถูกเนรเทศ ยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติ และไม่ถูกติดตามได้ยังไง นอกจาก มีการรู้เห็นเป็นใจจาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ละเลยที่จะไม่ติดตามบุคคลคนนี้ นั่นคือ สถานภาพของคนเหล่านี้ ไม่ธรรมดา มันอาจหมายถึง เจ้าหน้าที่ปฎิบัติการลับเลยด้วยซ้ำ หรือว่าจริงๆแล้ว แหล่งฝึกเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการลับ จะอยู่ในพื้นที่นี้ แล้วส่งคนเหล่านี้เข้าไปยังพื้นที่เป้าหมายเพื่อสร้างกลุ่มก่อการร้ายขึ้น พวกนี้จะเป็นแกนนำ ผู้สอน ผู้ฝึก หรือเป็นนายหน้าในการจัดหาอาวุธและยุทธปัจจัยต่างๆ เบลเยี่ยมมีคนเข้าไปร่วมกับ IS มากที่สุดในยุโรปด้วย พอเห็นเค้าลางชัดขึ้นไหม ถ้าเป็นแบบนี้ เหตุการณ์ในปารีส หรือ เบลเยียม เราพอจะเดาได้ไหมว่า ใครเป็นคน "เปิดทางสะดวก" หรือ เป็นปฏิบัติการที่เรียกว่า "false flag" ได้เลยมั้ย เหมือนกับการถล่มตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ คนขึ้นเครื่องบิน พกอาวุธ ขับเครื่องบินชนตึก ทำได้ยังไงโดยฝ่ายความมั่นคงไม่รู้ CIA, FBI , NSA สายข่าวทั้งหลายในประเทศ ไม่รู้ไม่เห็น เป็นไปได้ยังไง เหมือนกับตอนลอบยิง JFK นั่นเลย งงๆเงียบๆ วันที่ บินลาเดนตาย มีใครเคยเห็นศพเขาหรือไม่ ไม่มี เขาอ้างว่า ทิ้งทะเลไปแล้ว รูปถ่ายก็ไม่มี เหมือนหายตัวไปเฉยๆ ไปๆมาๆ บินลาเดน มีความสัมพันธ์ลึกล้ำกับตระกูลบุช ด้วย สรุปแล้ว การเกิดเหตุการณ์ที่เบลเยี่ยม จะช่วยส่งเสริม ฮิลลารี่ คลินตัน ที่ชูประเด็นการต่อต้านการก่อการร้าย หาเสียงในอเมริกาอยู่ เหตุการณ์เหล่านี้ จะสร้างความร่วมมือกันในหมู่ชนที่หวาดกลัว รวมทั้ง ประเทศเล็กประเทศน้อยต่างๆ อาจจะส่งผลไปถึงการแทรกแซงในสงครามซีเรีย ที่กำลังจะสิ้นสุด ให้ยืดเยื้อต่อออกไปอีก เพราะเป็นเหตุหาข้ออ้างให้ประเทศเหล่านี้ เข้าไปแทรกแซงการกวาดล้าง IS ของรัสเซียและซีเรียได้อีก ที่ผ่านมา อเมริกาและยุโรป ยิ่งกวาดล้าง IS ในซีเรียยิ่งโต แถมขยายพันธ์ุ ไปถึงประเทศอื่นๆอีก พอมี IS ก็มีเหตุผลที่จะเข้าไปทำสงครามในประเทศอื่นๆ เช่น ที่อิรักกำลังโดน อ้าง IS เข้าไปทำสงครามในอิรักหน้าตาเฉย อ้าง IS เข้าไปทำสงครามร่วมกับ กบฎที่ต้องการไล่ประธานาธิบดีอัสซาดของซีเรีย แล้วทำให้ IS โตวันโตคืน เราควรจะเสียใจหรือแสดงบทบาทอย่างไร ถ้าจริงๆแล้ว คนบริสุทธิ์ที่ตายในปารีสและเบลเยียม เป็นเพียงแค่ เครื่องมือในการหาประโยชน์ทางการเมืองระหว่างประเทศ เบื้องหลังความเป็นอารยะ คือการสร้างกลุ่มนักรบเลวทรามต่ำช้า เพื่อส่งออกไปก่อสงครามนอกประเทศ เพื่อตัวเองจะได้เข้าแทรกแซง ฉกฉวย ตักตวงและปล้นสะดมภ์ทรัพยากรของประเทศอื่นๆ ที่โง่ ไม่ทันเกม
หากจะบอกว่า คนของรัฐบาล เป็นผู้รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องเลวร้ายทั่วโลก ฟังแล้วเหมือนคนที่มองโลกในแง่ร้ายสุดๆนะครับ แต่ผมเชื่อว่า จริง
ประเทศในยุโรป ปกติก็มีประชากรเป็นมุสลิมอยู่เยอะ หลายประเทศ เบลเยี่ยมก็มีประชากรที่เป็นมุสลิมอยู่ ประชากรมุสลิมของเบลเยี่ยมเองก็หลบหนีไปร่วมกับกองกำลังไอซิส เป็นร้อยเหมือนกัน ยุโรปมันต่างกับอเมริกาตรงที่ยุโรปค่อนข้างจะเปิดเสรี จนดูมั่วไปหมดขณะที่อเมริกานั้นเสรีโดยการโฆษณาชวนเชื่อ แต่ในทางปฏิบัติแล้วละเมิดสิทธิผู้อื่นตลอด โดยเฉพาะคนต่างชาติที่ต้องสงสัย การก่อเหตุในยุโรปมันจึงง่ายกว่าการก่อเหตุในอเมริกา และส่วนใหญ่มันก็มักจะเป็นประชากรในประเทศของตนเองนั่นแหละที่ก่อเหตุ ไม่ใช่คนที่ลักลอบไปจากประเทศอื่น การก่อเหตุแต่ละครั้งก็น่าจะเกิดจากความคิดของผู้ก่อเหตุเอง ไม่น่าจะมีขบวนการหรือการสั่งการอะไรกันจากใครที่ไหนหรอก เพราะคนก่อเหตุก็น่าจะเป็นพวกหัวรุนแรง ที่สั่งสมความเกลียดความไม่พอใจมานานแล้ว เป็นลักษณะทำเอง ตายเอง ถูกจับเองนั่นแหละ มันจึงตรวจสอบและป้องกันยากเพราะไม่รู้ใครเป็นใคร จะรู้ว่าใครทำก็เมื่อเหตุมันเกิดขึ้นแล้ว ยิ่งเป็นประเทศเสรีนิยมจ๋า ก็ยิ่งป้องกันยากเข้าไปอีก แต่จะว่าไปแล้ว ประเทศในยุโรป ก็น่าจะมีพฤติการณ์แสวงหาผลประโยชน์จากความขัดแย้งของประเทศในตะวันออกกลางมานานแล้ว เพียงแต่เป็นพฤติการณ์ที่กะมิดกะเมี้ยนไม่เปิดเผย ใช้วิธีเกาะหลังอเมริกาตลอดแบบไปไหนไปกัน เพราะเห็น โอบาม่าให้สัมภาษณ์สื่อชื่อ แอตแลนติก ว่า "พันธมิตรซาอุดิอาระเบียและพันธมิตรในอ่าวเปอร์เซีย ก็เหมือนกับพันธมิตรในยุโรปนั่นแหละ เป็นพวก ขี่ฟรี ที่ชอบลากอเมริกาเข้าไปสู่ปัญหาที่อเมริกาเองไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ซาอุดิอาระเบีย ควรเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันโดยแบ่งพื้นที่กับอิหร่าน" เห็นให้สัมภาษณ์แบบนี้แล้ว ก็อยากรู้ว่าพันธมิตรยุโรป และซาอุ จะมีปฏิกิริยาอย่างไร ปรากฎว่าพันธมิตรยุโรปเงียบกริบ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แต่พันธมิตรซาอุถึงกับหนวดกระดิก ออกมาตอบโต้ทำนองว่า "โอบาม่า คุณอยู่อีกไม่นานนะ มาพูดอย่างนี้ได้อย่างไร เราไม่ได้ขี่ฟรีนะ เราก็เสียเงินตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเหมือนกัน จะมาให้เราเรียนรู้การอยู่ร่วมกับอิหร่านเหรอ คุณจะไปไหนก็ไปเถอะ แต่เราจะขี่อเมริกาในฐานะเป็นพันธมิตรอยู่อย่างนี้แหละ" เห็นแบบนี้แล้ว ก็พอจะมองออกได้ว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นปัจจุบัน มีใครเกี่ยวข้องกันบ้าง คนมุสลิมเองก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ใหญ่ ๆ ฝ่ายหนึ่งมีซาอุดิอาระเบียเป็นผู้นำ มีอเมริกาและชาติในยุโรปหนุนหลัง อีกฝ่ายหนึ่งมีอิหร่านเป็นผู้นำมีรัสเซียหนุนหลังจนเกิดสงครามในตะวันออกกลางมาจนถึงทุกวันนี้นั่นแหละ