รัสเซียกลับมาแล้ว กลับมาตะวันออกกลางอีกครั้ง กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ระบือลือลั่นไปทั่วทั้งโลกาด้วยการส่งฝูงเครื่องบินรบทั้งเครื่องบินทิ้งระเบิดซูคอย หรือซู-34 เครื่องบินขับไล่ซู-24 เครื่องบินรบซู-30 และเฮลิคอปเตอร์เอ็มไอ-24 เปิดฉากโจมตีที่มั่นของกลุ่มติดอาวุธกลุ่มต่างๆ ในซีเรีย ทั้งกลุ่มกบฏที่สหรัฐหนุนหลังและกลุ่มอิสลามสุดโต่งไอเอส ทั้งที่เป็นกลุ่มไอเอสของแท้และไอเอสของปลอมที่ซีไอเอให้ท้ายอยู่บื้องหลัง การโจมตีครั้งนี้มีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรัฐสภาในกรุงมอสโกได้ลงมติเอกฉันท์ไฟเขียวให้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากการไปร่วมประชุมเนื่องในวาระครบรอบ 70 ปีของสมัชชาสหประชาชาติ ส่งกำลังทหารไปซีเรียเพื่อช่วยกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายตามคำขอของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ที่ถูกสหรัฐและพันธมิตรนาโตช่วยกันรุมกินโต๊ะมานานถึง 4 ปี จนแทบไม่สามารถประคับประคองตัวเองได้ต่อไปหากไม่ได้รับความช่วยเหลือทางทหารโดยเร็วที่สุด จนถึงขณะนี้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2.5 แสนราย อีกกว่า 10 ล้านคนต้องอพยพออกจากบ้านเกิดเมืองนอน ถือเป็นปฏิบัติการทางทหารนอกประเทศครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ทศวรรษ นับตั้งแต่ครั้งอดีตสหภาพโซเวียตส่งทหารเข้าไปยึดครองอัฟกานิสถานเมื่อปี 2522 ก่อนหน้านี้ ผู้นำวังเครมลินได้เคยขอมติทำนองนี้จากวุฒิสภาคราวประกาศผนวกแหลมไครเมียของยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ในครั้งนี้ ปูตินย้ำว่าเป็นปฏิบัติการเพื่อสร้างสันติภาพ หรืออีกนัยหนึ่งใช้ "สงครามเพื่อยุติสงคราม” และปฏิบัติการทางทหารของแดนหมีขาวรัสเซียในซีเรียครั้งนี้ก็เหมือนกับย้อนรอยปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐและพันธมิตรนาโต นั่นก็คือมุ่งเน้นปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเท่านั้น โดยไม่ส่งทหารภาคพื้นดินเข้าไปร่วมรบด้วย แม้ว่ารัสเซียได้ส่งทหารและอาวุธยุโธปกรณ์เข้าไปในซีเรียล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อปลายเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนคราวส่งทหารไปยึดครองอัฟกานิสถานเมื่อปี 2522 สุดท้ายก็ถูกกลุ่มติดอาวุธที่ซีไอเอปั้นมากับมือ โดยหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ โอซามา บินลาเดน ขับไล่จนต้องกระเจิดกระเจิงออกจากอัฟกานิสถานด้วยความบอบช้ำแสนสาหัส มีทหารต้องพลีชีพถึง 14,000 ราย จนต้องหลบไปนอนเลียแผลถึงกว่า 30 ปี @จุดเปลี่ยนสำคัญ การที่หมีขาวรัสเซียตัดสินใจกระโดดเข้าร่วงวงศ์ไพบูลย์ในสงครามกลางเมืองในซีเรีย มีขึ้นหลังจากปูติน และประธานาธิบดีบารัก โอบามา แห่งทำเนียบขาว ซึ่งเปิดสงครามน้ำลายกันบนเวทีสหประชาชาติไม่สามารถหาทางออกร่วมกันเพื่อคลี่คลายวิกฤติการณ์ในประเทศนี้ โดยผู้นำทำเนียบขาวยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวว่าต้องกำจัดอัล อัสซาด ให้กระเด็นหลุดจากวงจรอำนาจให้ได้ แต่ปูตินขัดขวางเต็มที่ในฐานะที่เป็นพันธมิตรมานานกับตระกูลอัสซาดที่กุมอำนาจเด็ดขาดในประเทศนี้มา 2 ชั่วรุ่น ขณะที่พันธมิตรของสหรัฐในยุโรปก็เริ่มมีท่าทีโอนเอียงไปทางรัสเซียมากขึ้น กรณีเสนอทางออกให้ดึงคู่กรณีทุกฝ่ายรวมทั้งอัสซาดมาเข้าร่วมโต๊ะเจรจาสันติภาพ ไม่ใช่ถูกกีดกันออกไปดังที่ทำเนียบขาวยืนกรานมาตลอด อันที่จริง จุดหักเหสำคัญที่ทำให้จุดยืนของกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) เปลี่ยนไป มีขึ้นหลังจากคลื่นผู้อพยพราว 5 แสนคนส่วนใหญ่จากซีเรียยอมเสี่ยงตายข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้วทะลักเข้าไปยังยุโรป จนกลายเป็นวิกฤติใหญ่ที่ประเทศต่างๆ ไม่สามารถทนแบกรับได้อีกต่อไป ขณะที่สหรัฐซึ่งเป็นตัวการใหญ่ในการจุดชนวนความขัดแย้งในซีเรียได้แสดงจุดยืนให้เห็นชัดเจนว่าพร้อมจะเป็นมิตรประเภท “มีสุขร่วมเสพย์” แต่ ”ยามมีทุกข์กลับไม่ยอมร่วมต้าน” บีบให้อียูได้คิดว่าแนวทางการแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่การปิดล้อมซีเรียและการล้มรัฐบาลอัล อัสซาด แต่อยู่ที่การเข้าไปแก้ไขที่ต้นเหตุ นั่นก็คือต้องดึงอัล อัสซาด เข้ามาร่วมเจรจาสันติภาพของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง @กงล้อประวัติศาสตร์ ถึงแม้จะไม่สามารถให้นิยามได้เต็มปากว่าปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียครั้งนี้เป็นสงครามระหว่าง “ฝ่ายเทพกับมาร” แต่อย่างน้อยก็สามารถพูดได้ว่าได้ตอกย้ำถึงการเป็นสมรภูมิล่าสุดของสงครามตัวแทนโดยสมบูรณ์แบบระหว่างกลุ่มที่ต้องการจัดระเบียบโลกใหม่ในตะวันออกกลาง นำโดยแดนดินถิ่นอินทรีผยองอเมริกาและพันธมิตรนาโตรวมทั้งพันธมิตรบางประเทศในตะวันออกกลางกับฝ่ายที่ต้องการล้มล้างแผนจัดระเบียบโลกใหม่ โดยมีหมีขาวรัสเซียเป็นหัวหอก ทั้งนี้ เพื่อจะสร้างดุลอำนาจขึ้นมาใหม่ในภูมิภาคนี้ที่ไฟสงครามกลางเมืองลุกลามไปทั่วนับตั้งแต่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ประกาศจัดระเบียบโลกใหม่ขึ้น เริ่มด้วยการทำสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 1 เมื่อปี 2530-2531 ตามด้วยสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 2 และการกรีธาทัพใหญ่บุกล้มรัฐบาลตาลีบันในอัฟกานิสถาน ต่อด้วยการล้มรัฐบาลซัดดัม ฮุสเซนแห่งอิรัก รัฐบาลโมอัมมาร์ กัดดาฟี แห่งลิเบีย เชื่อว่าถ้าล้มรัฐบาลอัล อัสซาด แห่งซีเรีย ได้สำเร็จสมความมุ่งหมาย เป้าหมายต่อไปก็คือการยึดครองอิหร่าน อันเป็นความฝันสูงสุดมานานร่วมครึ่งศตวรรษ สิ่งที่ผู้นำทำเนียบขาวทุกรุ่นอ้างมาตลอดก็คือต้องการสร้างรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยขึ้น แต่กว่าสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลประชาธิปไตยที่สหรัฐสร้างขึ้นมากับมือล้วนแต่มีข่าวฉาวโฉ่ในเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น รวมถึงการไม่สามารถบูรณะประเทศที่พังพินาศย่อยยับให้กลับมาดีดังเดิมได้ ประชาชนยังคงยากจน หิวโหย ขณะที่บริษัทอเมริกัน ซึ่งมักจะมีรัฐมนตรีและนักการเมืองหลายคนถือหุ้นใหญ่ได้รับสัมปทานเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์มหาศาลในโครงการฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานจนถึงทุกวันนี้ พูดง่ายๆ ก็คือวัฏจักรหรือกงล้อประวัติศาสตร์ในตะวันออกกลางได้หมุนมาทับรอยเดิมอีกครั้ง ซึ่งผู้เล่นล้วนแต่เป็นตัวละครชุดเก่าหน้าเดิมๆ ที่เคยผลัดกันรุกผลัดกันรับในศึกชิงความเป็นเจ้าในภูมิภาคนี้ แต่คราวนี้ตัวละครสำคัญได้สับเปลี่ยนบทบาทกัน กลายเป็นปูตินสวมบทพระเอกทั้งบนเวทีการประชุมสหประชาชาติและการนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมและชอบธรรม ภายใต้ข้ออ้างว่าพร้อมจะไล่ล่ากลุ่มไอเอสเพื่อสกัดช่องทางไม่ให้หันอาวุธไปโจมตีรัสเซียได้ อีกทั้งเพื่อป้องกันไม่ให้สงครามลุกลามไปถึงอิหร่านหากรัฐบาลอัสซาดถูกสหรัฐล้มล้างสำเร็จ ส่วนทำเนียบขาวกลับกลายเป็นผู้ร้ายปากแข็งใจแข็ง ทั้งๆ ที่ติดหล่มสงครามจนยากจะถอนตัวเหมือนคราวที่เคยติดหล่มสงครามในเวียดนามมาแล้ว ส่วนรากเหง้าปัญหาแท้จริงไม่ได้รับการแก้ไขอยู่เหมือนเดิม หนำซ้ำยังถูกบิดเบือนให้เข้าใจผิดว่าเป็นการต่อสู้ที่ชอบธรรมเพื่อตอกหมุดประชาธิปไตยขึ้นในตะวันออกลาง @สงครามโฆษณาชวนเชื่อ พลันที่เครื่องบินรบของรัสเซียเหินหาวไปถล่มที่มั่นของฝ่ายกบฏและกลุ่มติดอาวุธ สื่อตะวันตกรวมไปถึงบีบีซี ฟ็อกซ์นิวส์ และอัล จาซีราห์ ก็เข้าสู่หมวดรบเต็มรูปแบบในการทำสงครามโฆษณาชวนเชื่อเพื่อช่วงชิงพื้นที่ข่าวเหมือนในยุคสงครามเย็นไม่มีผิด เริ่มตั้งแต่การโจมตีว่าเครื่องบินรบของรัสเซียได้ทิ้งระเบิดถล่มบ้านเรือนของประชาชน จนมีพลเรือนเสียชีวิตจำนวนมาก และย้ำแต่ประเด็นนี้โดยไม่เคยเปรียบเทียบกับตัวเลขชาวซีเรียที่เสียชีวิตขณะสหรัฐถล่มซีเรียมานานถึง 4 ปี หนำซ้ำเป้าหมายมักจะพลาดไปโดนประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก จากผลการสำรวจของนักวิจัยจากอังกฤษ เบลเยียม สหรัฐ และเลบานอน ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารการแพทย์เผยว่า มีพลเรือนชาวซีเรียเสียชีวิตจากเงื้อมมือรัฐบาลราว 79,000 รายระหว่างปี 2554-2558 ในจำนวนนี้เกือบ 25 เปอร์เซ็นต์เป็นด็กและผู้หญิง หรือถ้าลงลึกมากไปกว่านั้นก็คือมีเด็กมากถึง 16 เปอร์เซ็นต์ที่เสียชีวิตจากการโหมโจมตีของทหารรัฐบาล หรือการตอกย้ำแต่ว่าการล้มรัฐบาลอัสซาดนั้นสำคัญมากกว่าการปราบปรามกลุ่มไอเอส โดยละเลยไม่ยอมพูดถึงว่ารัฐบาลอัสซาดนั้นมาจากการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตยเหมือนประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนั้น หรือแทบจะไม่เคยวิเคราะห์โดยปราศจากอคติหรือมีผลประโยชน์ใดๆ ว่าอนาคตของซีเรียจะเป็นเช่นใดหากล้มรัฐบาลอัสซาดได้สมความมุ่งมาดแล้ว จะซ้ำรอยอัฟกานิสถาน อิรัก กับลิเบียหรือไม่ ไม่ต้องพูดไปถึงการละเลยความจริงที่ถูกปิดบังมาตลอดว่าเหตุใดการจัดระเบียบโลกใหม่ในตะวันออกกลางโดยเฉพาะในอัฟกานิสถาน อิรัก และลิเบีย จึงไม่คืบหน้าแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานกว่า 20 ปีแล้ว สูตรสำเร็จอีกอย่างหนึ่งในการนำเสนอข่าวโฆษณาชวนเชื่อของสื่อตะวันตกในช่วงนี้ก็คือการตอกลิ่มย้ำแต่ภาพการกระหายสงครามของรัสเซีย ตั้งแต่การเปิดสงครามกับสาธารณรัฐจอร์เจียเมื่อปี 2551 รวมไปถึงการฝึกอาวุธให้แก่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนจอร์เจียที่อับคาเซียและออสเซเตียใต้แล้วรับรองพื้นที่ใต้การยึดครองของ 2 กลุ่มว่าเป็นรัฐอิสระ นอกเหนือจากหนุนหลังกลุ่มกบฏแยกดินแดนในมอลโดวาและทาจิกิสถาน หรือล่าสุดก็คือหนุนฝ่ายกบฏในยูเครนตามด้วยการผนวกดินแดนคาบสมุทรไครเมียกลับไปเป็นของรัสเซีย เป็นต้น สื่อตะวันตกยังได้จุดชนวนความหวาดระแวงสงสัยในความจริงใจของหมีขาวที่หวนกลับคืนรังในตะวันออกกลาง อาทิ อ้างความเห็นของผู้บัญชาการนาโตที่ตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดรัสเซียถึงได้ติดตั้งระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานแบบเอสเอ-15 และเอสเอส-22 ซึ่งมีประสิทธิภาพยิ่งใหญ่เกินความจำเป็นในการถล่มไอเอส เหมือนกับเอามีดโคไปฆ่าไก่มากกว่า เพราะลำพังแค่เครื่องบินรบราว 50 ลำที่ประจำการอยู่ในขณะนี้ถือว่าพอเพียงแล้ว หรือว่าแท้ที่จริงแล้วเพราะต้องการปกป้องรัฐบาลอัล อัสซาด @@บทสรุป สิ่งหนึ่งที่มหาอำนาจรวมทั้งสื่อในอาณัติละเลยไม่ให้ความสนใจก็คือทำอย่างไรถึงจะให้ชาวซีเรียสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้โดยปราศจากการแทรกแซงจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอนาคตทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง แม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลานานหลายปีก็ตาม ถ้าทำได้เช่นนี้เมื่อใด เชื่อว่าปัญหาผู้อพยพนับแสนๆ คนก็จะค่อยๆ หายไป เช่นเดียวกับการสกัดไฟสงครามไม่ให้ลุกลามออกไป http://www.komchadluek.net/detail/20151004/214497.html
คนนี้วิเคราะได้ดีครับ ชอบคำว่า "จุดหักเหสำคัญที่ทำให้จุดยืนของกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) เปลี่ยนไป มีขึ้นหลังจากคลื่นผู้อพยพราว 5 แสนคนส่วนใหญ่จากซีเรียยอมเสี่ยงตายข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้วทะลักเข้าไปยังยุโรป จนกลายเป็นวิกฤติใหญ่ที่ประเทศต่างๆ ไม่สามารถทนแบกรับได้อีกต่อไป ขณะที่สหรัฐซึ่งเป็นตัวการใหญ่ในการจุดชนวนความขัดแย้งในซีเรียได้แสดงจุดยืนให้เห็นชัดเจนว่าพร้อมจะเป็นมิตรประเภท “มีสุขร่วมเสพย์” แต่ ”ยามมีทุกข์กลับไม่ยอมร่วมต้าน” " ปล เจ็บดีแท้
ประวัติ ศาสตร์สอนแล้ว ความหยิ่งทนง ของ ฮิตเลอร์ ความวางก้าม เขื่องโข ของซัดดัม ยิ่งจะทำ ให้ประเทศตนโดดเดี่ยว ประชาชนล้มตาย เมื่อเจอภัยขั้นร้ายแรง ทั้งข่าวสาร สารพัดคำกล่าวหา ทั้งโดนถล่มด้วย กำลังทหาร จากประเทศ กลายเป็นชนกลุ่มน้อย ต่อไปก็โดนกวาดล้าง เหมือน อัฟกานิสถาน ปาเลสไตน์
การจัดระเบียบโลก นี่ต้องดู ทรัพย์สิน และ ทรัพยากร ด้วยหรือเปล่า งบประมาณ ของสหรัฐ ที่ใช้ไปกับการดังกล่าว มันช่างมหาศาล ทำไปเพื่อ ??? หรืออุดหนุนลูกค้า ในด้านยุทโธปกรณ์ ทุบทำลาย แล้วสร้างใหม่ เราจะได้ข่าว บริษัท ยุโรป เข้ามาสัมปทาน ในการพัฒนา ประเทศเหล่านี้
เป็นการปรับสมดุลของดีมานและซัพพลายส่วนนึง ทำลายสเถียรภาพสมดุล เพื่อสร้างสมดุลใหม่ ทำลายความเชื่อมั่น เพื่อสร้างความไม่แน่นอน มันจะทำให้โอกาสที่ดอลล่าร์ยังเป็นใหญ่อยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพ เพื่อคงสภาพความแข็งแกร่งให้อเมริกาที่ส่งออกดอลล่าร์เป็นหลัก ในฐานะผู้กู้รายใหญ่ที่สุดในโลก และไม่ย้อนกลับมาทำให้อเมริกาต้องล้มละลายจากการสูญเสียความสำคัญของดอลล่าร์ ไม่รู้ว่าทำไมผมกลับมองว่าอเมริกาปล่อยให้รัสเซียเข้ามาเล่นเกมนี้แบบจงใจ. และผมเชื่อด้วยว่าเกมนี้จะลากกันยาวนานพอสมควร จนรัสเซียจะง่อยเปลี้ยลงเนื่องจากการใช้เงินจำนวนมากละเลงลงไปในสงครามที่ไม่ก่อประโยชน์มากมายแก่รัสเซีย เชื่อว่าเป็นความจงใจที่จะก่อให้เกิดความเสียหายจนปูตินจะอยู่ไม่ได้ ทางเดียวที่รัสเซียจะไม่เสียหายมากคือเข้าไปแล้วสงครามจบสงบอย่างรวดเร็วจนรัสเซียสามารถถอนทหารส่วนใหญ่ออกมาได้ แต่ผมว่ามันจะไม่จบแบบเร็ว
สหประชาชาติ วิพากษ์วิจารณ์อเมริกาที่ใช้โดรนในการโจมตี โดยกล่าวว่า การโจมตีดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เมื่อปีก่อนหน้านี้ แม้จะมีการทดลองฐานทัพ Chabelley แต่อเมริกา ได้ลงนามข้อตกลง กับจิบูติ “มาตรการทางการบริหารในระยะยาว” เพื่อจะทำให้ฐานทัพดังกล่าว เป็นฐานทัพ “ถาวร” อเมริกาอ้างว่าการปฏิบัติการของโดรน มีจุดประสงค์เพื่อโจมตีกลุ่มติดอาวุธที่ก่อความไม่สงบ แต่ในรายงานและหลักฐานพยานและสถิติจากหน่วยงานท้องถิ่นที่บ่งชี้ว่า การโจมตีส่วนใหญ่ของโดรนอเมริกา ทำให้พลเรือนจำนนมากเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ที่มา http://www.abnewstoday.com/5743 พิกัด google map Chabelley Airport https://www.google.co.th/maps/place/Chabelley+Airport+(CBA),+จิบูตี/@11.5176477,43.065483,433m/data=!3m1!1e3!4m2!3m1!1s0x16230f79db6db007:0x1f77ed8ca9f98b16?hl=th