วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 แฉ..ช็อคโลกลัทธิประชาธิปไตย สั่งปล้นและฆ่าผู้นำประเทศเจ้าหนี้เพื่อล้างหนี้ท่วมหัว พันเอกกัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ต้องการที่จะรวมชาติต่างๆ ในแอฟริกาให้เป็น “สหรัฐแอฟริกา (United States of Africa) “ เหมือนกับสหรัฐอเมริกา ถ้าชาติแอฟริการวมตัวกันได้เมื่อใด สหรัฐแอฟริกา ก็จะเป็นชาติใหญ่ที่มีอำนาจต่อรองมากขึ้น และถูกเอารัดเอาเปรียบน้อยลง ลิเบียผลิตน้ำมันดิบคุณภาพสูงและการผลิตน้ำมันของลิเบียมีต้นทุนเพียง 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ชาติตะวันตกซื้อจากลิเบียไปกลั่นขายในตลาดโลก แล้วโขกสับราคาบาร์เรลละหลายสิบ หรือบางครั้งก็เกือบ 100 ดอลลาร์ แต่สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกากลับเป็นหนี้ประเทศลิเบียถึง 6 ล้านล้านบาท สหประชาชาติ ( UN) กำลังเตรียมที่จะมอบรางวัลให้แก่ประธานาธิบดีกัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ในฐานะผู้สร้างความสำเร็จในด้านสิทธิมนุษยชนอย่างยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ ในปี พ.ศ. 2555 สัมปทานการขุดเจาะน้ำมันของชาติตะวันตกในลิเบียจะหมดอายุลง พันเอกกัดดาฟี ผู้นำลิเบียประกาศว่า "ถ้าชาติตะวันตกที่เป็นลูกหนี้ขี้เหนียวยังไม่ยอมจ่ายหนี้เก่าให้ลิเบีย เขาจะให้สัมปทานใหม่แก่บริษัทของจีนและรัสเซีย “ สร้างความเดือดดาลให้กลุ่มอิลลูมินาติ และชาติตะวันตกมาก ว่าทำไมต้องทวงหนี้กันด้วย ขณะนั้นมีปัญหาการเงินที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐและยุโรปที่ใกล้จะล้มละลายจากลัทธิประชาธิปไตยทุนนิยม และถ้าพันเอกกัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ปลดแอกชาติแอฟริกาให้พ้นจากการถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบจากชาติตะวันตกได้ อเมริกาและชาติตะวันตกอย่างฝรั่งเศสที่ยัดครองแอฟริกาดูดทรัพยากรมานานต้องตายแน่ๆ แผนการณ์ “ก่อสงครามล้างหนี้ “ จึงเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน มีการประโคมเต้าข่าวดื้อๆ จากสื่อยิวไซออนิสต์ใหญ่ๆ ของโลก ว่าพันเอกกัดดาฟี เข่นฆ่าสังหารประชาชนของตนเอง เพื่อพยายาม หลอกลวงต้มตุ๋นชาวโลกที่อยู่ห่างไกลออกไป มีแต่ประชาชนชาวลิเบียเท่านั้นที่รู้ว่ากัดดาฟี จะเข่นฆ่าประชาชนของตัวเองทำไม ในเมื่อเขาให้การศึกษา การรักษาพยาบาลแบบให้เปล่าแก่ประชาชนทุกคน ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม - ปลายเดือนสิงหาคม 2554 ก่อนที่ชาติตะวันตกจะหมดสัมปทานน้ำมันในลิเบีย และก่อนที่จะเกิดกองทุนการเงินแอฟริกา (African Monetary Fund) ทางนาโต้ ได้บุกโจมตีลิเบียเอาดื้อๆ อย่างว่าเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน ???ประชาชนชาวลิเบีย ตามเมืองต่างๆประมาณ 1.7 ล้านคน ได้ออกมาเดินขบวนสนับสนุนผู้นำของตนเอง กองกำลังนาโต้ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะส่งทหารจากชาติของตนเข้าไปปฏิบัติการสงครามในลิเบีย ทหารกบฏที่ไล่ล่าพันเอกกัดดาฟีจึงมิใช่ทหารลิเบีย แต่เป็นทหารรับจ้างจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และกาตาร์ ที่นาโต้ส่งเข้าไป หลักการคล้ายๆ กองกำลัง IS CIA ที่อเมริกาและนาโต้ ส่งเข้าไปก่อสงครามในซีเรีย เพื่อโค่นล้มนายอาดซาด ผู้นำของประชาชนเขาในตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ถูกทำร้ายต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสงสาร สิ้นผู้นำที่ชื่อว่ามุอัมมาร์กัดดาฟีเสียแล้ว เขาไม่ทันได้รับรางวัลจากสหประชาชาติ ( UN) ที่จะมอบให้กับเขาในฐานะผู้สร้างความสำเร็จในด้านสิทธิมนุษยชนอย่างยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ เงินทุนสำรองของประเทศลิเบียก็ถูกอายัดหมดโดยชาติมหาอำนาจ หนี้สินของชาติมหาอำนาจตะวันตกที่มีต่อลิเบีย ก็ถูกเบี้ยวไม่ได้คืนมาสักบาท แหล่งสัมปทานน้ำมันในลิเบียถูกชาติตะวันตกยึดไปจนสิ้น เกิดความแตกแยกระส่ำระสายสงครามกลางเมืองในลิเบีย ชาวลิเบียไม่ได้สวัสดิการเหมือนที่เคยได้รับจากกัดดาฟี ผู้นำคนเก่าอีกเลย ประเทศลิเบียของพวกเขาทุกวันนี้เต็มไปด้วยกลุ่มก่อการร้ายของอเมริกาและตะวันตก http://topsecretthai1.blogspot.com/2015/11/blog-post_13.html?spref=fb
ข้อมูลจากอีกหนึ่งเพจ --------------------------------------------------------------- "จัดระเบียบโลกใหม่" หรือที่ได้ยินกันในคำว่า New World Order ภายใต้สมาคมหรือองค์กรลับ "ฟรีเมซั่น" ซึ่งขับเคลื่อนกลไกโดย "องค์การมนตรีความสัมพันธ์ต่างประเทศ" ดังที่เห็นบทบาทอยู่บ่อยๆ ในวงการเศรษฐกิจและการโลกด้วยคำย่อ CFR เปัาหมาย โลกทั้งโลก สั่งการโดย "อำนาจเดียว" ในนามรัฐบาลโลก รวมเศรษฐกิจ อเมริกาเหนือ-ยุโรป-ญี่ปุ่น เข้าด้วยกัน ใช้เงินสกุลเดียวกันทั้งโลก เรียกว่าเศรษฐกิจ-การเงิน-การเมือง-การศาสนา รวมศูนย์ขึ้นอยู่กับ "อำนาจเดียว" เป็นจักรวรรดิโลก เป็นระบบเศรษฐกิจใหม่เรียก Corporatocracy ภายใต้เป้าหมาย New World Order เดี๋ยวนี้ยี่ห้อ UN-สหประชาชาติ หรือยี่ห้อ WTO-องค์การการค้าโลก ซึ่งเป็นองค์การในเครือข่ายชักใยของสมาคมฟรีเมซั่นเพื่อการ "จัดระเบียบโลกใหม่" เช่นกัน ท่านจะสังเกตเห็นว่าไม่ค่อยถูกใช้แล้ว โดยเฉพาะ WTO แทบจะหายไปเลย องค์การใหม่ที่กำลังขึ้นมาเดินบทบาทแทนก็คือ CFR "องค์การมนตรีความสัมพันธ์ต่างประเทศ" นี่แหละ! อิรัก ที่ป่านนี้ก็ยังอิหลัก-อิเหลื่อไม่รู้จบ ก็ฝีมือเขาล่ะ ด้วยเป้าหมาย "จัดระเบียบโลกใหม่" ใครจะปฏิเสธได้ล่ะว่า ที่กระแส "ประชาชนปฏิวัติ" กลายเป็นโรคระบาดไปทั่วทั้งแอฟริกาเหนือ และอาหรับตะวันออกกลางขณะนี้นั้น คนอยู่ข้างหลังไม่ใช่... ฟรีเมซั่น!? โดยเฉพาะลิเบียที่ "นายกัดดาฟี" ปฏิเสธอำนาจตะวันตกมาตลอด เป็นเหมือน "กรวดในรองเท้า" ของฟรีเมซั่น เพราะไม่สามารถใช้ CFR สยายกรงเล็บเข้าครอบครองและควบคุมกลไกเศรษฐกิจและการเมืองได้เหมือนประเทศอื่น ดังนั้น การที่ประชาชนลุกฮือขึ้นปฏิวัติ ขับไล่นายกัดดาฟีซึ่งเป็นผู้นำที่ "ไม่ใช่กษัตริย์" คนเดียวในโลกเวลานี้ที่ครองอำนาจต่อเนื่องยาวนานที่สุดถึง ๔๑-๔๒ ปี จะบอกว่า "ฟรีเมซั่นไม่เกี่ยว" ต่อให้อมเทพีสันติภาพกับหอไอเฟลมาพูด ก็ไม่มีใครเชื่อ!? ท่านสังเกตมั้ย ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๙๐ ที่นายจอร์จ บุช ผู้พ่อ ประกาศ "จัดระเบียบโลกใหม่" เป็นต้นมา ประเทศที่เป็น "แหล่งพลังงาน" จะเจอกระแส" อำนาจเปลี่ยนโลก" กันถ้วนหน้า กัดดาฟีเกิดเมื่อ ค.ศ. 1942 เขาเกิดในกระโจมในทะเลทรายใกล้เมืองเซอร์ตี มีชื่อเต็มๆ ว่า มูอัมมาร์ กัดดาฟี พ่อเป็นชาวอาหรับ เบดูอิน ซึ่งพเนจรเร่รอนไปในทะเลทราย เป็นชนเผ่าเบอร์เบอร์ อาชีพเลี้ยงสัตว์ขาย ตระกูลของเขานับตั้งแต่ปู่ล้วนเคยต่อสู้กับทหารอิตาเลียน ที่เข้ามายึดครองลิเบียอย่างกล้าหาญ ถือได้ว่าเขาสืบสายเลือดชาตินิยมอาหรับมาเลยทีเดียว ในวัยเยาว์กัดดาฟีเรียนหนังสือได้ดีมาก และเมื่ออายุได้ 14 ปี ใน ค.ศ. 1956 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในโลกอาหรับ ก็ได้ก่อให้เกิดความสำนึกทางการเมืองแก่กัดดาฟีอย่างแรงกล้า เนื่องจากในปีนั้น นัสเซอร์ ผู้นำแห่งอียิปต์ได้โอนคลองสุเอซเป็นของรัฐ ยังผลให้อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิสราเอล ยกทัพบุกอียิปต์ กัดดาฟีได้จัดตั้งกลุ่มนักเรียนขึ้นเพื่อสนับสนุนนัสเซอร์ ผู้เป็นวีรบุรุษของเขา กัดดาฟีเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งเดินขบวนและสไตรค์จนถูกไล่ออกจากโรงเรียน ต้องจ้างคูรมาสอนที่บ้านจึงเรียนจบ เมื่ออายุได้ 19 ปี ก็เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยที่แบงกาซี ตามแบบนัสเซอร์ เมื่อเป็นนักเรียนนายร้อย กัดดาฟีก็ค่อยๆ ปลูกฝังความคิดในเรื่องชาตินิยมอาหรับแก่เพื่อนๆ ชั้นเดียวกัน ทำนองเดียวกับที่นัสเซอร์ จัดตั้งขบวนการนายทหารเสรีในวัยหนุ่ม เพื่อปฏิวัติโค่นราชบัลลังก์ฟารุคนั่นเอง ด้วยเหตุนี้คณะนายทหารกลุ่มกัดดาฟีจึงเป็นนายทหารที่หาได้ยากในลิเบีย เพราะไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน และไม่ใช้ชีวิตเหลวแหลกในเรื่องผู้หญิง หลังจากยึดอำนาจจากรัฐบาลได้แล้ว กัดดาฟีได้แก้ปัญหาเรื่องเอกราชก่อน โดยการไม่ยินยอมให้สหรัฐและอังกฤษตั้งฐานทัพในลิเบียอีกต่อไป มหาอำนาจทั้งสองจึงต้องถอนกำลังออกทั้งหมด แล้วจึงขึ้นค่าภาคหลวงน้ำมันขึ้นมาอีก 120 เปอร์เซ็นต์ และภายหลังได้โอนมาเป็นของรัฐ ยังผลให้ลิเบียเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดประเทศหนึ่งในตะวันออกกลางสมัยนั้น จากนั้นกัดดาฟีได้ใช้เงินที่ได้จากน้ำมันพัฒนาโครงการเศรษฐกิจ และก่อสร้างบ้านเรือนที่ทันสมัย ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 ปรากฏว่ารายได้เฉลี่ยของชาวลิเบียสูงถึง 7,000 เหรียญฯ ต่อปี กัดดาฟียึดรถยนต์เมอร์เซเดส ที่เจ้านายและนักการเมืองในอดีตใช้กันอย่างหรูหรา ได้ถึง 600 คัน ส่วนตนเองใช้รถจี๊ปแลนด์โรเวอร์ และยังได้ลดเงินเดือนรัฐมนตรีลงครึ่งหนึ่ง ลดค่าเช่าบ้านเพื่ออยู่อาศัยของคนจนลง 1 ใน 3 หลักการปฏิวัติของกัดดาฟีนั้นมีอยู่ในหนังสือที่เขาเขียนเอง ที่เรียกกันว่า Green Book ซึ่งเป็นการนำเอาหลักการต่างๆ ในพระคัมภีร์กุรอานมาปรับใช้ในโลกสมัยใหม่ เขาถือว่าลัทธิทุนนิยมล้าสมัยไปหมดแล้ว ส่วนลัทธิมาร์กซ์ก็คือสังคมยูโทเปีย ที่ปกครองด้วยระบบราชการ http://muslimthai.muslimthaipost.com/main/index.php?page=sub&category=19&id=17061
อาลัย‘กอซซาฟี’(กัดดาฟี) บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน หากจะเทียบความโชคดีของประชาชนในประเทศต่างๆโดยวัดจากสวัสดิการที่รัฐบาลให้แก่ประชาชนแล้ว ชาวลิเบียน่าจะเป็นประชาชนที่โชคดีที่สุด เพราะอะไรหรือครับ? คำตอบก็คือ ชาวลิเบียทั้งหมดใช้ไฟฟ้าฟรีเนื่องจากไม่มีการเก็บค่าไฟฟ้าในลิเบีย ธนาคารในลิเบียเป็นของรัฐและกฎหมายกำหนดให้ประชาชนกู้เงินโดยปลอดดอกเบี้ย ประชาชนลิเบียจึงกู้เงินโดยไม่เสียดอกเบี้ย การมีบ้านเป็นของตนเองถือเป็นสิทธิมนุษยชนในลิเบีย คู่แต่งงานใหม่ทุกคู่ในลิเบียจะได้รับเงินจากรัฐบาลเป็นเงิน 60,000 ดีนาร์ (ประมาณ 1,500,000 บาท) เพื่อซื้อบ้านหลังแรกเป็นการเริ่มต้นครอบครัว ประชาชนลิเบียได้รับการศึกษาและการรักษาพยาบาลโดยไม่คิดมูลค่า ก่อนหน้าสมัยพันเอกมุอัมมาร์ กอซซาฟี เป็นผู้นำ ลิเบียมีผู้อ่านออกเขียนได้เพียง 25% แต่ปัจจุบันลิเบียมีผู้อ่านออกเขียนได้เพิ่มขึ้นจำนวน 83% ชาวลิเบียคนใดที่ต้องการประกอบอาชีพเกษตรกรรมจะได้รับที่ดินทำการเกษตร บ้าน เครื่องมือการเกษตร เมล็ดพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์แบบให้เปล่าเพื่อเริ่มต้นอาชีพเกษตรกรรม ถ้าชาวลิเบียคนใดไม่สามารถหาบริการทางด้านการศึกษาและการแพทย์ที่ตัวเองต้องการ รัฐบาลจะจ่ายเงินให้และยังจัดสรรเงินอีกประมาณ 70,000 บาทเป็นค่าที่พักและค่าพาหนะอีกด้วย ถ้าชาวลิเบียคนใดซื้อรถ รัฐบาลจะออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง ราคาน้ำมันรถยนต์ในลิเบียลิตรละประมาณ 5-6 บาท ลิเบียไม่มีหนี้ภายนอก เงินสำรองของลิเบียมีอยู่ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ทั่วโลกซึ่งขณะนี้ถูกอายัดโดยชาติมหาอำนาจ ถ้าชาวลิเบียจบการศึกษาและไม่สามารถหางานทำ รัฐจะจ่ายเงินเดือนให้พอๆกับคนที่ทำงานจนกว่าจะหางานได้ เงินส่วนหนึ่งจากการขายน้ำมันของรัฐบาลจะถูกโอนเข้าบัญชีพลเมืองชาวลิเบียโดยตรง ผู้หญิงลิเบียที่คลอดลูกจะได้รับเงิน 150,000 บาท ขนมปัง 40 ก้อนในลิเบียราคาประมาณ 5 บาท ปัจจุบันชาวลิเบีย 25% จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย กอซซาฟีเป็นผู้ทำโครงการชลประทานที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เรียกกันว่า “โครงการแม่น้ำใหญ่ที่มนุษย์ทำขึ้น” เพื่อส่งน้ำไปเลี้ยงผืนทะเลทรายทั่วประเทศ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พันเอกมุอัมมาร์ กอซซาฟี จะปกครองประเทศลิเบียนานถึง 42 ปีโดยที่ไม่มีชาวลิเบียลุกขึ้นมาประท้วงผู้นำของตนว่าเป็นเผด็จการ ในทางตรงข้าม ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคมถึงปลายเดือนสิงหาคม 2554 ซึ่งเป็นช่วงที่กองทัพนาโต้โจมตีลิเบียอย่างไร้เหตุผล ประชาชนชาวลิเบียตามเมืองต่างๆประมาณ 1.7 ล้านคนได้ออกมาเดินขบวนสนับสนุนผู้นำของตน แต่ภาพเหล่านี้กลับไม่ได้ถูกนำออกมาเผยแพร่ในตะวันตก http://www.oknation.net/blog/knowislam/2011/12/02/entry-1
อิรีกกับลิเบียนี่จะโทษพวกยุโรปก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนก็ต้องโทษพวกกบเลือกนาย อยากได้เสรีภาพจนตัวสั่น ผลสุดท้ายก็ได้สมใจอยาก ใครอยากทำอะไรก็ทำจนบ้านเมืองเละเทะกันไปข้าง
น่าสงสารนะครับ แต่ก็อย่างว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก สิ่งที่น่าทึ่งก็คือลุงตู่จะทำอย่างไรไม่ให้ประเทศไทยเจริญรอยตามประเทศด้านบนที่ท่านๆ ว่ามาได้นี่สิ คิดกลับกัน ถ้าอิปูรูยังอยู่ ป่านนี้คงสร้างหนี้จนหัวโตแล้วแหกรูให้ไอ้กันเข้ามาจิ้มเล่นชัวร์
คงลำบากหน่อยละครับ ขนาดทั่วโลกเกือบจะได้ทำสงครามโลกครั้งที่3กันอยู่แล้ว ร่านยังบอกทหารไม่มีประโยชน์เลย ยิงต่อสู้ขับไล่เขมรที่มาบุกรุก ยังด่าว่าไปสร้างศัตรูกับเขาทำไหม อยากให้พวกนี้ไปเป็นตชด.จริงๆ แล้วดูซิจะทำยังไง